Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ศธ.ประกาศนโยบายประถมฯ อ่านรู้เรื่อง

6 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. กล่าวในการแถลงข่าวประกาศนโยบาย ศธ. เรื่อง มาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่องและสื่อสารได้ “นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ต้องไม่มี” ว่า หลังจากที่ตนได้มอบนโยบายเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้เชื่อมโยงกันเพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนต้องมี เพื่อให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง คือ ความสามารถในการใช้ภาษา แต่เนื่องจากยังพบว่ามีเด็กไทยจำนวนมากอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงต้องมีการกำหนดมาตรการให้สถานศึกษาปลอดการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทำเครื่องมือทดสอบเพื่อตรวจและคัดกรองความสามารถการอ่านออกเสียงและความเข้าใจของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 เพื่อจัดแบ่งเด็กเป็นกลุ่ม วิเคราะห์สภาพปัญหา และหาวิธีแก้ไขที่ตรงจุด โดยจะเริ่มคัดกรองพร้อมกันทุกเขตพื้นที่การศึกษา และรายงานมายัง สพฐ.ภายในเดือน ก.ย. นี้ จากนั้นจะเร่งรัดพัฒนาครูตามผลการประเมินภายในเดือน ต.ค. เพื่อจัดสอนซ่อมเสริมให้แก่นักเรียนที่มีปัญหาภายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โดย สพฐ.จะมีการกำกับ ติดตาม นิเทศให้ความช่วยเหลือครูภาษาไทย และครูทุกคนที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาการอ่านของเด็ก

“ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงไปถึงการให้เด็กคิดวิเคราะห์การเรียนภาษาต่างประเทศ และการเรียนภาษาอื่น ๆ รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการดูแลแก้ไข ซึ่งตัวอย่างของหลายโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา คือ ให้ การดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดและมีการสอนแบบเข้มข้น บางโรงเรียนใช้เวลาเพียง 120 ชั่วโมง ก็สามารถเปลี่ยนให้เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นอ่านออกเขียนได้ แล้วกลับเข้าห้องเรียนตามปกติ ซึ่งวิธีการนี้จะใช้เวลาไม่มาก แต่สิ่งที่จะต้องเร่งรัดต่อไป หลังจากเด็กอ่านออกเขียนได้แล้ว คือ การอ่านรู้เรื่อง และสื่อสารได้ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการเรียนในวิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะเมื่ออ่อนภาษาไทย ก็ไม่ต้องพูดถึงวิชาอื่น” นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า ปัญหาเรื่องการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลักสูตรที่กำหนดให้เด็กเรียนวิชาภาษาไทยน้อยเกินไปหรือไม่ ปัญหาวิธีการสอนที่สอนให้เด็กอ่านเป็นคำ ไม่ได้สอนให้สะกด เด็กประสมคำแจกลูกไม่เป็น นอกจากนี้ระบบการทดสอบก็ไม่มีมาตรฐานกลางที่อ้างอิงหลักวิชาว่าด้วยการวัดผล หรือความรู้ทางมาตรฐานภาษา เป็นต้น

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ยังไม่สามารถตอบได้ว่าวันนี้มีเด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กี่คน แต่การสแกนครั้งนี้จะทำให้เรารู้ข้อมูลที่ชัดเจนเป็นรายเขตพื้นที่ฯ โดยมีเป้าหมายว่ากลุ่มที่ต้องปรับปรุงจะต้องลดลงจนเป็นศูนย์ภายในสิ้นเทอมที่ 2 ทั้งนี้ คู่มือการตรวจสอบและคัดกรองการอ่านรู้เรื่องและสื่อสาร นั้น จะให้เด็กอ่านออกเสียงตามเวลาที่กำหนด และมีแบบบันทึกคะแนนให้ โดยทั้ง ชั้น ป.3 และ ป.6 มีคะแนนเต็ม 45 แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ อ่านออกเสียงไม่ได้ 0-17 คะแนน ปรับปรุง 18-26 คะแนน พอใช้ 27-35 คะแนน และ ดี 36-45 คะแนน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34012&Key=hotnews

8 กันยายน วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ

6 กันยายน 2556

สำนักงาน กศน.
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศให้วันที่ 8 กันยายนของทุกปี เป็นวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ (International Literacy Day) พร้อมทั้งเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกทั่วโลก ร่วมจัดกิจกรรมและเฉลิมฉลองวันสำคัญดังกล่าว โดย ในปีนี้มุ่งเน้นเป็นพิเศษ เกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ ที่จำเป็นระหว่างการรู้หนังสือและสันติภาพ

ในโอกาสนี้ ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศสมาชิกขององค์การยูเนสโก ได้ตอบสนองเจตนารมณ์ดังกล่าว โดยร่วมเฉลิมฉลองและจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสแห่ง วันสำคัญนี้ทุกปี สำหรับวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ ในปีพุทธศักราช 2556 นี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) ได้จัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองวันดังกล่าวขึ้น ในวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2556 ณ หอประชุมประจักษ์ ศิลปาคม ศาลากลางจังหวัดหนองคาย โดยจะทำการถ่ายทอดสดพิธีเปิดงานทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศ ไทย กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อการศึกษา (ETV) ระหว่างเวลา 10.00-11.00 น. และเป็นประเพณีของทุกปี ที่จะมีการอ่านสารจาก ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก (อิรินา โบโกวา) ประจำกรุงปารีส ที่มอบให้เนื่องในวันที่ระลึกสากลแห่ง การรู้หนังสือ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้

