Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ไฟเขียว 1.4 หมื่นอัตรา บุคลากร ‘สพป.-สพม.’

27 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38ค (2) ได้พิจารณาเห็นชอบการจัดทำกรอบอัตรากำลังของบุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค(2) ใหม่ ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) จำนวน 225 เขตทั่วประเทศ โดยได้กำหนดกรอบอัตรากำลังไว้ประมาณ 14,000 อัตรา เพิ่มขึ้นจากกรอบอัตราเดิมประมาณ 3,000 อัตรา กรอบอัตราที่เพิ่มขึ้นเพื่อจัดสรรให้กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ที่ขาดแคลนอัตรากำลังและเขตพื้นที่การศึกษาที่มีปริมาณงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุม ก.ค.ศ.รับทราบในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ จากนั้นจะต้องจัดทำรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมในแต่ละกลุ่มงานว่าจะมีจำนวนเท่าไร และมีระดับไหนบ้าง โดยกลุ่มงานจะยังเป็นกลุ่มงานเดิมใน สพท.

“กรอบอัตรากำลังไม่ได้ปรับมานานมากตั้งแต่การกำหนดกรอบครั้งแรกในปี 2549 ก่อนจะมีการจัดทำกรอบชั่วคราวอีกครั้งในปี 2553 ที่มีการแบ่งเขตพื้นที่การศึกษาเป็น สพม.และ สพป.โดยไม่ได้ดำเนินการอะไรกับบุคลากรกลุ่มนี้เลย” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า เมื่อจัดทำรายละเอียดทั้งหมดเสร็จแล้วจะแจ้งเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อจัดคนตามกรอบอัตราที่กำหนดไว้ต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33171&Key=hotnews

 

คอลัมน์: อาชีวะ…สร้างสรรค์ บริการล้างอัดฉีดรถยนต์ วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี

27 มิถุนายน 2556

สาขางานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี ซึ่งเปิดสอนมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2534 มีวัตถุประสงค์สำคัญคือ ผลิตช่างฝีมือในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เพื่อให้สามารถเข้าทำงานในฝ่ายซ่อมบำรุงของโรงงานอุตสาหกรรม สามารถเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และปริญญาตรีได้ในหลากหลายสาขา

ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ว่า “มุ่งให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างจริงจัง มีทักษะด้านวิชาชีพ สามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปใช้ฝึกให้รู้จักคิด รู้จักทำ มีความรับผิดชอบ ต่อตนเอง สังคม มีระเบียบวินัย มีความสามัคคีในหมู่คณะ อดทน อดกลั้น รู้จักประหยัด สามารถอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข”
ที่สำคัญ วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรีแห่งนี้ยังได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในสาขางานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล และใช้ในงานบริการล้างอัดฉีดรถยนต์ ซึ่งเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 2542 จนทำให้การดำเนินงานของสถานฝึกงานแห่งนี้ เจริญก้าวหน้า และมั่นคง

สาเหตุที่สาขางานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล หันมาให้บริการงานล้างอัดฉีดรถยนต์ เนื่องจากปัจจุบัน จำนวนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นพาหนะที่ใช้อำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้คน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และเพื่อให้รถเหล่านี้มีสภาพการใช้งานที่ดี และนานที่สุด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแล และรักษาควบคู่กันไปด้วย

ซึ่งวัตถุประสงค์หลักๆ ของ “โครงการรับงานบริการล้างอัดฉีดรถยนต์” ก็เพื่อเป็นสถานที่ฝึกงานของนักศึกษาสาขางานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล ที่ไม่สามารถฝึกงานในสถานประกอบการทั่วไปได้ เป็นการน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ในสถานศึกษา ฝึกนักศึกษาให้รู้จักหารายได้ระหว่างเรียน เพื่อบรรเทาภาระผู้ปกครอง มีผลพลอยได้เป็นรายได้ให้กับสาขางานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกลเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติกิจกรรมอื่นๆ และการพัฒนาสาขางาน

รวมทั้ง ช่วยเหลือสังคมในวาระต่างๆ เพื่อสนองนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในด้านการรับงานการค้า และการหารายได้ระหว่างเรียนของนักศึกษา เป็นการบริการชุมชน และสังคมที่สถานศึกษาตั้งอยู่ โดยไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรสูง และเพื่อให้ชุมชนและสังคมได้เห็นภาพพจน์ของนักศึกษาอาชีวศึกษาในด้านความขยันขันแข็งในการทำงาน ความสามัคคี ความอดทน และความซื่อสัตย์สุจริต

