Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

มทร.ธัญบุรีฟิตพร้อมออกนอกระบบ มุ่งเน้นพัฒนาบุคลากร

23 กันยายน 2556

รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) เปิดเผยว่า ในปี 2559 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้กำหนดให้ มทร.ธัญบุรีก้าวไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายหนึ่งที่สภามหาวิทยาลัยได้เร่งผลักดัน และที่ผ่านมามหาวิทยาลัยก็ได้ดำเนินการเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 เตรียมความพร้อมด้วยการสร้างความเข้าใจกับบุคลากรให้ทราบว่า มทร.ธัญบุรีกำลังจะเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ บุคลากรเริ่มมีความเข้าใจแนวทางที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า เมื่อบุคลากรมีความเข้าใจแล้วทุกคนจะต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ เพราะหลังการออกนอกระบบมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องหารายได้เลี้ยงตัวเอง แม้ว่าส่วนหนึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ

อธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า ระยะที่ 2 เตรียมที่จะมอบอำนาจให้คณะต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งการปรับกฎระเบียบมุ่งเน้นให้อาจารย์สามารถรับงานภายนอกเข้าสู่มหา วิทยาลัยได้ โดยรายได้หลักที่น่าจะทำได้ คือการทำงานวิจัย หรือการรับงานภายนอก เช่น การฝึกอบรมให้บุคคลภายนอก ซึ่งขณะนี้ได้พยายามปรับโครงสร้างการบริหารเพื่อเอื้อให้ทุกคณะสามารถบริหารการจัดการรายได้ได้เอง ส่วนระยะที่ 3 เมื่ออาจารย์มีความพร้อม มีศักยภาพ กฎระเบียบก็เอื้ออำนวย ถึงวันนั้นจริงๆ การออกนอกระบบจะกลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนสามารถก้าวไปพร้อมๆ กัน

“การออกนอกระบบของ มทร.ธัญบุรี จะไม่ได้ทำแค่เรื่องการจัดการศึกษาอย่างเดียว แต่อาจมีการจัดตั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กขึ้นในมหาวิทยาลัยเพื่อหารายได้เข้าสู่สถาบัน” อธิการบดี มทร. กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 24 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34215&Key=hotnews

อาชีวะไทย-ภูฏานแลกเปลี่ยนบุคลากร ครูสอนภาษาอังกฤษกับครูสอนวิชาชีพ

23 กันยายน 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยถึง ความร่วมมือทางด้านการศึกษา ระหว่างประเทศไทยกับราชอาณาจักรภูฏาน ว่า ไทยกับภูฏาน มีความเหมือนๆ กันในหลายอย่าง อาทิ มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข และประชาชนนับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะด้านอาชีวศึกษาที่เห็นได้ชัดก็คือ ทั้งสองประเทศมีปัญหาคล้ายๆ กัน คือคนมาเรียนอาชีวศึกษาน้อย และต่างก็มีความต้องการที่จะยกระดับคุณภาพอาชีวศึกษาของประเทศ จึงได้ร่วมกันดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนครูผู้สอนภาษาอังกฤษ เนื่องจากราชอาณาจักรภูฏานเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร จึงมีทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ดี ในขณะเดียวกันประเทศไทยจะต้องเตรียมกำลังคนเข้าสู่อาเซียน จำเป็นต้องฝึกทักษะภาษาอังกฤษอย่างเร่งด่วน โดยราชอาณาจักรภูฏานจะคัดเลือกผู้ที่จบปริญญาตรี และมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษมาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาของประเทศไทย โดยประเทศไทยจะรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายและที่พัก ทั้งนี้รุ่นที่ 1 ได้ส่งครูมาจำนวน 19 คน กระจายไปยังสถานศึกษาในสังกัด 19 แห่งทั่วประเทศ และเมื่อสิ้นสุดโครงการมีครูขออยู่ต่อจำนวน 15 คน เนื่องจากเกิดความประทับใจประเทศไทยส่วนรุ่นที่ 2 จะเดินทางมาในเดือนตุลาคม2556 นี้ จำนวน 48 คน และจะกระจายไปยังสถานศึกษาในสังกัด 38 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้การอาชีวศึกษาของประเทศไทยได้รับประโยชน์จากครูผู้สอนที่มีความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ ส่วนราชอาณาจักรภูฏานจะได้รับประโยชน์จากการที่ประชาชนมีงานทำ

เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรของราชอาณาจักรภูฏาน ด้วยการพัฒนาความสามารถด้านการจัดการเรียนการสอนของครูอาชีวะราชอาณาจักรภูฏาน ซึ่งการอาชีวศึกษาของประเทศไทยยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ โดยขณะนี้ราชอาณาจักรภูฏานกำลังวิเคราะห์ความต้องการครูในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อจัดส่งบุคลากรมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสถานศึกษาสังกัด สอศ. ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ในบางสาขาวิชา มีความต้องการให้ส่งวิทยากรของ สอศ. ไปสอนที่ราชอาณาจักรภูฏาน นับว่าโครงการดังกล่าวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศต่อไป

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34211&Key=hotnews

ชี้เด็กเรียนอ่อนถ้าไม่ไหวจริงๆ ต้องซ้ำชั้น

23 กันยายน 2556

ศ.ดร.ศิริชัย กาญจนวาสี อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวคิดจะทบทวนนโยบายตกซ้ำชั้น ว่า ที่ผ่านมา ศธ.กระจายอำนาจให้สถานศึกษาประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเด็กเอง โดย ศธ.กำหนดเพียงตัวชี้วัดที่จะใช้ประเมินเท่านั้น ส่วนเครื่องมือที่จะนำมาวัดเด็ก เช่น แบบการทดสอบ การทำโครงงาน เป็นต้น ให้สถานศึกษาไปกำหนดเอง หากโรงเรียนใดไม่มีความพร้อม หรือไม่สามารถออกแบบเครื่องมือวัดเด็กได้อย่างแท้จริง จะทำให้ผลการประเมินออกมาไม่มีคุณภาพ ขณะที่ผลการประเมินเด็กก็มีผลต่อการเลื่อนตำแหน่งของผู้บริหารโรงเรียนและครู ทำให้ไม่มีใครกล้าให้เด็กตก หรือถ้าตกก็ให้มาซ่อมพอเป็นพิธี สุดท้ายเด็กก็ไม่มีคุณภาพซึ่งส่งผลต่อการศึกษาขั้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้นสิ่งที่ ศธ.ควรต้องทำให้ คือ พยายามให้โรงเรียนทั้งหมดมีเครื่องมือในการวัดและประเมินผลเด็กที่มีคุณภาพเท่ากัน เพื่อวัดความรู้ ความสามารถของเด็กอย่างแท้จริง และหากเด็กตกก็ต้องมีการซ่อมเสริมอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาเด็ก แต่ถ้าซ่อมเสริมแล้วไม่ผ่านอีกจะต้องให้เรียนซ้ำชั้น

“ส่วนผลการประชุม World Economic Forum (WEF)- The Global Competitiveness Report 2012-2013 ที่จัดอันดับ การศึกษาไทยอยู่อันดับที่ 8 ของประเทศในกลุ่มอาเซียน ผมถือเป็นข่าวร้ายของวงการศึกษาไทย ประกอบกับผลการประเมินระดับนานาชาติและระดับชาติก่อนหน้านี้ก็ชี้ชัดว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนไทยตกต่ำ เด็กด้อยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ดังนั้นคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องประเมินตนเองแล้วว่า เรากำลังทำอะไรกันอยู่และควรจะร่วมมือกันอย่างไร ซึ่งครูคือคนที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้การศึกษาไทยแข็งแกร่ง เพราะต้องเป็นผู้บริหารจัดการ เรียนรู้ เป็นพี่เลี้ยง พี่อำนวย เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ต้องติดตามพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กทั้งในและนอกห้องเรียน โดยเฉพาะต้องมีความทันสมัยมีความรู้สากล มีทักษะภาษาอังกฤษและเทคโนโลยี ขณะเดียวกันหลักสูตรก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ที่สำคัญรัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยสรรหาคนดีคนเก่งให้อยู่ได้นานและขับเคลื่อนนโยบายอย่างมีเอกภาพ” ศ.ดร.ศิริชัย กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 24 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34210&Key=hotnews

