Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

อาชีวะ…สร้างสรรค์: ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจฯ สอศ.ฝึก “นักศึกษา” พร้อมเป็นเจ้าของกิจการ

20 มิถุนายน 2556

ต้องขอบอกเรียนอาชีวศึกษายุคนี้ไม่ใช่ชนชั้นสองอย่างที่เคยพูดกัน แต่เรียนไป ๆจบปุ๊บอาจกลายเป็นเจ้าของกิจการทันที หรือถูกจัดระดับให้เป็นแรงงานฝีมือดีที่ผู้ประกอบการหลายที่จองตัวก่อนจะเรียนจบซะอีก ..

ที่กล้าบอกแบบนี้ เพราะอาชีวะยุคใหม่ มีการจัดการเรียนการสอนแบบเตรียมพร้อมให้นักศึกษาจบไป สร้างงาน สร้างอาชีพเองได้ ไม่ต้องทำวิจัยฝุ่นรองาน เห็นได้ชัดๆ จากโครงการพัฒนาระบบบริหารวิสาหกิจเพื่อการศึกษาเชิงประจักษ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สนับสนุนให้สถานศึกษา จัดตั้งศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเพื่อการศึกษาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาขีดความสามารถของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั่วไปให้สามารถนำความรู้ ทักษะวิชาชีพ เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์เชิงพาณิชย์ ให้มีความพร้อมที่จะเริ่มประกอบธุรกิจของตนเอง หรือพัฒนาต่อยอดธุรกิจเดิม ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจเพื่อการศึกษา ถือเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษา ฝึกปฏิบัติงาน โดยเปิดสถานประกอบการจำลอง เพื่อฝึกประสบการณ์จริง เป็นการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาฝึกเป็นผู้ประกอบการออกไปทำงานจริง

ทั้งนี้ไม่ได้เปิดโอกาสให้เฉพาะกับนักศึกษาในสถานศึกษาเท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างไปถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มแม่บ้าน กุลุ่มพัฒนาสตรี กลุ่ม OTOP ศิษย์เก่า ผู้ว่างงาน และประชาชนที่สนใจด้วย โดยเข้าไปช่วยเรื่องวิสาหกิจชุมชน ให้องค์ความรู้ในเชิงธุรกิจ นำนวัตกรรมมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ และที่สำคัญศูนย์บ่มเพาะของสอศ. กำลังเชี่ยมโยงกับกองทุนตั้งตัวได้ ของรัฐบาล ซึ่งต่อไป หากนักศึกษา หรือกลุ่มพัฒนาชุมชนต่าง ๆ ดำเนินกิจการผ่านศูนย์บ่มเพาะ ซึ่งกองทุนตั้งตัวได้รับรอง สามารถกู้ยืมเงินจากกกองทุนเพื่อไปดำเนินกิจการได้

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาทาง สอศ. ได้ติดตามประเมินผลโครงการพัฒนาระบบบริหารวิสาหกิจเพื่อการศึกษาเชิงประจักษ์ ในสถานศึกษานำร่อง ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพศรีบุญเรือง วิทยาลัยเทคนิคกาฬสินธุ์ และวิทยาลัยการอาชีวศึกษาสุรินทร์ พบว่า บุคลากรของสถานศึกษาทั้ง 3 แห่งเห็นความสำคัญของการพัฒนา ให้ความรู้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่สามารถเขียนแผนธุรกิจ พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากแหล่งทุน ต่าง ๆ ได้ โดยเน้นให้สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน นักศึกษา ประชาชน และบริบทของพื้นที่ ทำให้การดำเนินงานของศูนย์บ่มเพาะฯ ประสบความสำเร็จตามตัวชี้วัด และกิจกรรมที่กำหนดทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ

ที่เห็นชัดคือ สามารถสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ มีสินค้าบริการที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง และตอบสนองความต้องการของสมาชิกศูนย์ฯ และประชาชนทั่วไป อาทิ รองเท้าส่องสว่าง และการสอนเจียระไนพลอยของวิทยาลัยการอาชีพหนองบัวลำภู ที่มีวิทยากรเป็นคนในพื้นที่ โดยผู้ประกอบการที่ต้องการแรงงานฝีมือจำนวนมากให้การสนับสนุน “การเจาะรั้วทำร้านค้า” ให้นักเรียน นักศึกษาเปิดร้านทำธุรกิจบริเวณรั้ววิทยาลัย

ถือเป็นโครงการดี ๆ ที่มองเห็นอนาคตตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เรียกว่า ต่อไปคนเรียนอาชีวศึกษา จะสามารถไปได้ 2 เส้นทางใหญ่คือ เป็นผู้ประกอบการเอง หรือเป็นแรงงานฝีมือเยี่ยมในสถานประกอบการชั้นนำเลยทีเดียว …www.vec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33079&Key=hotnews

ความปลอดภัยในรถโรงเรียน ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย

19 มิถุนายน 2556

ข่าวการสียชีวิตของเด็กน้อย ที่ถูกลืมไว้ในรถโรงเรียน แม้จะผ่านไปแล้ว แต่เชื่อว่า ความหวาดหวั่นของคนที่ต้องมีลูกหลานอาศัยรถโรงเรียน และ ครอบครัวของเด็กน้อยที่เสียชีวิต คงยังมิอาจลบเลือนไปจาก จิตวิญญาณของพวกเขา

