Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

พนง.มหาวิทยาลัยครวญ ครม.จ่ายโบนัสไม่ครอบคลุม

26 กันยายน 2556

พนักงานมหาวิทยาลัยรัฐโอดครวญมติ ครม.จ่ายโบนัสข้าราชการไม่ครอบคลุมถึง ชี้พนักงานมหาวิทยาลัยรัฐเป็นคนกลุ่มใหญ่ในสถาบันอุดมศึกษาวอนขอความเป็นธรรม…เมื่อวันที่ 25 ก.ย. รศ.วีรชัย พุทธวงศ์ ประธานหลักสูตรนิติวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในฐานะเลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ กล่าวว่า จากกรณีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา พิจารณาจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ 2555 สำหรับส่วนราชการจังหวัดและสถาบันอุดมศึกษาตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่มติ ครม. ดังกล่าว ไม่ครอบคลุมพนักงานมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกลุ่มใหญ่ที่สุดในสถาบันอุดมศึกษาทั้งนี้ จากข้อมูลจำนวนบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทั้ง 79 แห่ง มี 165,341 คน และมีข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในระบบที่มีสิทธิรับโบนัสเพียง 33,649 คน โดยพนักงานมหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในระบบ กำเนิดมาจาก มติ ครม. เมื่อปี 2542 ที่มีมติให้จ้างพนักงาน ทดแทนอัตราข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการออกนอกระบบในปี 2545 และทุกคนมีส่วนร่วมในการผลักดันองค์กรของรัฐ จึงไม่ยุติธรรมที่จะเลือกปฏิบัติในการให้โบนัสของรัฐบาล

นายณัฐปคัลภ์ ญาณมโนวิศิษฏ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ กล่าวว่า แม้ในมหาวิทยาลัยรัฐจำนวนมากมีสัดส่วนพนักงานมากกว่า 80% แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่ก็ยังเป็นข้าราชการ และเมื่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ ครม. ให้โบนัสบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา เป็นเงินรางวัลให้กับบุคลากรที่สร้างสรรค์ผลงานให้สถาบันตนเอง โดยให้เป็นเงินพิเศษโบนัส แต่โบนัสเหล่านี้กลับห้ามแจกจ่ายให้พนักงานมหาวิทยาลัย ส่วนผู้บริหารรับหลักหลายแสนบาท

ด้าน นายประทัย พิริยะสุรวงศ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า พนักงานมหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่รัฐ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยมักจะลืม และเป็นปัญหามานานกว่า 14 ปี จึงขอวิงวอนทุกภาคส่วนทำความเข้าใจและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน พนักงานมหาวิทยาลัยส่วนหนึ่ง ยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปรับเงินเดือน ที่ไม่ครบตามเกณฑ์กลางที่กำหนด และยังมาถูกบั่นทอนขวัญกำลังใจจากโบนัสรางวัลของภาครัฐและผู้บริหารมหาวิทยาลัย ที่มีการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจนอีก

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34250&Key=hotnews

ผช.รัฐมนตรี ศธ.ห่วง ปรับเปิด-ปิดภาคเรียนไทยไม่เป็นเอกภาพ

26 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “ผลกระทบทางเลือกและทางออกเกี่ยวกับการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนของสถานศึกษาที่มุ่งเตรียมพร้อมก้าวสู่ประชาคมอาเซียน” โดยนายภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวบรรยายเปิดการสัมมนาฯว่า ศธ.เห็นความจำเป็นการเตรียมพร้อมเรื่องอาเซียนปี 2558 จึงกำหนดกรอบแนวทางให้สถานศึกษาปฏิบัติ ซึ่งเรื่องหนึ่งคือ การเลื่อนเปิด-ปิดภาคการศึกษาตามอาเซียน ทั้งนี้ เดิมการเปิด-ปิดภาคการศึกษาและการกำหนดระบบต่างๆ จะคำนึงถึงความจำเป็นตามภูมิภาคของรัฐและประเทศ โดยเฉพาะกำหนดให้สอดคล้องตามฤดูกาล