รอ ‘จาตุรนต์’ ชี้ชะตาอาชีวะอำเภอ

23 กันยายน 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยทิศทางการผลิตและพัฒนาการอาชีวศึกษาของ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งเบื้องต้นพบว่าผู้แทนสถานศึกษาอาชีวะทั้งรัฐและเอกชนในพื้นที่ ภาคตะวันออกและภาคเหนือ เห็นตรงกันว่าไม่เห็นด้วยกับแนวคิด 1 อำเภอ 1 อาชีวศึกษา ว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กำลังรอผลสรุปทั้ง 4 ภูมิภาค รวมถึงข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการฯ เพื่อนำมาปรับปรุงแผนการทำงานในปีงบฯ 2557 และทบทวนการตั้งงบฯปี 2558

“นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้มีการประเมินการจัดการอาชีวศึกษา เพื่อให้เห็นจุดในการพัฒนาการอาชีวศึกษา และนำไปพัฒนาในเชิงลึก ซึ่งเท่าที่ ดูข้อเสนอแนะเบื้องต้นมีหลายประเด็นที่ผมเห็นด้วยว่าควรปรับปรุงและพัฒนา สำหรับการจัดตั้งอาชีวศึกษาอำเภอนั้น ไม่ได้ทำในทุกอำเภอ เพียงแต่ที่ผ่านมาพ่อแม่ผู้ปกครองอยากให้ลูกหลานเรียนอาชีวศึกษา แต่ไม่มีวิทยาลัยอยู่ในพื้นที่ ขณะที่เราก็อยากกระจายโอกาสให้เด็กได้เรียนสายอาชีวะเช่นเดียวกับการเรียน ม.ปลาย ที่เข้าถึงในทุกตำบล และจากการเปิดอาชีวะอำเภอในปีการศึกษา 2556 พบว่า บางแห่งมีเด็ก เข้าเรียนรวดเดียวถึง 200 คน และในปีการศึกษา 2557 ก็มี เป้าหมายที่จะจัดตั้งอีก 5-6 แห่ง แต่หากมีคำแนะนำมาเช่นนี้ก็คงจะต้องมีการทบทวน” ดร.ชัยพฤกษ์กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามถ้าไม่มีการจัดตั้งอาชีวะอำเภอ สอศ. ก็ต้องพัฒนาอาชีวศึกษาที่มีอยู่เพื่อรองรับเด็กจากอำเภอและตำบลต่าง ๆ เช่น ให้มีหอพัก มีทุนการศึกษา เป็นต้น.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 24 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34209&Key=hotnews