เรื่องนี้จึง น่าจะเป็นบทเรียนอันสำคัญสำหรับผู้เกี่ยวข้อง ในการกำหนดนโยบาย แนวทางปฏิบัติที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเช่นที่ผ่านมาอีก

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ได้ร่วมกับผู้เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่างๆ ทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ คณะอนุกรรมการสวัสดิศึกษาในสถานศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ประชุมระดมสมองในประเด็น “ความปลอดภัยในรถโรงเรียน” โดยมี รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้จัดการแผนจัดการความปลอดภัยในเด็ก สสส. และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า หลังจากได้มีการแถลงข่าวเรื่อง ไขทางออก “รถโรงเรียน : รถมรณะ” เพื่อชี้แจงสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงพร้อมแนวทางป้องกันและแก้ปัญหาไปแล้ว เพื่อให้การทำงานต่อเนื่องจึงได้จัดการประชุมครั้งนี้ขึ้น ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้แต่งตั้ง โรงเรียนบางปลาม้า “สูงสุมารผดุงวิทย์” จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีการบริหารรถโรงเรียนอย่างเป็นระบบ เป็นต้นแบบให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ

“วันที่ 20 มิ.ย.นี้ ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ จะยกเหตุการณ์ วิธีแก้ปัญหา และตัวอย่างการดำเนินงานของโรงเรียนบางปลาม้า “สูงสุมารผดุงวิทย์” นำเสนอต่อที่ประชุมด้วย ซึ่งการจัดการอบรมและเดินทางไปดูตัวอย่างการบริหารโรงเรียนต้นแบบ เป็นช่องทางการดำเนินงานที่ดีให้กับโรงเรียนอื่นๆ ได้ปฏิบัติตามเพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียน จะได้ไม่เกิดเหตุเศร้าสลดอย่างที่ผ่านอีก” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว

สำหรับงบประมาณจัดทำโครงการนำร่อง รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวว่า จะเร่งปรึกษากับทางหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงศึกษาธิการ สสส. เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่องต่อไป ให้ประชาชนและทุกหน่วยงานเห็นว่ารถโรงเรียนสามารถบริหารจัดการให้ดีขึ้นเป็นระบบได้ หากมีแบบแผนที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม

นางบุษกร กานต์กำพล อาจารย์ฝ่ายกิจการนักเรียน โรงเรียนบางปลาม้า “สูงสุมารผดุงวิทย์” เล่าแนวคิดการบริหารรถโรงเรียน ว่า ดำเนินการมา 5 ปีแล้ว เริ่มจากการตั้งนโยบาย และเชิญคนขับรถโรงเรียนทั้งหมดมาร่วมประชุม ขอความร่วมมือให้คนขับรถแจ้งรายชื่อนักเรียนโดยสารทั้งหมดกับทางโรงเรียนเพื่อให้ตรวจสอบได้ง่าย จากนั้นจัดตั้งชมรมให้คนขับรถลงทะเบียนเส้นทางพร้อมจำนวนนักเรียน ชื่อผู้ปกครอง และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อให้กับฝ่ายกิจการนักเรียน ซึ่งขณะนี้มีรถที่อยู่ในความรับผิดชอบทั้งหมด 97 คัน นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือจากรถประจำทางให้มาเข้าร่วมชมรมด้วยเพื่อให้การดูแลทั่วถึงยิ่งขึ้น จากนั้นมอบหมายให้ครูประจำชั้นเช็คชื่อนักเรียนทั้งหมดในช่วงเช้าส่งให้ฝ่ายกิจการนักเรียน ซึ่งคนขับรถจะมีใบเช็คชื่อนักเรียนทั้งขึ้นและลงเช่นเดียวกัน มีการจัดประชุมติดตามการดำเนินงานทุกเดือนพร้อมทั้งเชิญวิทยากรมาให้ความรู้ทั้งด้านการขับขี่รถ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากเกิดเหตุร้ายต่างๆ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะถือว่าทั้งหมดนี้คือการร่วมมือกันดูแลเยาวชนที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติร่วมกัน โดยคำนึงว่า หน้าที่สำคัญของครูนอกจากการสอนวิชาให้ความรู้แก่นักเรียนแล้ว การดูแลความปลอดภัยของนักเรียนก็เป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญที่ครูจะต้องทำเช่นกัน

ถ้าทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงจัง การแก้ปัญหาความปลอดภัยของรถโรงเรียนไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ หากทำได้ ต่อไปเรื่องราวความสูญเสียเช่นนี้ คงจะไม่เกิดขึ้นอีก
โดย ปานมณี

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33072&Key=hotnews

ปฏิรูปหลักสูตรไม่ใช่คำตอบสุดท้าย 16 สถาบัน ห่วงสังคมไร้ส่วนร่วม/ขาดเห็นภาพปัญหาการศึกษารอบด้าน

19 มิถุนายน 2556

จุฬาฯ * 16 สถาบันการศึกษาชั้นนำเตรียมเปิดวงสัมมนาถกการปฏิรูปหลักสูตรใหม่ของ ศธ. เบื้อง ต้นมองไร้การเปิดกว้างให้สังคมมีส่วนร่วม อาจทำให้ขาดการมองปัญหารอบด้าน เชื่อการพัฒนาใช้หลักสูตรใหม่ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะทำให้การศึกษาไทยพ้นวังวนย่ำอยู่กับที่ได้

ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศ ไทย (16 สถาบัน) ได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับการปฏิรูปหลักสูตรใหม่ โดย รศ.ดร.ชนิตา รักษ์พลเมือง คณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า หลักสูตรการศึกษาควรต้องมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์จากสถาบันต่างๆ ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมปฏิรูปหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตั้งแต่ต้น และบุคลากรทางด้านการศึกษายังเข้าไปมีบทบาทในเรื่องนี้น้อยมากทั้งที่เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งๆ ที่การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องคุณลักษณะเด็กไทยที่ต้องการให้เป็น ควรมีผู้เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมทำในแง่ผู้ผลิต ผู้ใช้ เชื่อว่าหากผู้บริหารประเทศเปิดโอกาสให้นักวิชาการในส่วนสภา ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทยเข้าไปมีส่วนร่วม จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ตรงกันและเป็นการศึกษาที่เป็นไปรูปแบบเดียวกัน
ผศ.ดร.พัทธนันท์ หรรษาภิรมย์โชค อดีตรองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า จากผลการวิจัยเรื่องแนวทางการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนพบว่า ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาโรงเรียนคือ ครูและผู้บริหาร หากมีครูที่เก่ง ดี มุ่งมั่นในการจัดการเรียนการสอน แม้ว่าโรงเรียนจะไม่มีความพร้อม ไม่มีงบประมาณ หรือหลักสูตรจะมีลักษณะอย่างไร ก็สามารถพัฒนาเด็กได้อย่างมีคุณภาพ ดังนั้นการปรับโครงสร้างหลักสูตรใหม่ของรัฐบาลอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

ด้าน รศ.ดร.ประพันธ์ศรี สุเสารัจ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มศว กล่าวว่า การปฏิรูปหลักสูตรครั้งนี้ควรต้องมีความรอบคอบและศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ควรมาจากการมีส่วนร่วมของบุคคลหลายฝ่าย เพราะหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของชาติมีผลกระทบกับการศึกษาของชาติทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หากผู้ดำเนินการปฏิรูปหลักสูตรไม่มีพื้นฐาน ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาของชาติที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน และไม่มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ความเสียหายจะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงและยาวนานต่อประเทศชาติได้
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การปฏิรูปหลักสูตรใหม่สามารถตอบโจทย์และเกิดประโยชน์วงการศึกษาไทยอย่างสูงสุด สภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (16 สถาบัน) จะจัดประชุมระดมความคิดเห็นหัวข้อ “หลักสูตรใหม่ : วิกฤติหรือโอกาส” ในวันพุธที่ 3 กรกฎาคม 2556 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์กิตติคุณคุณดวงเดือน พิศาลบุตร (ห้องประชุม 101 เดิม) อาคารประชุมสุข อาชวอำรุง คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ขอเชิญชวนนักการศึกษาและผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็น สนใจสอบถามได้ที่ โทร.0-2218-2417

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่กระทรวงศึกษากำลังดำเนินการ โดยมีนายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. เป็นหัวเรือใหญ่ เสร็จสิ้นไปแล้วประมาณ 80% นายภาวิชเคยกล่าวว่า จะนำร่องใช้กับโรงเรียนในสังกัดมหาวิทยาลัยก่อนเป็นกลุ่มแรก โดยที่ไม่มีการกล่าวถึงการทำประชาพิจารณ์หลักสูตรดังกล่าวแต่อย่างใด.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33071&Key=hotnews

โยก’พิษณุ’ กลับ สพฐ.คุมเข้มสอบครูผู้ช่วย

19 มิถุนายน 2556

โยก “พิษณุ” กลับ สพฐ.คุมเข้มสอบครูผู้ช่วย “อนันต์” ขอเด้งเองเข้ากรุผู้ตรวจฯ “พงศ์เทพ” ดูข้อมูลก่อนย้ายครั้งใหญ่…

