Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

กศน.เตรียมสอน ปวช.กลุ่มเป้าหมายนอกระบบ

18 กันยายน 2556

กศน.เตรียมเปิดสอนหลักสูตร ปวช. สำหรับกลุ่มเป้าหมายนอกระบบ ย้ำผู้เรียนต้องมีงานทำและสมัครเข้าเรียนในสาขาที่ประกอบอาชีพอยู่แล้วเท่านั้น

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงานกศน.) กล่าวในการประชุมชี้แจงหลักเกณฑ์จัดการศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556 สำหรับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ วานนี้ (17ก.ย.)ว่า หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2556 เป็นหลักสูตรที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.)พัฒนาขึ้นใหม่ เป็นหลักสูตรสมรรถนะที่เน้นความรู้ ความสามารถ และทักษะที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติได้ตามมาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษา ระดับ ปวช. ซึ่งสำนักงาน กศน. ได้ขออนุญาตใช้หลักสูตรดังกล่าวจาก สอศ. แล้ว และได้จัดทำหลักเกณฑ์การจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับวิธีการเรียนของ กศน.

นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า หลักเกณฑ์ที่กศน.จัดทำมีสาระสำคัญ ประกอบด้วย ผู้เรียนต้องจบมัธยมต้น หรือเทียบเท่า ต้องมีงานทำและเรียนในสาขาที่ประกอบอาชีพอยู่, สถานศึกษาเปิดสอนในสาขาที่ผู้เรียนประกอบอาชีพ, มีครู ปวช. หรือผู้สอนที่สำเร็จการศึกษาหรือมีความรู้ความสามารถตรงตามสาขาวิชาที่เปิดสอน, การเรียนการสอนต้องประสานความร่วมมือกับสถานศึกษาของ สอศ.และหรือสถานประกอบการ เพื่อจัดการเรียนการสอนในวิชาที่ต้องใช้เทคโนโลยี การฝึกงาน หรือเพื่อการประเมินความรู้และประสบการณ์,การเรียนในแต่ละวิชาใช้วิธีเรียน กศน. โดยผู้เรียนต้องมีการพบกลุ่มไม่น้อยกว่า 14 ชั่วโมงต่อสัปดาห์,มีการประเมินความรู้และประสบการณ์ และสุดท้ายการจบหลักสูตรผู้เรียนต้องสอบผ่านการประเมินมาตรฐานวิชาชีพซึ่งเพิ่มเติมจากหลักสูตรเดิม

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34151&Key=hotnews

ม็อบครูสลาย! รมต.ศธ.รับข้อเรียกร้องค่าจ้าง

18 กันยายน 2556

ม็อบครูอัตราจ้างเรียกร้องรัฐบาลปรับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท จี้ พท.ทำตามสัญญาตอนหาเสียง ล่าสุดยอมสลาย หลัง รมต.ศธ.รับข้อเสนอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครูอัตราจ้างกว่า 800 คน จากทั่วประเทศ นำโดยนายวิชญ์พงศ์ พุ่มบุญภาศย์ ประธานสมาพันธ์ เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายลูกจ้างสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เดินทางมาชุมนุมบริเวณประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เรียกร้องขอความเป็นธรรมและให้นายกรัฐมนตรีปรับเงินเดือน วิทยฐานะเป็น 15,000 บาท ตามนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง รวมทั้งให้ต่อสัญญาจ้างจากปีต่อปี เป็น 4 ปี และต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุเป็นพนักงานราชการ

แถลงการณ์ของม็อบครู ระบุว่า ตามที่ลูกจ้างสพฐ.ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม เพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และค่าตอบแทนที่ควรได้รับ ตามนโยบายรัฐบาลเป็นระยะเวลา กว่า 2 ปี ถึงแม้สพฐ.จะมีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 รองรับก็ไม่อาจเบิกจ่ายได้ เนื่องจากลูกจ้างชั่วคราวในสังกัดจ้างด้วยงบดำเนินงาน แต่มติครม.อนุมัติหลักการให้ปรับค่าตอบแทนตามนโยบายรัฐบาล เฉพาะลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากงบบุคลากรเท่านั้น

ยังระบุด้วยว่า การเรียกร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า ทำให้ลูกจ้าง สพฐ.ได้รับความเดือดร้อน จึงขอเรียกร้องนายกรัฐมนตรี ให้ดำเนินการเสนอครม.เป็นการด่วน ตามข้อเรียกร้องคือ 1. ให้นายกรัฐมนตรีเสนอครม.เรื่องเงินเพิ่มค่าครองชีพ ตามนโยบายของรัฐบาล วุฒิปริญญาตรี 15,000 บาท และวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรีเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อขอทบทวนหลักการเพื่อปรับอัตราค่าจ้าง สำหรับลูกจ้างรายเดือน นักการ ภารโรงและบุคลากรอื่นของสพฐ. 2.ให้นายกรัฐมนตรีบัญชาการให้คณะกรรมการบริหาร บริหารอัตรากำลังคนภาครัฐและเลขาธิการกพ. ทบทวนการปรับอัตราสถานภาพลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน 3. รัฐบาลต้องไม่ดำเนินคดีกับผู้เข้าร่วมชุมนุม เพราะเป็นไปโดยสันติวิธี และ 4.หากผลมติไม่ชัดเจนก็พร้อมที่จะยกระดับการชุมนุม จนกว่าครม.จะมีข้อยุติออกมาภายในเดือน ก.ย.นี้

ต่อมา ครูอัตราจ้างได้ส่งตัวแทน 12 คนเข้าพบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และนายสุภรณ์ อัตถาวงค์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อรับฟังคำชี้แจงและยื่นหนังสือดังกล่าว ซึ่งตัวแทนครูฯได้พยายามสอบถามว่า จะนำเรื่องเข้าครม.ได้เมื่อไหร่ จะมีผลบังคับใช้ได้เมื่อไหร่ เพราะเรื่องนี้รอมานานแล้ว รายรับไม่พอกับรายจ่าย และคาดหวังอยากให้เข้าครม.สัปดาห์หน้า อยากให้มีการปลดล๊อกเงินเพิ่มนี้ ที่ผ่านมาใน 2 ปีเคยเรียกร้องมา 4 รัฐมนตรีแล้วก็ขอร้องว่า อย่าเพิ่งเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีศึกษาธิการเสียก่อน จากนี้ไปถ้าไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ก็จะมาชุมนุมทวงถามอีกครั้ง

นายจาตุรนต์ ชี้แจงว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการให้อยู่ และไม่ได้นิ่งนอนใจ ซึ่งมั่นใจว่าเร็วๆนี้ จะได้รับการอนุมัติ พร้อมโชว์เอกสารหลักฐานการประชุมครม.ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมนำเข้าครม.ในเดือนต.ต. แต่ขึ้นอยู่กับที่ประชุมด้วย ไม่สามารถกำหนดด้วยตัวเองได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนครูอัตราจ้างได้บอกกับนายจาตุรนต์ว่า พอใจที่นายจาตุรนต์รับเรื่องไว้ และจะไปชี้แจงกับผู้ชุมนุมที่ปักหลักรออยู่บริเวณประตู 5 ต่อไป

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34150&Key=hotnews

นายกฯ ปู สั่ง ศธ.จับมือสภาพัฒน์ แก้ปัญหาจัดอันดับไทยตกต่ำ

18 กันยายน 2556

นายกฯปู ห่วง! จัดอันดับประเทศไทยตกต่ำ สั่ง ศธ.ร่วม สภาพัฒน์หาทางแก้ปัญหา พร้อมสั่งดูแลปัญหาการจัดการศึกษาทางเลือก ขณะที่ ครม.เห็นชอบร่าง ยุทธศาสตร์พัฒนาศักยภาพสตรีในสถานศึกษา

