Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

พบเด็กไทยเข้าตลาดแรงงานวุฒิต่ำกว่าม.6 เพียบ

12 กันยายน 2556

นักวิชาการ เผย พบเด็กไทย 60% เข้าตลาดแรงงานวุฒิต่ำกว่าม.6 ชี้จบม.3 กว่า 50% ไม่เรียนต่อ สสค.หนุนร.ร.ขยายโอกาส หวังอุดช่องโหว่สร้างทักษะชีวิต-อาชีพ

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวว่า สถานการณ์ การพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทยในภาพรวม พบว่า เด็กและเยาวชนไทยมีความสามารถในการแข่งขันต่ำ จากผลการศึกษาเส้นทางชีวิตเด็กไทย โดยสสค.พบว่า ปัจจุบันมีเด็กและเยาวชนไทยที่เกิดในรุ่นเดียวกันเฉลี่ยปีละ 900,000 คน/ปี ซึ่งหากเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วน 1 ต่อ 90,000 คน จะพบว่าเด็กส่วนใหญ่ 6 ใน 10 คน หรือ 60% จบไม่เกินวุฒิม.6หรือปวช. ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็ก1 คน ที่ไม่จบการศึกษาภาคบังคับ อีก 2.5 คน จบด้วยวุฒิม.3 แล้วไม่เรียนต่อ และอีก 2.5 คน จบด้วยวุฒิม.6หรือปวช.แล้วไม่เรียนต่อ ขณะที่เด็กอีก 4 คนที่เหลือแม้จะเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษา แต่พบว่า มีเพียง 1 คนเท่านั้นที่จบมาแล้วได้งานทำใน 1 ปีแรก

ดร.อมรวิชช์ กล่าวว่า การผลิตกำลังคนในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยตลาดแรงงานต้องการกำลังคนสายอาชีพ แต่มีการผลิตสายสามัญมากกว่า นอกจากนี้สายอาชีพยังมีสมรรถนะไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ขณะที่แนวโน้มสากลในการพัฒนาคน ทักษะชีวิตและการมีงานทำถือเป็นสิ่งสำคัญของการพัฒนาการศึกษายุคใหม่ที่หลายประเทศให้ความสำคัญ เช่น ทักษะในศตวรรษที่ 21 ซึ่งพบว่าองค์กรภาคเอกชนต่างสะท้อนว่าการผลิตเด็กไทยยังขาดทักษะที่สำคัญด้านการสื่อสารโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ทักษะการทำงานร่วมกันเป็นทีม และวินัยในการทำงาน

ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวว่า การสร้างทักษะชีวิตและการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสร้างตั้งแต่ระดับประถมและมัธยมต้น ก่อนที่เด็กจะเลือกเส้นทางชีวิตไปสู่สายสามัญหรือสายวิชาชีพ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในโรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งพบว่ากว่า 50% จบม. 3 แล้วไม่เรียนต่อ สสค.จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมนวัตกรรมสร้างสรรค์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ โครงการละ 50,000-100,000 บาท โดยเปิดโอกาสให้โรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งเปิดสอนในระดับประถมและมัธยมต้น ที่มีอยู่กว่า 7,000 แห่ง เสนอโครงการมายังสสค. ตั้งแต่วันนี้- 31 ตุลาคมนี้ ดูรายละเอียดโครงการที่ www.QLF.or.th

ด้าน นาย สมพงษ์ จิตระดับ ผู้ทรงคุณวุฒิสสค. กล่าวว่า ในกลุ่มของเด็กด้อยโอกาสและโรงเรียนขยายโอกาส ทักษะชีวิตและการมีงานทำเป็นคำตอบและอยู่ในบริบทของโรงเรียนขยายโอกาส เพราะคุณภาพการเรียนรู้ไม่สามารถสู้โรงเรียนมัธยมต้นในตัวเมืองได้ เด็กกลุ่มนี้จึงต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษในเรื่องการศึกษาเพื่ออาชีพ โดยโรงเรียนควรทำงานในรูปแบบทวิภาคีที่เชื่อมโยงกับภาคเอกชน เช่น 7-11 หรือ เอสแอนด์พี เพื่อให้เห็นว่าเด็กเรียนจบแล้วมีงานทำ ดังนั้นหลักสูตรโรงเรียนขยายโอกาสต้องเป็นทวิภาคี โดยเรียนรู้วิชาสามัญ วิชาชีพ และทักษะชีวิต ทั้งในโรงเรียนควบคู่กับตลาดแรงงานจริง

“การส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกิดทักษะชีวิตและอาชีพตั้งแต่ประถมและมัธยมต้น โดยเฉพาะในโรงเรียนขยายโอกาสยังช่วยให้สัดส่วนการเรียนสายอาชีวะเพิ่มขึ้น เพราะเป็นการส่งเสริมค่านิยมในการเรียนรู้เรื่องอาชีพ สิ่งสำคัญคือ การประเมินผลครูและผู้บริหารสถานศึกษาไม่ควรโยงผลคะแนนโอเน็ตเพียงอย่างเดียว เพราะจะทำให้โรงเรียนหันไปใส่ใจกับคะแนนโอเน็ต ทำให้เด็กมีทักษะที่จำเป็นลดลง และขวัญกำลังใจของครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่ทำเรื่องเหล่านี้ก็น้อยลง” ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34070&Key=hotnews

