Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

เอาไงดี ! เว็บไซต์การพนัน ไม่ผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ

29 สิงหาคม 2556

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้หารือ คณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปิดกั้นเว็บไซต์การพนันตามมาตรา ๒๐

ประเด็นปัญหาคือ ปัจจุบันเว็บไซต์การพนันทางอินเทอร์เน็ตปรากฏให้เห็นหลากหลายรูปแบบ เช่น การทายผลลอตเตอรี่ออนไลน์ การทายผลกีฬา และการทายผลตามอย่างในบ่อนกาสิโน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีหน้าที่ในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและป้องกันการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางที่ผิด โดยมาตรการทางกฎหมายประการหนึ่งที่นำมาบังคับใช้ คือ การป้องกันมิให้เข้าถึงเว็บไซต์โดยขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ (ปิดกั้นเว็บไซต์) ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งที่สามารถป้องกันการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันทางอินเทอร์เน็ตได้
ต่อมา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้หารือกับเครือข่ายรณรงค์ หยุดการพนัน มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว เครือข่ายเยาวชนไม่พนัน และเครือข่ายผู้ปกครองสถานศึกษา เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาเว็บไซต์การพนันออนไลน์ โดยมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการระงับการเผยแพร่ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ โดยมีความเห็นเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายแรกเห็นว่า เว็บไซต์การพนันเข้าข่ายเป็นความผิดที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้มาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ปิดกั้นเว็บไซต์ดังกล่าวได้

ฝ่ายที่สองเห็นว่า ลักษณะของข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ศาลจะสั่งให้ระงับการเผยแพร่ตามนัยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จะต้องเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ ความผิดตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ นอกจากนั้นยังต้องเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรตามที่บัญญัติไว้ในภาคสอง ลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน กรณีเว็บไซต์การพนัน ทางอินเทอร์เน็ตมิได้เป็นความผิดตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ได้

ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อยุติและเป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการปิดกั้นเว็บไซต์การพนัน ทางอินเทอร์เน็ตตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จึงขอหารือว่า พนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีจะยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลที่มีเขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ (ปิดกั้นเว็บไซต์) กรณีเว็บการพนันทางอินเทอร์เน็ตตามนัยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ได้หรือไม่ อย่างไร

คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๑) ได้พิจารณาข้อหารือของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยมีผู้แทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สำนักงานปลัดกระทรวง) และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่า ตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ พนักงานเจ้าหน้าที่โดยความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจยื่นคำร้องพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลขอให้มีคำสั่งระงับ การทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้ในกรณีที่การกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ในภาคสอง ลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ดังนั้น การที่พนักงานเจ้าหน้าที่อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามกฎหมายนี้ จะต้องเป็นกรณีที่มีการกระทำที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ บัญญัติไว้ว่าเป็นความผิดเสียก่อน และการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่อาจกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามที่กำหนดไว้ใน ภาคสอง ลักษณะ ๑ หรือลักษณะ ๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในหมวด ๑ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ไว้ ไม่มีมาตราใดที่บัญญัติให้การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการพนันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการพนันจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ

เมื่อการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับการพนันไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ แม้ว่าการเปิดเว็บไซต์เพื่อให้มีการเล่นพนันจะเป็นการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ตาม

–มติชนออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33904&Key=hotnews

 

ชงตั้งกรรมการปฏิรูปหลักสูตรชุดใหม่ใหญ่กว่าเดิม

29 สิงหาคม 2556

“ภาวิช”เสนอตั้งกรรมการปฏิรูปหลักสูตรชุดใหม่ ใหญ่กว่าเดิม พร้อมผลักดันแนวคิดจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรและนวัตกรรมทำหน้าที่ปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

วานนี้(28ส.ค.) ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการขับเคลื่อนการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า เนื่องจากคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐานที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรมว.ศึกษาธิการ แต่งตั้งได้หมดวาระไปตามตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการแล้ว และเมื่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เข้ามารับตำแหน่งก็เห็นด้วยกับการปฏิรูปหลักสูตร โดยมองไปที่การปฏิรูปการเรียนรู้เป็นหลักที่ว่าจะปฏิรูปการเรียนรู้ได้ก็ต้องเริ่มที่การปฏิรูปหลักสูตร ดังนั้นคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรทุกวันนี้จึงยังทำงานอย่างต่อเนื่อง แม้จะหมดวาระไปแล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามตนได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปชุดใหม่ ซึ่งจะเป็นชุดเดิมแต่เพิ่มคนทำงานมากขึ้นและใหญ่ขึ้น โดยชุดใหม่นี้จะมี 3 ระดับ คือ ระดับนโยบาย ระดับร่างหลักสูตร และระดับกลุ่มสาขาวิชา จากเดิมที่มีเพียงระดับนโยบายกับระดับร่างหลักสูตรเท่านั้น

ศ.ดร.ภาวิช กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้จะมีการผลักดันเกี่ยวกับเรื่องหลักสูตรไปสู่สภาพที่มีความยั่งยืน คือ การเป็นสถาบันพัฒนาหลักสูตรและนวัฒกรรม เป็นองค์การมหาชนที่ขึ้นตรงกับรัฐมนตรี ทำหน้าที่ไล่ดูหลักสูตร และปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา เพื่อเป็นหลักสูตรของประเทศไทย ไม่ใช่หลักสูตร พ.ศ.นั้น พ.ศ.นี้ เพราะการทำหลักสูตรไม่ควรทำเป็นเฮือก ๆ นาน ๆ ปรับปรุงที หรือ 10 ปีค่อยปรับปรุง แต่ควรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและปรับแต่งตลอดเวลา เพราะความรู้ หลักการ กระบวนทัศน์ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่จุดอ่อนของหลักสูตรปัจจุบันคือเรื่องการนำไปใช้ที่จะต้องมีการจัดทำให้มีความชัดเจนด้วย

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33903&Key=hotnews

แนะรัฐยกปัญหาการพนันเป็นวาระแห่งชาติ

29 สิงหาคม 2556

นักวิชาการเสนอยกระดับปัญหาการพนันเป็นวาระแห่งชาติ หลังพบสถิติเยาวชนเล่นการพนันมากกว่า 2 ล้านคน เผยผลวิจัยพบทุก 1 คนของผู้มีปัญหาการพนันจะมีคนที่ได้รับผลกระทบตามไปด้วยถึง 8 คน

