Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

‘อ๋อย’ จี้มหาวิทยาลัยติดอันดับโลก แนะ2แนวทางขยายแรงกิ้ง-ตั้งเป้าขยับผลพิซ่า

13 สิงหาคม 2556

น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เข้ารายงานความคืบหน้าเรื่องแนวทางการขับเคลื่อน 8 นโยบายการศึกษากับนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมหารือความคืบหน้าเรื่องยุทธศาสตร์การศึกษา 2556-2558 และแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2556-2559 ซึ่งภาพรวมทั้งสองเรื่องนี้คล้ายคลึงกัน โดยในส่วนของการยกระดับและการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติหรือพิซ่า ที่เคยวางเป้าหมายผลักดันให้ผลการประเมินจากอันดับที่ 50 มาอยู่ในอันดับที่ 20 ภายใน 6 ปีนั้น รมว.ศธ.ได้เสนอให้กำหนดเป้าหมายใหม่ โดยมุ่งเน้นให้มาดูว่าเมื่อประกาศผลแต่ละครั้ง เด็กไทยมีคะแนนสอบสูงกว่าผลการทดสอบครั้งที่ผ่านมากี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในปลายปีนี้ สกศ.จะนำผลคะแนนรอบล่าสุดมาเปรียบเทียบว่าสูงขึ้นหรือไม่
เลขาธิการ สกศ. กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังหารือถึงการจัดอันดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการพยายามทำให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการจัดอันดับทั่วโลกใช้หลักเกณฑ์แตกต่างกัน ดังนั้น การจัดอันดับของบางสำนักจึงทำให้มหาวิทยาลัยไทยอยู่ในอันดับท้ายๆ แต่มีอยู่ 4 แห่ง ที่มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับมากที่สุด คือ

1.Time Higher Education World University Rankings

2.Webometrics Ranking of World Universities

3.Green Metric World University Ranking และ

4.QS World University Rankings

โดย จุฬาฯ และ ม.มหิดล ติดอันดับทั้ง 4 แห่ง ขณะที่ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ติด 2 แห่ง โดย รมว.ศธ. ได้เสนอ 2 แนวทางที่มากำหนดการติดอันดับโลกให้มากขึ้น

1.หากมีการจัดอันดับ เช่น ทั้ง 4 แห่งข้างต้น มหาวิทยาลัยไทยควรติดทั้ง 4 แห่ง และ

2.จากเดิมที่มีมหาวิทยาลัยติดอันดับอยู่ 3 แห่ง ในอนาคตต้องมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และควรขยายไปติดอันดับใน สำนักอื่นๆ มากกว่านี้

“สำหรับยุทธศาสตร์การศึกษา สกศ.จะกลับไปแก้ไขเพื่อเสนอ รมว.ศธ.นำเข้า ครม. ส่วนแผนการศึกษาแห่งชาติ เมื่อแก้ไขแล้วจะต้องนำเข้าที่ประชุมบอร์ด สกศ.ในวันที่ 28 ส.ค.ก่อนนำเข้า ครม.ต่อไป” น.ส.ศศิธารากล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 13 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33667&Key=hotnews

สกสค.ลดขั้นตอนเยียวยาครูใต้

13 สิงหาคม 2556

นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ตนพร้อมด้วยผู้บริหารสกสค.จากส่วนกลางจะออกเดินสายรับฟังปัญหาและเก็บข้อมูลการทำงานด้านการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาตามโครงการติดตามยุทธศาสตร์การบริหารงานของสกสค. โดยที่ผ่านมาได้มีการรับฟังปัญหาในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็จะทยอยลงไปให้เสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ จากนั้นจะรวบรวมปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานของฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่เพื่อเร่งแก้ไขให้การทำงานของสกสค.สามารถเดินไปข้างหน้าได้ และเพื่อให้สามารถดูแลครูได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ

เลขาธิการ สกสค.กล่าวต่อไปว่า สำหรับพื้นที่พิเศษโดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา 5 อำเภอ ซึ่งมีสถานการณ์ความไม่สงบอยู่นั้น สกสค.จะถือให้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ ซึ่งจะมีการปลดล็อกเงื่อนไขการดูแลครู โดยตนจะมอบอำนาจให้ ผอ.สกสค.จังหวัดพิจารณาให้ความช่วยเหลือครูที่ประสบเหตุเมื่อเกิดกรณีความไม่สงบในทันที ไม่ต้องรอเสนอเรื่องตามขั้นตอนมาถึงส่วนกลาง และหากมีครูที่เป็นสมาชิก ชพค. เสียชีวิตจากเหตุความไม่สงบ ผอ. สกสค.จังหวัด สามารถนำเงินช่วยเหลือค่าจัดการศพ 2 แสนบาทไปมอบให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตได้ทันทีภายใน 24 ชั่วโมง จากนั้นจะได้รับเงินอีก 7 แสนบาท และเงินช่วยเหลือพิเศษอีก 5 แสนบาท ส่วนครูที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ชพค.จะได้เฉพาะเงินช่วยเหลือพิเศษ 5 แสนบาท.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 13 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33666&Key=hotnews