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสิงคโปร์ มาเลเซีย และบูรไน ขยับปฏิทินอุดมศึกษาตามชาติตะวันตกแล้ว ประมาณช่วงเดือนสิงหาคม และทราบว่าเร็วๆ นี้จะมีอีกหลายประเทศสมาชิกอาเซียนขยับปฏิทินตาม อาทิ ลาว กัมพูชา ขณะที่ไทยที่ผ่านมากลุ่มมหาวิทยาลัยสมาชิกที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ประกาศขยับปฏิทินการศึกษาตามอาเซียนพร้อมกันทั้งหมดในปีการศึกษา 2557 แล้ว แต่กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏก็เป็นกลุ่มมหาวิทยาลัยหนึ่ง ที่ยังประกาศใช้ปฏิทินการศึกษาเดิม ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็ประกาศให้โรงเรียนขยับปฏิทินการศึกษาจากเดิมออกไปอีก 1 เดือน เริ่มในปีการศึกษา 2557 แต่โรงเรียนเอกชน อาชีวศึกษาเอกชนได้กำหนดปฏิทินอย่างหนึ่ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกำหนดปฏิทินการศึกษาไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นปัญหาต้องไปขบคิด หากปฏิทินการศึกษายังยุ่งอยู่อย่างนี้ ก็คงต้องมานั่งหารือกัน

Source – มติชนออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34249&Key=hotnews

“แม่พิมพ์” ยิ้มออก! ครม.ไฟเขียวร่างกฎ ก.พ.อ. เลื่อนขั้นเงินเดือนอัตโนมัติ

25 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการตามที่ ศธ.เสนอให้ปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับ ม.ต้น และ ม.ปลาย โดยระดับ ม.ต้น ปรับเพิ่มจาก 2,300 บาทต่อหัวต่อปี เป็น 3,500 บาทต่อหัวต่อปี ระดับ ม.ปลาย เดิม 2,300 บาทต่อหัวต่อปี เป็น 3,800 บาทต่อหัวต่อปี อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณมีความเห็นว่า อัตราที่เสนอดังกล่าวจะเป็นภาระงบประมาณ 1,550 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอัตราการขอเพิ่มเงินอุดหนุนดังกล่าวอ้างอิงจากการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่แตกต่างจากการศึกษานอกระบบ ดังนั้น จึงเสนอให้ ศธ.ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาค่าใช้จ่ายรายหัวการศึกษานอกระบบของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เพื่อให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่สะท้อนกับคุณภาพการศึกษา ซึ่งสำนักงบประมาณเห็นว่า อัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวของเด็ก กศน.น่าจะต่ำกว่าอัตราที่เสนอมา ครม.จึงมอบหมายให้ ศธ.หารือกับสำนักงบประมาณ โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานและเสนอให้ ครม.เพื่อทราบ

รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติร่างกฎ ก.พ.อ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน (ฉบับที่) พ.ศ. …ในตำแหน่งวิชาการ ประกอบด้วย อาจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ เมื่อได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงสุดของอันดับเงินเดือนของตำแหน่งที่ดำรงอยู่ ให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิม โดยให้ไปอาศัยรับเงินเดือนในตำแหน่งถัดไปอีกหนึ่งตำแหน่ง

Source – มติชนออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34238&Key=hotnews

เครือข่ายเยาวชน ร้อง “จาตุรนต์” จัดระเบียบร้านเหล้ารอบมหา’ลัย ชี้นักดื่มหน้าใหม่พุ่งถึง 2.5 แสนรายต่อปี

25 กันยายน 2556

เครือข่ายเยาวชนร้อง รมว.ศธ.ดูแลร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัยแนะให้ออกกฎหมายลูกควบคุมหลังพบนักดื่มหน้าใหม่เพิ่ม 2.5 แสนคนต่อปี ระบุจากการวิจัยพบร้านขายรอบสถานศึกษากว่า 340 ร้านชี้ทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน

