Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

เผย 22 ราย จ่อฟ้องศาล ปค. หลังถูกออกทุจริตครูผู้ช่วย

17 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ ประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 7 เปิดเผยความคืบหน้ากรณีทุจริตสอบการคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็น หรือมีเหตุพิเศษ ว12 ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา หลังกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) มีมติให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่ฯ ทั้ง 119 เขตทั่วประเทศ เพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยทั้ง 344 ราย โดยเฉพาะในสังกัด อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ 1 – 7 ในจังหวัดนครราชสีมา มีทั้งหมด 48 ราย และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ นครราชสีมา เขต 7 ปฏิบัติตามมติของ ก.ค.ศ. โดยให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วย 6 ราย ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เปิดโอกาสให้ผู้เสียสิทธิ์ทั้ง 6 รายมาชี้แจงภายใน 15 วันนั้น โดยครบกำหนดแล้ว ปรากฏว่ามีเพียง 5 รายที่มาชี้แจงและเซ็นรับใบคำสั่งเพิกถอน ส่วนอีก 1 ราย ไม่ยอมเซ็นรับ แต่ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก อ.ก.ค.ศ. เพื่อตั้งทนายยื่นฟ้องกลับผู้เกี่ยวข้องสั่งเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยในครั้งนี้ ตั้งแต่ผู้อำนวยการโรงเรียน, อ.ก.ค.ศ., ก.ค.ศ., สพฐ. ไปจนถึงกระทรวงศึกษาธิการ และทราบข่าวว่าในเขต พื้นที่อื่นๆ มีผู้จะฟ้องกลับเช่นกัน

ด้านนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) กล่าวว่า เป็นสิทธิของผู้ที่ถูกกล่าวหา หากมั่นใจว่าตัวเองถูกต้อง ไม่ได้ทุจริต ก็เป็นสิทธิที่จะฟ้องร้องศาลปกครองได้ เป็นเรื่องธรรมดา โดยให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา รายงานตนในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้หากศาลรับพิจารณา ก็เชื่อว่าไม่ทำให้เรื่องนี้หยุดชะงัก เพราะเป็นเรื่องรายกรณี

ขณะที่นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) กล่าวว่า กรณีของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ นครราชสีมา เขต 7 ไม่มั่นใจว่าเป็นการร้องทุกข์ หรือการฟ้องศาลปกครองเลย เพราะโดยขั้นตอน ก่อนการฟ้องศาลปกครอง ก็ต้องร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ. ก่อน ส่วนว่าจะมีผลให้การดำเนินการให้ผู้ที่ทุจริตสอบครูผู้ช่วยออกจากราชการหยุดชะงักหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าขึ้นอยู่กับคำฟ้องว่าจะเป็นอย่างไร แต่โดยหลักการ การยกเลิกหรือชะลอคำสั่งให้ออกจากราชการในกรณีนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล คงไม่มีผลต่อบุคคลอื่น

“ส่วนกรณี ก.ค.ศ.มีหนังสือให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และผู้อำนวยการโรงเรียน สั่งการให้ครูที่ทุจริตออกจากราชการ 344 ราย จาก 119 เขตพื้นที่ฯ นั้น จนถึงขณะนี้มี 20 เขต รายงานมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.แล้ว โดยมีทั้งกลุ่มที่ยอมรับคำสั่งให้ออกจากราชการและกลุ่มที่ไม่ยอมรับ และได้ดำเนินการร้องทุกข์เข้ามาด้วย 22 รายจาก 20 เขตพื้นที่ฯดังกล่าว” นางรัตนากล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33040&Key=hotnews

สช.สั่งเปิดเทอมตามปฏิทินอาเซียน

17 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (กช.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมพิจารณาเรื่องการเปิดปิดภาคเรียนของสถานศึกษาตามปฏิทินอาเซียน ซึ่งแก้ไขระเบียบศธ.ว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา ปี 2549 เนื่องจาก สพฐ.ได้เสนอขอแก้ไขระเบียบ ศธ.ว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา ปี’49 ในส่วนของสถานศึกษาสังกัดสพฐ. ตามที่ตนอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงวันเปิดและปิดภาคเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา 57 เป็นต้นไป เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่อาเซียน ดังนี้ ภาคเรียนที่ 1 วันเปิดภาคเรียน 16 พ.ค. และปิดภาคเรียน 11 ต.ค. เปลี่ยนเป็นเปิดภาคเรียน 10 มิ.ย. และปิดภาคเรียน 4 พ.ย. ภาคเรียนที่ 2 วันเปิดภาคเรียน 1 พ.ย. และปิดภาคเรียน 1 เม.ย. ของปีถัดไป เปลี่ยนเป็นเปิดภาคเรียน 26 พ.ย. และปิดภาคเรียน 26 เม.ย. ปีถัดไป ที่ประชุมเห็นว่า สช.ควรเปลี่ยนแปลงวันเปิดและปิดภาคเรียนให้สอดคล้องกับ สพฐ. ด้วย