ประธานคุรุสภาห่วงวิชาชีพครูเสื่อมถอย จี้พัฒนาทั้งคุณภาพและภาพลักษณ์

13 สิงหาคม 2556

ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ รักษาการคณบดีวิทยาลัยครุศาสตร์ ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภา เปิดเผยว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้เข้าร่วมการเสวนาเรื่องอนาคตการศึกษาไทย ซึ่งตนได้เสนอประเด็นการพัฒนาครูในอนาคตว่า ขณะนี้การพัฒนาครูยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากที่ผ่านมาเราไม่ได้คนเก่งมาเป็นครู และคนส่วนใหญ่ที่มาสมัครเป็นครูก็มักจะมาจากคนที่เรียนอะไรไม่ได้แล้วก็มาทำอาชีพครู จึงส่งผลให้โรงเรียนได้ครูที่ไม่มีคุณภาพมาสอนเด็ก ตลอดจนสังคมเกิดการวิจารณ์อย่างหนักไม่ว่าจะเป็นการสอบบรรจุครูที่เกิดการทุจริต หรือแม้แต่มีข่าวครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ดังนั้นไม่เพียงแต่เร่งเดินหน้าพัฒนาครูแต่เราต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่ครูด้วย ซึ่งตนคิดว่าระบบการคัดเลือกครูจะต้องมีการสอบไม่ใช่การสมัครเข้ามาเป็นครู เพราะเท่าที่พบข้อมูลสถานศึกษาบางแห่งรับสมัครครูแต่ไม่มีการวัดคุณภาพครูด้วยวิธีการสอบแต่อย่างใด จึงส่งผลให้คุณภาพครูเกิดความอ่อนแอ

ศ.ดร.ไพฑูรย์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากให้มีการส่งเสริมสนับสนุนในด้านงบประมาณแก่สถาบันผู้ผลิตและพัฒนาครูให้มากขึ้น เพื่อจะทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาครูมีความเข้มข้นและเกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากนัก ซึ่งอาจทำให้การผลิตครูทำได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันก็อยากให้มีการส่งเสริมการทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาครูให้มากขึ้นด้วย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะผลักดันให้สถาบันที่ผลิตครูเป็นสถาบันที่มีคุณภาพอย่างเต็มที่ได้
“เมื่อเราสามารถสร้างครูให้เป็นคนที่มีความสามารถสูงได้แล้ว ต่อไปจะต้องยกระดับวิชาชีพครูให้มีมาตรฐานสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคุรุสภาจะต้องเป็นหน่วยงานหลักที่มีความเข้มแข็ง และมีทิศทางการพัฒนาครูอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการทำงานของ คุรุสภาและครูในอนาคตจะต้องทำงานในพื้นฐานรูปแบบงานวิจัย เพราะจะทำให้คนที่เกี่ยวข้องได้รับความรู้ใหม่ และจะทำให้การพัฒนาวิชาชีพเป็นไปอย่างกว้างขวางและมีคุณภาพ ซึ่งผมคิดว่าประเด็นทั้งหมดนี้จำเป็นต่อการพัฒนาครูโดยตรง” ประธานกรรมการคุรุสภากล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 13 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33665&Key=hotnews

ดันยืดเกษียณแก้ขาด’ครู’ห่วงเอกชนลาออกสอนรัฐ

13 สิงหาคม 2556

อีก 5 ปีครูแห่เกษียณกว่า 1 แสนคน ‘เสริมศักดิ์’ เสนอ ก.พ.ขอคืนอัตรา 100% บรรจุใหม่แทนทันที นายกสมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ แนะขยายอายุครูเกษียณเป็น 65 ปี