วานนี้ (17 ก.ย.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบตามที่ ศธ. เสนอร่าง ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพสตรีในสถานศึกษา (พ.ศ.2556-2559) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำหลักการ กลยุทธ์ของยุทธศาสตร์ฯดังกล่าวไปดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาสตรีไทยให้มีสุขภาพดี มีความรอบรู้ ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้นำนโยบายด้านการพัฒนาสตรี ซึ่งเป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลมาเป็นหลักในการจัดทำ รวมทั้งนำหลักการ แนวคิดของแผนพัฒนาสตรีในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่11 (พ.ศ.2555-2559) และนโยบายในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีมาบูรณาการและกำหนดแนวทางการพัฒนายุทธศาสตร์การดำเนินงานพัฒนาศักยภาพเยาวชนสตรีใน 3 ส่วนคือ การพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ การพัฒนาความรู้และทักษะอาชีพเชิงเศรษฐกิจ และการสร้างภูมิคุ้มกันครอบครัวและตนเอง

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ ศธ. ไปดูปัญหาเรื่องการศึกษาทางเลือก ว่าในทางปฏิบัตินั้น ศธ.ได้ให้บริการทางการศึกษาเป็นไปตามมาตรา 49 วรรค 3 กำหนดให้ การจัดการศึกษาอบรมขององค์กรวิชาชีพหรือเอกชน การศึกษาทางเลือกของประชาชน การเรียนรู้ด้วยตนเอง และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมที่เหมาะสมจากรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และพ.ศ.2550 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยหรือไม่ ขณะเดียวกัน ยังเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา มาตรา 12 กำหนดให้ นอกเหนือจากรัฐ เอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสังคมอื่น มีสิทธิมีสิทธิในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้วย จึงขอให้ ศธ.ไปดู

“ที่ผ่านมาในส่วนของ ศธ.นั้นได้ดำเนินการออกกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 5 ฉบับ แต่จะไปดูเพิ่มเติมว่ามีอะไรบ้างที่จะต้องดำเนินการหรือเร่งดำเนินการซึ่งจะเชิญสมาคมสภาการศึกษาทางเลือก มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งนอกจากประเด็นนี้ นายกฯ ยังมีความห่วงใยกรณีที่ผลการจัดอันดับทางด้านการศึกษาของประเทศไทยตกต่ำลงเรื่อย ๆ โดยขอให้ศธ. เร่งแก้ปัญหาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ซึ่งในวันที่ 22 ก.ย.นี้ ศธ. จะจัดเสวนาระดมความคิดเห็นเรื่องการปฏิรูปการศึกษาจากหน่วยงานภายนอก ทั้งองค์กรเอกชน และผู้สนใจโดยจะเชิญสภาพัฒน์ เข้าร่วมเสวนาเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกันด้วย”นายจาตุรนต์ กล่าว

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34149&Key=hotnews

 

สกอ.ลงนามร่วมมือ 7 สถาบันพัฒนาภาษาอาเซียนให้นักเรียนและครู

18 กันยายน 2556

สกอ. ลงนามความร่วมมือ 7 สถาบันอุดมศึกษา พัฒนาทักษะภาษาให้แก่ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูและคณาจารย์ โดยเฉพาะภาษาต่างประเทศ และทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อสนองความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก

วานนี้ (17 ก.ย.) รศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) เปิดเผยว่า สกอ. ตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนานักเรียน นิสิต นักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาให้มีศักยภาพ ขีดความสามารถที่จะไปแข่งขันได้ และตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในประชาคมอาเซียน ดังนั้นเมื่อเร็ว ๆนี้ สกอ.จึงได้ทำความตกลงความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา 7 แห่ง ในการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอาเซียนให้แก่นักเรียน นิสิตนักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา โดยเบื้องต้นมหาวิทยาลัยขอนแก่น(มข.)จะพัฒนาทักษะภาษาลาว มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี(มอ.)พัฒนาทักษะภาษาเวียดนาม มหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.)พัฒนาทักษะภาษาเมียนมา มหาวิทยาลัย

มหาสารคาม (มมส.) พัฒนาทักษะภาษาเขมร มหาวิทยาลัยอิสลามยะลาพัฒนาทักษะภาษามลายู มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง(มฟล.) พัฒนาทักษะภาษาจีน และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ

“ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยหลายแห่งได้เข้าไปช่วยเตรียมความพร้อมทางด้านภาษาอาเซียนให้แก่นักเรียน และครู ดังนั้นความร่วมมือกันนี้จะสอดคล้องกับเป้าหมายที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 โดยกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ครูและคณาจารย์ เกิดความตระหนักในการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และพัฒนาศักยภาพของตนเอง โดยเฉพาะด้านภาษาต่างประเทศ และทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป” รศ.ดร.ชวนี กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34148&Key=hotnews

 

ชวนผู้บริหารเร่งทำวิทยฐานะ

17 กันยายน 2556

รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต(มสด.) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำโครงการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และเชี่ยวชาญ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาเพิ่มพูนสมรรถนะในการปฏิบัติงานในหน้าที่และสามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบและวางแผนพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานวิทยฐานะนั้น ตนเห็นว่า เรื่องนี้มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาที่ต้องเร่งพัฒนาตนเองให้มีวิทยฐานะเป็นที่ยอมรับในสังคม โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ มีการพูดถึงเรื่องการจัดอันดับการศึกษาของประเทศในกลุ่มอาเซียน ที่ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 8 แพ้ทั้งกัมพูชาและเวียดนาม จึงอยากให้ผู้บริหารสถานศึกษาใช้วิกฤตินี้เป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง และนำความรู้ไปบูรณาการเพื่อบริหารจัดการศึกษาให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น

“วิทยฐานะของผู้บริหารสถานศึกษามีคุณค่ามากกว่าเงินค่าตอบแทนที่ได้รับ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยอมรับสถานะทางสังคมว่าอยู่ในระดับใด จึงอยากให้ผู้บริหารสถานศึกษาเห็นความสำคัญและเร่งทำวิทยฐานะ เพื่อฟื้นฟูความสามารถของตนเองและนำศักยภาพไปใช้ในการบริหารจัดการศึกษาและพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และผู้บริหารที่ได้รับวิทยฐานะแล้วก็ควรนำความสามารถของตนเองออกมา ใช้เพื่อบริหารจัดการสถานศึกษาและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งหากทำได้เชื่อว่า จะส่งผลให้คุณภาพการศึกษาไทยดีขึ้นได้แน่นอน” รศ.ดร.สุขุม กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34136&Key=hotnews

มทร.ธัญบุรีปูทางออกนอกระบบ

17 กันยายน 2556

รศ.ดร.ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เปิดเผยว่า ในปี 2559 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้กำหนดให้ มทร.ธัญบุรี ก้าวไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นนโยบายหนึ่งที่สภามหาวิทยาลัยได้เร่งผลักดัน และที่ผ่านมามหาวิทยาลัยก็ได้มีการดำเนินการเป็น 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 มหาวิทยาลัยได้เตรียมความพร้อมด้วยการสร้างความเข้าใจแก่บุคลากรภายในให้ทราบว่า มทร.ธัญบุรี กำลังจะเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบ ระดับที่ 2 มหาวิทยาลัยเตรียมจะมอบอำนาจให้คณะต่าง ๆ มากขึ้น รวมทั้งการปรับกฎระเบียบมุ่งเน้นให้อาจารย์สามารถรับงานภายนอกเข้าสู่มหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เพียงแค่สอนอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้เราได้พยายามปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อเอื้อให้ทุกคณะสามารถบริหารการจัดการรายได้ได้เอง ส่วนระดับที่ 3 เมื่ออาจารย์มีความพร้อม มีศักยภาพ กฎระเบียบก็ เอื้ออำนวย ถึงวันนั้นจริง ๆ การออกนอกระบบจะกลายเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนสามารถก้าวไปพร้อม ๆ กันได้

“ในทัศนคติของผม คิดว่าการออกนอกระบบของ มทร.ธัญบุรี จะไม่ได้ทำแค่เรื่องการจัดการศึกษาอย่างเดียว แต่อาจจะมีการจัดตั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กขึ้นในมหาวิทยาลัย เพื่อหารายได้เข้าสู่สถาบันด้วย โดยรูปแบบของมหาวิทยาลัยจะทำทุกอย่างที่ภาคอุตสาหกรรม ประชาชน และรัฐต้องการ หรือพูดง่าย ๆ คือ ใครมีความต้องการอะไรมหาวิทยาลัยจะสนองเพื่อบริการวิชาการและหารายได้ไปพร้อม ๆ กัน” รศ.ดร.ประเสริฐ กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34135&Key=hotnews