วานนี้(28ส.ค.) ดร.ธีรารัตน์ พันทวี วงศ์ธนะอเนก นายกสมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า ในเวทีโครงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนาแนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมในการลดผลกระทบจากการพนัน จัดโดยมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ตนได้นำเสนองานวิจัยบทสรุปการศึกษาการป้องกันและแก้ปัญหาการพนันในเด็กและเยาชนในต่างประเทศ ซึ่งได้ทำการศึกษาใน 5 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา พบว่าเด็กและเยาวชนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็มีความเสี่ยงสูงในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนัน โดยพบว่าผู้ที่มีปัญหาการพนันอย่างรุนแรงส่วนใหญ่เริ่มเล่นการพนันตั้งแต่อายุยังน้อย และพบว่ามีผู้ปกครองเพียงร้อยละ 5 ที่พยายามจะห้ามบุตรหลานจากการเล่นการพนัน

ดร.ธีรารัตน์ กล่าวต่อไปว่า ด้วยเหตุปัจจัยที่คล้ายคลึงในหลายประเทศจึงทำให้เกิดมาตรการในการป้องกันและการแก้ปัญหาในเด็กและเยาวชนในต่างประเทศหลายประการ ได้แก่

1.การกำหนดให้การแก้ปัญหาการพนันโดยใช้แนวทางบริการสาธารณสุข เพราะหลายประเทศมองว่าไม่ใช่เป็นแค่เพียงปัญหาสุขภาพของตัวบุคคลและครอบครัวเท่านั้น แต่มองว่าปัญหาการพนันเป็นปัญหาของชุมชนโดยรวม เช่นเดียวกับปัญหาสาธารณสุขอื่นๆ

2.การกำหนดให้ปัญหาการพนันเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน

3.ความเข้มงวดในการกำหนดอายุขั้นต่ำเพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนเล่นพนัน

4.การจัดสรรทุนเพื่อสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาการพนัน อาทิ เก็บภาษีผู้ประกอบกิจการการพนันเพื่อนำมาจัดสรรให้แก่มูลนิธิเพื่อแก้ปัญหาการพนัน เป็นต้น และ

5.การบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนรู้เท่าทันปัญหาการพนัน
ดร.ธีรารัตน์ กล่าวอีกว่า มีผลการวิจัยของสหราชอาณาจักรที่พบว่าในทุก 1 คนของผู้มีปัญหาการพนันจะมีคนที่ได้รับผลกระทบถึง 8 คน เช่นเดียวกับปัญหาสาธารณสุขอื่นๆ เช่น ปัญหายาเสพติดหรือ ปัญหาสุรา ดังนั้นแนวทางการจัดการปัญหาในประเทศไทย ควรแบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะต้นทำการสำรวจสถานการณ์ปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง พร้อมรณรงค์ให้สังคมตระหนักรู้ ขณะเดียวกันต้องสร้างพื้นที่สีขาวเพื่อเป็นทางออกให้เด็กและเยาวชนได้มีกิจกรรมที่ห่างไกลจากการพนันด้วย ส่วนในระดับกลาง รัฐควรแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชน โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติและกำหนดให้ปัญหาการพนันเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศที่ต้องได้รับการแก้ปัญหาอย่างจริงจังก่อน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้พัฒนาแผนระดับชาติในการแก้ปัญหาการพนัน ส่วนในระยะยาว ประเทศไทยควรมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อแก้ปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชนเป็นการเฉพาะ และกระทรวงศึกษาธิการควรจัดให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพนัน โดยเน้นให้เห็นถึงอันตรายที่มากับการพนัน

ทั้งนี้จากการสำรวจของคณะเศรษฐศาสตร์ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำรวจสถิติสถานการณ์ของการเล่นพนัน พบว่าประชาชนกว่าร้อยละ 75 ในประเทศไทย เคยเล่นการพนัน โดยสถิติที่น่าตกใจคือมีเยาวชนอายุน้อยกว่า 24 ปี เล่นพนันกว่าร้อยละ 4 หรือเกือบ 2 ล้านคน

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33902&Key=hotnews

“หลักสูตรอาชีพ”ตอบโจทย์เด็กดร็อปเอาท์

29 สิงหาคม 2556

สสค.จับมือ ศธ.เตรียมจัดเวทีเสวนาสัญจรการเรียนรู้สู่การมีงานทำ ถอดบทเรียนเขตพื้นที่ประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต2 หลังปรับบทบาทจาก “หน่วยเหนือ” เป็น “นายช่างใหญ่” ประสานสร้างเครือข่าย ‘ธุรกิจ-ท้องถิ่น’ หนุน ‘โรงเรียน’ ทำ ‘หลักสูตรอาชีพ’ แก้ปัญหาเด็กดร็อปเอาท์ ช่วยให้เรียนจบทำงานได้จริง

หนึ่งในปัญหาใหญ่ร่วมกันของแวดวงการศึกษาไทย คือ ปัญหาเด็กดร็อปเอาท์ ที่สุดท้ายเด็กเยาวชนไทยจะถูกผลักเข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างไม่ได้ตั้งตัว ขาดทักษะที่เหมาะสม กลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ เมื่อมองย้อนกลับสู่ระบบการศึกษา จากเดิมเคยตั้งธงมุ่งสู่การสร้างเด็กเยาวชนให้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา จึงต้องเริ่มมองหา “โจทย์การศึกษาแนวใหม่” ที่สอดคล้องตรงตามความของผู้เรียนในท้องถิ่น

“การเรียนรู้ สู่การมีงานทำ” เพื่อสร้างทักษะชีวิตสู่โลกของงาน จึงกลายเป็นอีกหนึ่งโจทย์ร่วมที่เร่งด่วนของการปฏิรูปการศึกษาไทย โดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ได้หยิบกรณีศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.)เชียงใหม่ เขต 2 ที่สะท้อนภาพการปรับกระบวนทัศน์ของระบบการทำงานครั้งใหญ่ของเขตพื้นที่การศึกษา ที่มีการรับไม้ต่อเพื่อประสานความต้องการและวิธีการแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนในพื้นที่รับผิดชอบร่วมกับ “ภาควิชาการ-ภาคธุรกิจ-ภาคประชาสังคม” โดยมีโจทย์หลักเพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพที่ยั่งยืนในระบบการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับบริบทความต้องการของโรงเรียน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อมุ่งลดอัตราเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างเร่งด่วน