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับ 10 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตามที่ ศธ.เสนอ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นผู้ตรวจราชการ ศธ., นายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการ ศธ. เป็นรองเลขาธิการ กพฐ. และ น.ส.จุไรรัตน์ แสงบุญนำ รองเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นผู้ตรวจราชการ ศธ. สำหรับเหตุผลในการโยกย้ายเป็นไปตามความสมัครใจของนายอนันต์ ที่ได้ทำบันทึกมาถึง รมว.ศึกษาธิการ เพื่อขอย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ศธ. เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วย และในฐานะที่นายอนันต์เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดสอบครูผู้ช่วย จึงอยากให้มีการขยับออกจากตำแหน่งนี้ก่อน เพื่อให้การสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นไปอย่างโปร่งใส ผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้ไม่ต้องเกรงใจ หรือหวาดกลัวในการให้ข้อเท็จจริง
รมช.ศึกษาธิการกล่าวอีกว่า ส่วนการตั้งนายพิษณุมาดำรงตำแหน่งแทน เพราะเคยเป็นรองเลขาธิการ กพฐ. และดูแลเรื่องของบุคคลมาก่อน จึงอยากให้มาช่วยดูแลการสอบครูผู้ช่วยรอบใหม่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22-24 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้การสอบครูผู้ช่วยมีปัญหาการทุจริตซ้ำรอยเหมือนที่ผ่านมา ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายมาก และสังคมจะตราหน้า ศธ.ได้ว่าอ่อนปวกเปียก ไม่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ส่วนการโยกย้าย น.ส.จุไรรัตน์นั้น ก่อนหน้านี้เคยมาพบกับ รมว.ศึกษาธิการ และหารือว่าไม่ค่อยถนัดงานในส่วนที่รับผิดชอบอยู่ ส่วนใครจะมาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สกศ.แทนนั้นยังไม่มีการหารือ สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 11 นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ต้องรอดูก่อนว่าในการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงนั้น ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. มีการขัดขวางหรือไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การโยกย้ายนายพิษณุมารั้งตำแหน่งรองเลขาธิการ กพฐ. เพราะมีการวาง ตัวไว้ล่วงหน้าหากมีการย้าย ดร.ชินภัทรก็จะให้นายพิษณุรักษาการในตำแหน่ง เลขาธิการ กพฐ.ได้ทันที
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า นายเสริมศักดิ์เป็นผู้เสนอว่าเนื่องจากนายพิษณุได้ติดตามตรวจสอบเรื่องการทุจริตสอบครูผู้ช่วยมาอย่างต่อเนื่อง รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี จึงน่าจะทำงานในตำแหน่งดังกล่าว ทั้งดูแลและป้องกันการสอบครูผู้ช่วยรอบใหม่ให้เกิดความบริสุทธิ์และยุติธรรมมากที่สุด ส่วนตำแหน่งรองเลขาธิการสภาการศึกษานั้น อาจจะต้องมีการหารือกับผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ.ด้วย ส่วนจะพิจารณาแต่งตั้งก่อนหรือจะพิจารณาแต่งตั้งพร้อมกับการแต่งตั้งโยกย้ายใหญ่ในเดือน ก.ย.หรือไม่นั้นขอดูในรายละเอียดก่อน.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33070&Key=hotnews

สพฐ.ส่ง 79 ทีม จับตาสอบครูผู้ช่วย

19 มิถุนายน 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษา ที่จะสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิ.ย.นี้ ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประชุมทางไกลกับ79 เขตพื้นที่ฯ เพื่อซักซ้อมมาตรการในการดำเนินการสอบแข่งขันให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมการใน 79 เขตพื้นที่ฯที่จะสอบแข่งขัน ทั้งนี้คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ของ สพฐ.79 คณะ จะลงพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. และปฏิบัติหน้าที่ถึงวันที่ 25 มิ.ย.นี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่มีรายงานความผิดปกติเข้ามา ส่วนในวันสอบทาง สพฐ.ได้แจ้งไปยัง 79 เขตพื้นที่ฯให้ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลการสอบ ประสานขออุปกรณ์เครื่องมือตรวจวัตถุโลหะ และการตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือ รวมถึงการให้กรรมการคุมสอบเซ็นชื่อกำกับในกระดาษคำตอบด้วย

ด้าน นายอำนาจ สุนทรธรรม เลขาธิการคณะกรรมการคุรุสภา กล่าวถึงการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู กลุ่มครูผู้ช่วย 344 รายตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ได้มีมติในการประชุมก่อนนี้ว่า ครูผู้ช่วยที่มีความผิดจะต้องถูกยึดใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ โดยการเพิกถอนจะมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ว่าจะสามารถเพิกถอนได้เลย และเมื่อคณะอนุกรรมการที่ดูแลการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพพิจารณาเสร็จแล้ว ถึงจะนำเสนอที่ประชุมคุรุสภารับทราบต่อไป.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33069&Key=hotnews

คอลัมน์: กศน.เพื่อนเรียนรู้: กศน.การศึกษาน้อยนิด…คุณค่ามหาศาล

19 มิถุนายน 2556

วารินทร์ พรหมคุณ
“กศน.คือการศึกษาน้อยนิด…ผมต้องลบคำสบประมาทนี้เพราะแท้จริง “กศน.” คือการศึกษาที่ให้คุณค่ามหาศาล เป็นการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยและเป็นการศึกษาตลอดชีวิต ที่รับผิดชอบและมีเครือข่ายพันธมิตรอย่างกว้างขวางทั่วทั้งประเทศ มีคนที่มีชื่อเสียงมากมายมาเรียนกับ กศน. แม้แต่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาตลอดชีวิต ทรงเรียนเพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ประชาชน”

“กศน.การศึกษาน้อยนิดแต่คุณค่ามหาศาล” ที่”บุญโชคพลดาหาญ” ผอ.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) จังหวัดเลย นิยามให้ฟังก็ทำให้หลายคนเริ่มเห็นภาพ เปิดใจรับและปรับทัศนคติที่มีต่อการศึกษานอกระบบกันเสียใหม่

ผอ.บุญโชค บอกว่า งานของ กศน.เน้นการพัฒนาคน ก็เหมือนการปลูกพืชที่ต้องเตรียมดิน ดังนั้น ครูอาสา ครู ศรช. ครูกศน.ตำบล และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ จึงเน้นคนในพื้นที่เป็นหลักกศน.เมืองเลย มีสโลแกนว่า “รู้คน รู้งาน รู้พื้นที่” เพราะเมื่อเป็นคนในพื้นที่แล้วก็ต้องรู้ว่าตรงไหนมีอะไร ขาดเหลืออย่างไร การทำงานก็ตรงเป้าหมายและสามารถสร้างเครือข่ายทำงานร่วมกันได้สะดวก เพราะต่างเห็นความสำคัญของกันและกัน

