Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สื่อนอกชี้ แจกแท็บเล็ต แก้ระบบการศึกษาไทยไม่ตรงจุด-ต้องสอนผู้เรียนคิดเป็น

คุณครูคง demo อยู่
คุณครูคง demo อยู่

เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านสันกอง อ.แม่จัน จ.เชียงราย
กำลังใช้คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตประกอบการเรียนในชั้นเรียน
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2556

learning
learning

เอเอฟพี – เด็กชาวเขาตามโรงเรียนบนดอยสูงของไทยใช้ปลายนิ้วสัมผัสและเลื่อนไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้รับโอกาสฝึกทักษะทั้งด้านภาษาอังกฤษ, คณิตศาสตร์ และดนตรี ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษายังคงตั้งคำถามว่า การ “แจก” อุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้จะช่วยให้ระบบการศึกษาไทยมีคุณภาพทัดเทียมนานาอารยประเทศได้จริงหรือไม่

ความด้อยโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนชนบท คือที่มาของโครงการแจกแท็บเล็ตนับล้านเครื่องให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งรัฐบาลและกลุ่มสนับสนุนชี้ว่าจะช่วยยกระดับมาตรฐานการศึกษาไทยได้ ขณะที่ผู้ต่อต้านเชื่อว่านโยบายเช่นนี้เป็นเพียงกลยุทธ์เรียกคะแนนนิยมจากพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมถึงเด็กๆ ซึ่งจะเติบโตเป็นพลเมืองผู้มีสิทธิเลือกตั้งในอนาคต

ที่โรงเรียนบ้านสันกอง อ.แม่จัน จังหวัดเชียงราย เด็กนักเรียน 90 คน ได้รับแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตในปีที่แล้ว ตามโครงการ “1 แท็บเล็ตต่อนักเรียน 1 คน” (One Tablet Per Child) ซึ่งเป็นนโยบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ไว้ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2011

เด็กๆ เหล่านี้จะสวมหูฟังและทำกิจกรรม เช่น ร้องเพลงภาษาอังกฤษ, ชมการ์ตูนพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเล่นเกมทางคณิตศาสตร์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในช่วงเริ่มปีการศึกษาใหม่ ซึ่งเนื้อหาที่จะใช้เรียนผ่านแท็บเล็ตยังมาไม่ถึง พวกเขาก็ต้องทบทวนบทเรียนเก่าของปีที่แล้ว โดยมีคุณครูคอยให้คำแนะนำ

ศิริพร วิชัยพานิช ครูชำนาญการพิเศษประจำโรงเรียนบ้านสันกอง เผยว่า เธอไม่เคยได้รับการฝึกให้ใช้แท็บเล็ตสอนนักเรียนมาก่อน จึงยังไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร

ดิฉันพอมีความรู้อยู่บ้างเพราะที่บ้านมีไอแพด… แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องสอนนักเรียนอย่างไรดี

นักเรียนส่วนใหญ่มาจากชุมชนชาวเขาเผ่าอาข่า ซึ่งไม่ได้พูดภาษาไทยเป็นหลัก ดังนั้น การมีคอมพิวเตอร์พกพาจึงถือเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับพวกเขา

“นักเรียนเหล่านี้ยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่พวกเขาสามารถฟังเสียงได้ชัดเจนจากแท็บเล็ต และหัดพูดตาม” วรรณวดี สมแดง ครูอีกคนหนึ่งกล่าว

“เด็กบางคนไม่กล้าถามคำถามกับครู พอมีแท็บเล็ตมาช่วย พวกเขาก็ฟังได้ง่ายขึ้น”

ปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 2 คนจากทั้งหมด 90 คนที่ได้รับอนุญาตให้นำแท็บเล็ตติดตัวกลับบ้านหลังเลิกเรียน ซึ่งบ้านของเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้

ที่บ้านพวกเขาไม่มี Wi-Fi และไม่สะดวกที่จะชาร์ตแบตเตอรี แต่ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่เองก็ใช้แท็บเล็ตไม่เป็น” อุทัย มูลเมืองคำ ผู้อำนวยการโรงเรียนเอ่ยถึงปัญหาที่พบ แต่ก็ยอมรับว่า แม้เด็กจะได้ใช้แท็บเล็ตเพียงวันละ 1 ชั่วโมง “ก็ถือว่าได้รับโอกาสเช่นเดียวกับนักเรียนในเมือง