กพฐ.หวั่นหลงประเด็นมุ่งเพิ่มคะแนนโอเน็ต สอนแต่ความรู้แกนจนลืมทักษะอื่น

23 กันยายน 2556

ดร.สุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมบอร์ด กพฐ.นัดพิเศษ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้มีการพูดถึงการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ว่า เป็นเรื่องที่ดีที่มีการจัดทดสอบดังกล่าว เพราะถือเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานการศึกษาระดับต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติก็ได้สร้างเครื่องมือทดสอบจนครบทุกชั้นทุกระดับ โดยมีการทดลองและปรับปรุงทดสอบจนเรียกได้ว่าขณะนี้เรามีข้อสอบที่เป็นมาตรฐานแล้ว แต่สิ่งที่บอร์ด กพฐ.ต้องการทราบ คือ มีการนำผลการทดสอบนี้ไปสู่กระบวนการปรับปรุงการเรียนการสอน เพื่อให้คุณภาพการเรียนรู้ของเด็กเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ยังมีปัญหาอยู่ โดยเฉพาะเมื่อดูคะแนนโอเน็ตที่ออกมาซึ่งยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่เมื่อเจาะดูเป็นรายโรงเรียนหรือรายเขตก็พบว่าได้มีการนำผลคะแนนไปปรับปรุงกันบ้างแล้ว แม้ในภาพรวมจะยังไม่พัฒนาดีจนเป็นที่น่าพอใจก็ตาม แต่ก็ทำให้เห็นว่าได้มีการขับเคลื่อนไปแล้ว
“อย่างไรก็ตามมีประเด็นที่น่าสนใจซึ่งเป็นข้อสังเกตหรือข้อมูลจากพื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงจากฝ่ายปฏิบัติว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้คะแนนโอเน็ตไม่สูงหรือไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรนั้น มาจากความไม่เข้าใจในการทำข้อสอบหรือแม้แต่การฝนกระดาษคำตอบ ซึ่งแม้จะเป็นประเด็นปลีกย่อยที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง แต่ตนมองว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องนำมาคิดเพื่อแก้ปัญหาด้วย” ดร.สุรัฐ กล่าวและว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ ทำอย่างไรที่จะให้ผลการสอบมีผลสะท้อนไปสู่กระบวนการเรียนการสอนว่า ครูได้สอนด้วยวิธีที่ถูกต้อง และนักเรียนเรียนได้ผลตามที่ต้องการหรือไม่ เพราะผลการสอบไม่ว่าจะสูงหรือต่ำเพียงใดก็แทบจะไม่มีความหมายเลยถ้าไม่ได้ย้อนกลับไปปรับปรุงกระบวนการเรียน การสอน

ประธาน กพฐ.กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ภาครัฐพยายามที่จะส่งเสริมหรือผลักดันเพื่อยกระดับคะแนนโอเน็ตให้สูงขึ้นนั้น ต้องถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสข่าวว่ามีการติวข้อสอบโอเน็ตกันแล้ว ซึ่งหากมองในแง่ดีก็เป็นการทำให้เด็กได้ความรู้มากขึ้น แต่สิ่งที่ห่วงใยคือ การเรียนไม่ใช่มีเฉพาะองค์ความรู้แกนกลางหรือความรู้ พื้น ๆ ทั่วไปเท่านั้น เพราะสิ่งที่เด็กยุคใหม่ต้องมี คือ ทัศนคติและทักษะในการทำงานเพื่อออกไปเผชิญกับสังคม ดังนั้นความกลมกลืนระหว่างความรู้กับทัศนคติและทักษะต่าง ๆ ต้องมีและต้องไปด้วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร อย่ามุ่งเน้นไปที่คะแนนโอเน็ตจนลืมเรื่องทักษะด้านอื่น ๆ รวมถึงเรื่องศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมืองที่จะต้องมีด้วย ดังนั้นจะต้องมีการเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคุย เรื่องนี้กันบ้าง.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 24 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34208&Key=hotnews

“จาตุรนต์” ลั่น 1 ต.ค.เดินหน้าปฏิรูปศึกษา

23 กันยายน 2556

“จาตุรนต์” ลั่น 1 ต.ค.เดินหน้าปฏิรูปศึกษา
ฟุ้งทุกฝ่ายร่วมแนะนโยบายสอดคล้องปัญหาชาติ เร่งแผนแม่บทไอซีที
จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ “รวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา” สู่การปฏิบัติ เมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ภายหลังร่วมเสวนากับเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานหอการค้าไทย ว่า ผู้แทนภาคการผลิตต่างๆ ที่ใช้กำลังคนที่กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ผลิต เห็นพ้องตรงกันกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถึงความจำเป็นในการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เนื่องจากขณะนี้ประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเราได้ผ่านร่าง พ.ร.บ.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท สิ่งที่สภาพัฒน์อยากให้ ศธ.ดำเนินการเพิ่มมากขึ้น คือ การวิจัยและพัฒนา ทั้งการวิจัยและพัฒนา ซึ่ง ศธ.จะส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ดำเนินการทำวิจัยมากขึ้นต่อไป โดยส่วนตัวประเมินว่า ผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาใน ศธ. ทุกคน ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคเอกชน มีความเข้าใจตรงกันกับ ศธ.แล้ว และช่วยเสนอแนะนโยบายที่สอดคล้องกับปัญหาของประเทศ ซึ่งตนเชื่อว่าการปฏิรูปการศึกษาจะเกิดขึ้นได้