“การรู้หนังสือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นตัวจักรสำคัญสำหรับการพัฒนามนุษย์ การรู้หนังสือเป็นการปูทางสู่การปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระ การพัฒนาทักษะต่าง ๆ การแสดงออกถึงวัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มที่ การไม่รู้หนังสือของประชากรโลกได้ลดลงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งต้องขอขอบคุณความพยายามร่วมกันระหว่างประเทศและการทำงานที่มุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ในปัจจุบันประชากรโลกร้อยละ 84 สามารถอ่านออกและเขียนได้ เมื่อเปรียบเทียบกันกับปี 2533 ซึ่งมีเพียงร้อยละ 76 โดยในช่วง 20 ปี ประชากรผู้ไม่รู้หนังสือได้ลดลงไปกว่า 100 ล้านคน แต่เท่านี้ยังคงไม่เพียงพอ เบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้ ยังคงมีความไม่เท่าเทียมกันอย่างรุนแรง สองในสามของประชากรผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือในโลก จำนวน 774 ล้านคน ยังคงเป็นสตรี ส่วนประชากรเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้ไปโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นเด็กหญิง นอกจากนี้ เด็กวัยเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 57 ล้านคน และระดับมัธยมศึกษาจำนวน 69 ล้านคน ไม่มีโอกาสเข้าโรงเรียน สำหรับเด็กที่โชคดีได้เข้าโรงเรียนนั้น เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้กันทุกคน แม้ในประเทศที่พัฒนาแล้วในเชิงเศรษฐกิจ ก็ยังมีสัดส่วนของประชากรที่ขาดทักษะพื้นฐานด้านการอ่านและการเขียนสูงมาก สิ่งนี้คืออุปสรรคใหญ่หลวงต่อความสำเร็จของตัวบุคคล การพัฒนาสังคม และความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างกลุ่มประชากรหลากหลายเชื้อชาติ การเกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ และสังคมความรู้ยุคใหม่ ล้วนทำให้สถานการณ์ดังกล่าวแย่ลงไปอีก

ด้วยความสามารถในการอ่านเขียนทวีความสำคัญมากขึ้น การรู้หนังสือเป็นเงื่อนไขแรกสำหรับการสนทนา การสื่อสารและการเข้าร่วมในสังคม สมัยใหม่ที่เชื่อมโยงกัน ประชากรวัยหนุ่มสาวจำเป็นต้องมีทักษะใหม่ ๆ เพื่อเป็นใบเบิกทางในการเข้าสู่ และประสบความสำเร็จในตลาดแรงงาน อันได้แก่ ความรู้ภาษาต่าง ๆ ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม การเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งนี้ การรู้หนังสือเป็นหัวใจสำคัญในการแสวงหาความรู้ทักษะต่าง ๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคล ทักษะความรู้ และความสามารถที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม ทักษะ ดังกล่าวทั้งหมดล้วนเป็นพื้นฐานของสังคมสมัยใหม่ โดยในศตวรรษที่ 21 นี้ การรู้หนังสือเป็นรากฐาน สู่สันติภาพและการพัฒนา ยิ่งกว่าสมัยใดในช่วง ที่ผ่านมา การรู้หนังสือเป็นมากกว่าความจำเป็น เร่งด่วนทางการศึกษา กล่าวคือ เป็นการลงทุน ที่สำคัญยิ่ง เพื่ออนาคตและเป็นก้าวแรกสู่การรู้ หนังสือรูปแบบใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 เราปรารถนาจะเห็นเด็กทุกคนสามารถอ่านออกและใช้ทักษะดังกล่าวเพื่อปลดปล่อยตนเองให้ เป็นอิสระ
เนื่องในโอกาสวันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือในปีนี้ เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งหลายทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุความฝันนี้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทางการเงินครั้งใหม่ รวมทั้งนโยบายต่าง ๆ ที่ร่างร่วมกับประชาชนที่เกี่ยวข้อง รูปแบบการดำเนินงานใหม่ ๆ ที่แสดงถึงความเป็นนวัตกรรมยิ่งขึ้น มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ซึ่งความก้าวหน้าที่ได้ดำเนินการในหลายปีที่ผ่านมานี้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่กล่าวมานี้เป็นไปได้ และยูเนสโกขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำ ทุกอย่างเพื่อให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ปรากฏเป็นจริง”

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34011&Key=hotnews

ชี้เทรนด์เรียนข้ามศาสตร์รุ่งกระตุ้นเร่งปั้นเด็กไทยเก่งรอบด้านหวังเอื้อจัดอันดับการศึกษาไม่รั้งท้าย.

6 กันยายน 2556

ชี้เทรนด์การศึกษาแบบข้ามศาสตร์กำลังมาแรง เชื่อหากไทยปรับตัวช่วยคนรุ่นใหม่สร้างนวัตกรรมได้
นางพัชราวลัย วงศ์บุญสิน รองผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า แนวโน้มการศึกษาระดับอุดมศึกษาแบบเรียนข้ามศาสตร์ในกลุ่มประเทศอาเซียนกำลังมาแรง โดยตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจนคือ สิงคโปร์ที่นำศาสตร์ด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และนิติศาสตร์ มารวมกันทำให้ผลิตวิศวกรที่สามารถสร้างและออกแบบสิ่งก่อสร้างได้ พร้อมมีความรู้กฎหมายเบื้องต้นเกี่ยวกับอาชีพตัวเอง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานสมัยใหม่

“การเรียนการสอนแบบนี้จะช่วยทำให้เด็กรู้จักคิดและจะเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้คุณภาพการศึกษาของประเทศถูกจัดอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น” นางพัชราวลัย กล่าว

ทั้งนี้ ระบบการศึกษาไทยจะต้องเร่งปรับตัวใน 2 ประเด็นหลัก คือ การมองหาจุดร่วมในการพัฒนาให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการนำเอาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มาใช้เพื่อยกระดับขีดความสามารถด้านการศึกษาของคนต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่อยู่บริเวณชายแดน ซึ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีสถาบันการศึกษาต่างชาติเข้ามาชิงพื้นที่และเด็กนักเรียน เพราะการศึกษาส่วนใหญ่ยังอยู่ในการกำกับดูแลของภาครัฐ นอกจากนี้จะต้องพัฒนาศักยภาพครูให้มีความรู้และทักษะด้านอาเซียนเพิ่มมากขึ้น

“ประเทศต่างๆ ในอาเซียนต่างตระหนักดีว่า คนคือหัวใจหลักในการพัฒนาประเทศเพื่อเข้าสู่การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน จึงมีการวางบทบาทการศึกษาในระดับต่างๆ เช่นสิงคโปร์ บรูไน และฟิลิปปินส์ ที่มีความโดดเด่นมากด้านอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นการสอนให้เด็กรู้จักคิดและใช้ชีวิตเป็น”นางพัชราวลัย กล่าว