ธุรกิจกวดวิชาพากันรวย! ศธ.แจ้งสรรพากรเก็บภาษีโรงเรียนเถื่อน – “รีด” ค่าเรียนแพงเวอร์ (ตอนที่ 2)

17 กันยายน 2556

ธุรกิจกวดวิชาพากันรวย ตอนที่ 2 จะเป็นภาพสะท้อนระบบการศึกษาไทยและอนาคตธุรกิจกวดวิชาได้เป็นอย่างดี โดย นายธีระพันธ์ พุทธิสวัสดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้กำกับ ดูแล โรงเรียนกวดวิชา เปิดใจกับทีม Special Scoop ยอมรับว่าการกวดวิชามีทั้งข้อดี-เสีย แต่ยังเป็นธุรกิจที่จำเป็นโดยเฉพาะกวดวิชาแบบ on demand-ออนไลน์ จะได้รับความนิยมมากขึ้น เตรียมแจ้งสรรพากรเก็บภาษีสถานกวดวิชาเถื่อนทั่วประเทศ แจงพวก “รีด” ค่าเรียนแพงๆ แนะผู้ปกครองแจ้ง สช.จัดการ

กฎใหม่คุมเข้มสถานกวดวิชาเกิดใหม่
การจัดตั้งโรงเรียนกวดวิชา เราจะมีระเบียบกำหนดมาตรฐานของครูผู้สอน และกำหนดในเรื่องของขนาดห้อง ความจุ วิธีการสอน มีการสอนสด สอนผ่านทีวี และสอนโดยผ่านคอมพิวเตอร์ และจะมีวิธีกำหนดรอบ ซึ่งเรามีฐานความคิดเรื่องค่าธรรมเนียมการศึกษา มีสูตรที่เป็นอัตราในการคิดว่ามีการคิดค่าใช้จ่ายอย่างไร บวกผลตอบแทนเท่าไร ซึ่งเราล้อตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 ที่มีข้อกำหนดไว้ว่า ในมาตรา 32 ให้ค่าตอบแทนเป็นไปตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดซึ่งเป็นในระบบ เราก็เลยเอามาล้อกับนอกระบบว่าให้บวกผลตอบแทนจากต้นทุนได้ไม่เกิน 20% จากฐานวิธีคิดได้แก่ เขาคิดค่าเช่าเท่าไร ค่าอุปกรณ์เท่าไร ซึ่งเราใช้วิธีคิดตามระบบบัญชีทั่วไปคือมีค่าเสื่อมบวกค่าลงทุน และเอามาเฉลี่ยหารด้วยจำนวนนักเรียน และเมื่อคิดเป็นค่าเฉลี่ยต้นทุนแล้ว ก็มาคิดค่าบริการที่เมื่อคิดต่อหัวแล้วไม่เกิน 20% ของต้นทุน

อย่างไรก็ดี ตามกฎกระทรวงใหม่คือกฎกระทรวงว่าด้วยการขอรับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนนอกระบบ พ.ศ. 2555 ระบุว่าอาคารที่จะมาใช้เปิดเป็นโรงเรียนกวดวิชานั้นต้องเป็นอาคารวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาโดยเฉพาะ ดังนั้นใครมีอาคารที่อยู่อาศัยแต่จะเปิดเป็นโรงเรียนกวดวิชานั้น ไม่สามารถทำได้แล้ว จะต้องเป็นอาคารที่เปิดโดยวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาด้วย แต่อาคารที่ขอเปิดเพื่อทำที่อยู่อาศัยที่มีแต่เดิม ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ไข คือสามารถไปขอเทศบาล หรือใน กทม.ก็ไปขอตามเขตต่างๆ ว่าจะขอเพิ่มวัตถุประสงค์ของอาคารเป็นอาคารเพื่อการศึกษาก็ได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะมองว่าเป็นการเพิ่มความยุ่งยาก แต่ก็เป็นเรื่องความปลอดภัยในความมั่นคงด้านอาคารที่จะมีผลกระทบต่อเด็ก ก็ต้องให้ความสำคัญ โดยก่อนอนุญาตเจ้าหน้าที่จะมีการไปดูสถานที่ว่ามีความพร้อมหรือไม่ ทั้งเรื่องขนาดห้อง ห้องน้ำ ที่ให้เด็กพักผ่อน ฯลฯ ถ้าผ่านถึงอนุญาตให้จัดตั้ง

“คิดว่าอาจจะมีคนร้องเรียนเพราะความยุ่งยากเรื่องอาคาร เพราะมีคนที่มีอาคารอยู่แล้วแล้วไม่อยากยุ่งยาก ก็เข้าใจว่าเวลาเปลี่ยนวัตถุประสงค์อาคารมันยุ่งยากจริงๆ แต่เจตนาของเรื่องนี้คือถ้าอาคารเดิมแล้วมาใช้ทำเป็นโรงเรียนกวดวิชาแล้วไม่ได้มีย้อนหลัง แต่คนที่ทำโรงเรียนกวดวิชาใหม่จะต้องทำตามกฎใหม่นี้”

สถานที่กวดวิชาเถื่อนเต็มเมือง
สำหรับจำนวนโรงเรียนกวดวิชาในปีการศึกษา 2555 ที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องนั้น มีทั้งหมด 2,005 โรงเรียน ในจำนวนนี้มีโรงเรียนกวดวิชาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 460 โรงเรียน และตั้งที่ต่างจังหวัด 1,545 โรงเรียน แล้วก็จะมีโรงเรียนกวดวิชาในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่เป็นการสอนเฉพาะวิชาตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่โรงเรียนสอนศาสนา, ศิลปะและกีฬา, วิชาชีพ และเสริมสร้างทักษะชีวิต รวมอีกประมาณ 3,216 โรงเรียน รวมโรงเรียนกวดวิชาอีก 2,005 โรงเรียน รวมตอนนี้ทั้งประเทศไทยมีโรงเรียนกวดวิชาประเภทต่างๆ 5,221 แห่งทั่วประเทศ

มีโรงเรียนกวดวิชาอีกมากที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่ทางราชการไม่ได้ไปตรวจสอบจับกุม เพราะมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ เว้นแต่เป็นโรงเรียนกวดวิชาเถื่อน (ไม่ได้จดทะเบียนกับ สช.) แล้วยังมีการหลอกนักเรียนว่าเป็นครูจากสถาบันมีชื่อเสียง เช่น หลอกว่าใช้อาจารย์จากจุฬาฯ คิดค่าใช้จ่ายสูงเกินไป แล้วมีเด็กหรือผู้ปกครองมาร้องเรียน ก็จะมีการเข้าไปตรวจสอบดำเนินคดี เราจะปรับ แล้วภายหลังหากมีคนชื่อนี้มาขอจัดตั้งโรงเรียนกวดวิชา ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนกวดวิชา เพราะเราถือว่าไม่มีจิตวิญญาณของคนที่ทำงานด้านการศึกษา

“บางโรงเรียนเคยพบว่ามีการประจานเด็ก ครูประพฤติไม่เรียบร้อย ไม่เหมาะสม เรียกว่าบกพร่องในศีลธรรมอันดี เราก็ไม่ให้ ถือว่ามีความประพฤติไม่เรียบร้อย บางเคสเราก็ถูกฟ้องกลับ ก็สู้คดีชนะ เขาฟ้องว่าไม่อนุญาตให้เขาไม่ถูกต้อง เราก็สู้ว่าคนที่จะทำธุรกิจการศึกษา ต้องมีจิตที่เป็นการกุศล ไม่ใช่ว่าไปเอาเปรียบเด็ก เราก็ชนะ โรงเรียนนั้นก็เปิดไม่ได้”