ด้านนายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการ กช. กล่าวว่า ร.ร.เอกชนในสังกัด สช. พร้อมที่จะเปิดปิดเรียนตามปฏิทินอาเซียน โดยจะให้ ร.ร.แต่ละแห่งบริหารจัดการ ดูความยืดหยุ่นตามสภาพ ร.ร. เช่น อาจจะเพิ่มการหยุดในช่วงวันสงกรานต์จากเดิม 3 วัน เป็น 7 วัน เป็นต้น แต่ต้องมีเวลาเรียนให้ครบ 200 วันตามหลักสูตร จะต้องไม่กระทบต่อนักเรียนและผู้ปกครอง

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33042&Key=hotnews

อาชีวะเข้มสอบชิงผู้บริหารสถานศึกษาใช้ทหารเฝ้ากรรมการออกข้อสอบ

17 มิถุนายน 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดำเนินการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 10-16 มิ.ย. และจะสอบข้อเขียนระหว่างวันที่ 13-14 ก.ค.นั้น ขณะนี้ยอดรวมการสมัครถึงวันที่ 14 มิ.ย. มีผู้สมัครเข้ารับการสรรหาในตำแหน่ง ผอ.สถานศึกษา 858 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทั่วไป 524 ราย และกลุ่มประสบการณ์ 334 ราย ในขณะที่มีตำแหน่งเปิดรับ 68 ตำแหน่ง กลุ่มละ 34 ตำแหน่ง และมีผู้สมัครรอง ผอ.สถานศึกษา จำนวน 222 ราย แบ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4 ราย ซึ่งอยู่ในกลุ่มทั่วไป 2 ราย และกลุ่มประสบการณ์ 2 ราย ส่วนผู้สมัครนอกเขตมี 218 ราย เป็นกลุ่มทั่วไป 165 รายและกลุ่มประสบการณ์ 53 ราย ในขณะที่เปิดรับ 151 ตำแหน่ง

เลขาธิการ กอศ. กล่าวอีกว่า เนื่องจาก สอศ.เป็นผู้ออกข้อสอบเอง ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส จึงได้กำหนดมาตรการป้องกันการทุจริต โดยจะเก็บตัวคณะกรรมการจัดทำข้อสอบระหว่างวันที่ 9-14 ก.ค. และเก็บอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด พร้อมปิดทางเข้าออกและติดตั้งกล้องวงจรปิดทางเข้าออกทุกจุด ห้ามมิให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปโดยเด็ดขาด รวมทั้งจัดทหารมาดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในอาคารที่เก็บตัว ส่วนการนำข้อสอบบรรจุในซองข้อสอบและกล่องต้องปิดเทปกาวอย่างแน่นหนา พร้อมประธานคณะกรรมการออกข้อสอบลงชื่อกำกับทุกซองและทุกกล่อง ทั้งนี้การตรวจกระดาษคำตอบจะใช้เครื่องตรวจของ ม.รามคำแหง
“สอศ.จะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสรรหาภายในวันที่ 26 ก.ค.ทางเว็บ www.boga.go.th และเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดการฟ้องร้องกรณีที่สอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 แต่ไม่ได้รับการขึ้นบัญชี โดย สอศ.จะขึ้นบัญชีผู้ผ่านการสรรหาตามจำนวนตำแหน่งที่ว่างในปัจจุบัน และจำนวนตำแหน่งที่คาดว่าจะว่างจากการเกษียณอายุราชการ 2 ปีงบประมาณ โดยแยกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มทั่วไป และกลุ่มประสบการณ์ อายุบัญชีไม่เกิน 2 ปี ส่วนการบรรจุแต่งตั้ง ให้เริ่มจากกลุ่มประสบการณ์ก่อน แล้วจึงสลับกับกลุ่มทั่วไปในสัดส่วน 1 ต่อ 1 ซึ่งในกรณีที่ไม่มารายงานตัวตามวันเวลาและ สถานที่ที่กำหนดให้ถือว่าสละสิทธิ์ และพ้นจากการขึ้นบัญชี” ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33041&Key=hotnews