รมว.ศึกษาธิการกล่าวต่อว่า จากการรับฟังความคิดเห็นส่วนต่างๆ เพื่อกำหนดนโยบายและ จัดทำแผนปฏิบัติการ ตนคาดว่าในวันที่ 1 ต.ค.นี้ จะสามารถขับเคลื่อนงานสำคัญๆ ได้ อาทิ 1.นำร่องหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2.การผลักดันงาน อาชีวศึกษาให้ได้สัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพกับสายสามัญ 50 : 50 โดยจะระดมการประชาสัมพันธ์ให้ นักเรียนและผู้ปกครองเห็นเส้นทางความก้าวหน้าหลังเรียนจบอาชีวศึกษา เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนค่านิยมสังคมไทย ซึ่งจะสอดคล้องกับการรับนักศึกษาอาชีวศึกษาในปีการศึกษาหน้า และ 3.การจัดทำแผนแม่บทไอซีทีเพื่อการศึกษา โดยเฉพาะการวาง กรอบมาตรฐานเนื้อหาการเรียนการสอนที่จะบรรจุในแท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ทั้งวิธีการเรียนการสอนสมัยใหม่ ซึ่งต้องเกิดขึ้นให้ได้ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ และดำเนินการวางแผนแม่บทไอซีทีเพื่อการศึกษาสำหรับปี 2020 ต่อไป ซึ่งประเทศไทยนั้นสามารถเรียนรู้ได้จากต่างประเทศ ซึ่งตนคาดหวังว่าเราจะใช้เวลาไม่นาน นอกจากนี้ยังจะต้องมีการจัดวางโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที เช่น การเชื่อมโยงระบบอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศ ให้บ้านและสถานศึกษาสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง เป็นต้น

วันเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสำนักงานการบริหารงานการศึกษาพิเศษในการแก้ปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ โดย ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ผลตรวจสอบและคัดกรองนักเรียนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ประมาณครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 183 เขตพื้นที่ฯ พบว่า ป.3 มีเด็กกลุ่มเสี่ยงที่อ่านไม่คล่อง อ่านไม่ได้ 21.40% จาก 1 แสนกว่าคน ระดับ ป.6 มีเด็กกลุ่มเสี่ยงฯ 13.55% จาก 1 แสนกว่าคนเช่นกัน ส่วนการศึกษาพิเศษ ป.3 มีเด็กกลุ่มเสี่ยงฯ 67.80% ระดับ ป.6 มีเด็กกลุ่มเสี่ยงฯ 57.31% ซึ่งเป็นกลุ่มที่แน่นอนว่ามียอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้สูง.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34207&Key=hotnews