…จึงไม่น่าแปลกใจที่นโยบายการจัดตั้ง กศน.ตำบล ของจังหวัดเลย สามารถเปิดได้ครบทั้ง 90 ตำบล เป็นแห่งแรกของประเทศไทยเพราะครู กศน.ที่อยู่ในพื้นที่ได้ประสานกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบต.) และเครือข่ายทั้งหมดให้เข้ามาสนับสนุนนี่เอง

นโยบายสำคัญอีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรมจับต้องได้ ก็เห็นจะเป็นเรื่อง “การอ่าน” ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ ที่ทุกคนต้องช่วยกันขับเคลื่อน ทำอย่างไรจึงจะปลุกกระแสให้การอ่านและการทำอาชีพได้บูรณาการไปด้วยกัน และให้เป็นหมู่บ้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต

กศน.จังหวัดเลย ได้คิดทำโครงการ”หนังสือสามัญประจำบ้าน”เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่าน”หนังสือสามัญประจำบ้านก็เหมือนกับยาสามัญประจำบ้านที่ทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยทุกคนต้องใช้ยา”

ผอ.บุญโชค บอกว่า ขณะเดียวกันหนังสือสามัญประจำบ้านก็เป็นความรู้ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้อะไรที่เกี่ยวกับตัวเราเอง จึงได้ทำหนังสือขึ้นมา6 เล่ม คือ 1.เมื่อเราไปสถานีตำรวจ 2.เมื่อเราไปอำเภอ 3.เมื่อเราต้องคดีความ 4.เมื่อเราไปติดต่อเรื่องที่ดิน5.เมื่อเราไปขนส่ง และ 6.ฤกษ์งาม-ยามดีโชคชะตาราศี โดยเฉพาะเรื่องสุดท้ายโชคชะตาราศี ซึ่งทุกคนชอบอ่านเพื่อจะได้ดูดวงชะตาราศีของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อวิถีชีวิตของคน เช่นเกิดวันไหนเป็นอย่างไรที่ทุกคนอยากรู้
“กุศโลบายของผมที่พิมพ์หนังสือ 6 เล่มขึ้นมา ก็เพื่อกระตุ้นให้คนรักการอ่านก่อน เมื่อเขารักการอ่านแล้วก็จะพัฒนาไปกับการอ่านหนังสือเรื่องอื่นๆ เอง โดยหนังสือเหล่านี้จะอยู่ทุกหลังคาเรือนของกศน.ตำบล ทั้ง 90 หมู่บ้าน เหมือนยาสามัญประจำบ้าน หรือตามจุดต่างๆ ที่เป็นบ้านหนังสืออัจฉริยะและหนังสือสามัญประจำบ้านจะไม่มีการสงวนลิขสิทธิ์ใครอยากนำไปตีพิมพ์เพื่อเผยแพร่ก็สามารถนำไปพิมพ์ได้ เพราะต้นฉบับเราจะมีอยู่ในสำนักพิมพ์ต่างๆ ของจังหวัดเลย และขณะนี้ทราบว่าได้มีการนำไปตีพิมพ์และแจกจ่ายกันทั่วประเทศแล้วเพราะคนเราจะอ่านหนังสือได้จะต้องเป็นเรื่องที่โดนใจ”ปฏิบัติการเชิงรุกด้านส่งเสริมการอ่านที่ ผอ.บุญโชค นำมาใช้อีกอย่างคือการให้นักศึกษาที่มีอยู่จำนวน 17,000 คน ไปเป็นอาสาสมัครส่งเสริมการอ่าน และลงไปกระตุ้นให้คนรักการอ่าน แล้วเก็บข้อมูลมาส่ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำรายงานการเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังให้นักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมซึ่งเป็นการช่วยทำงานให้กับ กศน.ด้วย
“อัตลักษณ์ของนักศึกษา กศน.จังหวัดเลย ได้กำหนดเหมือนกันก็คือ”ใฝ่เรียนรู้ คู่อาชีพ และมีคุณธรรม” เมื่อทุกคนมาเรียนจะต้องใฝ่เรียนและรักการอ่าน นอกจากนี้จะต้องเรียนรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตทุกคนจะต้องมีเว็บ ไซต์เป็นของตัวเอง ทุกคนจะต้องมีอาชีพอย่างน้อย1 อย่าง และให้มีคุณธรรมจริยธรรม โดยนักศึกษา กศน.ทุกคนจะต้องมีสมุดบันทึกความดี ว่าในแต่ละวันได้ทำความดีอะไรบ้าง จะได้ทบทวนความดี หากใครเขียนโกหกนานๆ เข้าก็จะละอายไปเอง เอกลักษณ์ของเราก็คือเปิดโอกาสทางการศึกษา ภาคีเครือข่ายให้ความร่วมมือ โดยหลักก็คือการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รับการเรียนรู้นอกจากนี้ยังได้กระตุ้นให้ผู้ที่ประสบความสำเร็จมาเรียนกับ กศน.เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับลูกหลาน เพราะบางคนจบปริญญาตรีแล้วก็มาเรียน กศน.เพราะอยากเติมเต็มในสิ่งที่เขายังไม่รู้อยากมีเพื่อน ซึ่งเป็นการเรียนรู้ชีวิต” ผอ.กศน.จังหวัดเลย กล่าว

โอกาสทางการศึกษาที่ว่านี้ ดูเหมือนจะยังประโยชน์ไปทุกกลุ่มอย่างนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ที่แวะเวียนมาเรียนรู้นอกตำราก็มีมาไม่ขาดสาย อย่าง”โรงเรียนบ้านห้วยกระทิง” ขาประจำรถโมบายเคลื่อนที่ของ กศน.