สุรพล นะวะมวัฒน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบุว่า รัฐบาลต้องการลดช่องวางทางการศึกษาระหว่างคนรวยในเมืองและคนยากจนในชนบท และมีเป้าหมายที่จะแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้นักเรียน 13 ล้านคนทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 2014 และเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ทุกๆ 2 ปี

หากคำนวณจากราคาแท็บเล็ตเครื่องละราวๆ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 3,100 บาท) งบประมาณสำหรับโครงการนี้จึงอาจสูงถึง 40,000 ล้านบาท

   แท็บเล็ตที่ผลิตในจีนถูกแจกจ่ายไปถึงมือนักเรียนแล้ว 850,000 เครื่อง และรัฐบาลก็เตรียมจะที่แจกล็อตถัดไปอีก 1.7 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็นโครงการแจกแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดของโลกก็ว่าได้

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การแจกคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไม่ใช่สิ่งที่จะรับรองได้ว่า มาตรฐานการศึกษาไทยจะดีขึ้นกว่าเดิม

Jonghwi Park ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีการศึกษา จากองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ในกรุงเทพมหานคร ชี้ว่า คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตเป็นเพียง “อุปกรณ์การศึกษา” อย่างหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับดินสอ และปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะใช้อะไรมาเป็นสื่อการสอน แต่อยู่ที่จะสอนเด็ก “อย่างไร” มากกว่า

เธอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยที่วางแผนจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาส่งเสริมการเรียนรู้ คิดให้รอบคอบเสียก่อนว่า วิธีการเช่นนี้จะช่วยยกระดับการศึกษาได้ตามที่รัฐบาลมุ่งหมายจริงหรือไม่

ขณะเดียวกัน นักวิจารณ์บางรายก็ชี้ว่า ระบบการศึกษาไทยจำเป็นต้องมีการ “เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

ถ้าคุณจะแก้ระบบการศึกษาไทย ผมบอกได้เลยว่ามันต้องโละทิ้งทั้งระบบ” สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

ห้องเรียนทุกวันนี้ไม่ได้กระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมเท่าที่ควร บรรยากาศยังน่าเบื่อหน่ายมาก” อาจารย์สมพงษ์ กล่าว พร้อมชี้ว่า นักเรียนไทยส่วนมากถูกสอนให้จดจำข้อมูลอย่างเดียว และไม่กล้าแสดงความคิดเห็นของตนเอง

ความบกพร่องของระบบการศึกษาไทยปรากฏออกมาชัดเจนผ่านผลสำรวจขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เมื่อปี 2009 ซึ่งพบว่า ไทยมีคะแนนทักษะคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และการอ่าน มาเป็นลำดับที่ 50 จากทั้งหมด 65 ประเทศที่ทำการสำรวจ ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศที่เน้นให้ผู้เรียน “คิดเป็น” ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ระบุ

ดร.รังสรรค์ ชี้ว่า ในขณะที่การศึกษาไทยยังเน้นว่าผู้เรียนตอบ “ถูก” หรือ “ผิด” ต่างชาติกลับให้ความสำคัญกับกระบวนการคิดที่นำไปสู่ข้อสรุปของผู้เรียน

แม้หลายฝ่ายจะกังวลว่านักเรียนอาจนำคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น ดูสื่อลามก หรือเล่นเกมที่ส่งเสริมความรุนแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เยาวชนรุ่นใหม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านไอทีเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล

ทักษะสำคัญอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 คือการรู้จักนำอุปกรณ์ไฮเทคมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน… ถ้าไม่มีทักษะเหล่านี้เลย พวกเขาคงหางานทำไม่ได้แน่” ปาร์ก จากองค์การยูเนสโก กล่าว