ด้านนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมศาสตร์ กล่าวว่า การปฏิบัติตามกรอบความร่วมมือของอาเซียนไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับชาวไทย เนื่องจากยังมีประวัติศาสตร์และความเชื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางซึ่งอยู่ในเสาที่สาม คือ เสาสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องแก้ไข ที่ผ่านมาคนไทยถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กตามแบบเรียน ทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อประเทศเพื่อนบ้านจนบางครั้งสร้างความเข้าใจผิด ดังนั้น จึงต้องมีการปฏิรูปและปฏิวัติระบบการศึกษาครั้งใหญ่ และเปิดโลกให้เด็กได้เห็นและเรียนรู้ด้วยตัวเองเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34010&Key=hotnews

ศธ.ปรับหลักสูตรดึงเด็กไทยเก่ง

6 กันยายน 2556

วังจันทรเกษม : รัฐมนตรีศึกษาเดินหน้าปรับหลักสูตรการเรียนใหม่ หวังพัฒนาเด็กไทยอ่านออกเขียนได้ หากมีการดูแลและสอนอย่างเข้มข้น สพฐ. เล็งเพิ่มศักยภาพครูและเด็ก

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ร่วมแถลงข่าวประกาศนโยบายกระทรวงศึกษาธิการเรื่อง มาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่องและสื่อสารได้ “นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ต้องไม่มี” หลังพบว่าเด็กไทยจำนวน มากอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปถึงการให้เด็กคิดวิเคราะห์ การเรียนภาษาต่างประเทศ รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ล่าสุดสำนักงานคณะกรรม- การการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทำเครื่องมือทดสอบให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไปจัดการทดสอบนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 ทั่วประเทศกว่า 1.6 ล้านคน เพื่อคัดกรองนักเรียนกลุ่มเสี่ยงที่ต้องปรับปรุงการอ่านออกเขียนได้ ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 9-20 ก.ย. 56 และวิเคราะห์ข้อมูลสรุปรายงาน สพฐ. ทางออนไลน์ เสนอแผนของแต่ละเขตพื้นที่ในวันที่ 22 ก.ย. หลังจากนั้นจะมีการพัฒนาครูตามผลการประเมินนักเรียนให้แล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. หรือช่วงปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556

จากตัวอย่างของหลายโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาคือ ให้การดูแลเด็กอย่าง ใกล้ชิดและมีการสอนแบบเข้มข้น บางโรงเรียนใช้เวลาเพียง 120 ชั่วโมงสามารถเปลี่ยนให้เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นอ่านออกเขียนได้ แล้วกลับเข้าห้องเรียน ตามปรกติ แต่สิ่งที่จะต้องเร่งรัด ต่อไปหลังจากเด็กอ่านออกเขียนได้แล้วคือ การอ่านรู้เรื่องและสื่อสารได้ เพราะเมื่ออ่อนภาษาไทยก็ไม่ต้องพูดถึงวิชาอื่น

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34009&Key=hotnews

คอลัมน์: การศึกษา: สั่ง ‘อดีตครูผู้ช่วย’ รับราชการเกมยื้อสางปมทุจริต…?!?

6 กันยายน 2556

หลังจากเรื่องเงียบหายไปพักหนึ่งกับกรณีปัญหาการทุจริตการสอบครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ  ว12 ที่ยืดเยื้อคาราคาซังมาตั้งแต่ช่วงต้นปี

ล่าสุดได้กลายเป็นประเด็นฮอตอีกครั้ง เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่มี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ได้หยิบยกเรื่องการทุจริตสอบครูผู้ช่วยเข้าไปพิจารณา

และได้มีมติให้อดีตครูผู้ช่วยตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 344 รายที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ยังไม่มีการสอบสวนและไม่ได้รับโอกาสชี้แจง ให้กลับเข้ารับราชการเพื่อมาตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและได้รับโอกาสชี้แจง

โดยการให้อดีตครูผู้ช่วยกลุ่มนี้ กลับเข้ามารับราชการทำให้เกิดคำถามตามมาว่า จะเป็นการเปิดโอกาสหรือช่วยเหลือคนเหล่านี้ให้พ้นผิดหรือไม่

เพราะจากข้อมูลของดีเอสไอ และผลการวิเคราะห์คะแนน ของ “ดร.ชอบ ลีชอ” ผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับผลการสอบของผู้เข้าสอบคัดเลือกประจำคณะกรรมการประจำศูนย์ให้คำปรึกษา และติดตามผลการคัดเลือกครูผู้ช่วย ก็ระบุชัดถึงความผิดปกติของคะแนน

เชื่อกันว่าสาเหตุที่ทำให้ที่ประชุม ก.ค.ศ. มีมติออกมาเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหวั่นปัญหาการฟ้องร้องตามมาที่อาจจะสร้างความยุ่งยากมากกว่า

ซึ่ง “นายจาตุรนต์” เองได้ยอมรับว่า กรณีกลุ่มอดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการ โดยไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง หรือว่ายังไม่มีการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้มาชี้แจง คำสั่งที่ให้ออกจากราชการ จะไม่มีผลทางกฎหมาย เพราะหากมีการฟ้องร้องขึ้นมา ในที่สุดก็ต้องแพ้คดีและส่งผลให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ไม่มีการสอบสวนหรือได้รับโอกาสชี้แจงเหล่านี้ กลับเข้ามารับราชการได้อยู่ดี

โดยนักกฎหมายสูงสุดของประเทศที่อยู่ใน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ความเห็นว่าการทบทวนให้กลับเข้ามารับราชการเพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ และให้โอกาสชี้แจง เป็นวิธีการที่จะรักษาประโยชน์ของทางราชการได้มากกว่า และเป็นธรรมกับทุกฝ่ายมากที่สุดแล้ว เพราะผู้บริสุทธิ์เอง ก็จะได้มีโอกาสชี้แจง แต่หากไม่บริสุทธิ์ ก็จะต้องถูกลงโทษไปตามระเบียบ