มศว ผลักดันปรับวิธีเข้ามหา’ลัยอุดรอยรั่วรับตรง-นักเรียนเดินสายสอบ

23 กันยายน 2556

ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีความเห็นตรงกันกับที่พ่อแม่ผู้ปกครอง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ และนักวิชาการ ถึงการเดินสายสอบตรงของนักเรียนเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่ง ทปอ.ได้หาทางออกโดยจะจัดการสอบตรงให้อยู่ในห้วงเวลาเดียวกัน เพื่อลดปัญหาการเดินทางสอบตรงในหลายๆ ที่ของนักเรียน ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งตระหนักถึงการสอบเข้าในระดับอุดมศึกษา เพราะต้องจัดการเรียนการสอนให้นิสิต นักศึกษาตลอดเวลาที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ดังนั้น จะต้องคัดเลือกให้ได้ตามศักยภาพของเด็กว่าเด็กชอบและต้องการเรียนในคณะใด สาขาใด เพื่อให้สอดรับกับอุดมการณ์และแนวคิดของแต่ละมหาวิทยาลัยที่ต้องการเด็กเข้าเรียนไม่เหมือนกัน มหาวิทยาลัยต้องมีวิธีการของตัวเอง และเมื่อนิสิต นักศึกษาเรียนสำเร็จในสาขา คณะต่างๆ จะต้องสำเร็จออกไปประกอบอาชีพในสิ่งที่ตัวเองได้ร่ำเรียนไป โดยไม่ออกกลางคัน หรือเรียนไม่จบ หรือเรียนไปแล้วเกิดค้นพบว่าไม่ชอบ เป็นการเสียเวลาและงบประมาณทั้งส่วนตัว และภาษีประชาชน แนวทางการสอบตรงที่มหาวิทยาลัยจัดสอบเองนั้นจึงสามารถคัดเลือกเด็กได้ตามศักยภาพ ตามความชอบความถนัดของตัวเองมากที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้ผู้ปกครองต้องรับภาระมาก
อธิการบดี มศว กล่าวว่า การสอบตรงเป็นการเข้ามาช่วยเสริมการคัดเลือกคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เพื่อให้ได้เด็กตรงกับอุดมการณ์และแนวคิดของมหาวิทยาลัย ซึ่งบางสาขา บางคณะ ใช้คะแนนหรือวิธีการของแอดมิชชั่นไม่ได้ ไม่สามารถวัดเด็กได้ด้วยคะแนนเหล่านั้น จึงต้องมีการสอบตรงเพื่อมาเสริมการคัดเด็กด้วยวิธีแอดมิชชั่น แต่การสอบตรงก็ทำให้เด็กตระเวนสอบหลายสนามมากเกินไปอีก คงถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับวิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย อีกครั้ง ให้มีความสมบูรณ์ในตัวเองและลดปัญหาต่างๆ

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34206&Key=hotnews

เล็งทำประวัติผู้กู้ กยศ.ในเครดิตบูโร

23 กันยายน 2556

ดร.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากที่ กยศ.ขอตั้งงบประมาณแผ่นดินประจำปีงบ ประมาณ 2557 จำนวน 23,500 ล้านบาท แต่ถูกปรับลดงบฯ จำนวน 6,700 ล้านบาท ส่งผลให้ในปีการศึกษา 2557 กองทุนไม่สามารถคงเป้าหมายผู้กู้ยืม กยศ. ทั้งรายเก่าและรายใหม่ จากที่ตั้งไว้จำนวน 865,200 คน แบ่งเป็นผู้กู้รายเก่า 635,200 คน รายใหม่ 230,000 คน โดยผู้กู้ยืมรายเก่าจะถูกปรับลดลง 141,671 คน เหลือ 493,529 คน ส่วนผู้กู้รายใหม่จะไม่ได้กู้เลย ดังนั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับนักเรียน นิสิต นักศึกษา กยศ.จะเสนอขอใช้งบประมาณกลาง ปีงบฯ 2557 จำนวน 6,700 ล้านบาท เท่ากับที่ถูกตัดไป นอกจากนี้ จะจัดโครงการ “รณรงค์ชำระหนี้” ระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2556 ถึง 31 มี.ค. 2557 เพื่อกระตุ้นการชำระเงินคืน โดยจะมีการลดหย่อนหนี้ ลดเบี้ยปรับ และมอบส่วนลดดอกเบี้ย

