Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

กศน.อุดรธานีสอน 2 ภาษาปั้นคนไทยเก่งอังกฤษรับเอซี

4 กันยายน 2556

ธรรมรัช กิจฉลอง
ทักษะภาษาอังกฤษ” จำเป็นต้องใช้ในการเรียนและประกอบอาชีพ ยิ่งในปี 2556 ประชาคมอาเซียน(เอซี)เต็มรูปแบบ จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกับชาติอาเซียนมากขึ้น ดังนั้น สำนักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)จังหวัดอุดรธานี จึงได้จัดโครงการจัดการศึกษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานภาคภาษาอังกฤษ หรือ “อิงลิช โปรแกรม” ขึ้นเพื่อให้ชาวอุดรธานีได้เรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษ

ว่าที่ ร.ต.สมปอง วิมาโร ผอ.สำนักงานกศน.จังหวัดอุดรธานี เล่าว่า จ.อุดรธานี เป็นเมืองน่าอยู่และอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีเส้นทางคมนาคมเชื่อมโยงกับประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน จึงมีการติดต่อค้าขายระหว่างกัน และอีกไม่นานจะเปิดประชาคมอาเซียน เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือ แต่ทักษะภาษาอังกฤษของคนไทยด้อยกว่าคนในประเทศสมาชิกอาเซียน จะทำให้เสียเปรียบ จึงต้องเร่งยกระดับการศึกษาและทักษะภาษาอังกฤษให้ชาวอุดรธานีเพื่อให้สามารถแข่งขันและค้าขายกับอาเซียนได้

การจัดการศึกษาหลักสูตรอิงลิชโปรแกรม เริ่มใน 2 พื้นที่ที่เห็นว่ามีศักยภาพ ที่ “อำเภอหนองหาน” ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์บ้านเชียง ทำให้มีชาวต่างชาติเข้ามาเยี่ยมชมและศึกษาประวัติศาสตร์ รวมทั้งที่ “อำเภอเพ็ญ” ตั้งอยู่ที่ว่าการอำเภอและมีอาสาสมัครต่างชาติมาช่วยสอน หลักสูตรนี้เรียน 2 ปี 4 ภาคเรียน ขณะนี้มีเปิดสอนหลักสูตรนี้ในระดับ ม.ปลาย มีผู้เรียน 62 คน ที่ อ.หนองหาน 30 คน และ อ.เพ็ญ 32 คน โดยมี “นางนวลฉวี ภูดิน” ผอ.กศน.อำเภอหนองหาน และ “นายสมัย แสงใส” ผอ.กศน.อำเภอเพ็ญ เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ

“หลักสูตรอิงลิชโปรแกรม กศน.ยึดหลักผู้เรียนมีความต้องการเรียนและมีความพร้อม เพราะถ้าไม่พร้อมแล้วเรียนไม่จบ จะทำให้สิ้นเปลืองงบเพราะให้เรียนฟรี นักศึกษาจะต้องเรียนจบอย่างมีคุณภาพ เมื่อจบแล้วนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้จริง”  ว่าที่ร.ต.สมปอง กล่าว ขณะที่ นายเชิดชัย เรียบร้อย หัวหน้ากศน.ตำบลหนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ผู้ดูแลการจัดการศึกษาหลักสูตรอิงลิชโปรแกรม อธิบายว่า นักศึกษา 30 คนที่มาเรียนหลักสูตรระดับม.ปลาย มีพื้นฐานความรู้และอาชีพที่ต่างกัน ก่อนเรียนจึงทดสอบความรู้ เพื่อให้รู้ถึงพื้นฐานภาษาอังกฤษของแต่ละคน โดยมีวิชาเรียนประกอบด้วยวิชาภาษาไทย สังคม คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สุขศึกษาและพลศึกษา ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจพอเพียง เอสเอ็มอี รวมทั้งให้เรียนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตด้วย