ขณะที่กรรมการใน ก.ค.ศ. หลายคนก็มีความเห็นสอดรับกัน
อย่าง นายสมเกียรติ บุญรอด ในฐานะ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ เห็นว่าเมื่อกลุ่มอดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกโดยไม่มีการตั้งกรรมการสอบฯ หรือเรียกมาชี้แจง ได้อุทธรณ์มา อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯ ก็ต้องสั่งกลับไปรับราชการและให้ดำเนินการให้ถูกต้อง

คือ มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงและหากพบว่าผิดก็ให้ออกคำสั่งให้ออกจากราชการโดยผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีอำนาจตามมาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

ส่วน นายสานิตย์ พลศรี อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ชัยภูมิ เขต 1 มองว่าเคยเสนอไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าควรจะมีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก่อนที่จะให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการ ดังนั้น จึงเห็นด้วยที่จะให้อดีตครูผู้ช่วยกลุ่มนี้กลับมารับราชการ
ฟาก “นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. ในฐานะที่รับผิดชอบและเปิดประเด็นทุจริตครูผู้ช่วยมาตั้งแต่แรก เห็นว่าการให้กลุ่มอดีตครูผู้ช่วยกลับเข้ามารับราชการนั้น คงจะวุ่นวายเพราะเข้าๆ ออกๆ

แต่ทางนักกฎหมายมองว่าการดำเนินการเรื่องนี้ต้องทำให้สมบูรณ์เพื่อป้องกันการฟ้องร้องถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ก.ค.ศ. ระบุว่า ไม่จำเป็นต้องมีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงก็ได้

ทั้งนี้ ประเด็นการสั่งให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการโดยไม่มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองนี้ มีข้อถกเถียงกันมา ก่อนนี้สมัย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรัฐมนตรีว่าการ ศธ. โดยในขณะนั้น ก.ค.ศ. เองได้ยืนยันว่า “ผู้อำนวยการสถานศึกษาที่มีอำนาจตามมาตรา 53 สามารถสั่งให้ออกจากราชการได้เลย เพราะมีหลักฐานที่ชัดแจ้งจากดีเอสไอแล้ว” จนทำให้หลายเขตพื้นที่การศึกษาได้มีการสั่งให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการเลย

ในขณะที่มาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ได้ระบุไว้ว่า หากภายหลังปรากฏว่าผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยขาดคุณสมบัติภายหลัง ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 สั่งให้ออกจากราชการโดยพลัน

สอดรับกับความเห็นของ นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ที่ระบุว่าในมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ไม่ได้ระบุขั้นตอนชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้ไปอ้างกฎหมายคนละส่วนกัน และโดยหลักกฎหมายแล้วทำผิดก็ต้องผิดเพราะได้กระทำความผิดไปแล้ว และมีการชี้มูลความผิดชัดเจน เว้นแต่จะมีการดึงเรื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องนี้ นายจาตุรนต์ และที่ประชุม ก.ค.ศ. จะมองว่าการมีมติให้อดีตครูผู้ช่วยกลับเข้าไปรับราชการจะเป็นผลดีมากกว่า

แต่สิ่งที่น่าห่วงและอาจเป็นปัญหาวุ่นวายตามมา คือ กรณีที่ครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ไม่ได้รับโอกาสชี้แจง อาจจะไม่ไปชี้แจงและจะอาศัยช่องทางนี้ในการฟ้องศาลปกครองและจะมีโอกาสชนะคดีสูง แม้รัฐมนตรีว่าการ ศธ. จะออกมาแสดงความเห็นในประเด็นนี้ในทำนองไม่น่าเป็นห่วงอะไร

และที่สำคัญ มติ ก.ค.ศ. ที่ออกมา คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์ว่าทำให้การแก้ปัญหาการทุจริตครูผู้ช่วยยิ่งยืดเยื้อไปอีก ในขณะที่กลุ่มครูผู้ช่วยอีกจำนวนมากที่มีคะแนนสูงผิดปกติก็ยังทำหน้าที่สอนตามปกติ

ส่วนการสอบสวนผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่เกี่ยวข้องแม้ผลสอบจะออกมาชัดเจนว่ามีใครผิดบ้าง แต่กระบวนการก็ยังไม่สิ้นสุด
ดังนั้น จากนี้ไปคงต้องติดตามว่า ศธ. จะปิดฉากเรื่องนี้ให้สวยงาม หรือสวนทางกับหลักฐานและข้อเท็จจริงหรือไม่…??

–มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 – 12 ก.ย. 2556–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34007&Key=hotnews

ศธ.ประกาศเร่งรัดแก้ปัญหาเด็กไทยอ่าน-เขียนไม่ได้

6 กันยายน 2556

“จาตุรนต์” ประกาศมาตรการเร่งรัดแก้ปัญหาเด็กไทย อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ ต้องไม่มีอีกต่อไป ชี้ปัจจัยทำทักษะภาษาไทยอ่อน หลักสูตรภาษาไทยเปลี่ยน ครูไม่สอนการสะกด-ประสมคำ สพฐ.ทำเครื่องมือทดสอบพร้อมสแกนกลุ่มเสี่ยง ป.3 และ ป.6 ทั่วประเทศ เดือน ก.ย.นี้ ตั้งเป้าลดจำนวนเหลือศูนย์ในภาคเรียนที่ 2/2556

ที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 5 ก.ย.56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวในการแถลงข่าวประกาศนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรการเร่งรัดคุณภาพการอ่านรู้เรื่องและสื่อสารได้ “นักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ต้องไม่มี” ว่า หลังจากที่ตนได้มอบนโยบายเรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้เชื่อมโยงกันเพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนต้องมีเพื่อให้สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง คือ ความสามารถในการใช้ภาษา แต่เนื่องจากยังพบว่าเด็กไทยจำนวนมากที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงต้องมีการกำหนดมาตรการให้สถานศึกษาปลอดการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

และขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้ไปจัดทำเครื่องมือทดสอบเพื่อตรวจและคัดกรองความสามารถการอ่านออกเสียงและความเข้าใจของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 เพื่อจัดแบ่งเด็กเป็นกลุ่มและวิเคราะห์สภาพปัญหาและหาวิธีแก้ไขที่ตรงจุด โดยจะเริ่มดำเนินการคัดกรองพร้อมกันทุกเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศให้แล้วเสร็จและรายงานมายังสพฐ.ภายในเดือน ก.ย.นี้ จากนั้นจะมีการเร่งรัดพัฒนาครูตามผลการประเมินภายในเดือน ต.ค.56 เพื่อจะได้จัดสอนซ่อมเสริมให้แก่นักเรียนที่มีปัญหาภายในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โดย สพฐ.จะมีการกำกับ ติดตาม นิเทศให้ความช่วยเหลือครูภาษาไทย และครูทุกคนที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาการอ่านของเด็ก

“ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะเชื่อมโยงไปถึงการให้เด็กคิดวิเคราะห์การเรียนภาษาต่างประเทศ และการเรียนภาษาอื่นๆ รวมถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการดูแลแก้ไข ซึ่งจากตัวอย่างของหลายโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาคือการให้การดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดและมีการสอนแบบเข้มข้น บางโรงเรียนใช้เวลาเพียง 120 ชั่วโมง ก็สามารถเปลี่ยนให้เด็กที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เป็นอ่านออกเขียนได้ แล้วกลับเข้าห้องเรียนตามปกติ ซึ่งวิธีการนี้จะใช้เวลาไม่มาก แต่สิ่งที่จะต้องเร่งรัดต่อไป หลังจากเด็กอ่านออกเขียนได้แล้วคือ การอ่านรู้เรื่อง และสื่อสารได้ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปถึงการเรียนในวิชาอื่น ๆ ด้วย เพราะเมื่ออ่อนภาษาไทย ก็ไม่ต้องพูดถึงวิชาอื่น”

นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า ปัญหาเรื่องการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหลักสูตรที่กำหนดให้เด็กเรียนวิชาภาษาไทยน้อยเกินไปหรือไม่ ปัญหาวิธีการสอนที่สอนให้เด็กอ่านเป็นคำ ไม่ได้สอนให้สะกด เด็กประสมคำแจกลูกไม่เป็น ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให่ฃ้เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ นอกจากนี้ระบบการทดสอบก็ไม่มีมาตรฐานกลางที่อ้างอิงหลักวิชาว่าด้วยการวัดผล หรือความรู้ทางมาตรฐานภาษา เป็นต้น

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าวันนี้มีเด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้กี่คน แต่การสแกนครั้งนี้จะทำให้เรารู้ข้อมูลที่ชัดเจนเป็นรายเขตพื้นที่ฯซึ่งจะทราบว่ามีเด็กอยู่ในกลุ่มที่ต้องปรับปรุงจำนวนเท่าได เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมครูผู้สอนในช่วงปิดภาคเรียนและดำเนินการสอนซ่อมเสริมได้ทันทีในภาคเรียนที่ 2 โดยมีเป้าหมายว่าแต่ละเดือนนักเรียนกลุ่มที่ต้องปรับปรุงจะต้องลดลงจนเป็นศูนย์ภายในสิ้นเทอมที่ 2

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34004&Key=hotnews

เสนอเลิกใช้โอเน็ตตัดสินผลการเรียนเด็ก ป.6

6 กันยายน 2556

ประธานบอร์ด สทศ.เสนอเลิกใช้ผลโอเน็ตตัดสินผลการเรียนเด็ก ป.6 หวังลดแรงกดดันครู-นักเรียน ชี้เด็กประถม เหมือนผ้าขาวสั่งให้ตั้งใจเรียนได้ไม่ต้องบังคับสอบ

ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้มีประกาศเรื่องการใช้ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนที่จบการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ทั้งระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยให้สถานศึกษาดำเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2555 นั้น จากการประเมินของตนเห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าวควรให้มีผลบังคับใช้เฉพาะนักเรียนระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป เพราะนักเรียนระดับประถมศึกษายังอยู่ในวัยที่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งมีงานวิจัยต่างชาติ ระบุตรงกันว่า เด็กนักเรียนประถม เป็นวัยที่มีระเบียบวินัย เป็นเด็กดี เชื่อฟังครู และเปรียบเสมือนผ้าขาว ถ้าครูสั่งให้ทำอะไรก็สามารถทำตามได้โดยไม่ขัดข้อง ให้อ่านหนังสือก็อ่าน ให้ตั้งใจสอบก็สอบ ดังนั้นประกาศของศธ.ดังกล่าวที่มีขึ้นเพื่อให้นักเรียนตั้งใจทำข้อสอบโอเน็ต จึงไม่จำเป็นสำหรับนักเรียนประถม ทั้งนี้ตนได้เตรียมยื่นข้อเสนอให้ยกเลิกการใช้คะแนนโอเน็ตเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียนของนักเรียนชั้นป.6 ต่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. ในการประชุมระดับนโยบายรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา วันที่ 7 ก.ย.นี้ ที่จังหวัดชลบุรี

ศ.ดร.สมหวัง กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาไม่ได้มีเสียงสะท้อนว่าการทดสอบระดับชาติ ป.6 ไม่ดี เพียงแต่ตนเห็นว่านโยบายดังกล่าว ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อครูและเด็กมากเกินไป เพราะมุ่งจะทำข้อสอบให้ได้คะแนนดี และทำให้ครูเน้นติวความรู้วิชาการมากจนกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กในด้านอื่น ขณะเดียวกันตนไม่ได้เสนอให้ยกเลิกการสอบโอเน็ต ป.6 เพียงแต่อาจปรับปรุงให้เป็นการสอบเพื่อวัดประเมินผลคุณภาพการศึกษา โดยการสุ่มตัวอย่างนักเรียนมาเข้าสอบ สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)จะนำคะแนนไปใช้อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของสพฐ. เอง

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34003&Key=hotnews

“1 ทศวรรษ สกสค.ตั้งศูนย์ช่วยเหลือ ดูแลครอบครัวครูชายแดนใต้ 24 ชั่วโมง”