วานนี้ (24 ก.ย.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ พร้อมด้วย มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา นำตัวแทนนักศึกษากว่า 30 คน จากหลายสถาบันการศึกษา เข้าพบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เพื่อร้องเรียนปัญหาร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัย โดยมีศ.ธเนศวร์ เจริญเมือง ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ มารับเรื่องแทน
นายธีรภัทร์ กล่าวว่า ได้นำหลักฐานการทำผิดพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พ.ศ.2551และผลสำรวจความหนาแน่นของร้านเหล้ารอบสถานศึกษามามอบให้ ศธ. พร้อมนำเสนอข้อเรียกร้อง 3 เรื่อง ประเด็นแรก ขอเรียกร้องให้ ศธ.ในฐานะเป็นหน่วยงานด้านการศึกษา เป็นเจ้าภาพหลักวางแผนแก้ปัญหาเรื่องแอลกอฮอล์และเยาวชน 2. ขอเรียกร้องให้ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เป็นเจ้าภาพหลักในการแก้ไขปัญหาร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัย โดยผลักดันให้การออกกฎหมายลูกภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรัศมี 300 เมตรรอบมหาวิทยาลัย ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ปัจจุบัน แม้จะมีนโยบายห้ามร้านเหล้าตั้งอยู่ในรัศมี 300 เมตรรอบสถานศึกษาอยู่แล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธในทางปฏิบัติและ 3. ขอให้กระทรวงศึกษาออกประกาศห้ามไม่ให้สถานศึกษาร่วมมือกับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำกิจกรรมเชิงสังคม หรือ CSR รวมถึงไม่ให้รับทุนการศึกษาจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท ป้องกันไม่ให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แทรกซึมมาทำประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กับเยาวชน

“ปัจจุบัน เยาวชนเป็นเป้าหมายหลักของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้านเหล้าต่างๆ ก็มีเยาวชนเป็นลูกค้าหลัก ขณะที่ ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีกลยุทธในการเข้าถึงเด็กและเยาวชนที่แนวเนียนขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าภาครัฐไม่ออกยาแรงมาใช้ เยาวชนจะอยู่ในภาวะเสี่ยงและมีปัญหาตามมามากมาย อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว ทุกคนรู้ดีถึงปัญหาที่มีอยู้ ผู้มีอำนาจก็รู้ แต่ไม่มีใครจัดการอย่างจริงจัง มองกันเป็นเรื่องธรรมดา “ นายธีภัทร์ กล่าวและว่า ยอมรับว่าการจัดโซนนิ่งร้านเหล้าทำได้ยาก จึงเป็นสาเหตุหลักของการเข้าถึงง่าย ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีก็หาซื้อสุรามาดื่มได้ ทำให้จำนวนนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 250,000 รายต่อปี อย่างไรก็ตามเครือข่ายเยาวชนฯได้พูดคุยและเฝ้าระวังปัญหาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง เห็นตรงกันว่าผลกระทบจากร้านเหล้ารอบมหาวิทยาลัยได้ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ทั้งเสียการเรียน อุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาท คุกคามทางเพศ แต่กลับไม่มีมาตรการป้องกันที่ตรงจุดหรือแนวทางที่ชัดเจน และหลายแห่งยังกลายเป็นแหล่งมั่วสุมทั้งอบายมุขและการพนันด้วย

ทั้งนี้ข้อมูลที่เครือข่ายเยาวชนได้นำมาร้องเรียนต่อกระทรวงศึกษาธิการนั้น เป็นข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่สำรวจร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รอบสถานศึกษา12 แห่ง อาทิ ม.รามคำแหง มรภ.จันทรเกษม ม.หอการค้าไทย ม.เกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 3-10 ก.ย.56 ในรัศมี 300 เมตร พบว่า มีร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งสิ้น 340 ร้าน เฉลี่ย 28 ร้านต่อ 1 มหาวิทยาลัย และที่น่าตกใจคือ กว่า 105 ร้าน หรือ 1 ใน 3 ที่ขายเหล้าบริเวณหอพัก ซึ่งเป็นการทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 อย่างชัดเจน ทั้งนี้ในการสำรวจความคิดเห็นนักศึกษา พบว่า 64.98 %เห็นด้วยอย่างยิ่ง หากมีกฎหมายมาควบคุมให้ร้านเหล่านี้อยู่ห่างจากสถานศึกษา อย่างน้อย 300 เมตร ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุขเสนอมานานแล้ว แต่ยังไม่ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34236&Key=hotnews

สทศ.เปิดรับสมัครสอบ GAT/PAT 1-27 ตุลาคมนี้

25 กันยายน 2556

นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า สทศ.จะเปิดสมัครสอบวิชาความถนัดทั่วไปหรือ GAT และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพหรือ PAT ครั้งที่ 1/2557 (สอบเดือนธันวาคม) ตั้งแต่ 1-27 ตุลาคม 2556 ชำระเงิน 1-28 ตุลาคม 2556 ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลผู้สมัคร 1-29 ตุลาคม 2556 ประกาศเลขที่นั่งสอบ สถานที่สอบ พิมพ์บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบ 11 พฤศจิกายน 2556 วันสอบ 7-10 ธันวาคม 2556 ประกาศผลสอบ 19 มกราคม 2557

สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครสอบ จะต้องเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือ เทียบเท่า ม.6 หรือสูงกว่า ม.6 ขึ้นไป ทั้งนี้ สทศ.ขอให้ผู้ที่ต้องการสมัครสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 1/2557 ตรวจสอบกำหนดการรับสมัครสอบและชำระเงินให้ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ของผู้สมัครเอง ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ สทศ. www.niets.or.th นอกจากนี้ สทศ.ได้จัดทำคู่มือสำหรับการสอบ GAT/PAT และวิชาสามัญ 7 วิชา ประจำปีการศึกษา 2557 โดย สทศ.ได้เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ไปยังโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศ สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดคู่มือการสอบดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ สทศ. www.niets.or.th

Source – มติชนออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34235&Key=hotnews

สกอ.ตามจิกมหาวิทยาลัยเปิดข้อมูลการรับนักศึกษา57

25 กันยายน 2556

สกอ.ร่อนหนังสือถึงมหาวิทยาลัยรัฐทั่ประเทศ ขอข้อมูลการรับนักศึกษาปี 57 ทุกระบบ ยกเว้นแอดมิชชั่น เตรียมเสนอ”จาตุรนต์”ประกอบการตัดสินใจปรับปรุงระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ย้ำรมว.ศธ.มีอำนาจใช้มติครม.สั่งปรับเปลี่ยนระบบการคัดเลือกได้

วานนี้( 24 ก.ย.)รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จัดประชุมเรื่องการพัฒนาระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้เกี่ยวข้อง ปรากฏว่าหลายฝ่ายเห็นว่าระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน ก่อเกิดปัญหาและผลกระทบต่อนักเรียน ผู้ปกครอง และระบบการศึกษา จึงเสนอให้ปรับปรุงและพัฒนาระบบการรับนิสิตนักศึกษาเป็นการด่วน

รศ.นพ.กำจร กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็วๆนี้ สกอ.ได้ทำหนังสือส่งถึงมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ เพื่อขอข้อมูลการรับนิสิตนักศึกษา ระดับปริญญาตรี ประจำปีการศึกษา 2557 โดยละเอียดในทุกระบบ ทุกวิธีการ ทุกคณะและสาขาวิชา ที่อยู่นอกเหนือจากระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิชชั่นกลาง เพื่อจะนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการพัฒนาหรือปรับปรุงระบบการคัดเลือกให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด สำหรับข้อมูลที่ขอไปประกอบด้วย จำนวนคณะ/สาขาวิชา จำนวนรับ อัตราการแข่งขันที่ผ่านมา ช่วงเวลาการรับสมัครและสอบ คุณสมบัติผู้สมัคร การสอบคัดเลือกดำเนินการอย่างไร และค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมการสมัครหรือสอบต่อคนเป็นเท่าใด โดยมหาวิทยาลัยทั้งหมดจะต้องส่งข้อมูลกลับมาที่ สกอ. ภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้

“ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหลายแห่งออกมาปฎิเสธว่าไม่ได้คิดหารายได้จากการรับตรง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของมหาวิทยาลัยที่จะเปิดเผยข้อมูลกับสกอ. เพื่อแสดงให้สังคมได้รู้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งดำเนินการด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้ามหาวิทยาลัยใดไม่ยอมส่งข้อมูลก็จะถือว่ายอมรับการตัดสินใจของ รมว.ศึกษาธิการ หรือหากมหาวิทยาลัยทั้งหมดจะไม่ดำเนินการตามที่รมว.ศึกษาธิการตัดสินใจ รมว.ศึกษาธิการ ก็สามารถใช้อำนาจตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในการสั่งการได้ เพราะในพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนดให้ รมว.ศึกษาธิการทำหน้าที่รักษาการอธิการบดีอยู่แล้ว และที่สำคัญตามนโยบายของรัฐบาลด้านการศึกษาก็กำหนดไว้ชัดเจนให้เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน รวมทั้งพัฒนาระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการเรียนการสอนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วย ” รศ.นพ.กำจร กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34240&Key=hotnews