“เราใช้หลักจิตวิทยาปลูกฝังให้นักศึกษามีความรัก ความเข้าใจ เอื้ออาทรต่อกัน เพราะที่มาและความรู้พื้นฐานต่างกัน โดยจัดตารางเรียนตั้งแต่ 17.00-21.00 น. ช่วงวันจันทร์-พฤหัสบดี และวันศุกร์เรียนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต วิชาภาษาไทยและสังคมสอนเป็นภาษาไทย วิชาที่เหลือสอนเป็นภาษาอังกฤษ หากบทเรียนยากจะแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้นักศึกษาเข้าใจง่ายขึ้น สื่อการสอนก็ดัดแปลงตามความเหมาะสม มีการทดสอบหลังการสอน และพูดคุยเป็นรายบุคคล เพื่อให้ปรับปรุงเรื่องที่เป็นจุดอ่อน ซึ่งจากการประเมินผลเทอมแรก พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ตั้งใจเรียนและผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี” นายเชิดชัย กล่าวด้วยรอยยิ้มนางนิวร จันดาดอน หนึ่งในนักศึกษาหลักสูตรอิงลิชโปรแกรมระดับม.ปลายของ กศน.อำเภอหนองหาน ซึ่งเปิดร้านสองพี่น้องขายของที่ระลึกอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง บอกว่า มาเรียนเพราะจบชั้นม.3 จึงอยากได้วุฒิม.6 และมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีเพื่อใช้พูดคุยแนะนำสินค้าและเผยแพร่ความรู้เรื่องบ้านเชียงซึ่งเป็นมรดกโลกกับลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะอีกกว่า 2 ปีจะเข้าสู่เอซีทำให้มีต่างชาติมาประเทศไทยมากขึ้น
“ทักษะภาษาอังกฤษถือเป็นสิ่งสำคัญ ช่วงแรกที่เรียนรู้สึกยากแต่ตอนนี้ปรับตัวได้แล้ว จะขยันอ่านหนังสือ ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ มีดิกชันนารีติดตัวอยู่ตลอด และหมั่นฝึกสนทนา ซึ่งการใส่ใจกับการเรียนจะทำให้พัฒนาได้เร็วขึ้น” นางนิวรบอกเทคนิคการเรียน

เช่นเดียวกับ นางน้อย งอกวงษ์ นักศึกษาหลักสูตรอิงลิชโปรแกรมระดับ ม.ปลายของ กศน.อำเภอเพ็ญ ซึ่งมาเรียนหลักสูตรนี้เพราะอยากมีวุฒิ ม.6 และมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีเพื่อนำไปประโยชน์ในการขายสินค้ากับชาวต่างชาติ เพราะนอกจากทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อบต.แล้ว เธอมีอาชีพเสริมปลูกหม่อนเลี้ยงไหมขายและเชื่อมั่นว่าการเกิดขึ้นของเอซีเป็นโอกาสในค้าขายของคนไทย ถ้าทักษะภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องกลัวเสียเปรียบ จึงไม่ท้อถอยกับการเรียน ค่อยๆ ปรับตัว หมั่นฝึกทักษะฟัง พูด อ่านเขียน กระทั่งผลการเรียนเทอมแรกออกมาน่าพอใจ ท้ายสุดเธอฝากว่าอยากให้รัฐบาลส่งเสริมให้เด็กด้อยโอกาสได้เรียนหลักสูตรนี้เพื่อจะได้มีอนาคตที่ดี

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33985&Key=hotnews

สอศ.ดันมาตรฐานคุณภาพอาชีวะ ผุดหลักสูตรช่างสอนม.ปลาย-จูงใจเรียนอาชีพ

4 กันยายน 2556

น.ส.จุไรรัตน์ แสงบุญนำ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการเขต 1 และกทม.ว่า หลังจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศได้รับนโยบายด้านการศึกษาทั้ง 8 ข้อ ของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ.มาปฏิบัตินั้น ในส่วนของนโยบายข้อที่ 4 “การพัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล” พบว่าสถาน ศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้นำกรอบมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพมาใช้กำหนดทักษะ ความรู้ความสามารถของผู้เรียน ขณะที่ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบทวิภาคีเพิ่มมากขึ้น ส่วนการกำหนดค่าจ้างตามความรู้ความสามารถนั้น อยู่ในระหว่างดำเนินการ ทั้งนี้ยังพบว่าสถานศึกษาที่มีความพร้อมหลายแห่ง ได้เปิดสอนหลักสูตร Mini English Program ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ระดับละ 1 ห้อง โดยจ้างครูต่างชาติมาสอน พร้อมทั้งจัดทำแผนการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเพื่อรองรับความต้องการตลาดแรงงาน