ซึ่งอัตราการให้บริการก็ย่อมเยา อย่างรถจักรยานยนต์ อยู่ที่ 40-70 บาท (ล้างสี เคลือบสี เคลือบเงาเบาะ และ เคลือบยาง) ล้างรถยนต์ แบ่งเป็น ล้างธรรมดา หรือล้างสีอย่างเดียว 70 บาท (อัดฉีดใต้ท้องรถ ล้างสี เคลือบสี เช็ดกระจก เคลือบยาง และดูดฝุ่น) ล้างอัดฉีดราคาพิเศษ 100 บาท (อัดฉีดใต้ท้องรถ ล้างสี เคลือบสี เช็ดกระจก เคลือบยาง ดูดฝุ่น เคลือบเงาเบาะ และทำความสะอาดห้องเครื่อง) ล้างธรรมดารถตู้ 100 บาท (อัดฉีดใต้ท้องรถ ล้างสี เช็ดกระจก เคลือบยาง และดูดฝุ่น) ล้างพิเศษรถตู้ 140 บาท (อัดฉีดใต้ท้องรถ ล้างสี เคลือบสี เช็ดกระจก เคลือบยางดูดฝุ่น เคลือบเงาเบาะ และทำความสะอาดห้องเครื่อง) ขัดเงาสีรถด้วยเครื่อง 600 บาท (รวมน้ำยา) ซัก พรม เบาะ เพดานรถ 600 บาท (รวมน้ำยา) และกำจัดยางมะตอย 80-120 บาท (รวมน้ำยา)

ส่วนการแบ่งรายได้ในช่วงฝึกงานนั้น นักศึกษาที่ลงปฏิบัติงานจะมีรายได้ในวันธรรมดา 20% ของรายรับในวันนั้นๆ และในวันหยุด (เสาร์ และนักขัตฤกษ์) รวมทั้ง วันหยุดช่วงปิดภาคเรียนจะมีรายได้ 50% ของรายรับในวันนั้นๆ ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นค่าน้ำประปา และค่าไฟฟ้าของวิทยาลัย โดยจัดส่งเป็นเงินบำรุงการศึกษา 30% ของรายรับในวันธรรมดา และในวันหยุดจะนำส่วนที่เหลือจากให้นักศึกษามาจัดแบ่งอีก 30% ส่วนที่เหลือจากนี้ จะเป็นค่าใช้จ่าย และค่าดำเนินงานในสาขางานซ่อมบำรุงเครื่องจักรกล

หลังจากเปิดให้บริการ จะเห็นได้ว่ารายรับจากโครงการรับงานบริการล้างอัดฉีดรถยนต์ตั้งแต่ปีการศึกษา 2542-2554 สูงขึ้นทุกปี จากเดิมที่มีรายได้ต่อปีอยู่หลักหมื่นบาท ค่อยๆ ขยับเพิ่มเป็นหลักแสนบาท โดยในปีการศึกษา 2550 มีรายได้มากกว่า 1 ล้านบาท และในปีการศึกษา 2553 มีรายได้สูงถึง 1,400,000 บาท
นับเป็นอีกโครงการดีๆ ของวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี www.vec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33170&Key=hotnews

’60 ครูผู้ช่วย’ ส่อทุจริตยื่นอุทธรณ์ หลังถูกอ.ก.ค.ศ.เขตฯสั่งเพิกถอนการบรรจุ ระวัง!คนใน สพท.หลอกเชิดเงินแลกสอบได้