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า กรณีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด ศธ.จะเกษียณอายุราชการในอีก 5 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2556-2560 หนังสือพิมพ์มติชนรายวันจำนวน 104,108 คน แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 99,890 คน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 3,320 คน สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 311 คน สถาบันการพลศึกษา 236 คน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 205 คน สถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์ 129 คน และสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน (วชช.) 17 คน นั้น ศธ.คงต้องเสนอขออัตรากำลังคืน 100% สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) และ สพฐ.ควรต้องหารือกับสำนักงาน คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพราะการทยอยบรรจุอัตราทดแทนทำให้เสียเวลา แต่หากได้อัตราคืนมาทั้งหมด แล้วบรรจุแทนที่เกษียณทั้งหมด จะไม่เสียเวลา จะมีครูมาสอนได้ทัน

“ส่วนที่จะมีผู้บริหารระดับ (ซี) 11 ของ ศธ.เกษียณ ในเดือนกันยายน 2 คน คือนาง พนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นั้น นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังไม่ได้เรียกหารือ แต่โดยหลักการแล้ว หากจะโยกย้ายผู้บริหารซี 11 ในหน่วยงานที่ผมกำกับดูแล อย่างสำนักงานคณะกรรมการการ

อุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) น่าจะต้องหารือกันก่อน ส่วนตัวเห็นว่าช่วงเดือนสิงหาคมนี้ หากจะแต่งตั้งผู้บริหารซี 11 แทนตำแหน่งปลัด ศธ.และเลขาธิการ กพฐ.ก็ทำได้ เพราะเมื่อแต่งตั้งซี 11 แล้ว จะแต่งตั้งซี 10 และ 9 ตามลำดับ” นายเสริมศักดิ์กล่าว

ด้านนายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ปัจจุบันครูโรงเรียนเอกชนขาดแคลนอยู่แล้ว โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เชื่อว่าจะขาดแคลนต่อเนื่องไปอีกพอสมควร จากการดูข้อมูลการรับนักศึกษาเข้าเรียนในสาขาครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่เปิดสอน น่าจะมีครูที่เพิ่มมากขึ้นช่วง 3-5 ปีจากนี้ แต่การรับนักศึกษาเข้าเรียนในสายดังกล่าว ไม่ใช่สาขาที่ขาดแคลน แต่เป็นสาขาที่มีคนเรียนกันมากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่มีข้าราชการครู ของโรงเรียนรัฐเกษียณจำนวนมาก น่าจะมีครูโรงเรียนเอกชนบางส่วน ที่ลาออกเพื่อไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูโรงเรียนรัฐแทน

นายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) กาญจนบุรี เขต 4 และนายกสมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบเกิดขึ้นแน่นอน เพราะข้าราชการครูที่เกษียณ มีประสบการณ์และมีความรู้ ต้องใช้เวลานาน ในการสร้างข้าราชการครูมาทดแทน นอกจากนี้ ยังน่าเป็นห่วงในส่วนของผู้บริหารโรงเรียนที่เกษียณด้วย หากไม่สร้างผู้บริหารโรงเรียนรุ่นใหม่มาทดแทนแล้ว จะมีผลกระทบในการบริหารโรงเรียนแน่นอน เพราะการบริหารโรงเรียนถือเป็นสิ่งสำคัญ และต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมกันมา

“ผมคิดว่าการแก้ปัญหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เกษียณ นอกจากการได้อัตราคืนมาทันทีแล้ว อยากให้ต่ออายุราชการข้าราชการครูออกไปถึง 65 ปี เช่นเดียวกับ อาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งระยะแรกอาจจะเน้นเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลนก่อน เพราะสมัยนี้คนอายุ 60 ปียังแข็งแรงมาก อีกทั้งการขออัตราเกษียณคืนจาก ก.พ.นั้น ต้องใช้เวลา 1-2 ปี ถึงจะได้อัตราคืนมา และเมื่อได้มาก็ต้องเปิดสอบบรรจุอีก ทำให้เกิดปัญหากับโรงเรียนอย่างมาก เพราะไม่มีใครมาสอนนักเรียนในช่วงที่ยังไม่ได้อัตราคืน” นายธวัชชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเดือนกันยายน 2556 จะมีผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด ศธ.เกษียณจำนวนมาก โดยมีผู้บริหารซี 11 และซี 10 เกษียณหลายคน ได้แก่ นางพนิตา, นายชินภัทร, นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ กพฐ., นางอรทัย มูลคำ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม สพฐ., นายสมบัติ สุวรรณพิทักษณ์ รองปลัด ศธ., นายธวัช ชลารักษ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ., นายเกียรติศักดิ์ เสนไสย ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด ศธ., นายสุรพล รัตนชัย ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด ศธ. และนางสุนันทา แสงทอง ที่ปรึกษา สกอ. ทั้งนี้ เฉพาะบุคลากรสังกัด สพฐ.เกษียณ มากถึง 10,451 คน สังกัดสถานศึกษา สอศ. 355 คน สังกัด กศน. 53 คน และสังกัดวิทยาลัยชุมชน 2 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ ที่เกษียณได้แก่ นายวิศรุต สนธิชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, นางจำนงค์ แจ่มจันทรวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา, นายสำเร็จ แก้วกระจ่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล, นางจิรา อ่อนไสว ผู้อำนวยการโรงเรียนราชนันทาจารย์ สามเสนวิทยาลัย 2, นายสนั่น ชนันทวารี ผู้อำนวยการอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย, นางอารีย์ ชินสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวัดระฆัง, นายธงชาติ วงษ์วรรค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนหอวัง, นางถนอมจิตต์ ขุททะกะพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเจ้าพระยาวิทยาคม, นายจีระศักดิ์ จันทุดม ผู้อำนวยการโรงเรียนราชดำริ, นายเฉลียว พงศาปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิตบางเขน, นายนคร เดชพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพลีลา, นายเฉลิมชัย จันทรมิตรี ผู้อำนวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย และนายจารึก ศรีเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียน วัดเขมาภิรตาราม เป็นต้น