ชงมหา’ลัย รับตรง “รอบเดียว”

24 กันยายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – อดีตเสมา 2 เสนอสอบรับตรงรอบเดียว เหมือนกสพท.แก้ปัญหาวิ่งรอก ลดค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง ขณะที่ประธาน ทปอ. รับข้อสอบรับตรงยากจริง เพราะต้องการคัดเด็กให้เหมาะสม

วานนี้ (23 ก.ย.) นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดี มธ. ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า กลุ่มสมาชิกทปอ. มีมติว่าในปีการศึกษา 2557 ขอให้เปิดรับตรงพร้อมกันในช่วงเดือนมกราคมนั้น ขณะนี้มีมหาวิทยาลัยบางแห่งเปิดรับตรงก่อนเดือนมกราคมส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่อธิการบดีสื่อสารไปยังคณะต่างๆ ล่าช้า ทำให้บางคณะประกาศรับตรงไปแล้วเปลี่ยนแปลงได้ทัน อีกส่วนคือหลายคณะรับตรงหลายรอบ และจะเปิดรับเดือน ม.ค.ด้วย

นายสมคิดกล่าวต่อว่า สำหรับข้อสอบรับตรงที่นักเรียนบอกว่ายากและออกเกินหลักสูตรนั้น ยอมรับว่าข้อสอบรับตรงต้องยากอยู่แล้ว อย่างคณะนิติศาสตร์มธ. มีการถามเกี่ยวกับข้อกฎหมาย ที่นอกเหนือหลักสูตร เพราะต้องการวัดความสนใจ และความถนัดของเด็กว่าเหมาะสมจะเรียนในคณะ/สาขานั้นๆ
ด้าน นายวรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์(มธบ.) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า การเปิดรับตรงของมหาวิทยาลัย แล้วเด็กวิ่งรอกสอบ ผู้ปกครองเสียค่าใช้จ่ายสูง ไม่ใช่ปัญหาใหม่ ปัญหานี้มีมานานแล้ว จะแก้ปัญหานี้ได้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมแก้ปัญหา โดยเฉพาะ ทปอ. ขอให้มารับตรงพร้อมกันนั้นพบว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดรับตรง และมีเด็กมาสมัครจำนวนมาก

“ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ มีสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม ทปอ. กับกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) ถ้า 2 กลุ่มนี้ ตกลงกันได้จะรับตรงในช่วงไหน จะลดปัญหาได้ส่วนหนึ่ง ถ้าจะให้ดีควรรับตรงพร้อมกันในวันเดียว และนำคะแนนมาจัดอันดับ จะทำให้ปัญหาเด็กวิ่งรอกสอบ และผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะหมดไป เหมือนกับของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(กสพท.) ที่จัดสอบร่วมกัน วันเดียวกัน แล้วนำคะแนนมาจัดอันดับ และประกาศผลพร้อมกัน ขณะที่ตัวนักเรียนสามารถเลือกสมัครสอบได้ทีเดียวหลายที่ ทุกอย่างอยู่ที่ระบบ ว่าเราจะจัดการได้หรือไม่” นายวรากรณ์กล่าว

ด้าน นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมศว และรองประธาน ทปอ.กล่าวว่า มศว ตั้งใจจะเปิดรับตรงในช่วงเดียวกันในเดือนมกราคม ตามที่ทปอ.ขอความร่วมมือมาอยู่แล้ว แต่เนื่องจากการสอบรับตรงปีนี้ มีการเตรียมการและจองสถานที่ล่วงหน้าและไม่สามารถหาสถานที่ใหม่ได้ทัน เนื่องจากมีผู้สมัครจำนวนมาก แต่ในปีการศึกษา 2558 มศว จะรับตรงในช่วงเดือนมกราคมแน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34222&Key=hotnews

เสมา 1 ไฟเขียวหลักสูตร ป.ตรีอาชีวะ 9 สถาบัน 16 สาขา หลัง สกอ.การันตี

24 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 23 กันยายน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ลงนามในประกาศ ศธ.เรื่องให้ใช้หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการ พ.ศ.2556 ของสถาบันการอาชีวศึกษา 9 สถาบัน 16 สาขาวิชา ดังนี้

สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 จำนวน 4 สาขาวิชา คือ เทคโนโลยีไฟฟ้า, เทคโนโลยียานยนต์, การโรงแรม และเทคโนโลยีแม่พิมพ์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 1 จำนวน 5 สาขาวิชาคือ เทคโนโลยีไฟฟ้า, คอมพิวเตอร์ธุรกิจ, เทคโนโลยียาง, เทคโนโลยียานยนต์ และเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคใต้ 2 จำนวน 2 สาขาวิชา คือ การโรงแรมและเทคโนโลยียานยนต์ สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จำนวน 1 สาขาวิชา คือ เทคโนโลยีไฟฟ้า สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 จำนวน 7 สาขาวิชา คือ เทคโนโลยียานยนต์, เทคโนโลยีไฟฟ้า, เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีแม่พิมพ์, เทคโนโลยีก่อสร้าง, คอมพิวเตอร์ธุรกิจ และการบัญชี สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จำนวน 7 สาขาวิชา คือ เทคโนโลยียานยนต์, เทคโนโลยีไฟฟ้า, เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์, เทคโนโลยีก่อสร้าง, การบัญชี, คอมพิวเตอร์ธุรกิจและการตลาด สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 1 จำนวน 5 สาขาวิชา คือ การบัญชี, เทคโนโลยีไฟฟ้า, เทคโนโลยียานยนต์, การโรงแรม และเทคโนโลยีการผลิตพืช สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 จำนวน 3 สาขาวิชา ได้แก่ การตลาด, การท่องเที่ยวและเทคโนโลยียานยนต์ และสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร จำนวน 10 สาขาวิชา คือ เทคโนโลยีไฟฟ้า, เทคโนโลยีก่อสร้าง, เทคโนโลยีสถาปัตยกรรม, เทคโนโลยีสารสนเทศ, การบัญชี, การตลาด, คอมพิวเตอร์ธุรกิจ, การจัดการสำนักงาน, การโรงแรม และช่างทองหลวง ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556

“นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ยังมีหนังสือรับทราบ และรับรองหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการ พ.ศ.2556 ใน 9 สถาบัน 16 สาขาวิชาดังกล่าวแล้วว่ามีมาตรฐานสอดคล้องกับประกาศ ศธ.ซึ่ง สอศ.จะแจ้งประกาศดังกล่าว รวมทั้ง หนังสือรับรองของ สกอ.ไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพื่อเทียบอัตราเงินเดือนต่อไป อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ สอศ.จะหารือเรื่องนี้กับประธาน กอศ.เพื่อให้การดำเนินการจัดการเรียนการสอนเป็นไปตามนโยบายที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้มอบหมายให้การเรียนการสอนระดับปริญญาตรีอาชีวศึกษา มีลักษณะพิเศษอย่างแท้จริง” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34221&Key=hotnews

‘ป.3/ป.6’ อ่านไม่ออกเกือบแสนใน 80 เขต – จี้ ‘ร.ร.-ครู’ ทำแผนฟื้นฟู

24 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 23 กันยายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบให้โรงเรียนทั่วประเทศใช้แบบทดสอบคัดกรองนักเรียนที่อ่านไม่ออกในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างวันที่ 9-20 กันยายน และให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานผลมายัง สพฐ. ซึ่งการคัดกรองเป็นไปตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่องมาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่องและการสื่อสาร เพื่อทำให้สถานศึกษาปลอดการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ว่า ขณะนี้มีประมาณ 80 เขต พื้นที่ฯ จากทั้งหมด 183 เขต ได้ส่งผลข้อมูลการคัดกรองนักเรียนด้านการอ่านมายัง สพฐ.แล้ว พบว่า

–  ระดับชั้น ป.3 มีจำนวนนักเรียนที่ยังอ่านไม่ได้ ร้อยละ 8 หรือ 64,000 คน จากนักเรียนทั้งหมด 8 แสนคน

– นักเรียนชั้น ป.6 อ่านไม่ได้ร้อยละ 4 หรือ 32,000 คน จากนักเรียนทั้งหมด 8 แสนคน

– นักเรียนที่อยู่ในระดับดี ในระดับชั้น ป.3 มีร้อยละ 56 และ ป.6 ร้อยละ 60 ส่วนที่เหลืออยู่ในระดับพอใช้และปรับปรุง