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000073639

สวนสุนันทาเปิดสอน 24 ชม. หลัง นศ.แห่เรียน – เทอม 2 สหเวชฯ เรียนที่สมุทรสงคราม

18 มิถุนายน 2556

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปลื้ม นศ.แห่สมัครเรียนเกือบ 4 หมื่นคน ส่งผลรับเข้าเรียนเกิดโควตาที่กำหนด แต่มาตรฐานคุณภาพคงเดิมเตรียมแผนรองรับความแออัด เปิดเป็นมหาวิทยาลัย 24 ชั่วโมง ให้ นศ.ได้ใช้เวลาในมหาวิทยาลัยเต็มที่เทอม 2 เตรียมโยกย้าย นศ.วิทยาลัยสหเวชศาสตร์ไปเรียที่วิทยาเขตสมุทรสงคราม

รศ.ฤาเดช เกิดวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (มร.สส.) เปิดเผยว่า ปีการศึกษานี้ถือเป็นปีแรกที่มีนักเรียนให้ความสนใจสมัครเรียน มร.สส.จำนวนมากเป็นประวัติการณ์ของมหาวิทยาลัย เกือบ 4 หมื่นคน ทำให้มหาวิทยาลัยต้องรับนักศึกษาเข้าเรียนเกิดโควตาที่กำหนดไว้ โดยปีการศึกษานี้ รับนักศึกษาเข้าเรียนจำนวน 6,800 คน จากเดิมที่จะรับเพียง 5,000 คน นักศึกษาที่สนใจเข้าเรียน มร.สส.ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาต่างจังหวัด รวมถึงการบอกต่อจากรุ่นพี่ ศิษย์เก่าของสถาบัน และเมื่อนักศึกษา ผู้ปกครองได้มาสัมผัสบรรยากาศสภาพแวดล้อม การดูแลเอาใจใส่ความพร้อมศักยภาพทั้งด้านวิชาการ หลักสูตรการเรียนการสอน คณาจารญ์บุคลากรของมหาวิทยาลัยทำให้ตัดสินใจเรียน มร.สส.
อธิการบดี มร.สส. กล่าวต่อว่า ปีนี้แม้มหาวิทยาลัยจะรับนักศึกษาเข้าเรียนจำนวนมา ซึ่งอาจจะแออัดบ้างในเรื่องของสถานที่ แต่มหาวิทยาลัยก็ได้มีการวางแผนรองรับปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น อาทิ จะเปิดเป็นมหาวิทยาลัย 24 ชั่วโมง จัดสรรเวลาให้นักศึกษาได้ใช้ห้องเรียน ห้องสมุด พื้นที่ต่างๆ ของมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่ ตลอด 24 ชั่วโมง และในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จะย้ายนักศึกษาวิทยาลัยสหเวชศาสตร์ ไปเรียนที่วิทยาเขตสมุทรสงคราม ซึ่งขณะนี้ได้มีการสร้างอาคารเรียน ที่พัก เสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงตกแต่ง นำครุภัณฑ์ อุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ ไปจัดวางเท่านั้น เป็นต้น

นอกจากนั้นมหาวิทยาลัยมีแผนในการเปิดรับคณาจารย์ บุคลากรของมหาวิทยาลัยเพิ่มเติมตามอัตราที่ได้ขอไปที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวมถึงจะมีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยให้กลายเป็นสวนอุทยานที่ร่มรื่นและเป็นแหล่งเรียนรู้แก่นักศึกษา ขณะเดียวกันจะมีการปรับอาคารเรียนให้กลายเป็นวังที่สวยงามอบอุ่นเหมือนบ้าน เพื่อให้นักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยความปลอดภัยเสมือนบ้านของตนเอง

“แม้ว่า มร.สส.เปิดรับนักศึกษาเพิ่มขึ้น แต่ยังคงยึดเรื่องของคุณภาพ มาตรฐานของนักศึกษาและมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ ซึ่งได้แจ้งให้พ่อแม่ผู้ปกครอง และนักศึกษารับทราบไปตั้งแต่วันที่ปฐมนิเทศแล้ว ก่อนที่จะเปิดภาคเรียนในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ มหาวิทยาลัยจึงได้เตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ และไอทีให้แก่นักศึกษา รวมถึงไสด้มีการจัดกิจกรรม ลานสร้างสรรค์ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ และใช้เวลาว่างภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสม” รศ.ฤาเดช กล่าว