นายสินอาจ ลำพูนพงศ์ ผอ.สพป.เชียงใหม่ เขต 2 กล่าวว่า หลังจากได้ปมปัญหาเด็กออกจากระบบการศึกษาแล้ว ก็นำสู่กระบวนการในการค้นหาวิธีการและรูปแบบในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ความพร้อมของนักเรียนและโรงเรียนในสพป.เชียงใหม่ เขต 2 พบว่ายากแก่การแข่งขันที่จะมุ่งระดับอุดมศึกษาเพียงอย่างเดียว ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ ทำอย่างไรให้เด็กมี ‘อาวุธ’ ติดตัวไปประกอบอาชีพ และสามารถดำรงอยู่ในพื้นที่ของตัวเองได้จริง

ตลอดระยะเวลาปีเศษที่ผ่านมา จึงเป็นที่มาของการระดมโรงเรียนที่มีปัญหาเดียวกันในพื้นที่ จัดตั้งเกิดเป็น “ชมรมการศึกษาวิชาชีพ” เมื่อปลายปี 2555 มีบทบาทในการเป็นตัวกลางประสานแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านอาชีพที่ดีในชุมชน โดยมีการจัดประชุมเพื่อคัดเลือกโรงเรียนที่เข้มแข็ง และมีความพร้อมในการค้นหาสินค้าผลิตภัณฑ์ และบริการก่อน โดยรุ่นแรกได้โรงเรียนที่ “ทำจริง” ร่วมอุดมการณ์ 30 โรงเรียน โดยมี 9 โรงเรียนนำร่องในระยะที่ 1 ซึ่ง ปัจจุบันมีหลักสูตรที่บรรจุอยู่ในหน่วยการเรียนรู้ มีสินค้าและผลิตภัณฑ์ สามารถแบ่งเป็น 4 กลุ่มงานหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพิ่มมูลค่า เช่น เกษตรอินทรีย์ สวนพฤษศาสตร์สู่การจดลิขสิทธิ์งานวิจัยพันธุ์พืช 2.กลุ่มงานอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ไอศกรีมมะม่วง ไอศกรีมเต้าหู้ ทองม้วนถั่วเหลือง ชาใบหม่อน 3.กลุ่มงานหัตถกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดจากหนัง งานแกะสลัก งานประดิษฐ์ดินญี่ปุ่นของตกแต่งธรรมชาติ และ 4.กลุ่มงานบริการ เช่น การนวด การโรงแรม การจัดการและบริหารธุรกิจ

“ สพป.เชียงใหม่เขต 2 ได้เปิดสำนักงานเขตพื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางในการรับจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบสหกรณ์การค้า เพื่อสร้างให้เกิดระบบหมุนเวียนครบวงจรอย่างยั่งยืนในโลกธุรกิจการทำงานจริง ต้นทุนจริง กำไรจริง และขาดทุนจริง โดยได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจหลายแห่งที่นำสินค้าผลิตภัณฑ์ของนักเรียนไปจัดวางขายตามจุดพักรถ และตามร้านของฝากทั่วไป “ นายสินอาจ กล่าว

ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค.มองว่า ประเด็นสำคัญของการจัดการเรียนรู้สู่การมีงานทำนั้น จะต้องมีความแตกต่างกันในเรื่องรูปแบบ และวิธีการในแต่ละช่วงชั้น เช่น ในระดับประถม ควรให้เด็ก “สู้งาน-ไม่หยิบโหย่ง” ขณะระดับม.ต้น และม.ปลาย ต้องเริ่มสอนเด็กให้สำรวจโลกของอาชีพ เพื่อให้เริ่มมีทางเลือกในชีวิต นอกเหนือจากการผลักสู่การเรียนระดับอุมศึกษาเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็ต้องมีการเชื่อมต่อการฝึกงานกับภาควิสาหกิจชุมชน เพื่อให้เด็กทั้งม.ต้น และม.ปลาย สามารถเรียนจบไปแล้วทำงานได้จริง เช่นเดียวกับเด็กหลุดออกนอกระบบก็ต้องมีเส้นทางที่จะให้เด็กเหล่านั้นสามารถกลับมาพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อเตรียมพร้อมตัวเอง ไม่ให้กลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ฉะนั้น “ระบบ” ที่ว่านี้ จึงต้องมีการเชื่อมโยงท้องถิ่น ชุมชน ทั้งภาควิชาการ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างเส้นทางให้เด็กและเยาวชนไทยทั้งในระบบ และนอกระบบมีทางเดินต่อไปได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ

และในครั้งนี้ สสค.จะร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และสพป.เชียงใหม่เขต 2 จัดเวทีสัญจรในพื้นที่ระหว่างวันที่ 5-6 ก.ย.นี้ ณ สพป.เชียงใหม่เขต 2 โดยวงเสวนาวันแรกจะเป็นการพบกันระหว่าง “ภาคธุรกิจเชียงใหม่และผู้ประกอบการท้องถิ่น” กับโรงเรียนที่มาพร้อมสินค้าผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อให้ผู้รู้จากฟากนายทุนนักธุรกิจได้แนะนำทิศทางการสร้างทักษะและอาชีพในโลกของงาน เป็นการส่งไม้ต่อจากภาคการศึกษาสู่ภาคธุรกิจให้สุดทาง เช่น ผู้ประกอบการจากบริษัท ชาระมิงค์ จำกัด และบริษัทเชียงใหม่ “วนัสนันท์” ร้านของฝากชื่อดัง เป็นต้น

ส่วนเวทีเสวนาเครือข่ายผู้นำการเรียนรู้สู่การมีงานทำในวันที่ 6 ก.ย.จะเป็นการพบกันของเครือข่ายผู้อำนวยการที่ปฏิบัติงานจริง ทำจริงในพื้นที่จากทั่วประเทศ อาทิ ตาก กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ พะเยา เชียงราย น่าน ศรีสะเกษ และพังงา มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดการศึกษาสู่การมีงานทำ โดยมีดร.คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เป็นประธานร่วมลงพื้นที่สัญจร โดยจะมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีวิทยุชมชน ในวันที่ 6 กันยายนนี้ ระหว่างเวลา 09.30-13.00 น.ซึ่งสามารถรับฟังการถ่ายทดกันได้ทางอินเทอร์เน็ตที่ www.qlf.or.th

กนกวรรณ กลินณศักดิ์

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33901&Key=hotnews

ชุดสืบทุจริตครู ผช. เสนอฟัน “ชินภัทร” เพิ่ม ฐานไม่รักษาความลับราชการ

29 สิงหาคม 2556

“ชินภัทร” โดนอีก! กรรมการสืบข้อเท็จจริงทุจริตสอบครูผู้ช่วย เสนอฟันวินัยร้ายแรงเพิ่มความผิด “ฐานไม่รักษาความลับราชการ” พ่วง “อนันต์-ไกร” เข้าด้วย “ พนิตา” แจงละเอียดยิบพบกระบวนการเก็บรักษาข้อมูลสำคัญรวมทั้งข้อสอบ กุญแจเซฟ ไปจนถึงการตรวจรับหละหลวมทุกขั้นตอน ขณะที่ “สุเทพ” ลอยตัวเหตุคณะกรรมการฯตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีเอี่ยว ซึ่งตรงกับที่ดีเอสไอให้ความเห็น