ในส่วนของโรงเรียนกวดวิชาเถื่อนนี้ ยังมีอยู่อีกมากมาย แต่บริเวณที่นิยมไปเรียนกันมากที่สุดอย่างสยามสแควร์จะไม่ค่อยพบแล้ว เพราะมีระบบการตรวจสอบจากเจ้าของที่ให้เช่าที่อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาช่วยตรวจสอบอีกทีหนึ่ง แต่ที่ตรวจสอบยากจะเป็นการสอนตามบ้านครู ที่เปิดอยู่รอบๆ โรงเรียนดัง หรือตามห้างสรรพสินค้า ที่เด็กและผู้ปกครองจะรู้กันว่าควรจะไปเรียนที่ไหน
“ใน กทม.พอจะไล่ได้ แต่ในต่างจังหวัดเป็นหน้าที่ของทางเขตพื้นที่ แต่ในบางพื้นที่ก็ลำบาก เช่นบ้านครู”

ลองไปดูที่ต่างจังหวัดมันเกิดขึ้นจากครู สพฐ.ทั้งนั้น ครูคนไหนเก่ง เด็กตามไปเอง เด็กกวดวิชาตามไปเรียน เด็กเดี๋ยวนี้ไม่ได้โง่นะ เขาเช็กแม้กระทั่งครูสอน จะไปบอกว่าอาจารย์คนนี้จากจุฬาฯ นะ เด็กไม่โง่นะ เขาไปเช็กได้หมด

ณ วันนี้ ทุกคนบอกว่ากวดวิชามันเลวมันไม่ดี ทำไมไม่บอกว่าในระบบมันเลวล่ะ ทำไมสมัยก่อนคนไม่กวดวิชา เพราะการเรียนการสอนในโรงเรียนมันเต็มที่ และครูก็ติวเด็ก มีจิตวิญญาณความเป็นครู แต่วันนี้เป็นครูเชิงพาณิชย์มากกว่า

สถานกวดวิชา ‘เลี่ยงบาลี’ พบติดคุก 1 ปี  การกวดวิชา ปกติแล้วก็จะเป็นการสอนตามช่วงชั้นต่างๆ ไล่มาตั้งแต่ ป.1 มา ป.6 เข้า ม.1 ม.4-5-6 เพื่อเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็เป็นการสอนตามช่วงชั้น แล้วแต่ใครขออนุญาตว่าจะสอนช่วงชั้นไหน หลักสูตรไหน แต่ก็มีบ้างที่มีการเลี่ยงไปหาประโยชน์ เช่นในการเปิดคอร์สเรียนพิเศษ GAT/PAT ตามสถานที่กวดวิชานั้น ข้อเท็จจริงไม่ใช่หลักสูตร ม.ปลาย จึงถือว่าผิดกฎกระทรวง เพราะการควบคุมของเราจะคุมว่ามีการขอสอนในวิชาอะไร ระดับอะไร เช่น วิชาฟิสิกส์ ม.ปลาย ก็จะไปกวดวิชาอื่นที่ไม่ได้ขอไม่ได้ ต้องมาขออนุญาตเพิ่มหลักสูตรการสอน เช่น สอนตามช่วงชั้นก็จะสอนภาษาไม่ได้ จะสอนครอบจักรวาลไม่ได้ ดังนั้นถ้าพบว่ามีการขอเปิดสอนช่วงชั้นไหน แล้วมีการไปเปิดสอนเพิ่มก็จะถือเป็นความผิด แต่ที่ผ่านมาหลายที่ก็ใช้วิธีเลี่ยง เช่น สอนระดับ ม.ปลาย โดยเฉพาะ Gat/Pat คือไม่ได้บอกว่าสอน Gat หรือ Pat โดยเฉพาะ บอกว่าสอน ม.ปลาย เป็นวิธีการเลี่ยงที่พบเห็นกันอยู่ในขณะนี้

“มหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นคนออกข้อสอบ แล้วออกข้อสอบแบบที่เด็กไม่ได้เรียนในระดับ ม.ปลาย ตรงนี้เด็กก็เลยต้องแห่กันไปกวดวิชา ผมถามหน่อยถ้าเป็นอย่างนี้ใครเป็นคนผิด แล้วทำอย่างนี้ทำไม”

ดังนั้นหากพบว่ามีการเลี่ยงจะมีความผิด แต่เดิมโทษจับ 2,000 บาท จับไปจ่ายตังค์ เดี๋ยวก็เปิดใหม่ แต่ตอนนี้เพิ่มบทลงโทษแล้ว เป็นจับแล้วติดคุกไม่เกิน 1 ปี ก็ยังมีปัญหาการเลี่ยงบาลีอย่างที่บอกไป ทีนี้ตอนนี้เราเลยจะใช้มาตรการใหม่ คือแจ้งสรรพากรไปตรวจสอบรายได้ในโรงเรียนกวดวิชาที่ไม่ได้รับอนุญาตจัดตั้ง ก็ให้สรรพากรจับไป แต่ถ้าใครมาจดทะเบียนจัดตั้งให้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องเสียภาษี เรื่องนี้ผู้ปกครองต้องช่วยกันตรวจสอบ เพราะการจดทะเบียนจัดตั้งให้ถูกต้องอย่างน้อยเราก็คุมได้เรื่องการคิดค่าการเรียนการสอนที่ต้องบวกไม่เกิน 20%

“ถ้าเป็นครู สพฐ. สพฐ.ก็ต้องตามเอาผิดทางวินัย แต่ผมพูดตรงๆ นะ มันตรวจสอบยาก เพราะบ้านก็สอนได้ และบางทีไปสอนในเคเอฟซี เยอะแยะไปหมด ตรงนี้ถ้ามันเหลืออดจริงๆ ถ้ามันดื้อด้านมากๆ เราใช้วิธีแจ้งสรรพากร เราจะแจ้งว่าโรงเรียนที่ถูกต้องของเรามีโรงเรียนนี้ๆ ถ้าไม่ถูกต้องให้ไปตรวจภาษีเลย เราทำอยู่แล้วตอนนี้”

ไล่เถื่อนไม่ได้ เราก็ประกาศของถูกต้อง ต่อไปจะประกาศเลยว่าโรงเรียนไหนถูกต้อง มีชื่อไหนบ้าง ที่เหลือก็ให้ผู้ปกครองตรวจสอบ

พวกโรงเรียนเถื่อนจะคิดค่าการเรียนการสอนที่แพงมาก คือเราก็ต้องตระหนักว่าการทำธุรกิจการศึกษาอย่าไปคิดแพงมาก อย่าทำแต่ในเชิงพาณิชย์ กำไรทางเศรษฐกิจไม่ใช่ว่าลงทุนวันนี้จะได้กำไรคืนวันหน้า ต้องค่อยๆ น้ำซึมบ่อทรายไป วันหนึ่งก็คุ้มทุน และควรทำกำไรในเชิงสังคมให้มากกว่า แต่ก็นั่นแหละมีคนบางส่วนคิดกำไรทางเศรษฐกิจอย่างเดียว สังคมไทยมันเป็นอย่างนี้
“หลอกลวงกันเยอะ สช.ประกาศให้ทราบว่า โรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพฯ ถ้าเจอที่ไหนเถื่อนให้แจ้งเรามา ที่เบอร์นี้ๆ ตรงนี้ถึงไปจับได้ เพราะถ้าไปตรวจเองไม่ค่อยเจอ แต่ผู้ปกครองก็ไม่ค่อยกล้าแจ้ง กลัวลูกไม่ได้เรียน ต่อไปนี้ขอให้แจ้งมาที่ สช.ได้เลย”

แม้กระทั่งโรงเรียนกวดวิชาที่ดี แต่ผิดกฎหมายก็ต้องแจ้ง เพราะเขาคิดราคาแพงมาก ไม่มีใครควบคุมเขาได้ เช่น คอร์สเข้ามหาวิทยาลัยราคา 50,000 บาท เป็นราคาที่สูงเกินไป ต้องแจ้ง เพราะโรงเรียนกวดวิชาเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษี เมื่อมีคนแจ้ง สช.มา สช.ก็จะใช้มาตรการโดยการไปแจ้งสรรพากรเข้าไปตรวจสอบ