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33053&Key=hotnews

อาชีวะยกระดับครูเสริมสวย

18 มิถุนายน 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ร่วมลงนามความร่วมมือกับมูลนิธิลอรีอัลบริษัทลอรีอัล (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นสถานประกอบการชั้นนำประเภทธุรกิจด้านความงามครบวงจรและมีเครือข่ายสถานประกอบการทั่วประเทศและมีบุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในวิชาชีพร่วมกันจัดโครงการ Beautiful Tomorrows พัฒนาครูผู้สอนช่างเสริมสวยในหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นสาขาวิชาเสริมสวยเพื่อให้ครูผู้สอนช่างเสริมสวยมีความรู้และทักษะด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเสริมสวยที่ทันสมัยพัฒนาต่อยอดในรูปแบบ Train the Trainer โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญจากลอรีอัลมาฝึกอบรมให้กับครูเป็นเวลา 2 เดือนก่อนที่จะมาจัดฝึกอบรมทักษะอาชีพช่างผมมืออาชีพให้กับนักเรียนนักศึกษาสาขาวิชาช่างเสริมสวยซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้น 6 เดือนผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้รับความรู้ตั้งแต่ขั้นตอนและเทคนิคการสระผมประเภทของแกนดัดเทคนิคการม้วนขั้นตอนเคล็ดลับและข้อเสนอแนะในการตัดผมการจัดแต่งทรงผมด้วยกิ๊บหนีบผมและโรลม้วนผมการทำสีผมเทคนิคการทำสีเบื้องต้นโครงสร้างผมและการตัดผมจบแล้วสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ทันทีและยังมีโอกาสเข้าทำงานในบริษัทลอรีอัล (ประเทศไทย)ได้อีกด้วยโดยจะดำเนินการในวิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยาวิทยาลัยสารพัดช่างธนบุรีวิทยาลัยสารพัดช่างนครหลวงและวิทยาลัยสารพัดช่างพระนครส่วนคุณสมบัติของผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะต้องเป็นผู้มีอายุระหว่าง 15 – 35 ปีเป็นผู้ขาดโอกาสเช่นประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่มีงานประจำทำอยู่นอกระบบการศึกษามีปัญหาทางครอบครัวและมีสภาวะที่ไม่มั่นคงเป็นต้นโดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 2 ปีนับตั้งแต่วันลงนามในบันทึกข้อตกลงคือตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ถึงมิถุนายน 2558

–มติชน ฉบับวันที่ 19 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33051&Key=hotnews

สช. ดึง ม.เกษตร สร้างนวัตกรรม ยกระดับความคิด

18 มิถุนายน 2556

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU : Memorandum of Understanding) ทางวิชาการกับ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ณ ห้องประชุมบัวฉลองขวัฯ ชั้น 2 อาคาร สช. เรื่อง การพัฒนานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้พัฒนาทักษะการคิดของผู้เรียนระดับปฐมวัย ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน และระดับอาชีวศึกษาของโรงเรียนเอกชน เพื่อเป็นการสร้างนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้พัฒนาทักษะการคิดสำหรับผู้สอนให้มีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะและพัฒนาการสามารถจัดการเรียนการสอนพัฒนาผู้เรียน ทำให้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนได้รับการพัมนาอย่างเต็มที่ เกิดทักษะทางด้านความคิด รู้จักคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม โดยนำนวัตกรรม การจัดการเรียนรู้มาปรับใช้ให้ทันกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข แสดงให้เห็นถึงการยกระดับคุณภาพผู้สอนและคุณภาพผู้เรียนทางด้านการคิด ให้แข็งขันได้ในระดับสากล เป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน รวมถึงสอดคล้องกับนโยบาย สช.ปีการศึกษา 2556 ปีการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน ทั้งนี้ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังหล่าวมีกรอบระยะเวลาการดำเนินงาน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33050&Key=hotnews