ทั้งนี้ จำนวนนักเรียนที่อ่านไม่ออกในปีที่ผ่านมามีประมาณร้อยละ 2-3
นายชินภัทรกล่าวต่อว่า นักเรียนที่อ่านไม่ออกจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนแบบเข้มข้น การใช้นวัตกรรม หรือจะใช้วิธีการจัดการสอนเพิ่มเติมในช่วงเย็นก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานศึกษา โดยนักเรียนที่อ่านไม่ได้ต้องได้รับการดูแลและพัฒนาเพื่อให้อ่านหนังสือได้ตามนโยบายของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ที่ให้นโยบายว่านักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ต้องหมดไป ซึ่ง สพฐ.และเขตพื้นที่ฯ ทั่วประเทศต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมมากที่สุดตั้งแต่ปิดภาคเรียนเดือนตุลาคม พร้อมให้โรงเรียนและครูผู้สอนมีแผนช่วยเหลือฟื้นฟูสมรรถนะการอ่านให้กับนักเรียนกลุ่มนี้ โดยมีเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ซึ่ง สพฐ.จะติดตามความคืบหน้าทุกๆ เดือนเพื่อปรับลดจำนวนนักเรียนอ่านไม่ได้ให้ใกล้ศูนย์ให้มากขึ้น

“เมื่อ สพฐ.ได้ข้อมูลจากเขตพื้นที่ฯ ครบทั้งหมด จะประมวลผลและสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้เห็นภาพระดับประเทศต่อไป ส่วนเด็กชายขอบและกลุ่มเด็กชาติพันธุ์ที่มักจะมีปัญหาการสื่อสารภาษาไทย โดยเฉพาะการอ่านและเขียนนั้น เด็กกลุ่มนี้ที่อยู่ในโรงเรียนสังกัด สพฐ.ทุกคน เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน ถือเป็นเรื่องยาก เพราะเด็กยังอ่านภาษาไทยไม่ได้ โดย สพฐ.อาจนำนวัตกรรมเข้ามาช่วย และมีสะพานการเชื่อมโยงการเรียนภาษาไทย หรือที่เรียกว่าการเรียนแบบทวิภาษา จะทำให้เด็กเรียนรู้เรื่อง” นายชินภัทรกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34220&Key=hotnews

วิทยาลัยชุมชน ‘อุดมศึกษาเพื่อปวงชน’

23 กันยายน 2556

ถือว่าเป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่งของสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน (ส.วชช.) ที่ได้จัดประชุมสัมมนากรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศ เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งนอกจากการประชุมจะมีกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมมากกว่า220 คน แล้ว ภายในงานยังได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นเพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาวิทยาลัยชุมชน (วชช.) ในอนาคต เพื่อเป็นก้าวย่างสำคัญ อันนำไปสู่การเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาที่ยั่งยืน และสามารถสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนในแต่ละชุมชนได้อย่างแท้จริง

จากการเกาะติดเวทีการสัมมนาตลอดระยะเวลา 2 วันเต็ม ผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้าร่วมเป็นวิทยากรได้นำเสนอทัศนะและมุมมองในแง่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนที่น่าสนใจไม่น้อย เริ่มที่ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธาน คณะกรรมการวิทยาลัยชุมชน ที่ได้แสดงทัศนะในการเสวนาเรื่อง “บทบาทสภาวิชาการกับกรอบนโยบายในการจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน” ว่า “โจทย์ใหม่ของวิทยาลัยชุมชน ขณะนี้มีผู้อยู่ในวัยทำงานประมาณ 35-40 ล้านคน และในจำนวนดังกล่าวเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยชุมชนประมาณ 11 ล้านคน ส่วนใหญ่ ประมาณ 29-30% จบการศึกษาจากสำนักงานส่งเสริมการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพฐ.) ดังนั้นจึงจำเป็นที่วิทยาลัยชุมชนจะต้องเข้าไปเก็บตกกลุ่มวัยแรงงานที่เหลือที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะเดียวกันต้องมีการเตรียมความพร้อมกับอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย หรือแม้แต่แนวนโยบายของภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น กองทุนตั้งตัวได้ การลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อวางโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคของประเทศ ทั้งการทำรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ เป็นต้น สิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นต้องเริ่มที่วิทยาลัยชุมชน สภาวิชาการของวิทยาลัยชุมชนต้องเป็นสมองให้กับวิทยาลัยชุมชน ด้วยการคิดหลักสูตรระดับอนุปริญญา หลักสูตรอาชีพ หรือหลักสูตร Modula เพื่อสนองตอบชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศในอนาคต”