ธุรกิจกวดวิชาฟันกำไรเนื้อๆ
เด็กกวดวิชาตอนนี้มีประมาณ 4 แสนกว่าคน คิดต่ำสุดก็คิดว่ามีค่าใช้จ่ายคนละ 1,000 บาท วงเงินในธุรกิจกวดวิชาอย่างน้อยที่สุดตอนนี้คือ 400 ล้านบาท แต่ถ้าคิดว่าใช้จ่ายอย่างต่ำคนละ 5,000 บาท ก็ 2,000 ล้านบาท ตรงนี้คิดกำไรแค่ 10% ก็ 200 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่วนใครจะกำไรเท่าไรก็แล้วแต่ต้นทุนของแต่ละโรงเรียน ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลดีก็ค่าเช่าสูง ต้นทุนค่อนข้างแพง

ตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบบการศึกษาไทยเป็นการศึกษาเพื่อกระดาษ ต้องยอมรับในจุดนี้ก่อน จึงทำให้เด็กส่วนใหญ่มุ่งที่จะเรียนระดับปริญญาตรีเพื่อใบปริญญาบัตร

“ทุกวันนี้ ระบบโรงเรียนเรา กลัวเด็กสอบตก กลัวเด็กถูกตี จะไล่เด็กออกก็ไม่ได้ ในโรงเรียนจะเรียนไม่เรียนก็ช่างมัน ล้มเหลวทั้งระบบ แต่ถ้าปฏิรูปการศึกษาแล้วก็เชื่อว่ากวดวิชาจะน้อยลง”

แต่ก็ใช่ว่าการกวดวิชาจะไม่มีข้อดี การกวดวิชามีข้อดี คือช่วยดูแลลูกหลานให้เวลาที่พ่อแม่ไม่ว่าง และดีสำหรับเด็กที่เรียนอ่อนในโรงเรียน เพื่อมาเสริมความรู้ความเข้าใจให้มากขึ้น

“สำหรับผมแล้ว ผมไม่คิดว่ากวดวิชาไม่มีดี ไม่มีเลว แล้วแต่คนจะมอง ผู้ปกครองวันนี้เขาก็มองว่าถ้าไม่มีกวดวิชา ลูกฉันสอบเข้าไม่ได้ ก็โทษเขาไม่ได้ ถ้าระบบการศึกษาไม่ได้เปิดโอกาสให้เขา ก็ทำไม่ได้”

ที่สำคัญ คนที่จะมาเป็นครูโรงเรียนกวดวิชา ก็ต้องมีพรสวรรค์ในการอธิบาย หรือคิดเทคนิคการทำข้อสอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น นพ.ประกิตเผ่า, ครูลิลลี่, ครูอุ๊ ฯลฯ มองว่าน่าเสียดายที่ระบบการศึกษาไม่ได้ใช้คนเหล่านี้

“ในระบบมีแต่การบ้าตำแหน่ง แข่งขันกันให้ตำแหน่งสูงขึ้น แต่ไม่ได้พัฒนาเทคนิคการสอน คนที่สอนเก่งๆ ก็เข้าระบบมาสอนไม่ได้”

สช.คุมหลักสูตรไม่ได้คุมแฟรนไชส์กวดวิชา
นอกจากนี้บรรดาสถาบันกวดวิชาหลายแห่งมีการเปิดขายแฟรนไชส์การศึกษา ซึ่งเรื่องนี้ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ยอมรับว่าไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการเปิดแฟรนไชส์ แต่ก็นั่นแหละ อาจจะเป็นเพราะเด็กต่างจังหวัดต้องนั่งรถบัสมาเรียนในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองใหญ่ เลยต้องมีการขยายสาขาออกไป แต่ข้อเท็จจริงการทำแฟรนไชส์ไม่ได้ทำง่ายๆ เพราะจุดเด่นของโรงเรียนกวดวิชาคือทำอย่างไรให้เด็กอยากมาเรียน และทำอย่างไรให้เด็กตอบข้อสอบให้เร็วที่สุด เพราะการเรียนกวดวิชาคือการสอนเทคนิคการทำข้อสอบให้เร็วที่สุด

“ระบบการศึกษาของเราเป็นระบบการศึกษาที่เน้นให้เด็กต้องแข่งขันสูงมาก ระบบการศึกษาของเราไปสร้างเงื่อนไข กลายเป็นการผลักดันให้เด็กไปเรียนกวดวิชา ดังนั้นโรงเรียนกวดวิชาจึงอยู่ได้ ระบบการศึกษาในระบบมันแย่ สมัยก่อนทำไมเด็กไม่ต้องกวดวิชา เพราะในระบบโรงเรียนครูสอนเต็มที่ มีการติวเสริมหลังเลิกเรียนให้เด็กด้วยซ้ำ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี”

ในการขายแฟรนไชส์โรงเรียนกวดวิชาไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้จัดการเรียนการสอน เป็นการขายเทคนิคการเรียนการสอน สช.จะคุมเฉพาะที่ดำเนินการสอนเท่านั้น

“ต้องพูดให้ถูกนะการขายแฟรนไชส์ มันเป็นการขายแท็กติก คือสอนว่าจะทำข้อสอบอย่างไร ไม่ใช่หลักสูตรการสอน พวกทำคลังข้อสอบ ถ้าคุณเปิดโรงเรียนกวดวิชาคุณต้องไปหาคลังข้อสอบ แต่นี่มันมีอยู่แล้ว ขายแค่แท็กติก คือเมื่อเราขายแฟรนไชส์ไปให้นาย ก.แล้ว สช.ก็จะไปดูเรื่องของการจัดสถานที่ถูกต้องไหม มีความพร้อมตามกฎหมายไหม ความปลอดภัยในความมั่นคงเป็นอย่างไร แล้วการคิดค่าธรรมเนียมเป็นอย่างไร พออนุญาตกวดวิชาแล้วก็ต้องสอนแค่อนุญาตตรงนี้ สช.คุมด้วย เช่นเปิดหลักสูตรสอนภาษาต่างประเทศ แต่จะไปเปิดเพิ่มสอนวิชาภาษาไทยให้ต่างชาติ อย่างนี้ก็ไม่ได้
แต่มาตรฐานการสอนเราไม่ต้องคุมมาก เพราะใครไปเรียนแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ไม่มีคนมาเรียนอีก ก็เจ๊งเอง

กวดวิชาหน้าใหม่คิดใช้แฟรนไชส์การศึกษาไม่ง่าย
สำหรับนักธุรกิจรายใหม่ที่คิดจะโดดเข้าไปสู่ธุรกิจนี้ เพราะหวังรวยนั้น รองเลขาฯ สช.บอกว่า การทำธุรกิจกวดวิชาไม่ใช่ว่าใครทำแล้วจะรวย ต้องมีเทคนิค และกลยุทธ์การสอนที่มันได้ผล ดังนั้น การซื้อแฟรนไชส์โรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงไป ก็เป็นเพียงการซื้อในส่วนของการจ้างคนมาบริหารจัดการ
“การทำการตลาดที่สำคัญคือการดึงดูดให้คนมาเรียนให้ได้ เป็นสิ่งที่ต้องทำเอง ถ้าไม่มีคนเรียนก็เจ๊ง ยิ่งในต่างจังหวัดถ้าซื้อแฟรนไชส์ไปอาจจะยิ่งยาก เพราะในต่างจังหวัดส่วนใหญ่คนที่เปิดโรงเรียนกวดวิชาคือครูของ สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ที่เด็กในระบบโรงเรียนจะรู้อยู่แล้วว่าครูคนไหนเก่ง เด็กก็จะแห่ตามกันไปเรียน เด็กเดี๋ยวนี้ไม่โง่ เขาเช็กแล้วใครเก่ง ไม่เก่ง ถ้าเราไม่รู้เรื่องการสอนเลย แล้วคิดว่าการซื้อแฟรนไชส์ของอาจารย์ดังๆ ไปอย่างเดียว ก็สำเร็จได้ รวยได้ เป็นเรื่องไม่จริง จะต้องใช้ความสามารถของตัวเองด้วย”

อย่าลืมว่าโรงเรียนกวดวิชาไม่มีหลักสูตรเฉพาะ คนขายแฟรนไชส์เลยจะขายแค่เทคนิคการจัดการ คนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองอยากง่าย เหมือนชาย 4 บะหมี่เกี๊ยว แต่ถ้าใครๆ ก็ตั้งได้ มาตรฐานอาจจะเป็นเรื่องยาก