หัวหน้าผู้ตรวจฯ ศธ.กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจ คือการเตรียมหลักสูตรช่างพื้นฐานสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เช่น ร.ร.วังม่วงวิทยาคม จ.สระบุรี เปิดสอนวิชาสามัญเพื่อใช้เทียบโอนรายวิชาสามัญกับหลัก สูตร ปวช.ของวิทยาลัยเทคนิค (วท.) มวกเหล็ก ส่วนวิชาชีพนั้น วท.มวกเหล็กจะเป็นผู้สอนเอง โดยนำรถมารับนักเรียนไปเรียนที่วิทยาลัยในวันศุกร์และเสาร์ เมื่อจบการศึกษา ม.6 นักเรียนจะได้รับวุฒิ ม.ปลาย และวุฒิ ปวช. นอกจากนี้ ยังได้รับรายงานว่า โรงเรียนอื่นๆ ในเขตตรวจราชการเริ่มเปิดโอกาสให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาเข้าไปแนะแนวการเรียนต่อสายอาชีพมากขึ้น โดยผู้ปกครอง นักเรียน ใน จ.สระบุรี และจ.พระนครศรีอยุธยา ให้ความสนใจการเรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น สัดส่วนอยู่ประมาณ 60:40 ส่วน จ.นนทบุรี ปทุมธานี และกทม. ยังมีสัดส่วนไม่สูงมาก เนื่องจากปัจจัยหลักอย่างปัญหาการทะเลาะวิวาท

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33984&Key=hotnews

ศธ.หนุนไทยศูนย์อาเซียน

4 กันยายน 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. กล่าวถึงการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนว่า ต้องเตรียมการในเรื่องสำคัญต่างๆ เช่น การเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาในภูมิภาค ต้องพิจารณาถึงแนวโน้มนักศึกษาในอาเซียน หาแนวทางให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาในภูมิภาคอาเซียน เช่น แนวทางและ หลักเกณฑ์ในการส่งเสริมสนับสนุนให้ประเทศชั้นนำของโลกเข้ามาจัดการศึกษาในไทย ส่งเสริมให้นักศึกษาจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเรียนมากขึ้น การอำนวยความสะดวกต่อการเข้ามาเรียนหรือการศึกษาในประเทศ

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า การพัฒนากำลังคนต้องพัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาชีวศึกษา ที่จะต้องมีความร่วมมือกับประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศในอาเซียนให้มากขึ้น ควรมีแนวทางการพัฒนาแรงงานต่างชาติจากอาเซียน ซึ่งเข้ามาทำงานในไทยกว่า 3 ล้านคน เพื่อให้มีฝีมือ ทักษะ และคุณภาพมากขึ้น เพราะแรงงานไทยขณะนี้มีเพียง 5 แสนคน

“เราต้องวางแผนทั้งระบบในการทำให้ผลการประเมินการทดสอบพิซ่าดีขึ้น ซึ่งศธ.กำหนดให้ปี 56 จากนี้ไป เป็นปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา ต้องเร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบ ให้ผู้เรียนคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ขณะที่การปฏิรูปการศึกษาเป็นเรื่องจำเป็น ต้องอาศัยทั้งสังคมมาช่วยกัน จะพลิกโฉมประเทศให้มีความพร้อมเข้าสู่อาเซียนและแข่งขันในเวทีโลกได้” นายจาตุรนต์กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33983&Key=hotnews

โปรแกรมติดตามดูแลนักเรียน – ฉลาดทันกาล

4 กันยายน 2556

การออกกลางคัน ถือเป็นปัญหาสำคัญต่อการจัดการศึกษาของประเทศที่ต้องเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

เนื่องจากปัญหาการออกกลางคัน ของผู้เรียนทำให้เกิดความสูญเปล่าของงบประมาณในการจัดการศึกษา ถึงแม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีหน้าที่เกี่ยวข้องและทุ่มเทที่จะแก้ปัญหาการออกกลางคันของเด็กแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันปัญหาการออกกลางคันของนักเรียนยังไม่หมดไป

จากข้อมูลการสำรวจและติดตาม การออกกลางคันของผู้เรียนช่วงปีการศึกษา 2552–2554 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พบว่า ภาพรวมของผู้เรียนการออกกลางคัน จำนวน 64,773 คน คิดเป็นร้อยละ 27.52

ซึ่งที่วิทยาลัยการอาชีพสอง จ.แพร่ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงได้ดำเนินการคิดค้นระบบติดตามดูแลนักเรียน นักศึกษาขึ้น โดยเน้นการมี ส่วนร่วมของผู้บริหาร ครู ผู้เรียน และผู้ปกครอง ในการแจ้งข้อมูลการขาดเรียนที่เป็นปัจจุบัน ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องผ่านโปรแกรม Web-Based ซึ่งสามารถใช้งานผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน

อ.วุฒิชัย คำมีสว่าง อาจารย์ประจำวิชาคอมพิวเตอร์ วิทยาลัยการอาชีพสอง จ.แพร่ อธิบายว่า ระบบติดตามดูแลผู้เรียน เป็นโปรแกรม Web-Based ที่สามารถใช้งานได้ทุกที่ที่มีระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถส่งเอสเอ็มเอส ของผู้เรียนที่ขาดกิจกรรมหน้าเสาธง และขาดเรียนโดยอัตโนมัติไปยังผู้ปกครองได้ทันทีหลังบันทึกข้อมูล

ใช้สำหรับติดตามดูแลผู้เรียน โดยเช็กข้อมูลนักเรียนรายบุคคลว่า เด็กคนไหนเข้าเรียนหรือไม่เข้าเรียน และส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครอง

ที่ผ่านมามีการเช็กชื่อนักเรียนผ่านกระดาษ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมาเป็นระบบการแจ้งเตือนผ่านเทคโนโลยี ทำให้สามารถเช็กข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที

ผู้ปกครองสามารถทราบทันทีว่า บุตรหลานออกจากบ้านมาแล้ว ไปโรงเรียนหรือไม่ ขณะเดียวกันยังสามารถตรวจสอบนักเรียนที่เข้าเรียนในวิชาต่าง ๆ ได้ด้วย หากไม่พบระบบจะทำการส่งข้อความแจ้งเตือนถึงผู้ปกครองทันทีเช่นกัน

ทั้งนี้โปรแกรมดังกล่าวจะทำให้ผู้ปกครองได้ทราบถึงพฤติกรรมบุตรหลานของตนเอง และช่วยลดปัญหาเด็กไม่ยอม เข้าเรียนหนังสือได้

ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งโปรแกรมระบบติดตามนักเรียนจึงถือเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่ช่วยดูแลและตรวจสอบพฤติกรรมของนักเรียนได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว.

อุทิตา รัตนภักดี  ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33981&Key=hotnews

แนะหาเวทีให้เด็กอาชีวะปล่อยพลัง

4 กันยายน 2556

“หมอวิจารณ์” ชี้อาชีวะต้องปรับใหญ่ทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรม หากหวังจะกระตุ้นให้เด็กหันมาเรียนมากขึ้น แนะหาเวทีให้เด็กอาชีวะปล่อยพลังที่มีเหลือเฟือในทางสร้างสรรค์ เปลี่ยนจากเกเรไปเป็นการใช้แรงทำประโยชน์ให้สังคม

วานนี้ (3 ก.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพฯ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) ได้จัดเสวนาวิชาการ “เวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 20” ในหัวข้อ อาชีวศึกษา..สร้างคน…พัฒนาชาติ ซึ่ง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวในการเสวนาว่า การจัดหลักสูตรทวิภาคีที่สถานศึกษาร่วมมือกับสถานประกอบการคือการทำให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ทฤษฎีจากการปฏิบัติจริง แต่ก็ต้องไม่ลืมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ด้วย โดยเฉพาะทักษะชีวิตด้านต่างๆ อาทิ การสื่อสารที่มักวิจารณ์กันว่าคนเป็นช่างมักจะพูดกับคนอื่นไม่ค่อยเป็น รวมทั้งทักษะของการร่วมมือ และการทำงานเป็นทีมด้วย นอกจากนี้ในส่วนของครูอาชีวะก็ต้องมีการฝึกฝนและส่งเสริมให้ได้เรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ตนอยากย้ำว่าเส้นทางการเติบโตของครูนั้น เราต้องไม่ให้คุณค่าครูที่สอนระดับปริญญาสูงกว่าครูที่สอนปวช.หรือปวส. แต่ควรให้ตามความสามารถในการฝึกฝนผู้เรียน เหมือนกับการเป็นโค้ชให้เด็ก หากใครเป็นโค้ชที่เก่ง และอธิบายได้ก็ยกย่องให้ไปเลย ซึ่งผู้สอนทั้งระดับมหาวิทยาลัย ประถมหรือมัธยมก็ควรใช้วิธีนี้ด้วยเช่นกัน

การจะสร้างค่านิยมให้เด็กหันมาสนใจเรียนอาชีวะมากขึ้นนั้น อาชีวะของไทยต้องการเปลี่ยนแปลงทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรม ต้องทำให้ทั้งครูและนักเรียนรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งการที่เด็กอาชีวะยังมีภาพของนักเลงเพราะมีพลังเยอะ เราจึงต้องหาทางให้เด็กอาชีวะได้มีเวทีปล่อยพลังในทางสร้างสรรค์ ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจ และเปลี่ยนจากเกเรมาเป็นการใช้พลังทำประโยชน์ให้แก่สังคม” ศ.นพ.วิจารณ์ กล่าว

ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ประธานกรรมการร่วมสภาธุรกิจไทย-สหภาพยุโรป กล่าวว่า อาชีวศึกษาของไทยควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมาเด็กอาชีวะที่จบออกมาเมื่อเข้าสู่การทำงานยังไม่สามารถทำงานได้ทันที ทางสถานประกอบการยังต้องจัดฝึกอบรมเพิ่มเติมให้ ดังนั้นหลายแห่งจึงหันไปจ้างเด็กที่จบมัธยมแทน เพราะถึงอย่างไรก็ต้องฝึกอบรมให้ใหม่เหมือนกัน แต่ค่าจ้างเด็กมัธยมจะถูกกว่า

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33980&Key=hotnews

วิทยฐานะใหม่รูปแบบสารนิพนธ์ เล็งนำร่องครู “วิทย์-คณิต-อังกฤษ”

4 กันยายน 2556

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มีการประชุมระดมผู้รู้พัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะและความก้าวหน้าของครู เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบนั้น

ขณะนี้ สพฐ.กำลังจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์การมีและเลื่อนวิทยฐานะแนวใหม่ด้วยการประเมินสมรรถนะ หรือ TPK Model ซึ่งจะมีองค์ประกอบหลักของการประเมินดังกล่าว ได้แก่ การประเมินสมรรถนะของผู้เข้ารับการประเมินทั้งสมรรถนะทางวิชาการ และสมรรถนะด้านการเรียนการสอนที่ส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน โดยจะมีการนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ทั้งคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน (เอ็นที) มาเป็นตัวชี้วัดการสอนของครู โดยจุดหลักสำคัญของการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่คือ ครูต้องดี เก่ง และเด็กได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภายในปีการศึกษา 2557 จะมีการนำร่องการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ในสายการสอน 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีความพร้อม ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้แม้ครูจะมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูอยู่แล้วก็ตาม แต่หากครูมีความประสงค์จะเข้ารับการประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ก็ต้องเข้ารับการประเมินสมรรถนะด้านความรู้ของครูด้วย ซึ่งต่อไปจะมีหน่วยงานจากภายนอกมาทำหน้าที่ประเมินสมรรถนะครูพร้อมให้ใบรับรอง เช่น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จะมีเครื่องมือประเมินครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ซึ่งหากครูได้รับใบรับรองดังกล่าว ก็จะทำให้มีสิทธิได้รับวิทยฐานะที่สูงขึ้นได้ สำหรับการทำผลงานเพื่อประเมินวิทยฐานะแนวใหม่นี้ ครูจะไม่ต้องทำผลงานวิชาการที่มีความหนามาก แต่จะให้ครูเขียนผลงานในรูปแบบสารนิพนธ์ โดยจะเป็นการเรียบเรียงสิ่งที่ครูดำเนินการมาตั้งแต่ต้น อาทิ การเขียนงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ และการวิจัยในห้องเรียน เป็นต้น

ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ครูมีความถนัดอยู่แล้ว ส่วนครูที่คิดว่ายังไม่มีความพร้อมในการประเมินวิทยฐานะรูปแบบใหม่ก็กลับไป ใช้การประเมินวิทยฐานะรูปแบบเก่าได้ เพราะยังไม่มีการยกเลิก อย่างไรก็ตาม การประเมินวิทยฐานะแนวใหม่นี้จะใช้ประเมินวิทยฐานะชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ และเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ สพฐ.จะสรุปเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ประมาณปลายเดือนกันยายนนี้

ที่มา : นสพ.มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33979&Key=hotnews

ศธ.ช็อก! WEF จัดอันดับการศึกษา “ไทย” คุณภาพต่ำ

4 กันยายน 2556

ศธ.เต้น! เหตุ WEF จัดอันดับการศึกษาไทยคุณภาพต่ำ ไล่ตาม กัมพูชา- เวียดนาม “จาตุรนต์” สั่งวิเคราะห์ด่วนหาที่มาที่ไปและข้อมูลตัวชี้วัดที่นำมาใช้ ก่อนปรับการศึกษาทั้งระบบ