5 กันยายน 2556

10 ปี ของเหตุการณ์ความรุนแรงที่ได้ปะทุขึ้นบนพื้นที่ชายแดนใต้ เป็น 10 ปี ที่ประเทศไทยต้องสังเวยชีวิตประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้กระทั่งครู และพระสงฆ์ ซึ่งรวมแล้วมีผู้เสียชีวิตกว่า 5,528 คน บาดเจ็บกว่า 9,524 คน

“ชีวิตคนที่ดับสูญเหมือนใบไม้ร่วง” ณ วันนี้ ไม่ได้บรรเทาเบาบางลงไปเลย ตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร ชรบ. ครู ผู้นำศาสนา ประชาชนทั่วไป กลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้าย จนเกิดเหตุ “ตายรายวัน” วันละหลายๆ เหตุการณ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ดูเหมือนสถานการณ์จะดีขึ้นระยะหนึ่งในช่วงเริ่มต้นเดือน “รอมฎอน” แต่ทว่าในช่วงปลายของเดือนรอมฎอนเหตุการณ์กลับมาสู่ “โหมด” ของความรุนแรงและเลวร้ายอีกครั้งหนึ่ง

นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนใต้ และผู้อำนวยการสำนักงาน สกสค. จังหวัดปัตตานี เปิดเผยถึงรายละเอียดจำนวนครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบถึง 159 คนรวมทั้งโรงเรียนที่ถูกเผาถึง 335 โรง นับจากปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา และจากการไม่ปฏิบัติการกับ “ครู” มาเป็นเวลาเกือบ 1 ปี วันนี้ก็กลับมาปฏิบัติการมุ่งหมายเอาชีวิตครูเป็น “เหยื่อ” อีกครั้ง เฉพาะในห้วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีครูใน จ.นราธิวาส ปัตตานี ถูกฆ่าไปแล้ว 3 ราย บาดเจ็บอีก 1 ราย ชีวิตของครูในขณะนี้จึงเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีกครั้ง

ขณะที่นายสมศักดิ์ ตาไชยเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. ในฐานะผู้นำองค์กรวิชาชีพครูที่ดูแลงานด้านสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาทั้งประเทศ ได้แสดงความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของเพื่อนครู ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวของผู้ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรารู้ถึงความทุกข์ใจ รู้และรับทราบถึงความสุ่มเสี่ยงในชีวิตกับการทำหน้าที่แต่ละวันที่ไม่อาจมองถึงวันพรุ่งนี้ได้ จึงคิดว่าทำอย่างไรจะให้เพื่อนผู้ปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นได้ทุเลาความทุกข์ ความกังวลใจลงได้ สกสค.ของเราจึงได้จัดตั้งกองทุนฯ ขึ้นมาหนึ่งกองทุนเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาสมาชิกและครอบครัวในอีกหนึ่งทาง” …กองทุนสวัสดิการและสวัสดิภาพเพื่อสงเคราะห์ครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่เป็นกรณีพิเศษในชายแดนใต้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ สกสค.กำหนด ในวาระเริ่มแรกได้นำเงินสนับสนุนพิเศษโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ซึ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ ช.พ.ค. เป็นเงินจำนวนยี่สิบสองล้านบาท มาจัดตั้งเป็นกองทุนประเดิม ผู้ปฏิบัติงานด้านการศึกษา เลขาธิการ รองเลขาธิการ ผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการ สกสค.จังหวัด พนักงานเจ้าหน้าที่ รวมทั้งลูกจ้างในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ที่ประสบเหตุเภทภัยจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นกรณีพิเศษ

จากการลงพื้นที่ของนายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. พบว่าการดำเนินการช่วยเหลือดังกล่าวยังมีปัญหากับกลุ่มครูไทยมุสลิมที่เสียชีวิต เนื่องจากประเพณีประกอบพิธีทางศาสนาให้แก่ผู้เสียชีวิตต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง ตามประเพณีของชาวไทยมุสลิมที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือต้องปรับยุทธวิธีในการดำเนินงานให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของชุมชน

ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. จึงมีแนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือดูแลครอบครัวครูชายแดนใต้ โดยกำหนดภารกิจและบทบาทหน้าที่ในการดำเนินงาน 3 มาตรการ ได้แก่
1.การจัดตั้งศูนย์ดูแลครอบครัวครูชายแดนใต้
2.การช่วยเหลือดูแลครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
3.การช่วยเหลือครอบครัวครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้รับผลกระทบ

โดยกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับความช่วยเหลือจะแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นสมาชิก ช.พ.ค. / ช.พ.ส. และกลุ่มที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก ช.พ.ค. / ช.พ.ส. ซึ่งสมาชิกทั้ง 2 กลุ่มนี้ เมื่อประสบเหตุเภทภัยถึงแก่ชีวิตจะได้รับเงินสงเคราะห์รายศพ รายละ 500,000 บาท จากเงินกองทุนสวัสดิการและสวัสดิภาพครูเท่ากัน แต่กลุ่มที่สมัครเป็นสมาชิก ช.พ.ค. / ช.พ.ส. ของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ยังจะได้รับเงินช่วยเหลือฌาปนกิจสงเคราะห์ ช.พ.ค. / ช.พ.ส. อีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ยังดำเนินงานจัดโครงการดูแลครอบครัว การสร้างขวัญกำลังใจให้กับครอบครัวผู้ประสบภัย อาทิ การให้ทุนการศึกษาแก่บุตร-ธิดาผู้ประสบภัย การเยี่ยมเยือนปลอบขวัญผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ การช่วยเหลือความเสียหายด้านทรัพย์สิน รวมทั้งการนำไปศึกษาดูงาน นับถึงปัจจุบันสำนักงาน สกสค. ให้ความช่วยเหลือครูผู้เสียชีวิตแล้ว 45 ราย รายละ 500,000 บาทคิดเป็นเงิน 22,500,000 บาท (ยี่สิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน)

และในวาระครบรอบการสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ครบ 10 ปี ซึ่งจะจัดงานในระหว่างวันที่ 5-9 กันยายนนี้ การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือดูแลครอบครัวครูชายแดนใต้ ทั้งนี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เกียรติและให้ความสำคัญมาเป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ฯ ในวันที่ 5 กันยายน 2556 เวลา 10.30 น. ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. จะจัดงานครบรอบ “1 ทศวรรษ สกสค.” ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญอีกหนึ่งก้าวในการที่ สกสค.จะได้ยกระดับการดูแลสวัสดิการ สวัสดิภาพครูให้เข้าถึงส่วนที่อยู่ลึกที่สุด และเป็นโครงสร้างทางสังคมที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คือ “ครอบครัว” ครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่พิเศษเสี่ยงภัย จะได้รับความอุ่นใจในการดูแลครอบครัวครู ซึ่งวันนี้ สกสค. ได้รับความร่วมมือที่ดียิ่งจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการ สกสค. คณะผู้บริหารในจังหวัดชายแดนใต้ ผู้แทนครูและผู้ปฏิบัติในพื้นที่ และนี่ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะเอื้ออำนวยให้การช่วยเหลือประสานงานเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ กับครูและบุคลากรทางการศึกษาในชายแดนภาคใต้ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์เป้าหมายที่ตั้งไว้ และเป็นไปดังปณิธานของสำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ที่กำหนดไว้ว่า “ครอบครัวครู…. เราดูแล” อย่างแท้จริง www.otep.go.th 0-2282-3831

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33991&Key=hotnews

 

ยูเนสโกเผยงานวิจัยพบเด็กไทยเครียดเพราะสอบมาก

5 กันยายน 2556

สทศ.ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 9 เดินหน้าสู่ความเป็นสากล เชิญวิทยากรจากอเมริกาและยูเนสโกร่วมแสดงทัศนะการจัดการทดสอบทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้าน “พงศ์เทพ” หวังเรียนรู้เทคนิคนำมาปรับใช้พัฒนาหลักสูตรและข้อสอบ ประกอบการปฏิรูปการศึกษาไทย ขณะที่ผู้แทนยูเนสโก ชี้เด็กไทยสอบมากส่งผลเครียด-ต้องเรียนเพิ่ม แนะทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้

วานนี้ (4 ก.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ได้มีการประชุมนานาชาติ 2013  “NIETS International Symposium”  ในโอกาสครบรอบ 8 ปีสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงานว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นองค์ประกอบสำคัญของรัฐและทรัพยากรมนุษย์ที่มีการศึกษาก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยประเทศไทยลงทุนด้านการศึกษามากที่สุดประเทศหนึ่ง คือ มากกว่าร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี แต่คุณภาพการศึกษาของเรายังตามหลังอยู่หลายประเทศ ดังนั้นการประชุมระดับนานาชาติครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ แนวปฏิบัติและเทคนิคจากต่างประเทศ ในการพัฒนาระบบการทดสอบให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น รวมถึงเรียนรู้วิธีการจัดทำเนื้อหาข้อสอบเพื่อชี้วัดการใช้ทักษะความจำและการวิเคราะห์ของผู้เรียน ซึ่งตนเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรและการปฏิรูประบบการศึกษาของไทยต่อไป

รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สทศ. กล่าวว่า ตนมีนโยบายที่จะเดินหน้าพัฒนาการทดสอบให้เป็นมาตรฐานสากล โดยพัฒนาระบบการจัดทำข้อสอบในด้านต่างๆ อาทิ การจัดทำคลังข้อสอบโอเน็ต ทดสอบความรู้ที่เชื่อมโยงกับเนื้อหา มุ่งวัดสมรรถนะผู้เรียนเพื่อนำผลการทดสอบไปใช้เชื่อมโยงกับหลักสูตรและการเรียนการสอน รวมถึงให้ผลการทดสอบสามารถเทียบเคียงกับผลการทดสอบระดับนานาชาติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้จะพัฒนาระบบอี-เทสติ้งให้มีเสถียรภาพและน่าเชื่อถือ และจะมีการนำร่องการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติระดับอุดมศึกษา รวมทั้งเร่งพัฒนาระบบการทดสอบด้านภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

ดร.ฉาง กว่าง ซอย ผู้แทนยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า จากงานวิจัยของยูเนสโก พบว่าประเทศไทยมีการจัดทดสอบในทุกระดับชั้น ส่งผลให้นักเรียนมีความเครียด และต้องไปเรียนพิเศษนอกห้องเรียนมากขึ้น ซึ่งข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาจะต้องมีการลงทุนพัฒนาความสามารถเชิงหลักสูตร และคุณภาพของครูให้มากขึ้น แต่ทั้งนี้การพัฒนาคุณภาพการเรียนและการประเมินผลจะต้องมีการทำวิจัย ซึ่งอาจเป็นงานวิจัยที่ทำร่วมกันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งยูเนสโกได้ร่วมกับหลายหน่วยงานในการทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ซึ่งปัจจุบันยูเนสโกได้มีการทำวิจัยการทดสอบด้านศิลปะและพลศึกษา เพราะการประเมินผลการทดสอบเพียงแค่ด้านวิทยาศาสตร์และ คณิตศาสตร์ยังไม่เพียงพอ แต่จะต้องมีการทดสอบเพื่อให้เห็นถึงความรู้ความสามารถด้านศิลปะ และพลศึกษาด้วย อันนำไปสู่การช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น

ด้าน ศ.ดร.มาร์ค แอล เดวิสัน อาจารย์ด้านจิตวิทยาการศึกษา จากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า สหรัฐอเมริกามุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านคณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์ เป็นหลัก โดยปัจจุบันมีระบบการจัดสอบ 2 รูปแบบ คือ ให้แต่ละรัฐจัดสอบเองโดยรัฐบาลกลางเป็นผู้กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำ ส่วนอีกระบบเป็นนโยบายของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีที่เน้นการจัดการทดสอบโดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้กำหนดหลักสูตรและออกข้อสอบเป็นชุดเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีการพัฒนาการทดสอบของสหรัฐ ให้เปลี่ยนมาเป็นแบบทดสอบเดียว แต่จะต้องสามารถเปรียบเทียบผลลัพธ์ของทุกรัฐได้ และนักเรียนแต่ละคนสามารถเปรียบเทียบได้ว่า เขามีความสามารถในการเรียนรู้เมื่อเปรียบเทียบนักเรียนในแต่ละรัฐอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ในการดำเนินการรัฐบาลจะมอบให้หน่วยงานเอกชนเป็นผู้จัดการทดสอบผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพการสอบและการประเมินผลได้ ขณะที่เนื้อหาการสอบยังคงเน้นการอ่านและคณิตศาสตร์ ซึ่งรูปแบบที่สหรัฐใช้อยู่เป็นรูปแบบเดียวกับที่รัฐบาลไทยทำอยู่แล้ว