ดร.ฑิตติมา กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา กยศ.ได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งรัฐและเอกชน ในการรณรงค์สร้างความรับผิดชอบให้แก่ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างในสังกัดของตนเองให้ชำระเงินคืนกองทุนฯ เพราะการชำระหนี้ถือเป็นวินัยและการแสดงความซื่อสัตย์ขั้นพื้นฐาน โดยให้หน่วยงานอำนวยความสะดวกผู้กู้ กยศ.ชำระเงินโดยหักจากบัญชีเงินเดือนทันที นอกจากนี้ กยศ.ได้ประสานขอความร่วมมือเข้าไปเป็นสมาชิกของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิต บูโร เพื่อนำข้อมูลผู้กู้ยืมไปบันทึกไว้ในเครดิตบูโร เพื่อใช้เป็นประวัติทางการเงิน อย่างไรก็ตามระหว่างนี้ต้องดูว่าการนำข้อมูลของผู้กู้เข้าไปอยู่ในเครดิต บูโร จะขัดกฎหมายหรือไม่ หากไม่ขัดกฎหมาย กยศ.จะนำรายชื่อของผู้กู้ทั้งหมดเข้าไปอยู่ในข้อมูลเครดิตบูโรได้ในปี 2561 ซึ่งการนำรายชื่อผู้กู้ กยศ.ไว้เครดิตบูโร มีข้อดี คือ ถ้าผู้กู้มาชำระคืนตามเวลาจะมีเครดิต ซึ่งตนเชื่อว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้มีผู้ชำระเงินคืนกองทุนฯ มากขึ้น

“กยศ.ปล่อยเงินกู้ให้เด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน มีผู้กู้ยืมทั่วประเทศกว่า 4.1 ล้านราย ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 4.2 แสนล้านบาท มีผู้ครบกำหนดชำระหนี้ 2,800,081 ราย ในจำนวนนี้มี 1,485,994 ราย คิดเป็น 53% ติดค้างการชำระหนี้ และ 70% ของผู้ค้างชำระเป็นผู้ที่มีรายได้แล้ว แต่ไม่ยอมชำระเงินคืน เพราะขาดวินัยและความรับผิดชอบ นอกจากนี้ยังมีค่านิยมที่ว่าใครใช้เงิน กยศ. โง่ ทำให้หลายคนนิ่งเฉย อย่างไรก็ตาม ในอนาคต กยศ. มีแนวคิดใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต มาเป็นเกณฑ์ในการคัดกรองผู้กู้ด้วย เพื่อให้เด็กเห็นคุณค่าของเงินและตั้งใจเรียนมากขึ้น” ดร.ฑิตติมา กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34205&Key=hotnews

คอลัมน์: ฟื้น ป.บัณฑิตกระทบหลักสูตรครู 5 ปี สภาคณบดีครุฯชี้ไม่ตอบโจทย์ ‘คุณภาพ’

23 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 22 กันยายน นายสุรวาท ทองบุ ประธานสภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภามีมติให้เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิต หลังจากยกเลิกไปเมื่อ พ.ศ.2553 เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เป็นครูประจำการ หรือครูจ้างสอน ประมาณ 7-8 หมื่นคน ที่ยังไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูได้พัฒนาตัวเอง เพื่อให้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูนั้น การเปิดหลักสูตร ป.บัณฑิตนี้ จะให้เฉพาะหน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด และจะต้องเสนอมายังคุรุสภาเพื่อให้บุคลากรของตนได้เรียนในหลักสูตร ป.บัณฑิต ส่วนตัวเห็นว่าการจะรับครูประจำการ หรือครูจ้างสอนเหล่านี้เข้ามาเรียน คุรุสภาควรจะต้องตรวจสอบข้อมูลด้วยว่าคนที่ถูกส่งรายชื่อมา เป็นครูที่ปฏิบัติการสอนจริงหรือไม่ วุฒิการศึกษาตรงกับความต้องการ และขาดแคลนครูหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาพบว่าโรงเรียนรับคนที่จบในสาขาที่แปลก และไม่เหมาะสมมาเป็นครู เช่น สาขาการโรงแรม สาขาการจัดการ สาขาบริหารธุรกิจ เป็นต้น และส่งคนเหล่านี้เรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต ซึ่งคนที่จบสาขาเหล่านี้ อาจไม่ตอบโจทย์ด้านคุณภาพการศึกษาในระยะยาว แต่หากจบวิทยาศาสตร์บัณฑิต คณิตศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เป็นต้น แล้วรับมาเป็นครู จะส่งเสริมคุณภาพการศึกษาได้ดีมาก จึงอยากให้เข้มงวดในการรับเข้าเรียน