เด็กเสนอใช้ผลโอเน็ตเข้ามหา’ลัย ชี้ควรยกเลิก GAT/PATสอบทั้งคู่เป็นภาระหนัก/ส่วนหลักสูตรเดิมต้องโละทิ้ง

17 มิถุนายน 2556

กรุงเทพฯ * ผลสำรวจเด็กไทยอยากให้ยกเลิกสอบ GAT/PAT เหลือเพียงสอบโอเน็ตอย่างเดียว เพราะถ้าสอบสองอย่างสร้างภาระให้เด็กมาก เชื่อการสอบโอเน็ตเป็นการวัดผลระดับชาติ สามารถนำมาใช้คัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนหลักสูตรเก่าควรโละทิ้ง ไม่ตอบโจทย์ยุคสมัย “ภาวิช” ขานรับข้อเสนอไปปฏิรูปหลักสูตรใหม่

ศ.พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งในการเป็นประธานเปิดงานสมัชชาการศึกษา 56 การศึกษาไทย แบบไหนที่เด็กไทยต้องการ ที่โรงแรมบางกอกชฎา กทม. เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) อยู่ระหว่างการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะเริ่มนำร่องใช้กับโรงเรียนจำนวน 2,000-3,000 แห่งทั่วประเทศ ในปีการศึกษา 2557 ขณะที่หลักสูตรใหม่นี้จะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสมองในช่วงวัยต่างๆ และจะไม่อัดความรู้พร้อมกันเป็นหน้ากระดานเหมือนแต่ก่อน อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปหลักสูตรเรารับฟังความคิดเห็นและนำรูปแบบหลักสูตรของประเทศอื่นๆ มาพิจารณา เช่นเดียวกับการประชุมระดมความคิดเห็นของเครือข่ายยุวทัศน์ กทม.เรื่องหลักสูตรนี้ เราก็จะนำความคิดเห็นของเด็กไปพิจารณาเช่นกัน

นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ ประธานเครือข่ายยุวทัศน์ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นจากนักเรียนทั่วประเทศเกี่ยวกับการศึกษาไทย แบบไหนที่เด็กไทยต้องการ พบว่าเด็กไทยส่วนใหญ่ต้องการให้มีการปรับหลักสูตรการเรียนการสอน โดยเปิดให้เด็กได้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ไม่ปิดกั้น ควรนำเทคโนโลยีมาพัฒนาควบคู่กับการเรียนการสอน และให้ครูคอยเป็นที่ปรึกษา เพราะปัจจุบันครูจะสอนแต่ในหนังสือเท่านั้น ซึ่งเป็นรูปแบบการสอนที่ล้าหลังไปแล้ว

นอกจากนี้ควรจะประยุกต์รายวิชาที่สามารถนำไปใช้กับการทำงานในอนาคตได้ เช่น การนำหลักสูตร คอมพิวเตอร์กราฟฟิกมา สอดแทรกในการเรียนการสอน เมื่อจบจะได้สามารถนำมาทำงานได้ เพราะหากเน้นวิชาการอย่างเดียวก็ไม่สามารถตอบโจทย์การศึกษาให้เด็กได้ทั้งหมด จนส่งผลให้มีการออกนอกการศึกษา ซึ่งจากการสำรวจการใช้หลักสูตรปัจจุบัน พบว่าตอบโจทย์เด็กเพียง 4 คนจาก 10 คนเท่านั้น ส่วนอีก 6 คนออกจากระบบการศึกษา และที่สำคัญควรมีการปฏิรูปครูควบคู่ไปกับการปฏิรูปหลักสูตร โดยนอกจากจะพัฒนาครูทางด้านวิชาการให้เข้มแข็งแล้ว จะต้องเน้นให้ครูมีจิตวิญญาณความเป็นครูมากขึ้น และสามารถสื่อสารระหว่างครูและนักเรียนให้เข้าใจตรงกัน