” การพัฒนาระบบการทดสอบประเมินผลจำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลการดำเนินงานที่ผ่านมาทุกระยะเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลของแต่ละรูปแบบได้ และสิ่งสำคัญที่สุด คือการสร้างเครือข่ายการทำบททดสอบในเชิงมืออาชีพ ทั้งในระดับรัฐหรือชุมชน และระดับรัฐบาล โดยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น พร้อมกับช่วยกันดูทิศทางการเปลี่ยนแปลงของการทำข้อสอบ หรือการออกข้อสอบในระดับชาติ” ดร.มาร์ค กล่าว.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33990&Key=hotnews

 

ชี้ WEF จัดอันดับศึกษาไทยร่วงลงทุนสูงคุณภาพต่ำ

5 กันยายน 2556

“ชินภัทร”วิเคราะห์ผลการจัดอันดับ WEF เน้นความคุ้มค่าในการลงทุนด้านการศึกษา ส่งผลไทยอันดับร่วงเพราะลงทุนสูงแต่คุณภาพต่ำ

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)กล่าวว่า โดยส่วนตัวเข้าใจว่า รายงานผลการจัดอันดับของ WEF จะวิเคราะห์ระบบการศึกษาของแต่ละประเทศในฐานะของการผลิตกำลังคนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ มองการศึกษาว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น อาจมีการเปรียบเทียบเม็ดเงินที่ใช้ลงทุนด้านการศึกษาและผลที่ได้รับกลับมา ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนการลงทุนด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือGDP ที่สูงแต่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำ เลยทำให้อันดับอยู่ต่ำกว่าประเทศอื่นซึ่งลงทุนต่อ GDP ต่ำกว่า แต่ได้คุณภาพที่สูง

นายชินภัทร กล่าวต่อว่า เข้าใจว่าการจัดอันดับของ WEF จะมอง 3 ส่วนหลัก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการผลิตกำลังพลที่มีคุณภาพ ประเด็นแรกคือมองที่คุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีปัจจัยสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จคือคุณภาพและสมรรถนะของครู ในส่วนของประเทศไทยมีการลงทุนเกี่ยวกับบุคลากรที่สูงโดยเฉพาะเงินเดือนครู แต่ไม่สัมพันธ์กับคุณภาพของการศึกษาที่ได้รับกลับคืน ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI ) อยู่แล้ว และเรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่ รมว.ศึกษาธิการ ให้ความสำคัญ มีนโยบายที่จะเพิ่มคุณภาพและสมรรถนะของครู รวมทั้งปรับการประเมินครู ให้เป็นการประเมินที่สัมพันธ์กับคุณภาพของผู้เรียน และประเมินจากผลการสอนจริงส่วนที่ 2 WEF น่าจะดูจากทักษะของนักเรียน โดยให้ความสำคัญกับ ทักษะในศตวรรษที่21 โดยหลักประกอบด้วย 3 สมรรถนะหลัก คือ สมรรถนะทางด้านการคิด สมรรถนะทางด้านภาษา และสมรรถนะทางด้านไอซีที อย่างไรก็ตามปัจจุบัน สพฐ. พยายามที่จะเติมคุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 ให้กับนักเรียนอยู่ และส่วนที่3 การประเมินของ WEF น่าจะประเมินจากอัตรากำลังคนทางด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นกำลังคนที่สำคัญมาในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแต่ผู้เรียนสายอาชีวะของไทย ยังมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และคุณลักษณะของผู้เรียนสายอาชีพก็ยังไม่ถึงระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพราะฉะนั้นจุดบกพร่องทั้ง 3 เรื่องนี้ของไทย โดยเฉพาะในเรื่องอัตรากำลังคนในสายอาชีวะ ทั้งนี้จะมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสพฐ.นำผลการจัดอันดับมาศึกษาวิจัย เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาต่อไป

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ข้อมูลของ WE มีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่งอยู่แล้ว และจากข้อมูลนี้ น่าจะทำให้ประเทศไทยเกิดการตื่นตัว ว่าทำไมการจัดการศึกษาของเราถึงแพ้ประเทศกัมพูชา ซึ่งเท่าที่ตนได้ศึกษาประเทศในกลุ่มอาเซียนพบใน 4-5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่จะเข้ามาศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ในประเทศไทย และนำความรู้ต่าง ๆ กลับไปพัฒนาประเทศ ขณะที่ปัญหาการศึกษาของไทยเดินหน้าไปแทบทุกวัน แต่กระบวนการแก้ปัญหายังคงเดินถอยหลัง ติดหล่ม ไม่มีความต่อเนื่อง นโยบายเปลี่ยนบ่อยทุก 6 เดือน ไม่มีความต่อเนื่อง

“อย่างที่เห็นว่าปัญหาการศึกษาของเรายังย่ำอยู่ที่เดิม เหมือนติดหล่ม เช่น ตอนนี้เรามีปัญหาเด็ก 1.6 ล้านคนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นปัญหาเดิมที่เราพยายามแก้มาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่ากลไกทางด้านการศึกษาของเราตายซาก นโยบายเปลี่ยนบ่อย ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็เปลี่ยนบ่อย ขณะที่นโยบายด้านการศึกษาของประเทศเพื่อนบ้าน มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีเป้าหมายอยู่ที่เด็กและเยาวชน ซึ่งหากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ รัฐบาลจะต้องดูแลเรื่องปัญหาเยาวชนให้มากขึ้น รวมถึงอาจจะต้องมีการกำหนดไว้ในกฎหมายเพื่อให้เป็นการบังคับไปในตัว โดยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนเข้ามาจะต้องเดินหน้าพัฒนาการศึกษาให้เกิดความต่อเนื่อง”นายสมพงษ์ กล่าว

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33989&Key=hotnews