–มติชน ฉบับวันที่ 13 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33664&Key=hotnews

แฝดสามใบเถาขวัญใจของประชาคมออนไลน์ในเวียดนาม

น้อง ๆ เขามีกฎว่า
“จะต้องช่วยกันทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จด้วยกัน”

learning
learning

แฝดสามใบเถาขวัญใจของประชาคมออนไลน์ในเวียดนาม แม้จะรู้จักชื่อทั้งสามคนก็ยังยากที่จะเรียกให้ถูกตัว นอกจากจะเรียกตามสีหรือตามลายเสื้อ แต่สามสาวเติบโตมาด้วยกัน ช่วยกันทำการบ้าน ช่วยกันติว ทำให้เรียนเก่ง เป็นนัก “เด็กท็อป” มาด้วยกัน และในวันนี้ประสบความสำเร็จด้วยกันในด่านแรก ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ภาคภูมิใจได้มากมายเท่านี้ ถึงแม้ว่าค่าเล่าเรียนของนักศึกษาแพทย์แต่ละคนตลอด 6 ปีข้างหน้า จะเป็นเงินมากมายมหาศาลสักเพียงไรก็ตาม. — ภาพ: เตื่อยแจ๋ออนไลน์.

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000100183

ASTV ผู้จัดการออนไลน์ — ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามพากันชื่นชม นักเรียนหญิงอายุ 18 ปีพี่น้องแฝดสาม ที่สอบเอ็นทรานซ์เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ได้ยกทีม มารดาเผยตั้งใจเรียนกันและติวกันเองมาตลอดแฝดทั้งสามมีความตั้งจะให้ประสบความสำเร็จร่วมกัน และไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ชาวเน็ตต่างชื่นชมผลงานการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่และความสามารถของน้องแฝด ขณะเดียวกันก็แสดงความหนักใจกับค่าเล่าเรียนตลอด 6 ปีข้างหน้า

เหวียนเจิวแทง (Nguyen Chau Thanh) เหวียนซเวินแทง (Nguyen Dan Thanh) กับเหวียนบ๋าวแทง (Nguyen Bao Thanh) ได้กลายเป็นแฝดสามรายแรกของประเทศที่ทำได้เช่นนี้ ในการสอบเอ็นทรานซ์ที่ประกาศผลปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งสามคนผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการแพทย์และการเภสัชนครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City Medicine and Pharmacy University) สถาบันที่สร้างบุคคลากรทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศมาแล้วเป็นจำนวนมาก

สถาบันการศึกษาเก่าแก่แห่งนี้กำลังเฉลิมฉลอง 66 ปีการก่อตั้ง และจะรับเฉพาะนักศึกษาที่ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ที่ได้คะแนนสูงเท่านั้น สำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรสกล่าว

อย่างไรก็ตาม สามใบเถาไม่ได้มีความประสงค์จะเรียนคณะแพทย์ศาสตร์แม้แต่คนเดียว ซเวินแทงกับเจิวแทงเลือกคณะการเภสัช ส่วนบ๋าวแทงเลือกคณะทันตแพทย์

ทั้งสามเป็นนักเรียนท็อปมาตลอด 12 ปีที่เรียนมัธยมศึกษา” นางจีงถิทูบา (Trinh Thi Thu Ba) คุณแม่ที่ประกอบอาชีพค้าขายกล่าวกับสำนักข่าวยอดนิยมภาษาเวียดนาม