สช.ผุด ‘ศูนย์ฝึกอาชีพ’ ร.ร.นอกระบบ เปิดเรียนฟรี-สร้างงานพัฒนาสตรี-เศรษฐกิจ

18 มิถุนายน 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวว่า รัฐบาลให้งบประมาณสนับสนุนโรงเรียนอาชีวศึกษา โรงเรียนนอกระบบ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ให้สามารถฝึกอาชีพให้กับประชาชน ทาง สช.จึงได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพ ในโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ ปีงบฯ 2556 โดยศูนย์ดังกล่าวเน้นอบรมอาชีพให้กลุ่มสตรี นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในชุมชน ซึ่งกำหนดตั้งศูนย์อบรมทั้งส่วนกลางและภูมิภาค 42 ศูนย์ โดยมุ่งพัฒนาอาชีพให้มีคุณภาพ และมีหลักสูตรอาชีพใหม่ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อพัฒนาสตรีให้มีโอกาสสร้างสรรค์เศรษฐกิจของประเทศ

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อว่า สช.กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฝึกอาชีพฯ คือ ให้ศูนย์ฝึกอาชีพฯ 1 ศูนย์ ต่อ 1 ร.ร. โดยร.ร.เอกชนนอกระบบต้องผ่านเกณฑ์ประกันคุณภาพภายใน มีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่พร้อมสำหรับตั้งศูนย์ฝึกอาชีพฯ ในสาขาวิชาที่ขอเปิด และต้องมี ผอ. และเจ้าหน้าที่ศูนย์อย่างละ 1 คน รวมทั้งวิทยากรฝึกอาชีพ ที่สำคัญการฝึกอาชีพต้องไม่กระทบกับการเรียนตามปกติของสถานศึกษา ใช้เวลารวมไม่เกิน 45 ชั่วโมง ต่อหนึ่งศูนย์ แต่ละหลักสูตรมีผู้เข้าอบรมไม่น้อยกว่า 10 คน สช.จะสนับสนุนค่าวิทยากรชั่วโมงละ 600 บาท ส่วนหลักสูตรประเภทวิชาชีพ แบ่งเป็น กลุ่มทักษะเฉพาะทาง อาทิ เสริมสวย เย็บผ้า ผสมเครื่องดื่ม เป็นต้น กลุ่มส่งเสริมการสร้างอาชีพ อาทิ คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ภาษาต่างประเทศ บัญชี เป็นต้น โดยอบรมฟรี สถานศึกษาใดสนใจเข้าร่วมจัดศูนย์ฝึกอาชีพฯ ให้เสนอโครงการ และหลักสูตรอาชีพมาที่สช.ส่วนภูมิภาค เสนอไปยังสพป. หรือสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด

“สช.จะให้ร.ร.อาชีวะ และ ร.ร.นอกระบบ พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถในด้านอาชีพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ร.ร.นอกระบบเหล่านี้จะมีคนที่จบมัธยมถึง ป.ตรี มาเรียน เพื่อเป็นอาชีพเสริม ส่วนหลักสูตรจะเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจต้องการนำไปประกอบอาชีพได้” นายบัณฑิตย์กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 19 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33049&Key=hotnews

 

กศน.กาญจน์ลุยสอนภาษาอาเซียนนำร่องตำรวจ/ธุรกิจท่องเที่ยวบริการ

18 มิถุนายน 2556

นายสมยศ เพิ่มพงศาเจริญ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) จังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานกศน. มีนโยบายให้สำนักงานกศน.จังหวัด ทั่วประเทศดำเนินการจัดการเรียนการสอนภาษาอาเซียนให้แก่ประชาชน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาอาเซียนนั้น ในส่วนของ กศน.จังหวัดกาญจนบุรี ได้ดำเนินการจัดโครงการสอนภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสาร เพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนด้วยหลักสูตร 100 ชั่วโมง 100 ประโยคให้กับประชาชนในพื้นที่ตั้งแต่เดือนก.ย.55 ที่ผ่านมา โดยนายชัยวัฒน์ ลิมวรรณธะผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณพัฒนาจังหวัดจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อจัดสร้างสถาบันอาเซียนศึกษา และศูนย์เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