วานนี้ (28 ส.ค.) นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามเห็นชอบตามที่นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นเหตุพิเศษ ว 12 ได้ส่งสรุปผลสอบเพิ่มเติม นายอนันต์ ระงับทุกข์ ผู้ตรวจราชการศธ. อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายสุเทพ ชิตยวงศ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ.อดีตผู้ช่วยเลขานุการ กพฐ. นายไกร เกษทัน ผู้อำนวยการสำนักติดตามและประเมินผล สพฐ.อดีต ผู้อำนวยการ สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ. และข้าราชการที่เกี่ยวข้องเสนอส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ขอให้ปลัดศธ. เป็นผู้ชี้แจง

ด้าน นางพนิตา กล่าวว่า คณะกรรมการสืบสวนฯ ได้สรุปผลและเสนอให้ รมว.ศึกษาธิการ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ข้าราชการ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ศธ. จำนวน 8 ราย ในความผิดฐานกระทำผิดระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ด้วยการรักษาความลับของราชการ ดังนี้ นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. ,นายอนันต์ , นายไกร และคณะกรรมการตรวจรับจำนวน 5 ราย โดยจะส่งสรุปผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไปให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงชุดที่มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธาน สอบสวนต่อไปเพราะถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตาม ในส่วนการสอบสอนในประเด็นการทุจริตนั้นตนได้รายงานต่อ รมว.ศึกษาธิการ ว่าให้รอผลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เพราะมีการเจาะตัวบุคคลและมีอำนาจในการเรียกตรวจสอบเส้นทางการเงินได้

นางพนิตา กล่าวชี้แจงว่า สำหรับกรณี นายชินภัทร ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสืบสวนฯได้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบวินัยอย่างร้ายแรง ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่ครั้งนี้เสนอให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงเพิ่มเติมฐานการทำผิดระเบียบ ว่าด้วยการรักษาความลับของราชการ เพราะพบว่ามีความผิดพลาดในการเก็บรักษาข้อมูลลับในการสอบครูผู้ช่วยหลายขั้นตอนเรียกว่าทุกกระบวนการหละหลวมไม่คำนึงถึงว่าเรื่องนี้เป็นความลับทางราชการ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการออกข้อสอบ การเก็บตัวผู้ออกข้อสอบ เรื่องของการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี แล้วถ่ายข้อสอบจากเครื่องพีซีมายังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ที่มีการสั่งซื้อมาใหม่จำนวน 2 เครื่องเพื่อเก็บข้อมูลข้อสอบหนึ่งเครื่อง และเก็บข้อมูลคำตอบ อีกหนึ่งเครื่อง แต่ไม่มีการระวังดูแลเก็บรักษาโน้ตบุ๊กที่ดีพอ เช่น เมื่อมีการจัดพิมพ์ข้อสอบออกมาเรียบแล้วก็จะต้องตั้งคณะกรรมการทำลายโน้ตบุ๊ก แต่ปรากฎว่าคณะกรรมการฯ ไม่มีคนที่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ มีแค่คนเดียวที่มีความรู้และคนที่มีความรู้ยังนำอุปกรณ์ส่วนตัวไปเสียบกับเครื่องโน้ตบุ๊ก โดยไม่มีการตรวจสอบว่าอุปกรณ์ส่วนตัวนั้นมีข้อมูลใดบ้างหรือไม่ จึงไม่รู้ได้ว่าข้อมูลในโน้ตบุ๊กมีการรั่วไหลไปบ้างหรือยัง เพราะฉะนั้นจุดนี้ถือว่าหละหลวม

“ทาง สพฐ.ใช้วิธีเช่าตู้นิรภัยของธนาคาร 3 ตู้ไว้เก็บโน้ตบุ๊กบรรจุข้อสอบ ซึ่งในระเบียบพัสดุไม่มีการกำหนดให้เช่าตู้นิรภัยธนาคารเพื่อเก็บรักษาข้อมูลที่เป็นความลับ ขณะเดียวกันการรักษากุญแจตู้เซฟก็หละหลวมมาก ตู้นิรภัยแต่ละตู้มีกุญแจหลายชุด และมีผู้ถือกุญแจ 3 ราย คือนายชินภัทร นายอนันต์ และนายไกร แต่คนที่รู้รหัสและมีกุญแจทั้ง 3 ตู้ คือ นายไกร ขณะเดียวกันพบว่า ทั้ง 3 คนไม่ได้เก็บกุญแจตู้เซฟไว้กับตัวเอง โดยกุญแจของนายชินภัทรอยู่ที่ นายสุเทพ กุญแจของ นายอนันต์ อยู่ที่เลขานุการ ส่วนนายไกรได้มอบกุญแจทั้ง 3 ตู้พร้อมรหัสไว้เลขานุการ เท่ากับว่าเลขานุการของนายไกรจะเปิดตู้นิรภัยได้ตลอดเวลาแม้นายไกรจะไม่อยู่ก็ตาม อีกทั้งในส่วนของการเก็บกุญแจสำรอง ตามระเบียบกำหนดให้ต้องเก็บที่ตู้เซฟธนาคาร ก็ไม่มีการเปิดบัญชีในนาม สพฐ. หรือมีคณะกรรมการร่วมเปิดเหมือนบัญชีธนาคารทั่ว ๆ ไป แต่เป็นการเปิดบัญชีโดยใช้ชื่อ นายไกร คนเดียวและยังเดินทางไปเปิดบัญชีเพียงคนเดียวด้วย จึงไม่ทราบได้ว่าตอนไปเปิดได้ใส่กุญแจหรือไม่ หรืออาจจะไม่ได้ใส่ก็ได้ เพราะไม่มีพยานรู้เห็น แต่ภายหลังเปิดบัญชีก็มีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพว่า นายไกร ไปเปิดตู้เซฟคนเดียวเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าเปิดทำอะไร ถือว่าผิดระเบียบ” นางพนิตา กล่าว