รมว.ศธ.เข้าพบ รมว.ศธ.สาธารณรัฐเกาหลี หารือการใช้ไอซีทีในการศึกษาสมัยใหม่ และการสอนภาษาเกาหลีในประเทศไทย

11 กันยายน 2556

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สาธารณรัฐเกาหลี พร้อมหารือถึงการใช้ไอซีทีในการศึกษาสมัยใหม่และการสอนภาษาเกาหลีในประเทศไทย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาดูงานที่ Korean Educational Development Institute เป็นสภาการศึกษาของเกาหลีที่ขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี มีหน้าที่ในการวิจัยงานด้านการศึกษาเพื่อให้รัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายต่อไป โดยในปีนี้ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้สถานบันดังกล่าวมีหน้าที่ในการวิจัยหลายด้าน อาทิ การส่งเสริมระบบการศึกษาในอนาคต ในฐานะที่เกาหลีถือได้ว่าเป็นผู้นำทางการศึกษาของโลก วิจัยการศึกษาในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ไปสู่การศึกษาเพื่อความสุข พัฒนาการวิจัยและพัฒนาสวัสดิการการศึกษา พัฒนาระบบการศึกษาใหม่ให้สอดคล้องอยู่บนพื้นฐานของระบบนิเวศน์ และส่งเสริมงานวิจัยการศึกษาของเกาหลีให้ไปสู่ระดับโลกและความร่วมมือในด้านนานาชาติ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความสนใจในเรื่องการนำงานวิจัยไปปรับใช้เป็นนโยบายการศึกษาในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย

นอกจากนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้เข้าพบกับ นายนำ โชล โชง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐเกาหลี ที่กระทรวงศึกษาธิการของสาธารณรัฐเกาหลี โดยได้มีการหารือถึงแนวทางการใช้ไอซีทีมาประยุกต์กับการศึกษาสมัยใหม่ และการสอนภาษาเกาหลีในประเทศไทย ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน

ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34065&Key=hotnews

 

ไขความลับ คนไทยทำไมไม่เก่งภาษา

11 กันยายน 2556

เอ็นคอนเส็ปท์ เน้นสร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับผู้เรียน โซนธาตุไม้ แต่งด้วยสีเขียว
“เด็กไทยเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถม แต่ทำไมภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง”
…เป็นคำถามที่ได้ยินได้ฟังเป็นประจำ กระทั่งกลายเป็นเหมือนเสียงรำพึงไปในที่สุด
11 ปีเป็นเวลาไม่ใช่น้อย ถ้ารวมการศึกษาระดับอาชีวะเข้าไปด้วย คิดสะระตะนับ 20 ปี แต่นักศึกษาจำนวนไม่น้อยใช้ภาษาอังกฤษได้แค่ระดับงูๆ ปลาๆ

เด็กบางคนขยันมาก ถึงขนาดสามารถท่องดิกชันนารีได้ทั้งเล่ม ภาษาอังกฤษคำไหนแปลว่าอะไร ถามมา-ตอบได้หมด   แต่พอให้พูดกลับตกม้าตาย

พ่อแม่ยุคใหม่ที่มีสตางค์จึงตัดปัญหาด้วยการส่งลูกไปเรียนเมืองนอก
และด้วยเหตุนี้ทำให้ปัจจุบันมีโรงเรียนอินเตอร์ โรงเรียนสองภาษาเกิดขึ้นมากมาย เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มนี้ โดยไม่ต้องส่งลูกไปเรียนให้ไกลหูไกลตา
แล้วกับเด็กด้อยโอกาส พ่อแม่ไม่มีเงินพอที่จะส่งเข้าโรงเรียนแพงๆ เล่า…
ไม่ยาก!

ถ้าเข้าใจหลักการ การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้พูดได้ ฟังเข้าใจ เหมือนเจ้าของภาษา ไม่ยากเลย ขอเพียงมีความตั้งใจ

โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนภาษาอังกฤษทำได้ง่ายขึ้น สามารถฝึกได้เองในทุกที่ทุกเวลา

ธานินทร์ เอื้ออภิธร ประธานกรรมการบริหาร เลิร์นบาลานซ์ กรุ๊ป ซึ่งดูแลทิศทางธุรกิจ การวิจัยพัฒนาและการนำ “ไอที” เข้ามาช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษให้กับ “เอ็นคอนเส็ปท์” โรงเรียนกวดวิชาแถวหน้าของเมืองไทย เล่าถึง ช่องโหว่ของระบบการศึกษาของไทยว่า ส่วนหนึ่งมาจากค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “สถานะ” มากกว่าความสามารถ ทำให้เด็กไทยแข่งกันเรียนเพื่อให้ได้ใบปริญญา เป็นใบเบิกทางสู่การมีหน้ามีตา มีหน้าที่การงานที่ดี
โซนธาตุลม

เช่นเดียวกับปัญหาของการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทย นักเรียน/นักศึกษาส่วนใหญ่เรียนเพื่อจะสอบผ่าน ซึ่งเป็นกรอบความคิดที่แคบ โลกสมัยใหม่เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่การแค่ “เรียนเพื่อสอบ” แต่ต้อง “เรียนเพื่อการเรียนรู้”

เพราะหน้าที่ของภาษาคือ เพื่อการสื่อสาร

นับแต่นี้ไป ใครใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ คุณคือจุดอ่อน ยิ่งในห้วงเวลาเตรียมรับการเปิดประชาคมอาเซียน ถ้าพูดอังกฤษไม่ได้ กลายเป็นจุดบอดในทันที
แล้วจะฝึกภาษาอย่างไรดี

แทนที่จะเรียนภาษาอังกฤษเพื่อให้รู้ภาษาอังกฤษ ธานินทร์แนะว่า ควรมีการตั้งเป้าหมายที่ไกลกว่านั้น เรียนเพื่อประโยชน์ในด้านอื่น โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือ เหมือนกับการเรียนวิชาต่างๆ ด้วยภาษาอังกฤษทำให้ต้อง “เป็น” ภาษาอังกฤษ เพื่อจะเรียนวิชานั้นๆ เข้าใจ เช่นเดียวกับคนวัยทำงานทั่วไป อาทิ คนที่มีอาชีพขับแท็กซี่เรียนภาษาอังกฤษ เพื่อการรับรองผู้โดยสารชาวต่างประเทศ หรือ หมอนวดแผนโบราณเรียนเพื่อสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้มีกำลังใจในการเรียน

ทั้งนี้ จะให้ดีควรหาเพื่อนร่วมเรียน เพราะส่วนใหญ่เมื่อเรียนคนเดียวจะล้มเลิกความตั้งใจโดยง่าย
“จริงๆ แล้วการเรียนภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 ด้าน ด้านแรก เรียกว่า Syntax หรือ “ไวยากรณ์” ด้านที่ 2 Semantics คือ “ความหมาย” คนไทยส่วนใหญ่เรียนแค่ 2 ตัวนี้ คือ Vocabulary กับ Grammar แม้แต่เด็กที่เรียนก็จะจำแค่นี้ แต่จริงๆ หลายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แทบไม่ได้เรียน 2 ตัวนี้เลย 2 ตัวนี้เป็นเพียงผลพลอยได้

แต่ 2 ตัวที่เป็นตัวหลัก คือ Phonology “การออกเสียงที่ถูกต้อง” กับ Pragmatics คือ “การใช้จริง”
สำหรับคนที่พลังเยอะ มีห้องนี้ไว้รับมือ “ธาตุไฟ”

ธานินทร์   อธิบายเพิ่มเติมว่า “สองตัวแรกไวยากรณ์และความหมาย ใช้สมองซีกซ้ายในการเรียน ต้องใช้ตรรกะในการเรียน ต้องใช้ความจำเยอะมาก

แต่เรื่องการออกเสียงเป็นสมองซีกขวา เป็นเรื่องของทักษะ ออกเสียงถูกหรือไม่ถูก ส่วน Pragmatics บางคนคิดว่าคือ การเดินเข้าไปหาฝรั่งแล้วเซย์ ฮัลโหล ฮาว อาร์ ยู แต่…ไม่ใช่ ที่จริงเป็นความเข้าใจในวัฒนธรรม และการใช้ภาษาได้ถูกต้องในทางวัฒนธรรม

“คนไทยไม่เรียนเรื่องวัฒนธรรมต่างชาติ จึงไม่เข้าใจบริบทของวัฒนธรรมทางภาษา แม้ประโยคถูกแต่บริบทผิดความหมายก็ผิด ยกตัวอย่างคำทักทายของคนไทยจะทักว่า “กินข้าวหรือยัง” นี่คือบริบทของคนอินโดไชน่า แต่ถ้าไปทักแบบนี้กับฝรั่ง มันเป็นบริบททางวัฒนธรรมที่แปลก เขาอาจจะคิดว่ามายุ่งเรื่องของฉันทำไม”

แล้วเรียนภาษาอังกฤษอย่างไร จึงสามารถใช้ได้เหมือนเจ้าของภาษา
สิ่งสำคัญอยู่ที่เรื่องของ “เสียง”

คนไทยจำเสียงผิด เนื่องจากขาดต้นแบบที่ถูกต้อง แม้จะเขียนถูกแต่ออกเสียงผิดฝรั่งก็ไม่เข้าใจ
ซึ่งตรงนี้เทคโนโลยีช่วยได้

ไม่ว่าจะเป็นการดูภาพยนตร์พากย์ภาษาอังกฤษ หรือโหลดแอพพลิเคชั่น สอนภาษาอังกฤษได้ทั้งนั้น
หัวใจสำคัญคือ ถ้าเป็นหนังให้ปิดซับไตเติ้ลฟังเสียงอย่างเดียว โดยหยุด (pause) เป็นระยะๆ และออกเสียงตาม ซึ่งควรทำซ้ำๆ กระทั่งสามารถออกเสียงได้เหมือนกับต้นแบบ
“เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราออกเสียงได้ถูกต้อง เราจะฟังได้ทันที”