27 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า หลังจากการสอบคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น การประกาศผลสอบ ได้กำหนดให้แต่ละเขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบ ประกาศผลภายในวันที่ 11 กรกฎาคม โดยไม่ต้องประกาศผลพร้อมกันทุกเขต โดยการประกาศผลจะต้องให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา มีมติรับรอง และประกาศผลการสอบดังกล่าว โดยจะประกาศรายชื่อเพื่อขึ้นบัญชีผู้ที่ได้คะแนนสอบผ่านตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ร้อยละ 60 ขึ้นไป เป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ ทราบว่าขณะนี้บางเขตพื้นที่ฯได้ตรวจข้อสอบเสร็จหมดแล้ว และรอเสนอ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯรับรอง และประกาศผลว่ามีผู้สอบได้กี่ราย อย่างไรก็ตาม ในระหว่างรอประกาศผลสอบ อยากให้ผู้ที่สอบคัดเลือก อย่าหลงเชื่อบุคคลที่โทรศัพท์ หรือแอบอ้างว่าจะช่วยให้สอบผ่านการคัดเลือก หากมีการแอบอ้างลักษณะดังกล่าว ให้สอบถามที่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) โดยตรง หรือแจ้งที่ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ รวมทั้งแจ้งมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.ได้ด้วย

นางรัตนากล่าวว่า ส่วนการยื่นอุทธรณ์ร้องทุกข์ของผู้ที่สอบคัดเลือกครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา กรณีครูผู้ช่วยที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งเนื่องจากปัญหาการทุจริตการสอบครูผู้ช่วย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ส่งรายชื่อของผู้ที่มีคะแนนสูงผิดปกติ 344 ราย ไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งเพิกถอนนั่น ล่าสุดมีผู้ยื่นอุทธรณ์มายังสำนักงาน ก.ค.ศ.จำนวน 60 รายแล้ว ถือเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมากพอสมควร เพราะจริงๆ แล้วรายชื่อที่ดีเอสไอส่งให้ 344 ราย สำนักงาน ก.ค.ศ.เองก็ยังไม่ทราบว่ามีกี่รายที่ได้รับการบรรจุไปแล้ว เพราะเขตพื้นที่ฯยังรายงานเข้ามาไม่ครบ ทั้งนี้ เมื่อได้รับเรื่องอุทธรณ์ร้องทุกข์มาแล้ว จะต้องมาวิเคราะห์คำอุทธรณ์ร้องทุกข์ของแต่ละราย และต้องตรวจสอบเอกสาร และคำอุทธรณ์ที่แจ้งมา ซึ่งจะต้องขอข้อมูลให้เขตพื้นที่ฯแจ้งเข้ามาเพิ่มด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวว่าหลังจากที่สถาบันอุดมศึกษาได้แจ้งผลคะแนนการสอบครูผู้ช่วยมายังเขตพื้นที่ฯ เพื่อรอเสนอ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯรับรองผล อาจจะมีกลุ่มบุคคลใน สพท.ที่ทราบรายชื่อ และผลการสอบก่อน อาจใช้วิธีการตกเบ็ด โดยติดต่อไปยังผู้สอบคัดเลือกที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีของผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอยู่แล้ว เพื่อเรียกร้องเงินแลกกับความช่วยเหลือให้คนเหล่านี้สอบผ่านการคัดเลือกได้ ซึ่งผู้ที่สอบผ่านการคัดเลือกแล้ว ซึ่งไม่ทราบว่าตนเองสอบผ่านหรือไม่ ดังนั้น อาจจะหลงเชื่อและจ่ายเงิน ทั้งๆ ที่สอบผ่านการคัดเลือกแล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33169&Key=hotnews

 

สสวท.ร่วมมือ 9 มหา’ลัย – 66 ร.ร. ปั๊มครู’วิทย์-คณิต’ศักยภาพสูง

26 มิถุนายน 2556

นางพรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 3 ระดับปริญญาโททางการศึกษา เพื่อผลิตครูวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่มีความสามารถสูงที่จะเป็นผู้นำทางด้านวิชาการในโรงเรียน อันจะนำไปสู่การสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงที่จะมาช่วยกันพัฒนาประเทศในอนาคต ล่าสุด สสวท.จัดพิธี ลงนามความร่วมมือการพัฒนาโรงเรียนฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ระหว่าง สสวท.มหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันผลิตครู 9 แห่ง และโรงเรียนในเครือข่าย 66 แห่ง เพื่อพัฒนาศักยภาพนิสิตฝึกประสบการณ์ และพี่เลี้ยงวิชาการในโรงเรียน ส่งเสริมพัฒนาโรงเรียนให้มีความพร้อมในการเป็นโรงเรียนฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการร่วมกันเพื่อการพัฒนาวิชาชีพครูในโรงเรียน