นางพนิตา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเพิ่มเติมกรณีที่ สพฐ.ได้สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง บริษัท จันวาณิชย์ ซิเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ทำการพิมพ์และประมวลผลสอบ ซึ่งในสัญญาระบุว่า สพฐ.ต้องจ่ายเงินให้ต่อเมื่อ บ.จันวาณิชย์ฯ ได้ส่งรายชื่อผู้สอบผ่านพร้อมใบคะแนนให้ สพฐ.เรียบร้อย แต่ปรากฎว่า เมื่อ บ.จันวาณิชย์ฯ ส่งรายชื่อผู้สอบผ่านมาให้ สพฐ.ก็ทำการประกาศผลสอบทันที ทั้งที่ บ.จันวาณิชย์ ยังไม่ได้ส่งใบคะแนน ตามที่กำหนดในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างถือเป็นการทำข้ามขั้นตอนเพราะกระบวนการยังไม่เสร็จสิ้นตามการจัดซื้อจัดจ้าง

“จากผลการสืบสวนของคณะกรรมการฯ นายสุเทพ นั้นเป็นรายเดียวที่ไม่ถูกเสนอตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น เนื่องจาก นายสุเทพ นั้นไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาคณะกรรมการประมวลผลมาแต่ต้น เพิ่งมาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาด้านการประมวลผลข้อมูลในช่วงกลางเดือนมกราคม 2556 ภายหลังการจัดการสอบเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2556 อีกทั้ง นายสุเทพ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประมวลข้อมูล เพราะในข้อเท็จจริง สพฐ. ได้จ้าง บ.จันวาณิชย์ฯ ทำการประมวลผลข้อมูลแล้ว บ.จันวาณิชย์ฯ ก็ไม่ได้มาปรึกษาใด ๆ กับนายสุเทพ ซึ่งข้อคิดเห็นของกรรมการฯ ชุดดิฉันเห็นสอดคล้องกับความเห็นของดีเอสไอว่า นายสุเทพ ไม่เกี่ยวข้อง”นางพนิตา กล่าว

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33900&Key=hotnews

เตรียมพร้อมด้านภาษา ตอบโจทย์รู้เขา รู้เรา รู้เท่าทัน

28 สิงหาคม 2556

ปี 2558 จะมีการเปิดประชาคมอาเซียน (Asean Community : AC) เวลานี้ประเทศสมาชิกทั้ง 10 ชาติ ย่อมต้องมีการเตรียมความพร้อมให้แก่ประชาชนของตนเองเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนกันแล้ว แน่นอนว่าเรื่องของภาษาและวัฒนธรรมก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยจะพบว่าขณะนี้แม้จะยังไม่ถึงวันที่ประตูจะเปิดกว้างให้การเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างเสรีเต็มที่ แต่เราก็เห็นแล้วว่ามีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านไหลเข้ามาทำงานในบ้านเราเป็นจำนวนมาก สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยทำให้การสื่อสารเป็นไปด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องนั้นก็คือภาษา และหากสังเกตจะพบว่าแรงงานต่างชาติเหล่านั้นจะพูดภาษาไทยได้เข้าใจภาษาไทย ขณะที่คนไทยเราเองกลับไม่ตระหนักเท่าที่ควรเปรียบเหมือนการที่เขารู้เรา แต่เราไม่รู้เขา

วันนี้ยังไม่ถือว่าสายจนเกินไป ยังมีเวลาอีกกว่า 2 ปีที่เราจะเร่งเตรียมความพร้อมกัน ซึ่งพระธรรมภาวนาวิกรม ประธานมูลนิธิร่มฉัตร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ได้มองเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้ริเริ่มโครงการสาธิตชุมชนต้นแบบชุมชนไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นการเตรียมความพร้อมให้แก่ชุมชนพื้นที่รอบ ๆ วัดไตรมิตรฯ ด้วยการตั้ง “ห้องศึกษาอาเซียน” เพื่อให้ความรู้แก่ชุมชนโดยเฉพาะเรื่องของภาษาโดยเริ่มจากการสอนภาษาพม่า ปรากฏว่าได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จากเด็กนักเรียนก็ขยายผลไปสู่ผู้ประกอบการและนักธุรกิจในพื้นที่ และวันนี้ได้มีการขยายผลลงไปใน 4 ภูมิภาคเรียบร้อยแล้ว

พระธรรมภาวนาวิกรม กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยและอีก 9 ประเทศกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อรวมทั้ง 10 ประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งด้านการเมือง การค้าขาย วัฒนธรรม และด้านอื่น ๆ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้นหลาย ๆ หน่วยงานก็มีการดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมกันไปบ้างแล้ว แต่สำหรับมูลนิธิร่มฉัตร ได้ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ดำเนิน “โครงการขยายผลชุมชนต้นแบบและการสื่อสารการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน” เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมด้านการเรียนภาษาเพื่อนบ้าน โดยนำ 2 ทฤษฎีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ นั่นคือ “บ-ว-ร” และ “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา” เพราะการเตรียมความพร้อมนั้นทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือกัน จะปล่อยให้วัด หรือ บ้าน หรือ โรงเรียนทำกันเองไม่ได้ ทั้งโรงเรียน รัฐ และชุมชน ต่างก็มีส่วนสำคัญที่จะต้องมาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
“เราเริ่มต้นโครงการด้วยการสอนเรื่องของภาษาประเทศเพื่อนบ้านก่อน ถึงแม้ภาษาอังกฤษและจีนจะเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่ตามชายแดน มีการไปมาหาสู่ ติดต่อค้าขายกันนั้นควรให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้านมากกว่า เพราะการที่เขารู้ภาษาเราและเรารู้ภาษาเขาสามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การเมืองความมั่นคง หรือเศรษฐกิจ รวมไปถึงเรื่องสังคมและวัฒนธรรม เมื่อเราใช้ภาษาเป็นสื่อถึงกันได้แล้ว ก็จะนำไปสู่ทฤษฎีที่ 2 คือ การเข้าใจซึ่งกันและกัน เข้าถึงซึ่งกันและกัน และในที่สุดก็เกิดเป็นการพัฒนาร่วมกันเพื่อนำไปสู่การเป็นประชาคมโลกได้อย่างสง่างาม” พระธรรมภาวนาวิกรมระบุ