ผอ.กศน.จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวต่อไปว่า ระยะแรก การจัดการเรียนการสอนเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยว หรือทำธุรกิจในจังหวัดกาญจนบุรี อาทิ พ่อค้า-แม่ค้าตามสถานที่ท่องเที่ยว ธุรกิจนวด-สปา แคดดี้สนามกอล์ฟ เป็นต้น ซึ่งเริ่มสอนใน 5 ภาษา คือภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่นเกาหลี และภาษาพม่า โดยกศน.จังหวัดกาญจนบุรี ได้จ้างครูที่เป็นเจ้าของภาษามาสอน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถสื่อสารได้จริงสำหรับตำราที่ใช้เรียนได้มีการคัดประโยคที่จำเป็นประมาณ 50 ประโยค และให้ผู้เรียนร่วมกันคิดประโยคที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของตัวเอง จากนั้นทีมวิชาการและผู้สอนจะแปลเป็นภาษาอาเซียนเพื่อนำมาจัดพิมพ์ใช้ในการเรียนการสอน

“หลังจากที่ประเดิมจัดสอนรุ่นแรกไปแล้วปรากฏว่าได้รับความสนใจจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ได้ประสานให้ กศน.จังหวัดกาญจนบุรี จัดสอนภาษาให้บุคลากรของตนเอง เช่น ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี ได้ประสานให้ กศน. จัดสอนให้แก่ตำรวจในจังหวัดกาญจนบุรี ทั้ง 1,600 คน ในต้นเดือนก.ค. นี้” นายสมยศ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33048&Key=hotnews

ศธ.ติดหล่มแท็บเล็ตจี้งานด่วน! เด็กออกกลางคัน/สังคายนาครู/ทักษะอาชีพ

18 มิถุนายน 2556

ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หายจากระบบการศึกษานับล้านคน ซึ่งจะสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นปัญหาสังคมได้นั้น นายสมพงษ์ จิตระดับอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเด็กหายจากระบบอย่างจริงจัง เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา การศึกษาไทยไม่กระเตื้องเลย เพราะเน้นอยู่ 2 เรื่อง คือการปฏิรูปหลักสูตรกับการแจกแท็บเล็ตซึ่งทั้ง 2 เรื่องก็มีส่วนสำคัญต่อการปรับโฉมการศึกษา แต่ไม่ทันต่อการแก้ปัญหาการศึกษาในองค์รวม ดังนั้นคิดว่าเวลาที่เหลืออีก 2 ปีของรัฐบาล รัฐควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการศึกษา เป็นภารกิจระดับสูงสุด ซึ่งสิ่งที่น่าจะดำเนินการ คือ

1.ต้องเร่งค้นหาเด็กที่หายจากระบบ และดึงกลับเข้าสู่การศึกษา โดย กศน. ต้องทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น เพราะหากให้การศึกษากับเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้ จะกลายเป็นปัญหาสังคมในอนาคต

2.การเชื่อมระบบจัดการศึกษาระหว่างสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ให้สายอาชีพกับสายสามัญเชื่อมโยงกันในการผลิตกำลังคนที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดแรงงาน

3.การทบทวนโครงสร้างระบบบริหารของ ศธ. เนื่องจากการปฏิรูปการศึกษารอบแรก ติดอยู่กับเครื่องพันธนาการที่รุงรัง เกิดสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่ลงไปสู่ตัวเด็ก ทั้งที่ใช้งบฯ และบุคลากรมหาศาล จึงควรทบทวนยุบเลิก หรือเปลี่ยนบทบาทส่งเสริมให้เด็กมีคุณภาพมากขึ้นนอกจากนี้ควรกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมจัดการศึกษา เพราะความคิดการศึกษาตลอดชีวิตจะมีความสำคัญมากขึ้น