ธานินทร์ ยืนยัน พร้อมกับอธิบายถึงกระบวนการรับรู้ในสมองว่า สมองคนเราแบ่งเป็นชั้นๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับรู้ข้อมูลใหม่ เรียกว่า “เวิร์กกิ้ง เมมโมรี่” (Working Memory) จะจำได้ 7 ตัว ซึ่งการรับรู้ตรงนี้ของแต่ละคนจะต่างกัน บางคนจำได้ 12 บางคนจำได้แค่ 5 แต่ส่วนใหญ่จะจำได้ 7 ฉะนั้น เวลาที่เราฟังชาวต่างชาติพูดแล้วฟังไม่ทัน เพราะนั่นเป็นข้อมูลใหม่ที่เรายังไม่เคยรับรู้มาก่อน

ถ้าเรารับรู้ข้อมูลนั้นมาแล้ว ระบบการทำงานของสมองจะใช้อีกส่วนซึ่งอยู่ด้านใต้ เรียกว่า “ลอง เทอม เวิร์กกี้ง เมมโมรี” (Long Term Working Memory) เป็นส่วนที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นการฝึกทักษะจึงเป็นสิ่งจำเป็น

การเรียนภาษาอังกฤษผ่านการดูภาพยนตร์ โดยปิดซับไตเติ้ล ฟังซ้ำหลายๆ ครั้ง จำทั้งประโยคไปเลย นอกจากจะได้เสียงที่ถูกต้องแล้ว ผลพลอยได้คือ จะได้ทั้งทักษะ ไวยากรณ์ รูปประโยค และความหมายโดยอัตโนมัติ

ยิ่งกระแสของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ยิ่งทำให้เรื่องของการฝึกทักษะเป็นสิ่งจำเป็น
ธานินทร์สะท้อนถึงแนวโน้มของโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษในปัจจุบันในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงว่า โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษมี 2 แบบ คือ 1. เรียนวิชาการ (Academic) และการเรียนทักษะ (Skill)

สองตลาดนี้อยู่แยกกันโดยสิ้นเชิง เมื่อก่อนคนที่เรียนทักษะจะเป็นผู้ใหญ่วัยต้นๆ จนทำงาน ปัจจุบันคนสนใจมากขึ้นในทุกระดับ เพราะกระแสของการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ทำให้เรื่องของทักษะเป็นสิ่งจำเป็น รวมทั้งในเด็กเล็กด้วย จากเดิมที่เริ่มเรียนกันตอน ม.5-6 ปัจจุบัน ม.1 เริ่มกวดวิชาแล้ว
เพราะ “การจำ” เริ่มจาก “การทำ” ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ การเอาตัวเองเข้าไปสัมพันธ์จึงเกิดการเรียนรู้ เกิดการจำขึ้นในสมอง

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์  www.facebook.com/MatichonOnline

Source – มติชนออนไลน์ (Th) (ที่มา:มติชนรายวัน 10 ก.ย.2556)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34052&Key=hotnews

กระตุกคุรุสภาเร่งงานประชาสัมพันธ์

11 กันยายน 2556

สุขุม เฉลยทรัพย์” จี้คุรุสภารุกงานประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงแก่ครู พร้อมเปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนจากครู

วานนี้(10 ก.ย.) รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์งานคุรุสภา เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่าในฐานะที่คุรุสภาเป็นองค์กรวิชาชีพชั้นสูง จึงควรมีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารของคุรุสภา เพื่อให้คุรุสภาเป็นที่ยอมรับและรู้จักแก่สาธารณชนมากขึ้น โดยเฉพาะครูซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคุรุสภาโดยตรงก็ควรได้รับข่าวสารอย่างทั่วถึง โดยเบื้องต้นจะให้ครูได้รับข่าวสารผ่านทางสารของคณะอนุกรรรมการประชาสัมพันธ์ที่ออกเป็นประจำทุกเดือนซึ่งจะจัดส่งไปให้ครูทั่วประเทศ หรือติดตามได้จากเว็บไซต์ของคุรุสภา www.ksp.or.th

รศ.ดร.สุขุม กล่าวต่อไปว่า นอกจากคณะอนุกรรมการฯจะเผยแพร่ข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อครูให้ได้รับรู้แล้ว ยังต้องการรับฟังความคิดเห็นหรือปัญหาต่าง ๆ ของครูด้วย โดยสามารถบอกเล่าเรื่องราวหรือปัญหาต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมในการประกอบวิชาชีพมายังคณะอนุกรรมการฯได้ เพื่อจะหาทางแก้ไขและช่วยเหลือต่อไป อย่างไรก็ตามคณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าคุรุสภาควรจัดประชุมสัมมนา 4 ภูมิภาค หรือคุรุสภาสัญจรขึ้น เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปยังผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาอย่างทั่วถึง รวมถึงคุรุสภาควรมีบทบาทในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของครูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในลักษณะการจัดประชุมนอกสถานที่หรือลงพื้นที่ไปเยี่ยมเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ครูด้วย