“ทั้งนี้ เป้าหมายปลายทางคือการผลิตครูโครงการ สควค.ที่มีคุณภาพสูงเยี่ยม และเป็นผู้นำทางวิชาการ สามารถจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้” นางพรพรรณกล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 27 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33161&Key=hotnews

สั่งซ่อมระบบเรียนทางไกล

26 มิถุนายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยภายหลังติดตามนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ไปเยี่ยมชมตัวอย่างการจัดการศึกษา ร.ร.วังไกลกังวล ตามคำเชิญของนายขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง ประธานกรรมการบริหารและผู้จัดการร.ร.วังไกลกังวล และประธานกรรม การบริหารมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมฯ เพื่อนำวิธีการเรียนการสอนมาประยุกต์ใช้จัดการศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า หลังจากศึกษาการเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียม พบว่าร.ร.ที่มีครูผู้สอนไม่ครบชั้น ร.ร.ขนาดเล็กที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายนักเรียนไปเรียนในร.ร.อื่นได้ ตลอดจนร.ร.ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ กลุ่มร.ร.ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการศึกษาระบบนี้

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า ปัญหาขณะนี้อยู่ที่จานดาวเทียม อุปกรณ์รับสัญญาณ ตลอดจนโทรทัศน์ที่ใช้ถ่ายทอดที่ศธ.สนับสนุนให้โรงเรียน 10,000 กว่าโรง ชำรุดเสียหาย รมว.ศธ.จึงสั่งการ สอศ. สำรวจและซ่อมแซม เบื้องต้นทำหนังสือแจ้งประธานอาชีวศึกษาจังหวัดทั่วประเทศ ให้ประสาน สพป. และ สพม. สรุปความเสียหายข้างต้น ก่อนสั่งการวิทยาลัยในพื้นที่จัดส่งนักเรียน นักศึกษา สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์ เข้าไปซ่อมแซมให้ใช้งานได้ภายใน 3 เดือน

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 27 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33159&Key=hotnews

คอลัมน์: ชีพจรครู: ครูเอกชนเฮ!! เงินเดือนเพิ่ม

26 มิถุนายน 2556

สัปดาห์นี้มีข่าวดีๆ มาบอกกล่าวเพื่อนครูโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ หลังจากก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ว่าสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เตรียมออกประกาศขึ้นเงินเดือนครูเอกชนรอบใหม่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าฝันเพื่อนครูใกล้เป็นจริงแล้ว!!

เพราะล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ซึ่งมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ได้ไฟเขียวร่างประกาศ สช.เรื่องอัตราเงินเดือนผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาฉบับใหม่

ทั้งนี้ ร่างประกาศขึ้นเงินเดือนฉบับใหม่นั้นเป็นการปรับขึ้นตามคุณวุฒิ โดยเพิ่มจากอัตราเดิมซึ่งเคยปรับมาแล้ว เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 ตามนโยบายการปรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งจะปรับใหม่ ดังนี้ ระดับปริญญาเอกอัตราเดิม 19,000 บาท อัตราใหม่ 20,000 บาท ระดับปริญญาโท อัตราเดิม 15,300 บาท อัตราใหม่ 16,400 บาท ระดับประกาศนียบัตรขั้นสูง หรือประกาศนียบัตรบัณฑิตย์ (วิชาชีพครู) หลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปีต่อจากวุฒิปริญญาตรีทั่วไป หรือปริญญาตรีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี อัตราเดิม 12,480 บาท อัตราใหม่ 14,100 บาท ปริญญาตรีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 4 ปี และประกาศนียบัตรเปรียญธรรมประโยค 9 อัตราเดิม 11,680 บาท อัตราใหม่ 13,300 บาท

ส่วนระดับอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการอื่นๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 3 ปี 6 เดือน ต่อจากวุฒิมัธยมปลาย หรือเทียบเท่า อัตราเดิม 9,640 บาท อัตราใหม่ 10,540 บาท ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรืออนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการอื่นๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 3 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมปลาย หรือเทียบเท่า อัตราเดิม 9,300 บาท อัตราใหม่ 10,200 บาท