ครอบครัวของแฝดสามใบเถาพื้นเพเป็นชาว จ.โด่งนาย (Dong Nai) ซึ่งอยู่ติดนครโฮจิมินห์ แต่ส่งลูกสาวทั้งสามไปเรียนมัธยมศึกษาในนครใหญ่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ คุณแม่บอกว่าทั้งสามคนจะช่วยกันทำการบ้านมาตั้งแต่เล็กๆ หากการบ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่เสร็จก็จะไม่นอน หากไม่เข้าใจก็จะช่วยกันอธิบายจนเข้าใจ พ่อแม่ไม่เคยบอกให้สนใจหรือตั้งใจเรียน ไม่เคยถามเรื่องทำการบ้าน แต่จะทำกันเอง ดูแลกันเอง และกลายเป็นนักเรียนเรียนดีทั้งสามพี่น้อง

พวกเขามีกฎที่ไม่ประกาศอยู่เรื่องหนึ่งคือ จะต้องช่วยกันทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จด้วยกัน” นางทูบากล่าว

คุณแม่กล่าวว่าภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ได้เลี้ยงลูกทั้งสาม เพราะตอนคลอดมีคนขอ “ซื้อ” ไปเลี้ยง เนื่องจากไม่เชื่อว่าเธอจะมีปัญญาเลี้ยงลูกแฝดสาม และถึงแม้ว่าค่าเล่าเรียนในอีก 6 ปีข้างหน้าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม เธอกับสามีจะฟันฝ่ากันต่อไปเพื่อให้ทั้งสามสาวมีอนาคตที่ดี

ตอนนี้ฉันภูมิใจเป็นที่สุด ลูกๆ โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มีคนจำนวนมากที่ทราบข่าวและมาแสดงความยินดีกับครอบครัวของเรา” นางทูบากล่าว

เรื่องนี้ยังเป็นที่กล่าวถึงกันมาในประชาคมออนไลน์เวียดนาม หลายคนถึงกับชมว่าแฝดสามใบเถาสามารถเป็น “โรลโมเดล” ให้กับเยาวชนของทั้งประเทศได้ ชาวเน็ตจำนวนมากอำนวยชัยให้พรขอให้ประสบความสำเร็จ มีอนาคตอันสดใส เพื่อรับใช้สังคมและช่วยเหลือประชาชนในอนาคต

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ แฝดสามใบเถาสอบได้คะแนนสูงมาก ไม่เพียงแต่จะผ่านเกณฑ์แอดมิสชั่นของมหาวิทยาลัยการแพทย์และการเภสัชฯ เท่านั้น คะแนนของเจิวแทงกับบ๋าวแทงยังผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์นครโฮจิมินห์ ในขณะที่ซเวินแทงผ่านเกณฑ์คัดเลือกของมหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศ นครโฮจิมินห์เช่นกัน

ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำในระดับต้นๆ ของเวียดนาม และคัดเอาเฉพาะนักเรียนที่ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ที่ได้คะแนนสูงมาก สื่อออนไลน์กล่าว

สำหรับมหาวิทยาการแพทย์และการเภสัชโฮจิมินห์ ก่อตั้งขึ้นในยุคที่ภาคใต้เวียดนามยังเป็นดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยแต่เดิมแยกกันเป็น 2 วิทยาลัยที่เป็นอิสระต่อกันและพัฒนาต่อมาในหลายยุค จนถึงช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2518 จึงรวมเป็นสถาบันเดียวกัน ปัจจุบันมหาวิทยาลัยการแพทย์ฯ เปิดสอนเพียง 7 คณะที่เกี่ยวกับการแพทย์และยาล้วนๆ

สถาบันแห่งนี้ยังร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลของไทย กับมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งของมาเลเซีย เพื่อจัดการประชุมการเภสัชแห่งอาเซียนขึ้นเดือน ธ.ค.2556 ในนครโฮจิมินห์

อาชีวะทุ่มงบฯ ช่วยอุทกภัย

9 สิงหาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมใน 21 จังหวัดตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงจัดงบประมาณให้วิทยาลัยในพื้นที่น้ำท่วมรวม 10.5 ล้านบาท เพื่อประสานผู้ว่าราชการจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอให้นักเรียน นักศึกษาได้ลงพื้นที่นำประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ไปช่วยเหลือประชาชน ถือเป็นการฝึกภาคสนามได้คะแนน และมีอยู่ในการเรียนการสอนปกติ