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34051&Key=hotnews

“จาตุรนต์” ปลดล็อคไร้ใบประกอบวิชาชีพ

11 กันยายน 2556

“จาตุรนต์” ปลดล็อคไร้ใบประกอบวิชาชีพ มอบ ก.ค.ศ.แก้กฎหมายเพื่อปลดล็อคปัญหา เปิดทางให้ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพมาเป็นครู ระบุไม่อยากให้ไปปิดช่องทางที่จะให้ผู้มีความรู้และมีประสบการณ์ เข้ามาเป็นครู

เมื่อวันที่ 10 ก.ย.นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการมีปัญหาการขาดแคลนครู แต่ไม่สามารถที่จะจ้างคนเก่งที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพเฉพาะด้าน อาทิ วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต วิทยาศาสตร์บัณฑิต มาเป็นครูได้ เพราะติดปัญหาในเรื่องของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ซึ่งไม่ใช่จะมีปัญหาเฉพาะในสถานศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เท่านั้น แต่ในส่วนของโรงเรียนเอกชน และโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็มีปัญหาในเรื่องการจ้างครูต่างประเทศมาสอน เนื่องจากคนเหล่านี้ไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งตนมองว่าข้อกำหนดดังกล่าวเป็นระบบที่ปิดเกินไป ทำให้เป็นอุปสรรคไม่สามารถดึงคนที่มีความรู้ในวิชาชีพต่างๆมาเป็นครูได้ ทั้งที่คนเหล่านั้นสามารถที่จะเข้ามาสอนเพื่อทดแทนครูที่เรากำลังขาดแคลนได้ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ไปตั้งวงพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาในภาพรวม หากต้องแก้กฎหมายเพื่อปลดล็อคปัญหาเพื่อเปิดทางให้ผู้ที่มีความรู้ความ เชี่ยวชาญในวิชาชีพต่างๆเข้ามาเป็นครูได้ก็สามารถทำได้ เพราะตนไม่อยากให้ไปปิดช่องทางที่จะให้ผู้มีความรู้และมีประสบการณ์ หรือผู้ที่เชี่ยวชาญในวิชาชีพนั้นๆเข้ามาเป็นครู

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ทางครุสภาเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 44 ของพ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่กำหนดไว้ว่าผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพควบคุม ต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ คุณสมบัติ มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ มีวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าว ไม่มีความยืดหยุ่น ทำให้ผู้ที่ไม่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางมาเป็นครูได้

ดังนั้น คุรสภาจึงเสนอทางออกโดยการแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราดังกล่าว และกำหนดให้กรรมการคุรุสภาสามารถยกเว้นเงื่อนไขข้อนี้ได้ ซึ่งการแก้ไขเพิ่มเติมตรงนี้ไม่ได้เป็นการแก้ทั้งมาตรา จึงสามรถเสนอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณา และเข้าสภาได้ทันที 3 สาระ เพราะถือว่าไม่ผิดเจตนารมณ์ในเรื่องใบประกอบวิชาชีพครู ขณะเดียวกันยังช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนครูในวิชาชีพเฉพาะได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น สาขาวิศวกรรมศาสตร์ นาฏศิลป์ ฯลฯ และไม่ได้ช่วยปลดล็อคเฉพาะปัญหาขาดแคลนครูของสอศ. เท่านั้น แต่ยังทำให้หน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอชน (สช.) สามารถจ้างผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางมาสอนได้มากขึ้น

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34050&Key=hotnews

“ประเสริฐ” ยันจบ ม.6 ใน 8 เดือนไม่ง่ายอย่างที่คิด

11 กันยายน 2556

“ประเสริฐ” แจงจบ ม.6 ใน 8 เดือน มีเป้าหมายชัดเปิดโอกาสให้นำความรู้-ประสบการณ์มาเทียบโอนได้ ระบุเพื่อแก้ปัญหาเข้าใจผิดเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น  “เทียบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน” แทนแล้ว ขณะที่เลขาธิการ กอศ.ระบุ รมว.ศึกษาห่วงเหตุพบเด็กบางคนเรียน ปวช.ไม่ไหวและลาออกไปเรียนโครงการ กศน.แทน พอจบก็มาสมัครเรียนปวส.ทั้งที่เพื่อนยังอยู่แค่ ปวช. 2 เท่านั้นหวั่นปล่อยไว้เกิดปัญหาคุณภาพการศึกษา

จากกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ระบุว่าอาจต้องมีการทบทวนโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาจบ ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เนื่องจากปัจจุบันมีนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ( ปวช.)ที่เรียนไม่ไหวหรือไม่อยากเรียนหนีมาเรียนโครงการดังกล่าวของ กศน.จากนั้นก็มาสมัครเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แต่ก็มีปัญหาเรียนไม่ได้จึงต้องการให้ กศน.กำหนดหลักเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์เข้าโครงการให้ชัดเจนโดยอยากให้เน้นผู้เรียนที่มีประสบการณ์การทำงานไม่ใช่เด็กที่จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้วดิ่งมาเรียนในโครงการดังกล่าวเลยนั้น