ขณะที่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค (ปวท.) ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.) และอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการต่างๆ ที่หลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมปลายหรือไม่น้อยกว่า 4 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมต้น หรือเทียบเท่า อัตราเดิม 8,640 บาท อัตราใหม่ 9,540 บาท ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรที่หลักสูตรกำหนดระยะเวลาการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมปลาย หรือไม่น้อยกว่า 3 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมต้น หรือเทียบเท่าอัตราเดิม 7,620 บาท อัตราใหม่ 8,300 บาท ระดับ ป.กศ.หรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการต่างๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมต้น หรือเทียบเท่าอัตราเดิม 7,150 บาท อัตราใหม่ 7,830 บาท และวุฒิมัธยมต้น และมัธยมปลาย หรือเทียบเท่า และประกาศนียบัตรเปรียญธรรมประโยค 6-8 อัตราเดิม 6,910 บาท อัตราใหม่ 7,590 บาท

อย่างไรก็ตาม นายบัณฑิตย์ ศรีพุท ธางกูร เลขาธิการ กช.กล่าวว่า ร่างประกาศดังกล่าวจะมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการปรับเงินปริญญาตรี 15,000 บาทของรัฐบาล ที่ได้มีการปรับเงินเดือนตั้งแต่ปี 2555 และจะปรับให้เต็มเพดาน 15,000 บาท ในปี 2557
ขณะที่ นางจิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ นายกสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย มองว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ สช.ไม่ทอดทิ้งครูเอกชน เพราะการขึ้นเงินเดือนจะเป็นขวัญกำลังใจให้กับครูเอกชน ตอนนี้โรงเรียนเอกชน

หลายแห่งกำลังประสบปัญหาวิกฤตขาดแคลนครู เกิดจากครูสมองไหลลาออกไปสมัครคัดเลือกเป็นครูผู้ช่วยในโรงเรียนของรัฐบาล หรือไม่ก็ออกไปที่โรงเรียนที่จ่ายเงินเดือนสูงกว่า อย่างไรก็ตาม หากร่างประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้จริงๆ รัฐบาลจะต้องอนุมัติงบประมาณในการเบิกจ่ายมาให้พร้อมด้วย เพราะการขึ้นเงินรอบที่ผ่านมา ซึ่งมีผลย้อนหลังวันที่ 1 มกราคม 2555 นั้น จนถึงขณะนี้ครูเอกชนสามารถเบิกจ่ายได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น ส่วนที่เหลือยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้ เพราะยังรองบประมาณอยู่

“ดังนั้น การขึ้นเงินเดือนรอบใหม่นี้ จึงอยากฝากไปยัง สช.ให้เร่งกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณแบบรวดเร็ว ทั้งนี้ ยอมรับว่าการประกาศขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ ต้องมีผลกระทบต่อโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กหลายแห่งแน่นอน เพราะโรงเรียนต้องรับภาระเพิ่มในการจัดหาเงินมาจ่ายเงินเดือน จึงอาจประสบปัญหาด้านการเงิน แต่ถ้าเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ ที่มีเงินหมุนเวียนจำนวนมากแต่ละปี ก็ไม่น่ามีปัญหาเงิน” นางจิระพันธุ์กล่าว

นับว่าเป็นข่าวดี และฝันที่ใกล้จะเป็นจริง ที่ครูโรงเรียนเอกชนจะได้ปรับขึ้นเงินเดือนหลังจากรอมานาน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33158&Key=hotnews

 

กรมบัญชีกลางแจ้งป.1 คืนแท็บเล็ต ถ้าย้ายข้ามสังกัด-ชี้โอนติดตัวไม่ได้

26 มิถุนายน 2556

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ทำหนังสือแจ้งมายังเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เรื่องข้อหารือการมอบโอนคอมพิวเตอร์พกพา หรือแท็บเล็ต กรณีที่นักเรียนย้ายไปยังโรงเรียนต่างสังกัด ซึ่งหนังสือดังกล่าวระบุว่าตามหนังสือที่อ้างถึงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่แจ้งว่านักเรียนชั้น ป.1 ในสังกัด สพฐ.ประมาณ 560,000 คน ที่ได้รับแท็บเล็ตตามโครงการของรัฐบาล ในระหว่างปีมีการย้ายจำนวนมาก ทั้งย้ายไปโรงเรียนในสังกัด สพฐ.และต่างสังกัด ซึ่งกรณีที่นักเรียนย้ายไปยังโรงเรียนสังกัดอื่น เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น สพฐ.จะมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมอบโอนเครื่องแท็บเล็ตให้ต้นสังกัดของโรงเรียน หรือโรงเรียนแล้วแต่กรณี เพื่อให้นักเรียนที่ย้ายไปมีแท็บเล็ตไว้ใช้ตามนโยบายของรัฐบาลนั้น คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นว่า การจัดซื้อแท็บเล็ตเป็นการจัดการตามนโยบายของโรงเรียนสำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อม โดยเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบการศึกษาของนักเรียนตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนั้นๆ หากนักเรียนคนใดได้ย้ายออกจากโรงเรียนต้องคืนแท็บเล็ตให้กับโรงเรียนเดิม ไม่สามารถโอนติดตัวนักเรียนไปให้โรงเรียนใหม่ได้ ประกอบกับการจัดสรรและการควบคุมจะต้องควบคุมให้อยู่ในชุดเดียวกัน เมื่อแท็บเล็ตหมดอายุการใช้งานจะได้ขอรับการจัดสรรชุดใหม่ทั้งชุด