สำหรับช่วง 3 เดือนจากนี้ ไทยมีโอกาสเสี่ยงต่อผลกระทบจากพายุอีกหลายลูก จึงสั่งการให้วิทยาลัยในสังกัดเตรียมพร้อมทั้งยานพาหนะ เครื่องมือจำเป็น หากเกิดเหตุวิทยาลัยที่อยู่ในพื้นที่สามารถลงไปช่วยเหลือประชาชนทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

“อาชีวะลงพื้นที่หลายครั้ง พบว่าสิ่งที่ชาวบ้านต้องการให้ช่วยเหลือมากที่สุด คือ การซ่อมแซมเครื่องรถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า สอศ.ได้สนับสนุนงบประมาณ 16 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้กับวิทยาลัยแห่งละ 5 หมื่นบาท ช่วง 3 เดือนนี้ หากเกิดเหตุขึ้น เด็กอาชีวะจะลงพื้นที่ได้ทันที สอศ.จะจัดสรรงบฯ เพิ่มให้อีกก้อน” เลขาธิการ กอศ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33652&Key=hotnews

 

จี้ยกเครื่อง สคบศ.-เวิร์กช็อปองค์กร ‘อ๋อย’ สั่งเร่งปฏิรูปหลักสูตร-พัฒนาครู-ขยับพิซ่า

9 สิงหาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ขณะนี้ผู้บริหารแต่ละองค์กรรับนโยบายตนไปคิดวิเคราะห์กันต่อ และเตรียมที่จะขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ในนโยบายหลักๆ ทุกองค์กรมีความเห็นสอดคล้องกัน โดยขณะนี้ก็กำลังจะจัดเวิร์กช็อปรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีโอกาสซักถามเสนอแนะ พอแต่ละองค์กรไปจัดเวิร์กช็อปกันแล้วก็จะจัดสัมมนาขนาดใหญ่ที่จะจัดร่วมกัน โดยมีสำนักงานปลัดศธ. เป็นเจ้าภาพหลักในช่วงกลางเดือนก.ย.นี้ โดยให้แต่ละองค์กรนำเสนอแผนปฏิบัติการ เป้าหมาย ตัวชี้วัด ที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่าการยกระดับการศึกษา ปฏิรูปการเรียนการสอน การสร้างคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศจะดำเนินการอย่างไร

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า สัญญาณที่ดี คือ ภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสมาคม องค์กรที่จัดการศึกษาเอกชนที่มาหารือกับตนไปแล้ว ก็จะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกัน ในเร็วๆ นี้ โดยศธ.ต้องการได้ความร่วมมือ และพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนจัดการศึกษาอย่างเต็มที่ และต้องการให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นร.ร.ที่มีคุณภาพมาเป็นต้นแบบให้คำแนะนำ

“การปฏิรูปหลักสูตรจะทำต่อ โดยเชิญสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และ ผู้เชี่ยวชาญในการทำหลักสูตรเข้ามาร่วมด้วย แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือการปฏิรูปการเรียนการสอน พัฒนาครูทั้งระบบ ซึ่งจะต้องคุยกันเพื่อยกเครื่องสถาบันพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) เรื่องที่จะทำให้หลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องขับเคลื่อนร่วมกัน คือ การยกระดับให้ไทยเลื่อนอันดับการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA เร็วๆ นี้จะมีคณะกรรมการขับเคลื่อนขึ้นมา เป็นครั้งแรกของประเทศ ที่มีการตั้งเป้าว่าจะเลื่อนอันดับ PISA สูงขึ้นให้ได้” นายจาตุรนต์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33651&Key=hotnews

ศธ.รื้อเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน

9 สิงหาคม 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “จาตุรนต์”สั่ง สกศ.รวมปัญหาอุดหนุนรายหัวทุกสังกัด วางระบบอุดหนุนรายหัวใหม่โยนหินถามทางควรกำหนดเพดานนร.ต่อห้องให้มีผลต่อการจัดสรรเงินด้วยหรือไม่ ชี้รัฐอาจต้องอุดหนุนเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ร.ร.เพิ่มอีกทางหนึ่ง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า ตนได้มอบโจทย์ให้ สกศ.ไปรวบรวมข้อมูลปัญหาเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนในสถานศึกษาทุกสังกัด จากที่ตนได้รับฟังปัญหาต่างๆ ของทุกหน่วยงานพบว่ามีการเสนอขอปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้สูงขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและมีผลต่อการพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ ตนมองว่านี่เป็นเพียงมิติหนึ่งเท่านั้นแต่ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่นการอุดหนุนโดยไม่คำนึงถึงขนาดของสถานศึกษาจนส่งผลต่อคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ เช่น ร.ร.ขนาดเล็ก จำนวนเด็ก 50 คนคูณด้วยเงินอุดหนุนพบว่าเงินที่ร.ร.ขนาดเล็กได้ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือทำกิจกรรมใดได้เลย ส่วนอาชีวะพบว่าเงินอุดหนุนรายหัวไม่สอดคล้องกับกรณีผู้เรียนในสาขาช่างบางสาขา ซึ่งต้องมีอุปกรณ์การเรียนเฉพาะและมีราคาสูงเพราะฉะนั้น ต้องมาคิดว่าควรจะมีเงินอุดหนุนต่อโรงเรียนด้วยหรือไม่ แทนที่จะมีเงินอุดหนุนรายหัวเพียงอย่างเดียว