“ผมถามคำเดียว ถ้าคุณทำโรงเรียนกวดวิชา เป็นผู้คิดค้นเทคนิคการสอนจนสำเร็จ เวลาคุณขายแฟรนไชส์คุณจะยกองค์ความรู้ให้คนซื้อทั้งหมดไหม มันเป็นไปไม่ได้ เขาให้แค่ส่วนเดียว คุณต้องมีความเป็นครูด้วย ต้องสอนเองได้ด้วยเมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ตรงนี้ความเสี่ยงจะน้อยหน่อย”

นอกจากนี้การขอขึ้นค่าแฟรนไชส์ยังเป็นความเสี่ยงที่คนซื้ออาจจะประสบได้ เหมือนร้านขายอาหาร คุณขายดี ปีต่อไปเขาขอขึ้นค่าแฟรนไชส์ ก็ต้องยอม ดังนั้นคนที่ไม่รู้ ไม่มีความสามารถด้านนี้โดยตรง ไม่มีศักยภาพโดยตรงก็มีความเสี่ยงสูงมาก และที่เหนื่อยกว่านั้นคือต้องคิดพลิกแพลงวิธีการดึงคนมาเรียนอยู่ตลอด จึงไม่ใช่ของง่าย

“ผมเชื่อนะ ว่าการทำโรงเรียนกวดวิชาหนึ่งขึ้นมาจนประสบความสำเร็จได้ นอกจากเงินลงทุนแล้ว ยังมีต้นทุนอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เทคนิคการเรียนการสอนไปตรงกับข้อสอบของมหาวิทยาลัยพอดี มันมีต้นทุนนะ ผมขอไม่พูดว่ายังไง แต่มันมีวิธีการของมัน ดังนั้นคนที่ทำโรงเรียนกวดวิชาไม่ใช่ว่าเปิดไปก่อน เดี๋ยวรวยเอง ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะรวยง่ายๆ ต้องฟิตอยู่เรื่อย ไม่ฟิตก็ตกหลังเสือ”

นอกจากนี้ คนที่สอนเก่ง พอทำแบบแฟรนไชส์อาจจะไม่เก่งเลยก็ได้ ต้องคิดด้วยว่าจะรอดไหม
“แล้วกว่าจะรวยต้องล้มลุกคลุกคลานมาก ต้องพัฒนาการสอนไปตามศักยภาพของเด็ก และต้องปรับตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดให้ทัน อย่างวันนี้มีการสอบ Gat Pat ก็คนละเรื่องกับการเรียนกวดวิชาสมัยก่อน และคนละเรื่องกับหลักสูตรที่ในโรงเรียนสอน เพราะมหาวิทยาลัยเป็นคนออกข้อสอบที่ไม่ได้มีการเรียนการสอนในระดับ ม.ปลาย เป็นข้อสอบวิเคราะห์ สังเคราะห์ เด็กในระบบการศึกษาทำไม่เป็น ก็ต้องไปเรียนกวดวิชา โรงเรียนกวดวิชาก็ต้องปรับให้เป็นการสอนแบบวิเคราะห์ สังเคราะห์ จุดอ่อนของระบบการศึกษาไทยอยู่ตรงไหน ก็เป็นโอกาสของโรงเรียนกวดวิชา แต่ก็ต้องปรับตัว ใครไม่ปรับตัวก็ตามคนที่ปรับตัวไม่ทัน ธุรกิจก็ไม่รอด”

เช่น ธุรกิจกวดวิชาที่ทำแบบที่เรียกว่า on demand ในขณะนี้ ใช้การเรียนการสอนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เด็กสามารถย้อนกลับไปเรียนตอนที่ไม่เข้าใจได้ใหม่ ตรงนี้ก็เป็นรูปแบบการเรียนกวดวิชาใหม่ที่เด็กชอบ

อนาคตธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา
ดังนั้นการกวดวิชาแบบออนไลน์ จะเป็นการกวดวิชาที่มีความนิยมอย่างมากในอนาคต แต่ก็ยอมรับว่าในระเบียบการควบคุมยังไม่มีประเภทการศึกษาออนไลน์ ซึ่งมองว่าอนาคตถ้ามีการเปิดประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 แล้ว ธุรกิจนี้จะได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะการกวดวิชาที่เป็นลักษณะทักษะวิชาชีพ อย่างการเรียนทำอาหารไทย เป็นต้น

ความจริงการกวดวิชาก็มีส่วนที่ดี ในเมื่อระบบการศึกษาไทยยังมีปัญหา อย่างเช่นตอนนี้ทางคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนก็มีการทำโครงการโดยขอให้โรงเรียนกวดวิชาดังๆ ไปติวการสอนให้ครูที่อยู่ในภาคใต้ ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนายกสมาคมโรงเรียนกวดวิชาได้รับอาสาไปสอนให้ ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ โดยจะไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ
“ในเมื่อครูเหล่านี้เขาสอนเก่ง เรายังแก้ปัญหาระบบการศึกษาไทยเรายังไม่ได้ ก็ให้ครูกวดวิชาที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ไปถ่ายทอดเทคนิคการสอนให้ครูแทน เช่นการสอนกระตุ้นให้เด็กสนใจทำอย่างไร ทำอย่างไรให้เด็กสนใจเนื้อหาบทเรียนจนจบ ไม่หลับ เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นวิธีการที่ช่วยได้ระดับหนึ่ง ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มจากภาคใต้ก่อน”

ปฏิรูปการศึกษาลดกวดวิชา
อย่างไรก็ดี แนวโน้มโรงเรียนกวดวิชาจะมีน้อยลงได้เช่นกัน หากมีการปฏิรูปการศึกษาแล้ว โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นทักษะการนำวิชาไปใช้ในการทำงาน

“รู้ไหมว่าบริษัทต่างๆ เดี๋ยวนี้เขาต้องการภาคปฏิบัติ ไม่ได้ต้องการปริญญา หลายที่ประกาศรับแต่ปวช. ปวส. และต่อไปยิ่งน่ากลัวเพราะเมื่อเปิด AEC ภาคแรงงานจะต้องการคนภาคปฏิบัติ ต่อไปคนไทยจะเป็นลูกน้องคนในประเทศเพื่อนบ้าน เพราะระบบการศึกษาเขาสอนให้เขาเรียนรู้ทักษะ และคนเหล่านี้เรียนจนเก่ง หลายคนได้ทุนการศึกษา แต่บ้านเราเด็กเป็นแบบคาบช้อนเงินช้อนทองมา ไม่เคยลำบาก”

โดยปฏิรูปการศึกษาที่ต้องเกิดขึ้นคือต้องเน้นให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น สังเคราะห์เป็น เป็นคนหนักเอาเบาสู้ ทำงานด้วยความรับผิดชอบ มีความกระตือรือร้น ตรงต่อเวลา และมีความสุข อย่างงานต่ำต้อยก็ต้องสอนเขา ไม่ให้เขารู้สึกว่าเป็นงานต่ำต้อย

“เดิมเราสอนมีทักษะอาชีพนะ ใครวาดรูปเก่งก็ไปเรียนเพาะช่าง เดี๋ยวนี้ลดน้อยลงแล้ว วันนี้ ป.ตรีๆๆ อย่างเดียว เวลานี้เลยขาดคนเรียนอาชีวะมหาศาล”

การศึกษาไทยจึงต้องปฏิรูป ให้เด็กคิดเป็น ทำเป็น สังเคราะห์เป็น ซึ่งขณะนี้มหาวิทยาลัยเอกชนเริ่มปรับตัวแล้ว ด้วยการตั้งหลักสูตรใหม่ ให้เด็กที่เรียนจบ ป.ตรี ไปแล้ว มาเรียนในหลักสูตร ปวช. ปวส.ได้ เพราะในระบบแรงงานในประเทศไทย บริษัทใหญ่ๆ ต้องการคนที่มีทักษะวิชาชีพซึ่งตอบโจทย์สังคมไทยมากกว่า