“ครูอำนาจ ภาระดี” ซึ่งนำคณะนักเรียนมาจัดกิจกรรมนอกห้องเรียน บอกว่า เด็กๆ ไม่เคยเห็นรถโมบายเคลื่อนที่ของ กศน.เมื่อมาเห็นแล้วเขาก็ได้สัมผัสกับชีวิตจริงเพราะรถโมบายของ กศน. นอกจากจะมีหนังสือให้อ่านอย่างหลากหลายแล้วยังมีเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ใช้งานด้วย ซึ่งก็สอดคล้องกับหลักสูตรใหม่ที่จะนำมาใช้ในเร็วๆ นี้ด้วยว่าเด็กต้องมีกิจกรรมนอกห้องเรียน ที่นอกเหนือจากสื่อการเรียนในห้อง

นอกจากนี้แล้วยังมีโครงการใหม่ล่าสุด “บ้านหนังสืออัจฉริยะ” ที่ดูจะถูกใจประชาชนเป็นอย่างมาก
ลุงประคอง แก้วสุวรรณ เจ้าของบ้านหนังสืออัจฉริยะบ้านห้วยกระทิง ม.1 ต.กกทอง อ.เมือง จ.เลย กล่าวว่า ดีใจที่ กศน. ได้เลือกบ้านของตนเป็นบ้านหนังสือ ซึ่งตนก็ยินดี เพราะการมีหนังสือพิมพ์และหนังสือต่างๆ อย่างหลากหลายมาให้ชาวบ้านอ่านทำให้ไม่เหงาได้ทั้งเพื่อนและความรู้ ใครว่างจากงานก็มาพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกัน มานั่งอ่านข่าวเหตุการณ์บ้านเมือง ที่นอกจากเหนือจากการดูข่าวทางโทรทัศน์ เพราะบางวันก็ดูข่าวไม่ทันเพราะทำงานยังไม่เสร็จ ก็พากันมานั่งอ่านและพูดคุยกัน บางวันเด็กก็มารวมกลุ่มกันทำการบ้าน ทำให้ไม่เหงาเพราะมีเพื่อนทุกเพศ ทุกวัยมากันไม่ขาด
สมเป็น กศน.การศึกษาน้อยนิด..คุณค่ามหาศาล อย่างแท้จริง

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33068&Key=hotnews

สพฐ.เคาะบริษัทมีสิทธิ์ อีออกชันแท็บเล็ต

19 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2556 นายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกวดราคาการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีออกชัน(e-Auction) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้มีสิทธิเสนอราคาซื้อด้วยระบบอีออกชัน สำหรับจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตในโครงการคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา แจกนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่1 ประจำปีการศึกษา 2556 จำนวนกว่า 1,600 คน วงเงิน 4,611 ล้านบาทแล้ว โดยหลังจากที่คณะกรรมการฯ ได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติเอกสารต่างๆ แคตตาล็อค สเปกเครื่อง และล่าสุดได้มีการทดสอบการตกกระแทก (Drop Test) 5 ด้านระยะความสูง 80 เซนติเมตร เมื่อวันที่14 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้จากผู้ยื่นซองประกวดราคา 13 บริษัท จำนวน 33 ซอง นั้นปรากฏว่า มีผู้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นและมีสิทธิเข้าสู่กระบวนการในระบบอีออกชัน วันที่ 21 มิ.ย. ตั้งแต่เวลา 10.00-12.00 น.ที่บริษัทสวนกุหลาบ เซอรารี่ชีล จำกัด อาคารพหหลโยธินเพลส ดังนี้ โซนที่ 1 มีผู้ผ่านเข้าสู่กระบวนการอีออกชัน 3 ราย จากผู้ยื่นซอง 7 ราย ได้แก่บ.เซินเจิ้น อิงถัง อินเทลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด,บ.เซินเจิ้น สโคปโซแอนท์ฟิก ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และบ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัดโซนที่ 2 ผ่านเข้าสู่อีออกชัน 4 ราย จากผู้ยื่นซอง 9 ราย ได้แก่ บ.เซินเจิ้นอิงถัง อินเทลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด,บ.ไฮเออร์ อิเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ จำกัด,บ.ไทยทรานสมิชชั่น อินดัสทรี จำกัด และและบ.สุพรีมดิสทิบิวชั่น จำกัด,โซนที่ 3 ผ่านเข้าสู่อีออกชัน 2 ราย จากผู้ยื่นซอง 9 รายได้แก่ บ.สุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัด และบ.เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน)และโซนที่ 4 ผ่านเข้าสู่กระบวนการอีออกชัน 1 รายจากผู้ยื่นซอง 9 รายได้แก่ บ.เซินเจิ้น อิงถัง อินเทลิเจ้นท์ คอนโทรล จำกัด ซึ่ง สพฐ.ตัดสินใจไม่ดำเนินอีออกชันในโซนที่ 4 ที่ สพฐ.ได้ประกาศยกเลิกการยื่นซองประกวดราคาครั้งนี้ออกไป เนื่องจากว่ามีบริษัทที่เพียง 1 รายเท่านั้นซึ่งตามระเบียบจะต้องมีผู้ผ่านอย่างน้อย 2-3 ราย โดยจะเริ่มกระบวนการยื่นซองประกวดราคาเฉพาะโซนที่ 4 ใหม่ในต้นเดือนก.ค. ภายหลังดำเนินการอีออกชัน โซนที่ 1-3 เรียบร้อยแล้ว
โดยโซนที่ 4 ที่ต้องยกเลิกไปก่อน เพราะมีผู้ยื่นซองผ่านเพียงรายเดียวดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมจะต้องเข้าสู่กระบวนการใหม่แต่ต้นคือ ซื้อซองประกวดราคา ยื่นซองประกวดราคา และทดสอบคุณสมบัติการตกกระแทก ซึ่งในการเปิดรอบใหม่ บ.เซินเจิ้น อิงถัง อินเทลิเจ้นท์คอนโทรล จำกัดที่ผ่านคัดเลือกเพียงแห่งเดียวรอบนี้ ก็สามารถยื่นซองได้เช่นเดิมแต่หากเข้าสู่กระบวนการทดสอบการตกกระแทกปรากฏว่าไม่ผ่านก็ถือว่าตกไป”ประธานคณะกรรมการประกวดราคาฯ กล่าวและว่า สำหรับราคากลางของเครื่องแท็บเล็ต ในระดับป.1 อยู่ที่ 2,420 บาท ระดับม.1 อยู่ที่ 2,920 บาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33066&Key=hotnews