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า กรณีนักเรียนชั้น ป.1 ย้ายไปโรงเรียนอื่นอาจมีไม่มาก ซึ่ง สพฐ.จะต้องดูว่ามีนักเรียนกลุ่มนี้มากน้อยแค่ไหน และจะได้แจ้งแนวปฏิบัติดังกล่าวไป อย่างไรก็ตาม แนวปฏิบัตินี้ทางโรงเรียนน่าจะไม่สับสน และรู้อยู่แล้วว่านักเรียนต้องคืนแท็บเล็ต

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33157&Key=hotnews

สหกิจศึกษาบุกอาเซียนพลัสยกระดับบัณฑิตทำงานทั่วโลก

26 มิถุนายน 2556

ผ่านไปไม่นานกับ “วันสหกิจศึกษาไทย”ประจำปี 2556 ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สมาคมสหกิจศึกษาไทย และ 9 เครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ร่วมกันผนึกกำลังจัดตั้งให้สหกิจศึกษาเป็นวันสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างสถาบันและสถานประกอบการขึ้นเป็นประจำทุกปี

โดยในปีนี้ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ดำเนินงานภายใต้แนวคิด “สหกิจศึกษาไทย กลไกสู่การพัฒนาประชาคมอาเซียนพลัส” ซึ่งงานนี้จะเน้นการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือกับนานาประเทศในประชาคมอาเซียนพลัส ทั้งในด้านองค์ความรู้ ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีระหว่างกัน มากกว่านั้นคือจุดมุ่งหมายในการผลิตบัณฑิตที่มีสมรรถนะวิชาชีพเป็นสากลและสามารถทำงานได้ทั่วโลก

ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาไทยมีการจัดสหกิจศึกษานานาชาติไม่น้อยกว่า 97 สถาบัน รวม 891 หลักสูตร ใน 376 สาขาวิชาที่อยู่ในโครงการสหกิจศึกษา โดยมีจำนวนนักศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 27,000 คน ผ่านสถานประกอบการ 12,200 องค์กร จากความร่วมมือที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกำลังจะส่งต่อไปสู่ความร่วมมือระหว่างนานาประเทศเพื่อให้เกิดอาเซียนพลัส

“ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน” นายกสมาคมสหกิจศึกษาไทย บอกว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ สกอ.และสมาคมสหกิจศึกษาไทยได้เริ่มขยายผลการดำเนินงานสหกิจศึกษาไปสู่นานาชาติมากขึ้น ที่ผ่านมามีการจัดการประชุมนานาชาติ ICCW 2011 และได้มีการลงนามความร่วมมือกับสมาคมสหกิจศึกษาแอฟริกาใต้ หรือ SASCE และการสำรวจสถานภาพการดำเนินงานสหกิจศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อนำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือสหกิจศึกษานานาชาติ ASEAN Co-op Network รวมไปถึงการจัดตั้งสำนักงานย่อยของสมาคมสหกิจศึกษาโลก หรือ WACE ISO@SUT ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เพื่อขับเคลื่อนระบบสหกิจศึกษาของประเทศ

“จากการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการชมเชยและยกย่องจากสมาคม สหกิจศึกษาโลก ในการจัดงานวันสหกิจศึกษาไทยในครั้งนี้จึงต้องการพัฒนาไปสู่การจัดสหกิจศึกษาในระดับนานาชาติ ให้มากยิ่งขึ้น โดยเน้นการแลกเปลี่ยน นักศึกษาสหกิจศึกษากับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศกลุ่มอาเซียนพลัสก่อน แล้วจึงขยายผลไปยังสถาบันประชาคมโลกตามลำดับ”
ศ.ดร.วิจิตรยังบอกด้วยว่า สิ่งที่ต้องทำจากนี้คือการส่งเสริมการสร้างความรู้ที่ถูกต้องในการแลกเปลี่ยนนักศึกษาสหกิจศึกษาในระดับนานาชาติให้กับสถาบันอุดมศึกษา และสิ่งสำคัญที่จะช่วยประเมินศักยภาพของนักศึกษาไทยได้ ทางสถาบันจะต้องนำผลการประเมินสหกิจศึกษาไปปรับใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์ ซึ่งจะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะสามารถช่วยประเมินคุณภาพของนักศึกษาในขณะอยู่ที่สถานประกอบการได้อย่างดีที่สุด

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการชื่นชมและยกย่องการดำเนินการสหกิจศึกษาประจำปี จึงมีการประกาศมอบรางวัล “สหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ” ในหลากหลายประเภทด้วยกัน แบ่งเป็น ประเภทสถานศึกษา รางวัลสถานศึกษาดำเนินงานสหกิจศึกษาดีเด่น ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม, รางวัลสถานศึกษาดาวรุ่งด้านการดำเนินงาน สหกิจศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลล้านนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลกรุงเทพ, รางวัลสถานศึกษาดำเนินการสหกิจศึกษานานาชาติดีเด่น ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ประเภทสถานประกอบการสหกิจศึกษาดีเด่น สำหรับสถานประกอบการขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัท ไอบีเอ็ม โซลูชั่นส์ ดิลิเวอรี่ จำกัด และสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ได้แก่ บริษัท เฟดเดอรัล อีเลคตริค จำกัด และผู้ปฏิบัติงาน สหกิจศึกษาดีเด่นในสถานประกอบการ ได้แก่ นายธีรศักดิ์ สงวนมานะศักดิ์ บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) ประเภทโครงการสหกิจศึกษา ดีเด่น ได้แก่ การออกแบบเครื่องหยอดกาวแกนหม้อแปลงไฟฟ้าอัตโนมัติ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (วิทยาเขตขอนแก่น), การศึกษาประโยคที่ไม่สมบูรณ์ในการเขียน จากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, การ พัฒนา m-Commerce Application บน IOS จากมหาวิทยาลัยนเรศวร และสรุปกฎหมายแรงงานของรัฐสุลต่านโอมานและวิจัยสถานการณ์แรงงานไทยในรัฐสุลต่านโอมาน จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี)

การมอบรางวัลเชิดชูเกียรติดีเด่นระดับชาติครั้งนี้จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นว่า การจัดวันสหกิจศึกษานานาชาติครั้ง ต่อ ๆ ไป จะเห็นบัณฑิตไทยมีความรู้และ ความสามารถในระดับสากลมากยิ่งขึ้นจากความร่วมมือกันของทุกส่วน ที่สำคัญยังจะเป็นผลดีกับประเทศและนักศึกษาที่จะยกระดับสู่การเป็นแรงงานที่มีประสิทธิภาพ ในตลาดอาเซียนด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 27 – 30 มิ.ย. 2556–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33156&Key=hotnews

ศธ.เร่งพัฒนาภาษาสำหรับครู

26 มิถุนายน 2556

ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ของ ศธ. เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการดำเนินการขับเคลื่อนฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้มีการติดตามการบูรณาการแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ประเทศและยุทธศาสตร์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ ศธ.เป็นเจ้าภาพร่วมในการพัฒนาภาษาอังกฤษให้แก่บุคลากรทั้งประเทศ โดย ศธ.ได้เตรียมที่จะพัฒนาครูตั้งแต่ระดับประถมศึกษา จำนวน 10,000 คน เพื่อนำร่องในการพัฒนาครูด้านภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนตามภูมิภาค อาทิ ภาคเหนือเรียนภาษาอังกฤษ จีน และพม่า ภาคตะวันออกเรียนภาษาอังกฤษ จีน ลาว และภาคใต้เรียนภาษาอังกฤษ จีน และบาฮาซา เป็นต้น