ตรงนี้เป็นจุดที่น่าจับตามอง ว่าเอกชนกำลังทำให้การศึกษาตอบรับกับภาคแรงงาน ถ้าสำเร็จ ก็เรียกว่ามีการปฏิรูปการศึกษาไประดับหนึ่ง เรื่องกวดวิชาก็จะค่อยๆ ลดลงได้ เพราะต่อไปมันไม่จำเป็นต้องกวดวิชา

ดังนั้น ใครที่คิดจะมาทำธุรกิจกวดวิชาวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องปรับกลยุทธ์ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34130&Key=hotnews

สร้างห้องเรียน Interactive แชร์ไอเดียระหว่างผู้เรียน-ผู้สอนได้ทันใจ

17 กันยายน 2556

ขณะที่ เครื่องมืออิเลกโทรนิกส์ต่างๆ กำลังกระตุ้นให้การเรียนไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ในห้องเรียนอีกต่อไป การถาม-ตอบ พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันในโลกโซเชียลก็ยิ่งตอบสนองความต้องการของผู้คนที่ชอบแชร์ไอเดีย ถ้างั้น คลาสเรียนในยุคดิจิตอลก็ยิ่งต้องถูกออกแบบให้ถูกใจนักศึกษาที่เน้นรวดเร็ว สนุก เพลิดเพลิน และเห็นผลทันที

บรรยากาศในห้องเรียน Interactive หรือการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรังสิต มีเครื่องมืออิเลกโทรนิกส์ E-Board ที่อาจารย์สามารถโยนคำถาม กระตุ้นให้นักเรียนคิด และโต้ตอบกลับมาผ่าน Tablet เป็นการ Discuss ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการเรียนที่ทั้งนักเรียนและอาจารย์มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ที่สำคัญคือในภาคเรียนการศึกษา 2556 ที่เพิ่งเริ่มเปิดเรียนไปนั้น เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ นักศึกษาปี 1 ทั้งหมด 7,500 คนมี Samsung Galaxy note 10.1 พกติดตัวเข้าเรียนในวิชาวิชาบังคับ หรือวิชาธรรมาธิปไตย ที่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ห้อง กลายเป็นคลาสเรียนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แต่สามารถดึงดูดความสนใจของนักศึกษาได้ครอบคลุมทั่วทั้งห้องเรียน และเริ่มต้นนโยบายการเรียนวิชานี้เป็นรูปแบบ Paperless ทั้งหมด

“เรื่องนี้เหมาะกับเด็กไทยมาก เพราะยังขี้อายที่จะตอบคำถามในชั้นเรียน แต่เมื่อมี Galaxy note 10.1 ครูสามารถประเมินผลความเข้าใจได้ทันทีว่า มีนักเรียนที่เข้าใจการสอนกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อที่จะได้ปรับแผนการสอนในคลาสได้ทันที” มลฑล มังกรกาญจน์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าว

โดยเบื้องหลังมีการใช้เทคโนโลยีของ Samsung การเรียนในห้องเรียนจึงสนุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่

“แอพมาครับ” จากการเช็คชื่อนักศึกษาในอดีตที่หากมีทั้งหมด 80 คนในห้องเรียน การให้นักศึกษายกมือขานชื่อทีละคนก็กินเวลาเข้าไป 15 นาทีได้ แต่วันนี้นักศึกษาพกแทบเล็ตเดินเข้ามาในห้องเรียน ก็จะมี Wifi ที่สามารถจับสัญญาณจาก Account ในเครื่อง และพอนักศึกษาเขย่าเครื่องเพื่อยืนยันการเข้าห้องเรียน การเช็คชื่อของนักศึกษาทั้งหมด จะทำได้ภายในเวลา 30 วินาที
ในขณะที่ อาจารย์ใช้สไลด์ Power point ประกอบการสอนในคลาสเรียน ข้อมูลประกอบการสอนจะถูกถ่ายโอนเข้ามาในเครื่องแทบเล็ตของนักศึกษาได้ทันที ขณะเดียวกัน ข้อดีของ Samsung Galaxy note 10.1 ยังสามารถเขียนโน้ตลงบนจอได้เปรียบเสมือนเขียนลงบนแผ่นกระดาษ
การโหวตในห้องเรียนที่ นักศึกษาสามารถเลือกคำตอบ A, B, C, D ได้ผ่านแทบเล็ต เพิ่มบรรยากาศแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในห้องเรียนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยดูจากคำตอบว่า สอดคล้องกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่อย่างไร

และเมื่อใกล้จบคลาสเรียน อาจารย์จะตั้งโจทย์เพื่อวัดผลความเข้าใจบทเรียนของนักศึกษาในแต่ละครั้งได้ทันที และแน่นอนว่า อาจารย์เองก็ได้รับฟีดแบ็คการสอนจากนักศึกษาว่า มีความเข้าใจเป็นอย่างไร เพื่อพัฒนาการสอนให้เหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเชื่อมโยงสู่การทำวิจัยในชั้นเรียน

การส่งงานผ่านทางระบบ Samsung Smart Classroom ในรูปแบบไฟล์ดิจิตอลที่ไม่จำเป็นต้องพิมพ์แล้วปรินต์ส่ง โดยเฉพาะคณะที่เกี่ยวกับการออกแบบอย่าง คณะสถาปัตยกรรม ที่เริ่มต้นโครงการไปแล้ว ปัจจุบัน นักศึกษาออกแบบงานเป็นไฟล์ดิจิตอลและส่งตรวจโดยใช้เวลารับ-ส่งที่สั้นลง
การสืบค้นหนังสือในห้องสมุด ในรูปแบบหนังสือและวารสารอิเลกโทรนิกส์ที่เพิ่มสัดส่วนอิเลกโทรนิกส์เป็น 80-90% จากเดิมที่หนังสือ Hard copy ทั้งหมด สร้างความง่าย และน่าสนใจในการเรียกหาข้อมูลที่ต้องการได้ดียิ่งขึ้น

“จากอดีตที่ครูสอนแล้วนักเรียนจดตาม ปัจจุบันครูสามารถแทรกความรู้ผ่านคลิปวิดีโอเพื่อเพิ่มความง่ายต่อการทำความเข้าใจ หรือการแชร์ผลงานให้เพื่อนทั้งห้องได้เห็นทั่วถึง” ผศ.ดร.นเรฏฐ์ พันธราธร รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยรังสิต ยังเสริมถึงการเปิดเทอมในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า นักศึกษามีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น และยังสนุกกับการเข้าเรียน

และยืนยันว่าในอีก 4 ปีต่อจากนี้ นักศึกษาทุกคนจะไม่ต้องพกหนังสือ เพราะคอนเทนท์บทเรียนจะสร้างในรูปแบบ E-learning สามารถทำการเรียนทุกอย่างเบ็ดเสร็จอยู่ในแทบเล็ต เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็น E-university อย่างสมบูรณ์แบบ

จุดเด่นห้องเรียน Smart classroom
One-on-one Learning
คือ การเรียนการสอนที่เจาะลึกเข้าไปเป็นรายบุคคล หรือการเรียนแบบ Customization การพัฒนาตามความต้องการเฉพาะของนักศึกษาแต่ละคนในชั้นเรียน สามารถโต้ตอบ สอบถามความเห็นระหว่างผู้เรียน-ผู้สอนในชั้นเรียนได้จริง

Immediate Feedback
วัดผลความเข้าใจในแต่ละคลาสได้ทันที ไม่ว่านักศึกษาหลังห้อง หรือหน้าห้องทุกคนสามารถตอบคำถามอาจารย์ได้ทั่วถึงกันทั้งห้อง และยังแชร์ไอเดียได้รวดเร็วน่าทึ่ง

Fun Learning Environment
ความสนุกในการเรียนที่ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะแค่ในห้องเรียน แต่แปลงเป็นการเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งในห้อง Common room ใต้ตึกเรียนผ่าน E-learning บนแทบเล็ต หรือการวางแผนให้มี Project base ครีเอตคลิปวิดีโอเพื่อแชร์ไอเดียระหว่างนักศึกษาเมื่อจบภาคการศึกษา