“ที่สำคัญต้องมีการสังคายนาระบบการฝึกหัดครูครั้งใหญ่ โดยรัฐต้องประกาศนโยบายที่ชัดเจน ตั้งแต่การคุมจำนวนการผลิตให้สอดคล้องกับจำนวนครูเกษียณ ให้งบฯ จัดสรรทุนการศึกษาและอัตราบรรจุและแบ่งจำนวนการผลิตบัณฑิตครูให้แต่ละสถาบัน โดยคุมเข้มการผลิตให้เป็นไปตามที่กำหนด หากสถาบันใดผลิตมากเกินที่กำหนด รัฐต้องตัดงบฯ ไม่ให้ทุนและอัตราบรรจุ นอกจากนี้ องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเช่น คุรุสภา ที่ประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) ก็ต้องทบทวนบทบาทตนเองเพราะที่ผ่านมาทำงานกันแบบเบี้ยหัวแตกไม่สามารถช่วยเหลือหรือผลักดันการแก้ไขปัญหาครูอย่างแท้จริง เพราะทำงานกันคนละทิศทางควรลดการประชุม หรือมุ่งแก้หนี้สินครูเพียงอย่างเดียว” นายสมพงษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33047&Key=hotnews

มสด.พัฒนาศูนย์นอกที่ตั้ง

18 มิถุนายน 2556

รศ.ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน รองอธิการบดีฝ่ายนโยบายและแผน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวในการมอบนโยบายการสร้างกลยุทธ์ของศูนย์การศึกษา มสด. สู่ความเป็นเลิศ ว่า ปัจจุบัน มสด.มีศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งรวมทั้งหมด 5 ศูนย์ และ 2 ศูนย์การเรียน โดยแนว ทางปฏิบัติยึดหลักการอันเดียวกับศูนย์ใหญ่ทั้งหมด นอกจากนี้ในอนาคต มสด.ยังจะสร้างศูนย์การศึกษาวิจัยและท้องถิ่นขึ้นอีก 3 แหล่ง มหา วิทยาลัยได้พัฒนาทุกอย่างมาจากพื้นฐานความเชี่ยวชาญและประสบ การณ์ทั้งหมด แล้วนำมาประยุกต์ผสมผสานวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นลงไป เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนต่างจังหวัด เพื่อก่อให้เกิดอัตลักษณ์

“มสด.เน้นกลยุทธ์เชิงปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี เน้นย้ำให้อาจารย์ บุคลากร มองจุดบกพร่องของตนเองแล้วลงมือแก้ไข ลงมือทำกันจริงๆ โดยเฉพาะอีก 2 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน สิ่งสำคัญที่ไม่สามารถควบคุมได้และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนคือการท่องเที่ยว มสด.มีอัตลักษณ์ด้านหลักสูตรเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวต้องใช้ทักษะด้านภาษาอย่างชำนาญถึงจะอยู่ได้ มีงานทำ เป็นต้น ทั้งนี้หากเราเห็นคุณค่าความเป็นเลิศในตัวตนของเราเอง มหาวิทยาลัยก็จะอยู่ได้และพัฒนาสืบไป” รองอธิการบดี มสด. กล่าว

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33046&Key=hotnews

กกอ.ไฟเขียวร่างทีคิวเอฟ

18 มิถุนายน 2556

ASTV ผู้จัดการรายวัน – กกอ.ไฟเขียวร่างทีคิวเอฟ สาขาวิชากายภาพบำบัด แนะเพิ่มนวดแผนไทยด้วย พร้อมระบุการประเมินนอกที่ตั้งของ กกอ. ส่งผลให้มหา’ลัยตื่นตัวคุมคุณภาพมากขึ้น

ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กกอ.ได้เห็นชอบผลการตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งประเมินช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 2556 โดยเสนอ จำนวน 44 หลักสูตรจาก 15 สถาบัน 24 ศูนย์นอกสถานที่ตั้ง ผลการประเมินปรากฏว่า ผ่าน 15 หลักสูตรต้องปรับปรุง 16 หลักสูตรและไม่ผ่าน 13 หลักสูตร ทั้งนี้ สำหรับหลักสูตรที่ต้องปรับปรุงและไม่ผ่านการประเมินนั้นสถาบันสามารถขอทักท้วงได้ภายใน 60 วันหลังจากที่ได้รับหนังสือแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