ด้านนายวรวุฒิ บุญเพ็ญ ประธานกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนสมุทรสาคร กล่าวในการสัมมนาเรื่อง “เหลียวหลัง แลหน้า การจัดการเรียนรู้ในวิทยาลัยชุมชน” ว่า “กรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั้งหลายที่เข้ามาร่วมงานกับวิทยาลัยชุมชนนั้น ล้วนแต่มาด้วยความตั้งใจ เสียสละ เพราะเห็นว่าวิทยาลัยชุมชนคือคำตอบในการแก้ปัญหาทางการศึกษาของประเทศ ดังนั้น วิทยาลัยชุมชนจึงควรให้เกียรติกับกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนตามสมควรด้วย เพราะมีองค์กรหลายองค์กรเป็นแบบอย่างที่ดี เช่น สภาเกษตรกร มีระเบียบกำหนดสิทธิของผู้เป็นกรรมการไว้อย่างน่าภาคภูมิใจ ทำให้ทุกคนที่เข้าไปเป็นกรรมการนั้นจะยิ่งต้องทุ่มเทปฏิบัติงานเพื่อองค์กรนั้นๆ

มากขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อให้เกียรติกัน กรรมการ สภาฯ ก็จะยิ่งมีกำลังใจ และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้นตามมาด้วย”

ขณะที่อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาอย่าง ดร.สุเมธ แย้มนุ่น ซึ่งได้เข้ามานั่งฟังการอภิปรายของประธานสภาวิทยาลัยชุมชนทั้ง 4 ภาค ได้กล่าวเสวนาเรื่อง “ทิศทางของวิทยาลัยชุมชนในทศวรรษที่สอง” ว่า “จากที่ได้ฟังประธานสภาวิทยาลัยชุมชน แต่ละท่านขึ้นมาสะท้อนภาพการทำงานจริงในพื้นที่แล้ว พบว่าผู้ที่จะเข้ามาเป็นกรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนนั้น มิได้ทำหน้าที่เพียงมาประชุมตามอำนาจหน้าที่ที่ถูกระบุไว้เหมือนกับในมหา วิทยาลัยทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนของชุมชนจริงๆ ซึ่งถ้ามองอย่างไม่เข้าใจก็จะคิดว่า เป็นการล้วงลูก แต่แท้จริงแล้วคือการให้การสนับสนุนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ ของการทำงานในระดับพื้นที่จริงๆ วิทยาลัยชุมชน จึงต้องกล้าเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการทำหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ที่ต้องตอบโจทย์ในระดับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง”

ส่วนการประมวลผลการประชุมกลุ่มย่อยเรื่องการระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อมาเป็นกำลังในการขับเคลื่อนวิทยาลัยชุมชน หลังจากแยกกลุ่มวิภาคและวิเคราะห์กันอย่างเอาจริงเอาจัง สามารถสรุปในภาพรวมได้ว่า “การจะระดมเงิน หรือทรัพยากรใดๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ในการระดมทุนต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ มีเกียรติและศักดิ์ศรี เราควรตระหนักให้ดีว่า การที่ใครจะมอบอะไรให้กับเรานั้นเขาควรมอบให้ด้วยความศรัทธา เราต้องสร้างให้ทุกคนได้เห็นว่า วิทยาลัยชุมชน มีประโยชน์ต่อชุมชนจริงๆ เราจึงจะสามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”

นี่เป็นเพียงบางเสี้ยวบางตอนของการประชุมสัมมนากรรมการสภาวิทยาลัยชุมชนทั่วประเทศและผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ประจำปี 2556 ซึ่งสะท้อนให้เห็นพัฒนาการ และก้าวย่างที่ชัดเจนของวิทยาลัยชุมชน ที่จะต้องเดินไปข้างหน้าในอนาคตโดยจะต้องมีการกำหนดเป็นแผนงานไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจน ภายใต้ปรัชญาที่ว่า “วิทยาลัยชุมชนเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษา เพื่อเพิ่มคุณค่าชีวิตและศักยภาพของบุคคลและชุมชน”

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34216&Key=hotnews