วานนี้ (3 ก.ย.) ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากข้อมูลการประชุมของ World Economic Forum (WEF)- The Global Information Technology Report 2013 ได้จัดอันดับคุณภาพการศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มสุดท้ายอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคะแนนต่ำที่สุด รองจากประเทศเวียดนาม ที่ได้อันดับ 7 และประเทศกัมพูชา อันดับ 6 ซึ่ง ทั้งนี้ ผลการจัดอันดับได้สรุปว่า เงินทุนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุดของการมีระบบการศึกษาที่ดี และการที่ครูอาจารย์มีเงินเดือนสูงก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสามารถทางการสอนสูงตามไปด้วย สำหรับประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการผลักดันเรื่องเงินเดือนครู ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่เราก็ต้องเร่งรัดครูในเรื่องประสิทธิภาพในการสอนควบคู่กันไปด้วย

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำหรับประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในกลุ่มอาเซียนเรียงตามลำดับที่ดีที่สุด ดังนี้ อันดับ 1 ประเทศสิงคโปร์ อันดับ 2 ประเทศมาเลเซีย อันดับ 3 ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม อันดับ 4 ประเทศฟิลิปปินส์ อันดับ5 ประเทศอินโดนีเซีย อันดับ6 ประเทศกัมพูชา อันดับ 7 ประเทศเวียดนาม และอันดับ 8 ประเทศไทซึ่งนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากและได้สั่งการให้ตนวิเคราะห์ที่มาที่ไปของผลการจัดอันดับดังกล่าว จากนี้ ตนจะต้องไปศึกษาว่าผลการจัดอันดับที่ออกมามีความเที่ยงตรงมากน้อยแค่ไหน โดยจะต้องดูวิธีการจัดว่าใช้อะไรมาเป็นตัวชี้วัดบ้าง

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ดูหลัก ๆ พบว่า การจัดอันดับดังกล่าวเป็นการประเมินภาพรวมการจัดการศึกษาของแต่ละประเทศ และคาดว่าจะมีการนำคะแนนการสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ Program for International Student Assessment (PISA) มาเป็นองค์ประกอบด้วย เพราะฉะนั้น ต้องไปดูรายละเอียดให้ชัดเจน เนื่องจากหากดูข้อมูลคะแนนสอบ PISA 2012 ที่กำลังจะประกาศผลเร็ว ๆ นี้โดยประเทศเวียดนามเข้าสอบครั้งแรก และขณะนี้เริ่มทราบผลคะแนนแล้วว่า คะแนนคณิตศาสตร์ของเวียดนามได้สูงพอ ๆ กับประเทศจีน เมื่อครั้งที่ร่วมเข้าสอบ PISA ในปี 2009 ซึ่งเท่าที่ดู เวียดนามน่าจะติดอันดับ 1 ใน 5 มากกว่า ดังนั้น จึงต้องไปศึกษาวิธีการประเมินและตัวชี้วัดให้ละเอียดก่อน จึงจะสามารถวิเคราะห์ผลการจัดอันดับครั้งนี้ได้

“ข้อมูลนี้ถือว่าน่าตกใจ เพราะอันดับของเราถือว่าต่ำมาก แต่เมื่อเทียบในอันดับโลกเราก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ต่ำขนาดนี้ ดังนั้นจึงต้องไปวิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจนก่อนว่า เป็นเพราะอะไร แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาไทยก็จะต้องมีการปรับใหญ่ทั้งระบบ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่การปรับหลักสูตรเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น ที่สำคัญต้องไปดูการจัดการศึกษาในภาพรวมว่า ได้มาตรฐานโลกหรือไม่ และถ้าดูจากผลการวิเคราะห์คะแนน PISA ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า เด็กไทยคิดไม่เป็น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ประเด็นสำคัญที่เราจะต้องไปเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การปฏิรูปวิธีการเรียนการสอน และปฏิรูปครู ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการศึกษา” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. กล่าว

–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33978&Key=hotnews

ครม.ไฟเขียวโยกย้าย ศธ. “พินิติ” คืนรัง สกอ.

4 กันยายน 2556

ครม.ไฟเขียว! แต่งตั้งซี 10 ศธ. 10 ตำแหน่ง “พินิติ” ได้กลับรังเก่า สกอ.หลังถูกเก็บเข้ากรุผู้ตรวจสมัย “สุชาติ” เช่นเดียวกับ “ศิริพร” กลับที่เดิม ก.ค.ศ.ฟาก “รัตนา” โยกไปรองเลขา สกศ. ส่วน “พิษณุ” ถูกเขี่ยกลับกรุผู้ตรวจ ศธ. รอบ 3 “โรจนะ-อ่องจิต” นั่งรอง กพฐ. “เสริมศักดิ์” ชี้ครั้งนี้เป็นดุลยพินิจของ “จาตุรนต์”

วานนี้ (3 ก.ย.) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่ ศธ.ได้เสนออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 10 ราย เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ได้แก่