“โครงการนี้มีสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เป็นเจ้าภาพ โดยขณะนี้ได้มีการติดต่อมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งให้เข้ามาร่วมพัฒนาครูทั้งภาษาอังกฤษ จีน และภาษาอาเซียน อาทิ มหา วิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้า เป็นต้น โดยโครงการนี้จะเน้นให้ครูสื่อสารได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษไม่ใช่แค่งู ๆ ปลา ๆ แต่ครูทุกคนต้องออกเสียงและสำเนียงได้อย่างถูกต้อง เพราะครูจะต้องนำความรู้ไปถ่ายทอดให้นักเรียน หากใช้ไม่ถูกต้องเด็กก็จะเรียนรู้ไปแบบผิด ๆ” ดร.พวงเพ็ชรกล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33155&Key=hotnews

ตั้ง ผอ.คุรุสภาจังหวัดไม่ผ่านเขตพื้นที่ฯ กระจายอำนาจลดจุดอ่อนมาตรฐาน

26 มิถุนายน 2556

นายอำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคุรุสภา เปิดเผยว่า คุรุสภามีแผนที่จะกระจายอำนาจลงสู่พื้นที่ เพื่อให้บริการครูได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสำนักงานเลขาธิการคุรุสภาต้องเป็นศูนย์รวมของทั้ง 77 จังหวัด เวลาที่ครูต้องมาติดต่องานกับคุรุสภาทำให้ต้องเดินทางไกล เสียทั้งเวลา และมีค่าใช้จ่าย อย่างค่ารถบางคนก็ต้องเสียค่าที่พัก ซึ่งคณะกรรมการคุรุสภาก็มองเห็นปัญหาเหล่านี้และเห็นด้วยกับเรื่องการกระจายอำนาจซึ่งจะมีการจัดลงในแผนงานของคุรุสภาต่อไปโดยเบื้องต้นการกระจาย อำนาจ อาจจะเริ่มต้นเป็นภาคก่อน ค่อยกระจายลงจังหวัดต่อไป เพราะขณะนี้คุรุสภาเขต เราให้ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษาดูแลให้ ซึ่งก็กำลังดูว่าจะรวมเขตมาไว้เป็นจังหวัดหรือจะให้เป็นเขตพื้นที่ฯเหมือนเดิม และจะมีการวิเคราะห์ด้วยว่าการมีคุรุสภาจังหวัดเป็นของตัวเองจะดีกว่าฝากงานเขตพื้นที่ฯหรือไม่

“แนวคิดที่ได้พูดคุยกันในเบื้องต้น คือ คุรุสภาน่าจะมี ผอ.คุรุสภาจังหวัดเป็นของตัวเอง ไม่ต้องไปฝากงานไว้กับเขตพื้นที่ฯ ซึ่งวันนี้เรามีสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.) จังหวัด เป็นต้นแบบให้แล้ว และพร้อมที่จะให้คุรุสภา ไปใช้อาคารสำนักงาน สกสค.จังหวัดได้ เพราะเราใช้กฎหมายเดียวกัน ส่วนงานของคุรุสภาในจังหวัดทุกวันนี้ก็เป็นงานฝากไม่ใช่งานในหน้าที่รับผิดชอบของผอ.เขตพื้นที่ฯ เพราะแต่ละตำแหน่งจะมีมาตรฐานตำแหน่งอยู่ว่า มีหน้าที่อะไร เมื่อคุรุสภาเอางานไปฝากเขตพื้นที่ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระหน้าที่ที่เขตพื้นที่ฯบางเรื่องก็ไม่กล้าตัดสินใจเพราะไม่ใช่งานในหน้าที่ ซึ่งเรื่องนี้ผมจะนำเสนอบอร์ดคุรุสภาพิจารณาอีกครั้ง”
เลขาธิการคุรุสภา กล่าวและว่า ถึงเวลาแล้วที่คุรุสภาจะต้องกระจายอำนาจอย่างจริงจัง เพื่อให้การให้บริการเป็นไปได้อย่างทั่วถึง ส่วนที่เกรงว่าอาจจะมีจุดอ่อนเรื่องของมาตรฐานในการทำงาน เมื่อมีการกระจายอำนาจนั้น ไม่น่าเป็นห่วงเพราะหลักเกณฑ์ในการทำงานที่เป็นมาตรฐานสามารถตรวจสอบได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33154&Key=hotnews