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ความจริงแล้วโครงการดังกล่าวไม่ได้จบง่ายอย่างที่ประชาชนเข้าใจซึ่งวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ต้องการเปิดโอกาสให้คนที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จในอาชีพได้นำความรู้และประสบการณ์เหล่านั้นมาเทียบระดับได้ตามกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยให้สามารถเทียบระดับการศึกษาแบบข้ามชั้นได้ไม่จำเป็นต้องเทียบทีละระดับเหมือนในอดีต อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข้อท้วงติงว่าการใช้ชื่อเดิมนั้นอาจจะส่งผลให้ประชาชนเข้าใจความหมายผิดได้ กศน.จึงเปลี่ยนชื่อโครงการใหม่จากคำว่า “จบ ม.6 ใน 8 เดือน” มาเป็น “เทียบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน” แทนแล้ว

“ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ามาเทียบระดับกับ กศน.ได้กำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจนแต่ต้นคือต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป มีอาชีพที่มั่นคงและประสบความสำเร็จในอาชีพนั้น ที่สำคัญจะต้องมีความรู้ ความสามารถที่จะนำมาเทียบระดับ เพราะการจบต้องจบอย่างมีคุณภาพ ต้องผ่านการทดสอบ 9 มาตรฐานวิชาโดยต้องผ่านในสัดส่วน 60% ในทุกมาตรฐาน สำหรับ 9 มาตรฐานวิชาที่ กศน.กำหนดไว้ ได้แก่ 1.การใช้คอมพิวเตอร์ 2.คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน 3.การบริหารธุรกิจเอสเอ็มอีได้ 4.ระบอบประชาธิปไตย 5.การบริหารจัดการชุมชน 6.การสนทนาภาษาอังกฤษหรือจีน 7.ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร 8.การวิจัยชุมชน และ 9.การจัดการอาหารเพื่อครอบครัวและชุมชน”นายประเสริฐ กล่าว

ด้าน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการการอาชีวศึกษา(เลขาธิการ กอศ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีเด็ก ปวช.จำนวนหนึ่งที่เข้ามาเรียนได้สักพักก็เรียนไม่ไหวตัดสินใจลาออกไปอยู่บ้านเฉย ๆ รอจนอายุครบ 18 ปี ก็ไปสมัครเรียนกับ กศน. ตามโครงการเรียนจบ ม.6 ใน 8 เดือน ทำให้จบม.6 ก่อน ในขณะที่เพื่อน ๆ ยังเรียนอยู่ปวช.ปี 2 และไปสมัครเรียนต่อระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งเท่ากับว่าเด็กเหล่านี้เรียนเร็วกว่าเพื่อน 1 ปี ดังนั้น รมว.ศึกษาธิการ จึงเป็นห่วงว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ อาจจะเกิดปัญหาเรื่องคุณภาพการศึกษาได้ จึงอยากให้กศน.กลับไปดูเจตนารมณ์ ของการดำเนินโครงการดังกล่าวใหม่ โดยอาจจะต้องมีการปรับหลักเกณฑ์บางข้อ เช่น คนที่มาเรียนในโครงการนี้ อาจจะต้องมีประสบการณ์การมีงานทำมาแล้ว หรือกำหนดอายุผู้ที่สมัครเข้าเรียนใหม่ เป็นต้น

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34049&Key=hotnews

 

ศธ.ติงกำหนดคุณสมบัติผู้บริหารสถานศึกษาขั้นต่ำต้อง ป.โท สูงเกินไป

11 กันยายน 2556

บอร์ดคุรุสภา พิจารณาร่างข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ…. มีมติเห็นชอบให้ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา จบวุฒิขั้นต่ำ ป.ตรี หลัง “จาตุรนต์” ติงข้อกำหนดขั้นต่ำ ป.โท สูงเกินไป ห่วงโรงเรียนเอกชนบางแห่งปฏิบัติตามไม่ได้

ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดคุรุสภาเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้หารือกรณี (ร่าง)ข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้เสนอความเห็นกลับมาในข้อบังคับหมวด 1 มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ เกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา ซึ่งเดิมคุรุสภาได้เสนอกำหนดคุณวุฒิไว้ไม่ต่ำกว่าปริญญาโททางการบริหารการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือมีคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรองนั้น รมว.ศธ.ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดคุณสมบัติผู้บริหารขั้นต่ำปริญญาโทอาจเป็นระดับการศึกษาที่สูงเกินไป และสถานศึกษาบางแห่งอาจยังไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะกลุ่มโรงเรียนเอกชน ซึ่งที่ประชุมบอร์ดคุรุสภาได้พิจารณาแล้วเห็นตามที่ รมว.ศธ.ตั้งข้อสังเกต จึงอนุมัติร่างข้อบังคับฯ ให้ผู้บริหารในตำแหน่งดังกล่าวสามารถมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี หรือเหมือนในข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ พ.ศ.2548 ฉบับเดิม ก่อนเตรียมเสนอต่อ รมว.ศธ.พิจารณาอีกครั้ง