นางจุไรรัตน์ แสงบุญนำ ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็น รองปลัด ศธ.
นางผานิตย์ มีสุนทร ผู้ตรวจราช ศธ.เป็น รองปลัด ศธ.
นายพิษณุ ตุลสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) เป็น ผู้ตรวจราชการ ศธ.
น.ส.อาภรณ์ แก่นวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (รองเลขาธิการ กกอ.) เป็น ผู้ตรวจราชการ ศธ.
นางศิริพร กิจเกื้อกูล รองปลัด ศธ.เป็น เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็น รองเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)
นายพินิติ รตะนุกูล ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็น รองเลขาธิการ กกอ.
นางอ่องจิต เมธยะประภาส ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็น รองเลขาธิการ กพฐ.
นายโรจนะ กฤษเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (รองเลขาธิการ กอศ.) เป็น รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)
และนายวณิชย์ อ่วมศรี ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เป็น รองเลขาธิการ กอศ.
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป

นายเสริมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับรายชื่อการแต่งตั้งโยกย้ายคราวนี้เป็นดุลยพินิจของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ที่ได้พิจารณาและสอบถามความเห็นรอบด้านรวมถึงได้สอบถามความเห็นของตนว่าใครเหมาะสมที่จะไปดำรงตำแหน่งใด เพราะอะไร ซึ่งตนได้ตอบตามความเหมาะสมและยึกในหลักการในฐานะที่เคยกำกับดูแลและคลุกคลีกับผู้ที่ทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ มาก่อน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนของ นายพิษณุ นั้นก็ได้ให้ความเห็นต่อ นายจาตุรนต์ เช่นกัน ว่าเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในงานบริหารงานบุคคล แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ นายจาตุรนต์ เพราะฉะนั้นขอให้ รมว.ศึกษาธิการ เป็นผู้ชี้แจงเอง และส่วนที่มีกระแสข่าวว่า นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งนั้นตนได้หารือกับ รมว.ศึกษาธิการ ว่าที่ผ่านมานั้น นายประเสริฐ ก็ได้ปฏิบัติงานมีผลงานที่ดีและมีความเหมาะสมตำแหน่งหน้าที่นี้จึงไม่สมควรปรับออก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพินิติ นั้นถูกโยกย้ายมาเป็นผู้ตรวจราชการ ศธ.ในสมัย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รมว.ศึกษาธิการ เนื่องจากทำงานไม่สนองนโยบาย ขณะที่ นายพิษณุ ถูกปรับโยกย้ายมาเป็นผู้ตรวจ ศธ. เป็นครั้งที่ 3

–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33977&Key=hotnews

สพฐ.ผุดเครื่องสแกนเด็ก “อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” เปิดตัว 5 ก.ย.

4 กันยายน 2556

สพฐ.เตรียมจัดแถลงข่าวโชว์เครื่องมือสแกนคัดเด็กที่มีปัญหาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ 5 ก.ย.นี้ สนองนโยบาย “จาตุรนต์” พร้อมเสนอเป็นแผนใหญ่ทำคู่กับแผนพัฒนาการคิดวิเคราะห์ เพื่อขับเคลื่อนการทำงานให้เห็นผลจริง

วานนี้ (3 ก.ย.) นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยภายหลังประชุมผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า สพฐ.ได้จัดแผนปฏิบัติการสนองนโยบายสำคัญของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ พิจารณาก่อนแถลงข่าวโครงการใหญ่นี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 ก.ย.นี้ ซึ่งจากนโยบายที่ รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้ สพฐ.เร่งแก้ปัญหาใหญ่เด็กไทยอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ อ่านจับใจความไม่รู้เรื่องนั้น สพฐ.จะนำร่องปูพรมพัฒนาทักษะการเขียนให้กับนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 โดยตั้งเป้าว่าภายในสิ้นปีการศึกษา 2556 นักเรียนระดับ ป.3 ทุกคนจะต้องอ่านออกเขียนได้ ส่วนนักเรียน.ป.6 ทุกคนจะต้องอ่านรู้เรื่อง และขณะนี้ สพฐ.ได้พัฒนาเครื่องมือที่จะนำไปสแกนวัดระดับทักษะการอ่านเขียนของนักเรียนชั้น ป.3 และ ป.6 เสร็จเรียบร้อยแล้ว และหลังจากนี้จะนำเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นไปชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา และศึกษานิเทศก์ ซึ่งจะต้องนำเครื่องมือไปสแกนเด็ก 2 ชั้นจำนวนประมาณ 1.6 ล้านคน โดยวางปฏิทินไว้ว่าจะลงมือสแกนก่อนปิดภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2556 ในเดือนกันยายนนี้ เพื่อนำตัวนักเรียนที่มีปัญหาในการอ่านเขียน เข้ารับการฟื้นฟูช่วงปิดภาคเรียน ทั้งนี้ ในวันแถลงข่าวจะมีการโชว์เครื่องมือในการสแกนด้วย