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34129&Key=hotnews

ยันมหาวิทยาลัยไม่ได้ต้องการเงินจากรับตรง

17 กันยายน 2556

อธิการบดียันรับตรง ไม่ได้สร้างภาระแก่นักเรียน ผู้ปกครอง แต่ขยายโอกาสทางการศึกษา ชี้อย่าเหมารวมมหาวิทยาลัยหารายได้จากรับตรง

เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ศ.พิเศษ ดร.มณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา(มพ.) กล่าวกรณีประธานเครือข่ายพ่อแม่ เยาวชน เพื่อการปฎิรูปการศึกษา เสนอยกเลิกการคัดเลือกระบบรับตรง เนื่องจากทำให้นักเรียนและผู้ปกครองต้องเสียเงินจำนวนมาก และวิ่งรอกสอบ ว่า ขณะนี้มหาวิทยาลัยในกลุ่มของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.)พยายามที่จะรับตรงให้น้อยลง ส่วนมพ.มีนโยบายเปิดรับตรง เพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษา โดยใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ตและคะแนนการทดสอบวัความถนัดทั่วไป หรือ แกต คะแนนการทดสอบความถนัดความทางวิชาการ/ วิชาชีพหรือแพต โดยให้โรงเรียนเป็นผู้ยื่นคะแนนแทนนักเรียน เพื่อนักเรียนจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาสมัครสอบ

ตนไม่อยากให้เหมารวมว่าการรับตรงสร้างภาระให้แก่นักเรียนและผู้ปกครอง เชื่อว่าไม่มีมหาวิทยาลัยใดที่จัดสอบรับตรง เพื่อต้องการสร้างรายได้ให้แก่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตามหากจะมีการปรับระบบการคัดเลือกเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาควรพิจารณาปัญหาที่แท้จริงอย่างรอบคอบ และเน้นปรับการสอบรายวิชาให้น้อยลงดีกว่าจะยกเลิกระบบรับตรง

รศ.ดร.กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะให้มหาวิทยาลัยยกเลิกระบบรับตรง เพราะการรับตรงเพื่อขยายโอกาสให้แก่เด็กในพื้นที่นั้นๆ ได้เข้าถึงการศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยก็มีการสร้างเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(ม.อ.) ที่ให้เด็กสามารถนำคะแนนสอบรับตรงที่สอบกับ มข.ม.อ.หรือ มช.มายื่นสมัครเข้าเรียนได้ที่มข.ได้ ซึ่งจะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และเด็กไม่ต้องไปวิ่งสอบหลายที่ด้วย

“ผมยืนยันว่าการรับตรงยังมีความจำเป็นในการคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัย เพราะเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษา ถ้าการสอบรับตรงไม่ได้เป็นการหารายได้ให้แก่มหาวิทยาลัย เพราะค่าสมัครสอบ 200-300 บาท เมื่อเทียบกับการดำเนินการจัดสอบคงไม่สามารถทำให้มหาวิทยาลัยรวยได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาการคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัย ผมอยากให้ดูหลายมิติว่าปัญหาคืออะไรและแก้ปัญหาให้ถูกจุด อย่ามาโทษเพียงว่ามหาวิทยาลัยจัดสอบรับตรง เพื่อต้องการหารายได้ หรือสร้างความเดือนร้อนให้แก่เด็ก” รศ.ดร.กิตติชัย กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34128&Key=hotnews

กรอบคุณวุฒิไทยยกระดับสู่อาเซียน สภาการศึกษาจับมือนานาชาตินำร่องก่อนใช้จริง

16 กันยายน 2556

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) ได้รับมอบหมายงานใหญ่ จากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้นำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (National Qualifications Framework NQF) ซึ่งได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ช่วงต้นปี 2556 มาขับเคลื่อน และสร้างความเข้าใจพร้อม วางระบบรองรับก่อนจะนำมาใช้จริง ขณะเดียวกัน ประชาคมอาเซียนก็กำลังจะมาถึงในปี 2558 สกศ.จึงมีภารกิจเพิ่มขึ้นในการยกระดับ กรอบคุณวุฒิแห่งชาติของไทยให้เทียบเคียงกับ กรอบคุณวุฒิอาเซียน (ASEAN Qualifications Framework) ด้วย เพื่อเอื้อต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานผู้เรียนระหว่าง 10 ประเทศในอาเซียนได้
เพราะฉะนั้น เมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา สกศ.จึงใช้โอกาสในการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศ “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย” ที่กรุงเทพฯ หยิบยกเรื่อง กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาเป็นหัวข้อสำคัญในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญ ด้านกรอบคุณวุฒิแห่งชาติจากประเทศภูมิภาคอาเซียน และจากประเทศต้นแบบที่พัฒนา กรอบคุณวุฒิได้สำเร็จแล้ว พร้อมจัดทำรายละเอียด ของกรอบคุณวุฒิของกลุ่มอุตสาหกรรม

ดร. ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์เลขาธิการ สภาการศึกษา กล่าวว่า สกศ. ได้กำหนดกลุ่มอาชีพ กลุ่มธุรกิจ อุตสาหกรรม และบริการที่สำคัญ เพื่อจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ จำนวน 18 กลุ่มอาชีพ อย่างไรก็ตาม ก่อนนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติมาใช้จริง จำเป็นต้องมีการวางระบบรองรับและต้องสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อยกระดับกรอบคุณวุฒิ สู่อาเซียนและประชาคมโลก เพราะฉะนั้น สกศ. จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งเป็น ต้นแบบของระบบคุณวุฒิวิชาชีพ เริ่มพัฒนากรอบคุณวุฒิ แห่งชาติตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 มาถ่ายทอดองค์ความรู้พร้อมเชิญผู้เชี่ยวชาญจากประเทศฮ่องกง และอินโดนีเซีย ซึ่งกำลังพัฒนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งได้นำไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศไทย ฮ่องกงและอินโดนีเซียในการนำร่องกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ โดย สกศ. ได้ร่วมมือกับประเทศฮ่องกง นำร่องระบบคุณวุฒิแห่งชาติ ในกลุ่มอาชีพการบริหารสินทรัพย์ และร่วมมือ กับประเทศอินโดนีเซียนำร่องกลุ่มอาชีพประมง

“อินโดนีเซียได้จัดทำกรอบคุณวุฒิเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยแบ่งระดับคุณวุฒิเป็น 9 ระดับ และจะนำไปใช้เทียบเคียงกับกรอบคุณวุฒิอาเซียนด้วย ทั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับกรอบคุณวุฒิมาก เพราะมี ประชากรมากและทุกคนไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษา ในระบบได้ ส่วนฮ่องกงได้ตั้งหน่วยงานที่ รับผิดชอบเรื่องกรอบคุณวุฒิเป็นการเฉพาะ เพราะที่ฮ่องกงมีผู้ที่เรียนจบจากสายอาชีพมากกว่าผู้ที่จบปริญญา แต่ผู้ที่จบสายอาชีพกลับไม่ได้รับการยอมรับเท่าผู้ที่ จบปริญญา ฮ่องกงจึงพยายามดึงภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรม เข้ามาช่วยผลักดันระบบคุณวุฒิวิชาชีพ”

สกศ.ยังได้ร่วมมือกับ ASEAN-AUSTRALIA-NEW ZEALAND FREE TRADE AREA (AANZFTA)ภายใต้คณะทำงานกรอบคุณวุฒิอาเซียน ทำหน้าที่พัฒนากรอบคุณวุฒิอาเซียน มีการจัดประชุม คณะทำงานทุก 6 เดือน การประชุมครั้งถัดไป จะมีขึ้นระหว่าง วันที่ 6-8 พฤศจิกายน นี้ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่ง สกศ. ในฐานะผู้แทนประเทศไทยจะนำเสนอผลการดำเนินงาน กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ รวมทั้งนำเสนอผลการทดลอง นำร่องกับประเทศฮ่องกงและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ การประชุมนัดสุดท้ายของคณะทำงานจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2557 ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่า กรอบคุณวุฒิอาเซียนจะเสร็จสมบูรณ์เพื่อให้สมาชิกอาเซียนพิจารณา

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34118&Key=hotnews