อย่างไรก็ตาม การที่ สกอ.ได้ตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ทำให้มหาวิทยาลัยหลายแห่งตื่นตัวเรื่องการควบคุมคุณภาพการศึกษามากขึ้น โดยบางแห่งที่คิดว่าจัดการศึกษาไม่เป็นตามเกณฑ์มาตรฐานที่ สกอ. กำหนด ก็ได้ยุติการรับนิสิตนักศึกษาในปีการศึกษาหน้า บางแห่งก็นำนิสิตนักศึกษากลับมาเรียนในที่ตั้งแต่บางแห่งก็ยังเรียนที่ศูนย์นอกสถานที่ตั้งและพยายามปรุงปรับคุณภาพให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ สกอ.กำหนด โดยเฉพาะเรื่องของจำนวนอาจารย์ประจำหลักสูตรที่หาให้ครบ เพื่อคุณภาพการเรียนการสอน

นอกจากนี้ กกอ.ยังเห็นชอบร่างประกาศกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ หรือ ทีคิวเอฟสาขาวิชากายภาพบำบัด เพราะเป็นสาขาที่มีความสำคัญแต่มีข้อเสนอให้ไปปรับปรุงเพิ่มโดยการนำเรื่องการนวดแผนไทยเข้ามาบรรจุไว้ด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33045&Key=hotnews

ยอดสมัคร ‘ผอ.วท.’ 1,045 ราย ‘เก็บตัวกก.-ติดกล้อง’ สกัดโกง

18 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดำเนินการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 10-16 มิถุนายนที่ผ่านมา และจะสอบข้อเขียน วันที่ 13-14 กรกฎาคม ปรากฏว่ามีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา 1,045 ราย แบ่งเป็น กลุ่มทั่วไป 609 ราย และกลุ่มประสบการณ์ 436 ราย ในขณะที่มีตำแหน่งเปิดรับ 68 ตำแหน่ง กลุ่มละ 34 ตำแหน่ง ส่วนตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหา 297 ราย แบ่งเป็น ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 ราย แบ่งเป็น กลุ่มทั่วไป 2 ราย กลุ่มประสบการณ์ 2 ราย และนอกเขตพัฒนาพิเศษฯ 293 ราย แบ่งเป็น กลุ่มทั่วไป 205 ราย และกลุ่มประสบการณ์ 88 ราย ในขณะที่เปิดรับ 151 ตำแหน่ง สำหรับวิทยาลัยที่มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสถานศึกษาจำนวนมาก อาทิ วิทยาลัยเทคนิค (วท.) นครราชสีมา 35 คน วท.อุบลราชธานี 34 คน วท.ขอนแก่น 30 คน วท.บุรีรัมย์ 28 คน วท.ศรีสะเกษ 27 คน ส่วนวิทยาลัยที่มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาในตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษาจำนวนมาก อาทิ วท.อุบลราชธานี 12 คน วท.ศรีสะเกษ 11 คน วท.กาฬสินธุ์ 9 คน วท.ขอนแก่น 9 คน วท.บุรีรัมย์ 8 คน

“สำหรับการสอบนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ และยุติธรรม สอศ.จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันการทุจริตในการจัดทำข้อสอบ โดยจะเก็บตัวคณะกรรมการจัดทำข้อสอบระหว่างวันที่ 9-14 กรกฎาคม และเก็บอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด พร้อมปิดทางเข้า-ออก และติดตั้งกล้องวงจรปิดทางเข้า-ออกทุกจุด ห้ามมิให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปโดยเด็ดขาด รวมทั้งจัดทหารมาดูแลรักษาความปลอดภัย และความสงบเรียบร้อยในอาคารที่เก็บตัว ส่วนการนำข้อสอบบรรจุในซองข้อสอบ และกล่องต้องปิดเทปกาวอย่างแน่นหนา พร้อมประธานคณะกรรมการออกข้อสอบเซ็นกำกับทุกซอง และกล่อง เพื่อป้องกันการเปิดก่อนถึงสนามสอบ สำหรับกระดาษคำตอบ และการตรวจกระดาษคำตอบ จะใช้เครื่องตรวจของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยสนามสอบและสถานที่ตรวจข้อสอบจะอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ สอศ.จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสรรหาภายในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้ ทางเว็บไซต์ www.boga.go.th” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33043&Key=hotnews