นายชินภัทร กล่าวต่อว่า ส่วนอีกนโยบายสำคัญของ รมว.ศึกษาธิการ ต้องการให้เร่งพัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ให้กับนักเรียนซึ่งหากนักเรียนไทยมีทักษะในการคิดแล้ว จะช่วยให้อันดับของคะแนนการสอบประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ของไทยสูงขึ้นได้เพราะข้อสอบ PISA ส่วนใหญ่เป็นข้อสอบเน้นการคิดวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม สพฐ.มีความเห็นว่า ก่อนจะลงมือขับเคลื่อนการพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียน จะต้องมั่นใจก่อนว่า กำลังคนหรือครูที่มีอยู่ ตั้งแต่ครูระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาในทุกกลุ่มสาระวิชา มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการพัฒนากระบวนการคิดให้กับนักเรียน เพราะฉะนั้น สพฐ.จะเสนอให้มีการสแกนความสามารถด้านนี้ให้กับครูเช่นเดียวกัน และพัฒนาหลักสูตรขึ้นมาอบรมครูทุกคนให้เข้าใจการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการคิดของเด็ก

“เราต้องมั่นใจก่อนว่าบุคลากรที่มีอยู่ เข้าใจกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนากระบวนการคิดไปสู่การจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้ รวมทั้งสามารถคิดวิธีประเมินทักษะในการคิดของเด็กได้ด้วย เพราะฉะนั้น สพฐ.จึงได้พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการคิด หลักสูตรการนำทฤษฎีเกี่ยวกับการคิดไปสู่การเรียนการสอน และหลักสูตรวิธีการในการประเมินผู้เรียน โดยสพฐ.ตั้งเป้าว่า จะให้ครูทุกคน ทุกวิชา เข้ารับการอบรมทั้ง 3 หลักสูตร ซึ่งการอบรมอาจจะมีวิธีที่หลากหลาย ค่าใช้จ่ายไม่สูง รวมถึงอาจจะใช้การอบรมผ่านระบบอีเลิร์นนิ่ง ทั้งนี้ ถ้าเราประสบความสำเร็จในการพัฒนากระบวนการคิดให้นักเรียน เป้าหมายที่จะไต่อันดับการประเมิน PISA ก็จะประสบความสำเร็จ” นายชินภัทร กล่าว

–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33976&Key=hotnews

รวมพลัง อาชีวะเอกชน “รักษ์ป่า รักษ์น้ำ”

3 กันยายน 2556

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวถึง การจัดกิจกรรม “อาชีวะเอกชนรวมพลัง รักษ์ป่า รักษ์น้ำ” มีกำหนดจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกันยายน 2556 ทั่วประเทศ แบ่งออกเป็น 5 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ (บ้านแม่สาย อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (บ้านถ้ำเต่าพัฒนา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา) ภาคกลางและภาคตะวันออก (ศูนย์การเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ป่าชายเลน จ.ชลบุรี) ภาคใต้ (อุทยานแห่งชาติเขาปู่-เขาย่า อ.ศรีบรรพต จ.พัทลุง) และกรุงเทพมหานคร (โรงเรียนคลองพิทยาลงกรณ์ เขตบางขุนเทียน) ว่า เป็นกิจกรรมภายใต้ โครงการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม นักเรียน นักศึกษาโรงเรียนเอกชน ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจัดขึ้น โดยนำนักเรียน นักศึกษา อาชีวศึกษาเอกชน บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมด้วยการปลูกป่าในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละภูมิภาคเพื่อปลูกฝังจิตสำนึก ให้กับนักเรียน นักศึกษา เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความสามัคคี มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ มีความอดทน รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ทั้งทำให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ทั้งทางด้านทักษะชีวิตและกระบวนการคิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา คุณธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานหลักในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ตลอดจนเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ได้รับการยกย่องชมเชยจากภายในและภายนอกสถานศึกษา เกิดการยอมรับจากสังคม นำไปสู่การสร้างทรัพยากรมนุษย์ของชาติให้มีประสิทธิภาพ อันเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มีคุณภาพต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33973&Key=hotnews