โรงเรียนบ้านแม่จัน (เชียงแสนประชานุสาสน์) อ.แม่จัน จ.เชียงราย เป็นโรงเรียนที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นศูนย์อาเซียนศึกษาภาคเหนือ ที่เน้นการจัดอบรมภาษาเพื่อนบ้านโดยเฉพาะภาษาพม่า โดยผอ.สว่าง มโนใจ ผอ.โรงเรียนบ้านแม่จันฯ กล่าวว่า อำเภอแม่จันเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่เชื่อมต่อไปยังอำเภอแม่สาน เชียงแสน และเชียงของ ซึ่งเป็นพื้นที่การค้าชายแดนที่สำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและลาว เมื่อโรงเรียนได้รับการคัดเลือกให้จัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาอาเซียน” ของภาคเหนือ ก็ได้มีการสอบถามความเห็นจากหลายฝ่ายก็ได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า ภาษาพม่ามีความสำคัญมากสำหรับพื้นที่นี้ จึงได้จัดให้มีการอบรมภาษาพม่าให้แก่เยาวชนและผู้ประกอบการและกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพของชุมชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยจัดเป็นโครงการอบรมหลักสูตรเร่งรัด 3 วัน โดยใช้ครูเจ้าของภาษามาเป็นผู้สอน

แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้โรงเรียนบ้านแม่จันฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมที่จะปลุกประชากรในโรงเรียนให้ตื่นตัวที่จะเรียนภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่ง ผอ.สว่าง เล่าว่า โรงเรียนเริ่มพัฒนาตนเองเพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์ภาษาด้วยการเป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนในฝันตั้งแต่เดือน มี.ค. 2549 พยายามทำให้โรงเรียนเป็น School Lab คือ ทุกอย่างในโรงเรียนต้องเป็นแล็บ อาคารสถานที่ต่าง ๆ ต้องเป็นแล็บทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องแล็บหรือห้องปฏิบัติการทางภาษาที่ต้องสร้างโดยเฉพาะ แต่ต้องเป็นได้ทั้งหมดตามต้นไม้ชายคาก็ต้องเป็นได้ ครูในโรงเรียนผู้บริหารต้องเป็น ต้องฝึกพูดโดยเริ่มจากภาษาอังกฤษก่อน ซึ่งแนวทางของโรงเรียนคือ ใช้ครูเจ้าของภาษามาสอน เพราะครูคนไทยที่มาสอนภาษาอังกฤษมักจะมีความอดทนน้อยเดี๋ยวก็แปลให้เด็กฟัง ดังนั้นเราจึงใช้ครูเจ้าของภาษาซึ่งได้รับความอนุเคราะห์อาสาสมัครจากประเทศอังกฤษ บางคนเขาพูดภาษาไทยแต่จะไม่ยอมพูดภาษาไทยในห้องเรียน ถ้าจะต้องอธิบายก็ว่ากันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งระยะแรก ๆ ทั้งเด็กและครูของเราจะเครียดมาก แต่ด้วยวิธีการนี้และการสื่อสารด้วยภาษาง่าย ๆ ก็สามารถทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดี เพราะเมื่อเราไม่กลัวครูและครูก็ให้ความเป็นกันเองทำให้มีการสื่อสารมีการพัฒนาสามารถพูดคุยกันด้วยภาษาที่สูงขึ้นได้

ผอ.สว่าง บอกว่า ถ้าเราไม่เปลี่ยนวิธีคิดยังสอนแบบเดิม ๆ อยู่อย่างนั้น เรียนมามากขนาดไหนก็พูดไม่ได้ จากแรก ๆ ที่ครูเราไม่กล้าที่จะเดินสวนกับครูต่างชาติ เพราะกลัวที่จะต้องคุยหรือถูกถามเป็นภาษาอังกฤษ โรงเรียนก็ต้องกระตุ้นโดยกำหนดว่าคนที่จะเดินผ่านทางนี้ขึ้นอาคารนี้ต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น หรือวันจันทร์ต้องพูดภาษาอังกฤษ วันศุกร์ต้องพูดภาษาจีน เพราะเราเริ่มต้นมาจากภาษาอังกฤษกับภาษาจีน ใหม่ ๆ ก็ไม่กล้าแต่คุณครูก็พยายามทำการบ้านแล้วมาสื่อสาร แต่พอเราเปลี่ยนวิธีมาวันนี้กล้าบอกว่าครูโรงเรียนบ้านแม่จันฯ ใช้ภาษาอังกฤษได้ทุกคน และตอนนี้เรากำลังมุ่งสู่ภาษาพม่า ซึ่งก็ต้องใช้วิธีการเดียวกัน คือ ต้องใช้เจ้าของภาษา แต่ถ้าจะใช้ครูไทยก็ได้ แต่ต้องมีความอดทนที่จะไม่แปลถ้าจะแปลต้องแปลเป็นภาษานั้น มิฉะนั้นคนเรียนก็จะไม่ได้อะไรเหมือนเดิม
พ.ต.อ.วีระวุธ ชัยชนะมงคล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่จัน กล่าวว่า แม่จันเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นจุดผ่านจากแม่สาย เชียงแสน ยาเสพติดที่จับได้มาก ๆ ก็ที่แม่จัน ดังนั้นการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ารับการอบรมภาษาพม่าจึงเป็นการตื่นตัวว่าเราจะต้องติดต่อกับเพื่อนบ้าน เป็นโลกไร้พรมแดนจะอยู่กันเองไม่ได้แล้ว ซึ่งพม่าเองก็ตื่นตัวและพร้อมที่จะเปิดประเทศ ถ้าสื่อสารไม่ได้เวลาเราถามเขาเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเขาจะไม่ตอบ และปฏิเสธอย่างเดียว เพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ แต่พอเราพูดกับเขาได้เขาก็ยอมบอกและให้ความร่วมมือมากขึ้น ทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิด อีกอย่างเวลาที่เขาใช้ล่ามมาแปลเราก็จะรู้ว่าเขาคุยอะไรกัน เรียกว่าเมื่อเขารู้เราแล้วเราก็รู้เขาด้วย เป็นการรู้เท่าทันกัน

วันนี้ยังไม่สายหากจะมาเริ่มต้นเตรียมความพร้อมด้านภาษาของประเทศในกลุ่มอาเซียนหรืออย่างน้อยก็ภาษาของประเทศเพื่อนบ้านที่ติดกัน เพื่อเปิดประตูอาเซียนพร้อม ๆ กัน.
อรนุช วานิชทวีวัฒน์

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33886&Key=hotnews

กพฐ. รับ จัดซื้อแท็บเล็ตปีนี้มีปัญหา ชี้แก้ปัญหา-ควบคุมต้องใช้เวลา

28 สิงหาคม 2556

“ชินภัทร” ยอมรับจัดซื้อแท็บเล็ตปีนี้มีปัญหา ชี้หลายประเด็นเกินกว่าจะควบคุมได้และต้องใช้เวลาแก้ไข เตรียมสรุปเป็นบทเรียนเพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาปีถัดไป

วานนี้ (27 ส.ค.) นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีการทักท้วงและข้อสงสัยจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เกี่ยวกับการจัดประมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออกชัน จัดซื้อแท็บเล็ต ในโครงการคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตพกพาต่อ 1 นักเรียน ปีการศึกษา 2556 เพื่อแจกนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทั้ง 4 โซน ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีทางอิเลคทรอนิกส์ ของกรมบัญชีกลางนั้น ได้ตอบข้อสังเกตการพิจารณาจัดซื้อแท็บเล็ตเฉพาะโซน 1 ระดับป.1 (ภาคกลางและภาคใต้) โซน 2 ระดับ ป.1 (ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) และโซน 4 ระดับ ม.1 (ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ไปยัง สตง.เป็นที่เรียบร้อย โดยขั้นตอนต่อจากนี้ไปคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 แท็บเล็ตต่อ 1 นักเรียน ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของการจัดซื้อในโซน 1 , 2 และ 4 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนประเด็นการประมูลแท็บเล็ตโซน 3 ม. (ภาคกลางและภาคใต้) ที่บอร์ดแท็บเล็ตมีมติให้ดำเนินการยกเลิกผลอี-ออกชันนั้นตนยังไม่อยากให้รายละเอียดอะไรมาก ซึ่งขอให้เป็นเรื่องของการ ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่ากระบวนการจัดซื้อแท็บเล็ตในปีนี้ค่อนข้างมีปัญหา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ก็จะรวบรวมข้อมูลสรุปเป็นบทเรียนสำหรับการแก้ปัญหาจัดซื้อแท็บเล็ตในปีต่อไป อย่างไรก็ตามตนเข้าใจว่าประเด็นที่เกิดปัญหานั้นหลายเรื่องเหนือการควบคุมและเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาอย่างมีขั้นตอนและคงจะไปเร่งรัดให้การแก้ปัญหาเสร็จสิ้นโดยเร็วคงทำไม่ได้ แต่ต้องมาดูบทสรุปถึงข้อดีข้อเสียที่เกิดขึ้นว่าควรจะดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้จากการติดตามผลการวิจัยติดตามการใช้งานคอมพิวเตอร์พกพาของนักเรียนชั้น ป.1 สังกัด สพฐ.ในปีการศึกษา 2555 ที่ผ่านมาพบว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้น สนุกกับการเรียนรู้และมีพัฒนาการทางด้านภาษาอย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากผลสัมฤทธิ์ของคะแนนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามการใช้งานแท็บเล็ตแต่ละปีจะมีสเปคที่สูงขึ้น ซึ่งส่วนนี้ก็จะพัฒนากันต่อไป เพราะเข้าใจดีว่าเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้งานแท็บเล็ตของเด็กของปีก่อนจะใช้การไม่ได้

–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33885&Key=hotnews

จบ ม.6 ใน 8 เดือน ฟังชวนเชื่อ! “จาตุรนต์” เปลี่ยนใช้ชื่อใหม่ “เทียบการศึกษาสูงสุดขั้นพื้นฐาน”

28 สิงหาคม 2556

วันที่ 27 ส.ค.56 ตามที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบนโยบายแก่สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งพูดถึงโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษา จบ ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ว่าเป็นโครงการที่ดี แต่การใช้คำว่า จบ ม.6 ใน 8 เดือนนั้นอาจไม่เหมาะสม และทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่า ถ้าอยากได้วุฒิการศึกษา ม.6 ให้มาเรียนกับ กศน.ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็ได้วุฒิ ม.6 แล้ว ง่ายกว่าการไปเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งที่จริงแล้วไม่ได้จบง่ายอย่างที่คิด ดังนั้นจึงขอให้ กศน. เปลี่ยนข้อความจากคำว่า “จบ ม.6 ใน 8 เดือน” มาใช้คำว่า “เทียบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดการศึกษาขั้นพื้นฐาน” แทน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้โครงการยกระดับคุณภาพการศึกษา จบ ม.6 ใน8 เดือน อย่างมีคุณภาพ เป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวง ว่าด้วยการแบ่งระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สมัยที่นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็น รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่ผู้ที่อยู่นอกระบบการศึกษา และยังไม่จบชั้น ม.6 ที่มีอยู่ขณะนี้ 18 ล้านคน เนื่องจากปัจจุบันค่าเฉลี่ยการศึกษาของคนไทยอยู่แค่ระดับชั้น ม.2 เท่านั้น โดยรัฐบาลให้เงินอุดหนุนรายหัวสำหรับโครงการนี้รายละ 3,000 บาท แต่ผู้เรียนจะต้องจ่ายค่าครูพี่เลี้ยง 1,500 บาท

ทั้งนี้ ผู้เรียนในโครงการนี้จะต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป และประกอบอาชีพที่มั่นคง ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพื่อใช้ประสบการณ์มาทดสอบใน 9 มาตรฐานวิชาที่ กศน.กำหนดไว้ ให้ได้สัดส่วน 60% จึงจะเกณฑ์ สำหรับ 9 มาตรฐานวิชา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์, คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวัน, การบริหารธุรกิจเอสเอ็มอีได้, ระบอบประชาธิปไตย, การบริหารจัดการชุมชน, การสนทนาภาษาอังกฤษหรือจีน, ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร, การวิจัยชุมชน และการจัดการอาหารเพื่อครอบครัวและชุมชน

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33884&Key=hotnews

เพิ่มเงินเดือนข้าราชการอุดมศึกษายาก

28 สิงหาคม 2556

“กำจร” ชี้เพิ่มเงินเดือนอุดมศึกษายาก หวั่นข้าราชการกระทรวงอื่นขอเพิ่มด้วย แนะของบกลางมาจ่ายเงินเดือนย้อนหลังพนักงานมหาวิทยาลัย ขณะที่ รมช.ศึกษาธิการ รับดูแลปัญหาอุดมศึกษาเต็มที่

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวในการประชุมสามัญที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) เมื่อเร็วๆนี้ ว่า รัฐบาลได้ฝากให้มหาวิทยาลัยต่างๆช่วยกันพัฒนาตนเอง และพัฒนาคุณภาพบัณฑิตมากขึ้น และตนเองจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในเรื่องต่าง ๆอย่างเต็มที่ เพื่อให้การขับเคลื่อนอุดมศึกษาเดินไปข้างหน้าได้ โดยตนจะช่วยดูทั้งงบวิจัย การขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยและข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งขณะนี้พบว่ายังเป็นปัญหาและที่ผ่านมามีอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาร้องเรียนมาว่าได้รับเงินเดือนต่ำกว่าข้าราชการครูอีก ซึ่งเป็นเรื่องจริง สาเหตุหนึ่งมาจากบัญชีเงินเดือนของข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษาไปผูกติดกับบัญชีเงินเดือนของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.)ดังนั้นการจะขึ้นเงินเดือนต้องดูทั้งระบบ ซึ่งแตกต่างกับของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ที่มีบัญชีเงินเดือนต่างหาก ดังนั้นตนเห็นว่าอาจจะต้องมาดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ให้มีความชัดเจนมากขึ้น

รศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า ตนขอให้รมช.ศึกษาธิการ ช่วยของบกลางปี 2557 เพื่อให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆนำไปใช้ในการปรับเพิ่มเงินเดือนให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสำนักงบฯ ขอให้มหาวิทยาลัยใช้เงินรายได้ของตนเองจ่ายเงินเดือนย้อนหลังให้พนักงานตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 ถึง 30 กันยายน 2556 และจะตั้งงบประมาณคืนให้ในปี 2558 ซึ่งทำให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไม่กล้าจะนำเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยมาจ่ายให้ก่อน เพราะจะกระทบกับงบฯที่นำไปใช้ในการพัฒนามหาวิทยาลัยในส่วนอื่น ๆ ส่วนงบฯที่ใช้จ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานมหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไปนั้น ไม่ต้องห่วง เพราะรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณปี 2557 ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

“ หากนายเสริมศักดิ์ ช่วยของบกลางของปี 2557 มาเบิกจ่ายในส่วนนี้ก่อน โดยไม่ต้องรอตกเบิกในปี 2558 ก็จะช่วยผ่อนคลายให้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆได้มาก ขณะที่จำนวนเงินที่จะใช้ก็ถือว่าไม่มาก เพียง 1,000 กว่าล้านบาท หากเทียบกับงบประมาณกลางที่รัฐบาลมีอยู่ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลตั้งไว้ เพื่อนำไปใช้งานที่เกิดประโยชน์ประเทศ”นพ.เฉลิมชัย กล่าว

ด้านรศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า การที่จะปรับเงินเดือนให้กับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษานั้น คงเป็นเรื่องยาก เพราะถ้าข้าราชการในอุดมศึกษาได้เงินเดือนเพิ่มจริง ข้าราชการในส่วนอื่นๆ ก็จะต้องขอเพิ่มเช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกัน..

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33883&Key=hotnews

กยศ.ปรับเงื่อนไขจูงใจลูกหนี้ชำระคืนเงินกู้

28 สิงหาคม 2556

มติบอร์ด กยศ.สั่งแก้ปัญหาลูกหนี้ผิดนัด ห่วงสภาพคล่องทางการเงินไม่เพียงพอสำหรับปล่อยกูให้กับนักเรียน นักศึกษาในรุ่นถัดไป…

เมื่อวันที่ 27 ส.ค.2556 นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ (บอร์ด) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดมีมติให้ฝ่ายบริหารเข้าไปแก้ไขปัญหานักเรียนและนักศึกษาที่ กู้เงินยืมเงิน กยศ. แต่ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้มียอดหนี้ค้างกว่า 1.485 ล้านราย เป็นวงเงินกู้ 136,237 ล้านบาท จากจำนวนผู้กู้ทั้งหมด 2.15 ล้านราย วงเงินกู้ 194,711 ล้านบาท ถือเป็นยอดเบี้ยวหนี้เกือบ 80% ทำให้ กยศ.อาจต้องประสบกับปัญหาสภาพคล่องในอนาคต เพราะลูกหนี้ที่กู้ยืมเงิน กยศ. ไม่ผ่อนชำระคืน ในขณะที่ กยศ. ต้องปล่อยกู้ให้แก่นักเรียนและนักศึกษารายเก่าจนกว่าสำเร็จการศึกษา ส่วนนักศึกษาใหม่ที่จะในระดับอุดมศึกษาก็จะมีจำนวนรายลดน้อยไปด้วยเพราะ กยศ.ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะปล่อยกู้ให้แก่ผู้กู้ได้ครบทุกราย

ทั้งนี้ ในเบื้องต้น บอร์ด กยศ.เสนอให้ กยศ.ไปปรับแนวทางการทำงาน เพื่อจูงใจให้ผู้กู้ที่มีเจตนาเบี้ยวหนี้หรือไม่ เบี้ยวหนี้ก็ตาม แต่มีภาระหนี้อื่น ๆ ให้นำเงินที่เหลือใช้มาชำระหนี้กับ กยศ.ก่อนเป็นอันดับแรก กรณีที่ผู้กู้ที่ไม่เคยมีประวัติติดหนี้ค้างชำระเลย หากนำเงินมาชำระหนี้ที่เหลือทั้งหมด หรือปิดบัญชี จะได้รับส่วนลดพิเศษ 3.5% จากยอดเงินคงเหลือ ส่วนกรณีที่ ผู้กู้มีหนี้ค้างชำระ นำเงินมาชำระหนี้ทั้งหมด หรือปิดบัญชี จะได้รับการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยปรับลง 50% ซึ่งปัจจุบัน กยศ.คิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ปกติ แต่หากเป็นผู้หนี้ผิดนัดชำระหนี้ เกิน 12 เดือนจะคิดเบี้ยปรับ 18% ต่อปี

ส่วนกรณีที่ผู้กู้มีเงินไม่เพียงพอ แต่ขอกลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดี กยศ.จะงดคิดอัตราดอกเบี้ยปรับตั้งแต่งวดที่ค้างชำระหนี้ เช่น ในปีนี้ ครบกำหนดชำระหนี้ วันที่ 5 ก.ค.จนถึงปัจจุบัน ค้างชำระหนี้มาเป็นระยะเวลา 1 เดือน ก็จะไม่ถูกเรียกเบี้ยปรับในอัตราดอกเบี้ย 12% กรณีค้างไม่เกิน 12 เดือน ส่วนกรณีที่ค้างเกินกว่า 12 เดือนจะเสียดอกเบี้ยขึ้นเป็น 18% โดยมาตรการนี้ จะเปิดให้ผู้กู้สมัครใจเข้าแก้ไขหนี้กับ กยศ.ตั้งแต่เดือนพ.ย.นี้ จนถึงเดือน มี.ค.ปี 57 ส่วนการขึ้นบัญชีดำ หรือแบล็กลิสต์กับเครดิตบูโรนั้น ยังอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้ หากผู้กู้ไม่ชำระหนี้เกิน 5 ปี ถึงจะขึ้นแบล็กลิสต์ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่เข้มงวด เพราะผู้กู้จะไม่สามารถทำธุรกรรมทางเงินกับสถาบันการเงินใด ๆ ได้.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33882&Key=hotnews