“อีกปัญหา ร.ร.ขนาดใหญ่ดูดเด็กจาก ร.ร.ขนาดเล็กไปจนทำอะไรไม่ได้และกลายเป็นว่า ร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็กมากได้เงินรายหัวมาก ถ้าเราต้องการให้ร.ร.ขนาดเล็กยังคงอยู่จะต้องหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้ โดยอาจจะต้องมาดูว่าต่อไปการอุดหนุนรายหัวควรจะต้องกำหนดเพดานจำนวนเด็กต่อห้องหรือไม่ เช่นไม่เกิน 45 คนต่อห้องเพราะไม่เช่นนั้นหากร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็ก 60 คนต่อห้องมีเงินอุดหนุนมากแต่กลับกันคุณภาพการศึกษายังต่ำก็จะเกิดปัญหา ตรงนี้ต้องให้นักการศึกษาช่วยวิเคราะห์ว่าจำนวนเท่าใดจึงจะเหมาะสม ขณะเดียวกัน อาจต้องมาดูเพิ่มเติมว่ารัฐต้องอุดหนุนในกิจกรรมพื้นฐานใดบ้างนอกเหนือจากเงินรายหัวเด็ก” นายจาตุรนต์ กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ตนให้ สกศ.รวบรวมปัญหาและวิเคราะห์จัดทำระบบวิธีการ หลักเกณฑ์การอุดหนุนรายหัวที่เหมาะสมกับสถานศึกษาแต่ละประเภทใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเพิ่มหรือไม่เพิ่มงบประมาณอุดหนุนรายหัว ซึ่งหากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ2557 แต่หากต้องมีการปรับเปลี่ยนวงเงินงบประมาณต้องดูว่าสำนักงบประมาณจะช่วยจัดหางบเพิ่มเติมได้หรือไม่หากไม่ได้คงไม่ทันปีการศึกษา 2557

ด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ สกศ. กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ให้โจทย์ สกศ.ไปดูว่านอกเหนือจากการอุดหนุนใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่ากิจกรรม เราจะต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อสนับสนุน ร.ร. บ้างซึ่งจะให้พิจารณาตามขนาดของร.ร.ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่รวมไปถึงระยทางใกล้ หรือไกลด้วยเมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะไปคุยทุกสังกัดอย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ความสรุปภายใน 2 สัปดาห์จากนั้นจะรายงานให้รมว.ศธ.รับทราบต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33650&Key=hotnews

ศธ.รื้อเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน

9 สิงหาคม 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “จาตุรนต์”สั่ง สกศ.รวมปัญหาอุดหนุนรายหัวทุกสังกัด วางระบบอุดหนุนรายหัวใหม่โยนหินถามทางควรกำหนดเพดานนร.ต่อห้องให้มีผลต่อการจัดสรรเงินด้วยหรือไม่ ชี้รัฐอาจต้องอุดหนุนเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ร.ร.เพิ่มอีกทางหนึ่ง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า ตนได้มอบโจทย์ให้ สกศ.ไปรวบรวมข้อมูลปัญหาเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนในสถานศึกษาทุกสังกัด จากที่ตนได้รับฟังปัญหาต่างๆ ของทุกหน่วยงานพบว่ามีการเสนอขอปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้สูงขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและมีผลต่อการพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ ตนมองว่านี่เป็นเพียงมิติหนึ่งเท่านั้นแต่ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่นการอุดหนุนโดยไม่คำนึงถึงขนาดของสถานศึกษาจนส่งผลต่อคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ เช่น ร.ร.ขนาดเล็ก จำนวนเด็ก 50 คนคูณด้วยเงินอุดหนุนพบว่าเงินที่ร.ร.ขนาดเล็กได้ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือทำกิจกรรมใดได้เลย ส่วนอาชีวะพบว่าเงินอุดหนุนรายหัวไม่สอดคล้องกับกรณีผู้เรียนในสาขาช่างบางสาขา ซึ่งต้องมีอุปกรณ์การเรียนเฉพาะและมีราคาสูงเพราะฉะนั้น ต้องมาคิดว่าควรจะมีเงินอุดหนุนต่อโรงเรียนด้วยหรือไม่ แทนที่จะมีเงินอุดหนุนรายหัวเพียงอย่างเดียว