เตรียมผลิตเด็กอาชีวะลุยอาเซียน

19 มิถุนายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในฐานะหน่วยงานหลักที่ผลิตกำลังคนสายอาชีพทั้งระดับ ปวช. ปวส. และป.ตรี มีหน้าที่เตรียมกำลังคนให้มีความพร้อมเมื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 โดยมุ่งเน้นให้เด็กอาชีวะมีศักยภาพในการแข่งขันระดับนานาชาติ ซึ่งกิจกรรมหนึ่งที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือ การแข่งขันหุ่นยนต์ 3 ประเภท คือ หุ่นยนต์กู้ภัย หุ่นยนต์แขนกล และหุ่นยนต์ทั่วไป โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งมีการแข่งขันรายการหุ่นยนต์เอบียูชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งวิทยาลัยได้ส่งทีมแข่งขันทั้งสิ้น 124 ทีม ก่อนคัดเลือกเหลือ 16 ทีม มาแข่งขันกับ 16 ทีมของมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อหาทีมชนะเลิศไปเข้าร่วมการแข่งขัน เอบียู เอเชีย-แปซิฟิก โรบอต คอนเทสต์ 2013 ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนามในวันที่ 18 ส.ค.นี้

“ตัวอย่างที่ยกมา ไม่ใช่สิ่งที่อาชีวะคาดหวังและมุ่งเน้นทั้งเรื่องของตำแหน่ง รางวัล หรือชื่อเสียง แต่ต้องการจะบอกว่าสิ่งที่อาชีวะมุ่งเน้นคือการสร้างให้เด็กอาชีวะกลุ่มนี้ เติบโตไปเป็นกำลังคนระดับฝีมือ เพื่อพัฒนาประเทศหรือองค์กรที่ทำงานต่อไปในอนาคต เพราะการเรียนวิชาหุ่นยนต์ศึกษา ของ สอศ. หลักสูตรที่เรียนเปิดกว้างให้ต่อยอดไปทำงานในอุตสาหกรรมหลายๆ ประเภท ที่ใช้หุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ ขับเคลื่อนแผนงาน ทั้งในหรือต่างประเทศก็ได้” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33065&Key=hotnews

คอลัมน์: ทั่วถิ่นไทย ก้าวไกลการศึกษา: สพฐ.จัดประกวดโลโก้ผลงานเด็กพิการ

19 มิถุนายน 2556

บรรพต เติมลาภ
นักประชาสัมพันธ์
ศูนย์สารนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประกวดตราสัญลักษณ์ (LOGO) ผลิตภัณฑ์ผลงานนักเรียนสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) ขึ้น เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ผลงานนักเรียนพิการและ ด้อยโอกาส ให้เป็นที่รู้จักแก่ประชาชนทั่วไป และใช้เป็นตราสัญลักษณ์ในการจัดงานโครงการพัฒนาวิชาชีพ เพื่อการมีงานทำสำหรับเด็กพิการและด้อยโอกาส โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนบุคคลทั่วไป ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันประกวดตราสัญลักษณ์ดังกล่าว
ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจะต้องออกแบบเองห้ามลอกเลียนแบบหรือนำผลงานของผู้อื่นมาส่งเข้าประกวด และจะต้องเป็นผลงานที่ไม่เคยเผยแพร่ที่ใดมาก่อน มีขนาด 4×4 นิ้ว เป็นภาพสีและขาวดำอย่างละ 1 ชุด ส่งผลงานได้ไม่เกินคนละ 3 ชิ้นงาน ตราสัญลักษณ์ต้องจดจำง่าย สามารถสื่อความหมาย พร้อมกับเขียนบรรยายแนวคิด ความหมายของแบบ รูปทรง สี และแรงบันดาลใจในการออกแบบลงบนกระดาษ A4 ที่สำคัญคือต้องแสดงให้เห็นว่า เป็นตราสัญลักษณ์ของผลิตภัณฑ์จากเด็กพิการและด้อยโอกาส

ชิงรางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล เงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณและเสนอขอจดลิขสิทธิ์ ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา และรางวัลชมเชย 4 รางวัล เงินรางวัลละ 5,000 บาท พร้อมใบประกาศเกียรติคุณ

ส่งผลงานได้ที่ สำนักงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มบริหารทั่วไป กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาคาร สพฐ. 2 ชั้น 1 กระทรวงศึกษาธิการ เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน-15 กรกฎาคม 2556 กรณีส่งทางไปรษณีย์จะถือวันที่ประทับตราเป็นสำคัญ สามารถดาวน์โหลดเอกสารหลักเกณฑ์พร้อมใบสมัครได้จากเว็บไซต์สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ http://special.obec.go.th/

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นางสาวปทิตตา การสมโชค และนายณัฐพงศ์ นัยใจ โทร. 0-2280-4966

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33064&Key=hotnews

เสริมศักดิ์ยันครูผู้ช่วยฉาว 344 ราย บัญชีดำตลอดชีพหมดสิทธิ์สอนใคร

19 มิถุนายน 2556

“เสริมศักดิ์” ระบุกรณีปลดครูผู้ช่วยทุจริตสอบ 344 ราย ใน 119 เขตพื้นที่ฯ ขณะนี้ปลดได้เพียง 30 กว่าราย ใน 20 เขตพื้นที่ฯ ปลอบ ผอ.รร.อย่าไปกลัวถูกฟ้องย้อนหลัง ชี้ส่วนครูผู้ช่วยที่ถูกออกราชการสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่อดเป็นครูตลอดชีวิต เพราะขึ้นบัญชีดำห้ามเป็นครูตลอดชีวิตแล้ว

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่ามีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 20 เขต ได้แจ้งผลการดำเนินการสั่งให้ครูผู้ช่วยที่มีรายชื่ออยู่ใน 344 รายให้ปลดออกจากราชการแล้ว ประมาณกว่า ?30 คน จากทั้งหมด 119 เขตพื้นที่ฯ ขณะที่ตามขั้นตอนหลังถูกปลดออกครูผู้ช่วย ผู้ถูกปลดนั้นมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ.ได้ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร และจะมีการนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณา แต่หากพบว่าคำสั่งของ ผอ.โรงเรียนชอบด้วยกฎหมายแล้วก็จะสั่งยกเลิกคำร้อง แต่ผู้ร้องยังมีสิทธิ์ยื่นฟ้องกับศาลปกครองต่อได้ ทั้งนี้ ในส่วนของ ผอ.โรงเรียนที่มีอำนาจปลดครูผู้ช่วยกระทำทุจริต ตามมาตรา 53 ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่เกรงในเรื่องของการถูกฟ้องร้องจากครูผู้ช่วยที่ถูกปลดออกจากราชการนั้น โดยปกติของระบบราชการจะมีการคุ้มครองช่วยเหลือไว้อยู่แล้วของส่วนราชการ เช่น การให้อัยการเป็นโจทย์ หรือเป็นจำเลยแทนได้ เป็นต้น

รมช.ศธ.กล่าวอีกว่า กลุ่มครูผู้ช่วยที่ถูกให้ปลดออกจากราชการแล้วจะต้องถูกขึ้นบัญชีดำเลย เพราะถือว่าเป็นผู้บกพร่องทางศีลธรรมและเคยทุจริตการสอบมาก่อน และโดยทั่วไปไม่สามารถเข้าทำงานที่ใดได้ ยกเว้นมีการพระราชทานอภัยโทษ ส่วนผู้ร้องทุกข์มายัง ก.ค.ศ.แล้ว จำนวนกว่า 20 รายที่ผ่านมานั้น ก็ต้องถูกขึ้นบัญชีดำเลย เพราะถือว่าคำสั่งให้ปลดออกจากราชการโดยชอบแล้ว แต่หากผลออกมาอย่างไรจึงจะมาว่ากันภายหลัง รวมทั้งหากไปฟ้องศาลปกครองแล้วชนะก็กลับไปเป็นครูอีกครั้งได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีที่ครูผู้ช่วยที่ลาออกก่อนที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะมีมติให้ปลดออก ถ้าดูตามมาตรา 30 ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯ ก็ไม่สามารถเป็นครูที่อื่นได้เช่นกัน ฉะนั้นจึงขอให้หน่วยงานที่อาจจะมีการรับครูผู้ช่วยกลุ่มนี้ไปเป็นครูจะต้องพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง

สำหรับการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษา ที่จะเปิดสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนนี้ ซึ่งตนเป็นห่วงว่าอาจจะมีการทุจริตด้วยการเปลี่ยนกระดาษคำตอบนั้น ที่ผ่านมาก็ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลเป็นพิเศษ โดยให้ตรวจสอบการเซ็นชื่อของผู้เขาสอบ การประทับตรา และในช่วงก่อนการสอบตนอาจจะสุ่มลงพื้นที่พร้อมตำรวจเพื่อดูความเรียบร้อยต่างๆ.

ที่มา: http://www.thaipost.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33063&Key=hotnews