“การเปิดสอนหลักสูตร ป.บัณฑิต เพื่อช่วยเหลือกลุ่มครูประจำการ ครูจ้างสอน 7-8 หมื่นคน อาจจะกระทบกับคนที่เรียนหลักสูตรครู 5 ปีที่จบไปแล้ว 5 รุ่น จำนวน 6 หมื่นกว่าคน รวมทั้งกระทบกับคนที่เรียนด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์โดยตรงในการจะบรรจุเป็นข้าราชการครู จากผลการวิจัยที่ผ่านมา พบว่าคนที่เรียนหลักสูตรครู 5 ปี จะมีสมรรถนะสูงกว่าคนที่เรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต เนื่องจากหลักสูตร ป.บัณฑิตเรียนเพียง 1 ปี 24 หน่วยกิตสำหรับรายวิชา และฝึกงานอีก 6 หน่วยกิต ทำให้ความเข้มข้นน้อยกว่า ทั้งนี้ การให้ครูหลักสูตร ป.บัณฑิต เข้ามาเป็นครู อาจ ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาในระยะยาวได้ ดังนั้น ส่วนตัวเห็นว่าการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุทั้งหมด” นายสุรวาทกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34204&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ. : การบริหารงานบุคคลข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ.2556 (จบ)

23 กันยายน 2556

ประชาสัมพันธ์
สำนักงาน ก.ค.ศ.
ในสัปดาห์ที่แล้วได้นำเสนอผลการดำเนินงานในรอบครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ในสัปดาห์นี้จึงขอนำเสนอผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง เพื่อให้เพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับทราบการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ดังนี้

7.กำหนดมาตรฐานตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 42 แห่ง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547

8.กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กลับเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 3 กรณี คือ กรณีออกจากราชการไปแล้วจะสมัครกลับเข้ารับราชการ กรณีออกจากราชการไปปฏิบัติงานตามมติคณะรัฐมนตรีกลับเข้ารับราชการ และกรณีออกจากราชการไปรับราชการทหารกลับเข้ารับราชการ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการ

9.ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญทุกตำแหน่ง เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ ว 5/2552 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประเมินให้เกิดความเหมาะสมกับบริบทการปฏิบัติงานของทุกตำแหน่ง

10.กำหนดกรอบอัตรากำลัง ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และการบริหารจัดการกรอบอัตรากำลัง รวมทั้งการกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ สายงานทรัพยากรบุคคล เพิ่มเติมจากที่กำหนดให้กฎ ก.ค.ศ. การจัดประเภทตำแหน่ง ระดับตำแหน่ง การให้ได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) พ.ศ.2555

นอกจากจะมีการดำเนินการในการพัฒนา กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว สำนักงาน ก.ค.ศ.ยังได้จัดให้มีการประชุมสัมมนา อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ส่วนราชการ เพื่อรับทราบนโยบายด้านการศึกษาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติโดยตรง และจัดประชุมสัมมนาชี้แจงกรอบอัตรากำลังและการบริหารกรอบ อัตรากำลังของบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ให้กับรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกิดการปฏิบัติที่ชัดเจน ถูกต้อง เป็นไปแนวเดียวกันอีกด้วย

นี่คือผลการดำเนินงานของสำนักงาน ก.ค.ศ. ภายใต้การบริหารงานของ ดร.รัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ. ในรอบปี งบประมาณ พ.ศ.2556

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34203&Key=hotnews