“อีกปัญหาร.ร.ขนาดใหญ่ดูดเด็กจาก ร.ร.ขนาดเล็กไปจนทำอะไรไม่ได้และกลายเป็นว่า ร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็กมากได้เงินรายหัวมาก ถ้าเราต้องการให้ร.ร.ขนาดเล็กยังคงอยู่จะต้องหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้ โดยอาจจะต้องมาดูว่าต่อไปการอุดหนุนรายหัวควรจะต้องกำหนดเพดานจำนวนเด็กต่อห้องหรือไม่ เช่นไม่เกิน 45 คนต่อห้องเพราะไม่เช่นนั้นหากร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็ก 60 คนต่อห้องมีเงินอุดหนุนมากแต่กลับกันคุณภาพการศึกษายังต่ำก็จะเกิดปัญหา ตรงนี้ต้องให้นักการศึกษาช่วยวิเคราะห์ว่าจำนวนเท่าใดจึงจะเหมาะสม ขณะเดียวกัน อาจต้องมาดูเพิ่มเติมว่ารัฐต้องอุดหนุนในกิจกรรมพื้นฐานใดบ้างนอกเหนือจากเงินรายหัวเด็ก” นายจาตุรนต์ กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ตนให้ สกศ.รวบรวมปัญหาและวิเคราะห์จัดทำระบบวิธีการ หลักเกณฑ์การอุดหนุนรายหัวที่เหมาะสมกับสถานศึกษาแต่ละประเภทใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเพิ่มหรือไม่เพิ่มงบประมาณอุดหนุนรายหัว ซึ่งหากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ2557 แต่หากต้องมีการปรับเปลี่ยนวงเงินงบประมาณต้องดูว่าสำนักงบประมาณจะช่วยจัดหางบเพิ่มเติมได้หรือไม่หากไม่ได้คงไม่ทันปีการศึกษา 2557

ด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ สกศ. กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ให้โจทย์ สกศ.ไปดูว่านอกเหนือจากการอุดหนุนใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่ากิจกรรม เราจะต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อสนับสนุน ร.ร. บ้างซึ่งจะให้พิจารณาตามขนาดของร.ร.ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่รวมไปถึงระยทางใกล้ หรือไกลด้วยเมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะไปคุยทุกสังกัดอย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ความสรุปภายใน 2 สัปดาห์จากนั้นจะรายงานให้รมว.ศธ.รับทราบต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33650&Key=hotnews

เข้มปล่อยกู้ ช.พ.ค.เหลือเงินเดือน 30%

9 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน ช.พ.ค.ใหม่แล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบัน โดยเงื่อนไขใหม่ของโครงการสวัสดิการเงินกู้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท และเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท กำหนดให้ผู้กู้ต้องกันเงินเดือนสุทธิหลังจากหักการชำระหนี้แล้วต้องเหลือ ไม่น้อยกว่า 30% ตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และยังได้กำหนดคุณสมบัติ ผู้กู้ใหม่ ได้แก่ อายุการเป็นสมาชิก ช.พ.ค.1 ปีขึ้นไป กู้ได้ไม่เกิน 6 แสนบาท อายุการ เป็นสมาชิก 2 ปีขึ้นไปกู้ได้ไม่เกิน 1.2 ล้าน บาท และอายุการเป็น สมาชิก 3 ปีขึ้นไป กู้ได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท

เลขาธิการ สกสค. กล่าวต่อว่า การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อเป็นหลัก ประกันในเรื่องหนี้ เสียและยังเป็นการเฝ้าระวังวินัยทางการเงินของข้าราชการครูที่เป็นสมาชิก ช.พ.ค.ด้วย ซึ่งการกำหนดให้เหลือเงินไม่น้อยกว่า 30% ถือเป็นเงื่อนไขที่ดีในการแก้ไขเรื่องหนี้ได้ ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ สกสค.จะเสนอจัดตั้งธนาคารครูนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ อยู่

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33649&Key=hotnews