“เดิมคุรุสภามีเหตุผลในการเสนอเกณฑ์คุณวุฒิขั้นต่ำปริญญาโทในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา เนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันมีคนเรียน ป.โท สาขาบริหารการศึกษาเยอะไปหมด อย่างไรก็ตาม รมว.ศธ. ตั้งข้อสังเกตว่าเกณฑ์คุณวุฒิดังกล่าวอาจสูงเกินไปสำหรับสถานศึกษาบางแห่ง และจะทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนบางแห่งที่ยังไม่พร้อม และบางพื้นที่ก็อาจหาคนไม่ได้ อีกทั้งความพร้อมของสถานศึกษาแต่ละแห่งในปัจจุบันก็มีไม่เท่ากัน ดังนั้นหากประกาศใช้จะเป็นภาระกับบางหน่วยงาน ซึ่งในประเด็นเหล่านี้ทางตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ต่างก็แสดงความเห็นด้วย” ศ.ดร.ไพฑูรย์ กล่าว

ศ.ดร.ไพฑูรย์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตามระเบียบของ ศธ. ได้กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องได้รับการอบรมในโครงการต่างๆ ก่อนเข้ารับตำแหน่งอยู่แล้ว ดังนั้นเชื่อว่าผู้บริหารทุกคนจะได้รับการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพ พร้อมกันนี้คุรุสภายังมีโครงการพัฒนาบุคลากรและผู้บริหารตามแนวมาตรฐานวิชาชีพใหม่ จึงคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร และถือเป็นการดีสำหรับสถานศึกษาที่ยังไม่มีความพร้อมจะได้ใช้แนวทางตามมาตรฐานวิชาชีพคุรุสภาในการพัฒนาไปพร้อมกัน ทั้งนี้เนื้อหาในร่างข้อบังคับฉบับใหม่จะมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้บริหารในแง่มุมวิชาการและให้ความสนใจเรื่องของคุณภาพการศึกษามากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพครูจะต้องมีลักษณะความเป็นครูรุ่นใหม่ที่สอนเด็กให้รู้จักการคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์ได้.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34048&Key=hotnews

 

อันดับการศึกษาต่ำ เงินเดือนครูไทยอย่าต่ำ รมช.ศธ. ย้ำเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ครูทำงาน

10 กันยายน 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.กระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่ World Economic Forum (WEF) จัดอันดับให้การศึกษาไทย ตกลงไปอยู่ในระดับที่ 8 แพ้ ประเทศกัมพูชา และ เวียดนาม ว่า ตนขอรับข้อวิจารณ์ และเสนอข้อเสนอแนะของทุกเสียงเพื่อนำไปแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การศึกษาของเด็กไทยมีการพัฒนา และเกิดความสมบูรณ์มากที่สุด สำหรับกรณีที่ว่าให้เงินเดือนครูสูง แต่ครูไม่สามารถทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนดีขึ้นนั้น ตนคิดว่าการเพิ่มเงินเดือนให้ครู ยังเป็นความสำคัญ เนื่องจากเป็นการให้ขวัญกำลังใจของครู เราต้องทำให้ครูมีขวัญกำลังใจที่สุด เพราะหากครูมีขวัญกำลังใจที่ดีก็จะอุทิศเวลา อุทิศตนให้กับการเรียนการสอน หากจะมองถึงปัญหาที่การศึกษาไทยต้องตกต่ำเช่นนี้ น่าจะอยู่ที่ปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันด้วย อาทิ หลักสูตร เครื่องมืออุปกรณ์ในการเรียนการสอน ความพร้อมของเด็ก สถานที่เรียน สภาพแวดล้อม และส่วนหนึ่งก็คือความพร้อมของครู ซึ่งครูเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ

รมช.กระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า รัฐมนตรีทุกคนที่มาบริหารด้านการศึกษา ย่อมมุ่งพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพราะหัวใจของการศึกษา อยู่ที่คุณภาพหรือมาตรฐานการศึกษา และที่มุ่งพัฒนาแก้ไขอยู่ คือการให้โอกาสทางการศึกษา และการบริหาร จัดการที่เป็นธรรมาภิบาล ซึ่ง 3 เรื่องนี้คือ หัวใจสำคัญที่ต้องแก้ไขควบคู่กันไป

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)กล่าวว่า โดยส่วนตัว เข้าใจว่ารายงานผลการจัดอันดับของ WEF จะประเมินโดยวิเคราะห์ระบบ การศึกษา ในฐานะของการผลิตกำลังคน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศมากกว่า โดยมองว่าการศึกษาเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น จึงมีการเปรียบเทียบเม็ดเงินที่ใช้ลงทุนและ ผลที่ได้รับกลับมา ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนการลงทุนด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ที่สูงแต่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำ จึงทำให้อันดับของไทยอยู่ต่ำกว่าประเทศที่ลงทุนต่อจีดีพีต่ำกว่า แต่ได้คุณภาพที่สูง

นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เข้าใจว่า WEF จะมอง 3 ส่วนหลัก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพ ประเด็นแรกคือมองที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัจจัยสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จคือคุณภาพและสมรรถนะของครู ในส่วนของประเทศไทยมีการลงทุนเกี่ยวกับบุคลากรที่สูงโดยเฉพาะเงินเดือนครู แต่ไม่สัมพันธ์กับคุณภาพของการศึกษาที่ได้รับกลับคืน ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของสถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) อยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการศธ. ให้ความสำคัญ จึงมี นโยบายที่จะเพิ่มคุณภาพและสมรรถนะของครู รวมทั้งปรับการประเมินครูให้เป็นการประเมินที่สัมพันธ์กับคุณภาพของ ผู้เรียนของเด็ก โดยประเมินจากผลการสอนจริง ส่วนที่ 2 น่าจะดูจากทักษะของนักเรียน โดยให้ความสำคัญกับ ทักษะในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วย 3 สมรรถนะหลัก คือ สมรรถนะทางด้านการคิด สมรรถนะทางด้านภาษา และสมรรถนะทางด้านไอซีที อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สพฐ. พยายามที่จะเติมคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 ให้กับ นักเรียนอยู่ ส่วนที่ 3 การประเมินของ WEF น่าจะประเมินจากอัตรากำลังคนทางด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นกำลังคนที่สำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ผู้เรียนสายอาชีวะของไทย ยังมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และคุณลักษณะ ของผู้เรียนสายอาชีพก็ยังไม่ถึงระดับอินเตอร์เนชั่นแนล

ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34038&Key=hotnews

ผู้ประกอบการชี้เด็กอาชีวะน่าสงสาร

10 กันยายน 2556

ผู้ประกอบการ ชี้เด็กอาชีวะน่าสงสาร ถูกวัดมาตรฐานเพียบ แนะ สทศ.ใช้วีเน็ตวัดผลทั้งทฤษฎี-ปฏิบัติ ควบคู่เป็นคนดี มีวินัย พร้อมด้วยคุณธรรม-จริยธรรม

นายอรรถการ ตฤษณารังสี ผู้แทนองค์กรเอกชน ในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เข้าร่วมงานเสวนา “วีเน็ต (V-NET) : ปัจจุบันและอนาคตอาชีวศึกษาไทย” จัดโดย สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) ซึ่งตนได้แสดงความเห็นว่า ขณะนี้นักศึกษาอาชีวะน่าสงสารมาก เพราะมีหลายมาตรฐานในการวัดความรู้ และการการันตีถึงคุณภาพ สมรรถนะ และทักษะอาชีพ อาทิ มาตรฐานอาชีวศึกษา มาตรฐานฝีมือแรงงาน มาตรฐานสมาคมวิชาชีพต่างๆ และมาตรฐานการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านอาชีวศึกษา หรือ วีเน็ต ของ สทศ. เป็นต้น ซึ่งตนมองว่าเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ เหล่านี้เยอะจนเด็กไม่รู้ว่าต้องสอบมาตรฐานไหนถึงจะได้การันตีคุณภาพ แล้วถ้าสอบผ่านมาตรฐานหนึ่งแต่อีกมาตรฐานไม่ผ่านจะถือว่ามีคุณภาพหรือไม่ ขณะเดียวกันการทดสอบต่างๆ ยังส่งผลให้อาจารย์อาชีวะเกิดความสับสนว่าควรสอนให้เด็กมีทักษะในการปฎิบัติงานจริงหรือสอนเพื่อให้เด็กทำข้อสอบได้

“อย่างไรก็ตามการกำหนดมาตรฐานต่างๆ เกิดจากคนชี้ไม่รู้ ส่วนคนรู้กลับไม่ชี้ ซึ่งผมมองว่าหาก สทศ.จะใช้การจัดทดสอบวีเน็ต โดยวัดเฉพาะความรู้แกนกลางตามทฤษฎีอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่ควรจะเป็นการวัดในเรื่องที่ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตจริงของเด็ก และควรพิจารณาว่าจะออกข้อสอบอย่างไรให้ใกล้เคียงกับภาคปฎิบัติควบคู่ไปกับความรู้ด้านทฤษฎี อีกทั้งควรจะมีการทดสอบเรื่องความเป็นคนดี มีวินัย คุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ควรทดสอบตั้งแต่ช่วงที่เด็กนักศึกษากำลังอยู่ในวัยเรียน”นายอรรถการ กล่าวและว่า การจัดการเรียนการสอนอาชีวะที่ดีต้องเป็นการเรียนที่ใกล้เคียงกับวิถีชีวิตจริงมากที่สุด โดยสถานศึกษาจะต้องร่วมมือกับสถานประกอบการในการผลิตเด็ก เพราะถ้าการเรียนการสอนที่อยู่ในห้องเรียนแตกต่างจากการไปทำงานในวิถีชีวิตจริง เด็กจบมาก็ไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวศึกษาให้มากกว่าสายอุดมศึกษาด้วย.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34037&Key=hotnews