ประธานเครือข่ายยุวทัศน์กล่าวอีกว่า จากการสำรวจนักเรียนยังมีข้อเสนอที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต เพราะเด็กส่วนใหญ่อยากให้ข้อสอบโอเน็ตบางรายวิชา โดยเฉพาะในวิชาสังคมศึกษา ให้เป็นข้อสอบที่ไม่ใช่ข้อสอบเดียวกันทั้งประเทศ เพราะเป็นการเหลื่อมล้ำ ดังนั้นข้อสอบควรจัดเป็นรายภูมิ ภาคเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ แต่ทั้งนี้ ข้อสอบยังคงจะต้องมีจุดเน้นเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งหากทำได้จริงเชื่อว่าจะทำให้เด็กไทยในภูมิภาคต่างๆ สามารถทำคะแนนสอบได้มากขึ้น อันจะส่งผลให้คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยสูงขึ้น และไม่อยู่รั้งท้ายนานาประเทศด้วย

“เรายังมีข้อเสนอด้วยว่าควรยกเลิกการสอบแบบทดสอบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และแบบทดสอบวัดความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ PAT เนื่องจากเห็นว่าการสอบโอเน็ตก็เป็นการวัดผลระดับชาติอยู่แล้ว จึงเพียงพอสำหรับการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย และยังเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการสอบด้วย” นายพชรพรรษ์กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33038&Key=hotnews

1 ทศวรรษ’สกอ.’กับก้าวต่อไปของอุดมศึกษาไทย

17 มิถุนายน 2556

7 กรกฎาคม 2546 ถือเป็นจุดเริ่มต้นทศวรรษของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูประบบราชการเมื่อปี พ.ศ.2545 ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารราชการกระทรวง ทบวง กรม โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีการยุบรวมทบวงมหาวิทยาลัยและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติมาอยู่ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ แล้วปรับเป็นหน่วยงานที่มี 5 องค์กรหลัก คือสำนักงานปลัดกระทรวง สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เล่าถึงพัฒนาการอุดมศึกษาใน 10 ปีที่ผ่านมา ว่าการจัดการอุดมศึกษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะในเรื่องของจำนวนสถาบันอุดมศึกษา เมื่อ 10 ปีที่แล้วสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีสถาบันอุดมศึกษาในสังกัด/ในกำกับ รวมวิทยาลัยชุมชน จำนวน 92 แห่งทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 172 แห่ง ซึ่งถือเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาในแนวกว้าง โดยมีหัวใจสำคัญคือ การกระจายอำนาจในการอนุมัติหลักสูตรและอนุมัติปริญญาทุกระดับให้แก่สภาสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง เพื่อให้มีอิสระทางวิชาการอย่างเท่าเทียมกันทั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชน และในอีกมิติหนึ่งจะพบว่าการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษามีการพัฒนาศาสตร์สาขาวิชาใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบสาขาวิชาเฉพาะทางและสาขาวิชาที่บูรณาการ 2 – 3 ศาสตร์มารวมกัน แสดงว่าองค์ความรู้ทางวิชาการมีการสร้างสรรค์ใหม่ทั้งแนวกว้างและแนวลึก “นับตั้งแต่ปี 2547 สกอ. ที่เป็นหน่วยงานกลางกำกับดูแลระดับอุดมศึกษา ได้ดำเนินนโยบายสำคัญเพื่อสนับสนุนคุณภาพภารกิจของสถาบันอุดมศึกษาหลายประการ ทั้งด้านมาตรฐานการอุดมศึกษา ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี-โท-เอก พ.ศ. 2548 และต่อมาในปี 2552 ได้กำหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (Thai Qualifications Framework for Higher Education/TQF) เพื่อเป็นหลักการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะและมาตรฐานผลการเรียนรู้ที่คาดหวังด้วยวงจรคุณภาพ ผ่านกลยุทธ์การเรียนการสอน การวัดและประเมินผล รวมทั้งศักยภาพคณาจารย์ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ได้กำหนดหลักเกณฑ์ตัวบ่งชี้การประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบสารสนเทศ CHE QA Online เมื่อปี 2553 ร่วมกับการตรวจเยี่ยม (Site Visit) ทุกปีการศึกษา โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งถ้าใน 2 – 3 ปีข้างหน้า สถาบันอุดมศึกษาที่ผลการประเมินมีศักยภาพสูงมากจะสามารถปรับเข้าสู่ระบบเกณฑ์คุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ (EdPEx) เพื่อการแข่งขันระดับนานาชาติ แทนที่ระบบ CHE QA Online ด้านการกำหนดทิศทางนโยบาย ได้กำหนดกรอบแผนอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปีฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2551 – 2565) เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์ พันธกิจให้เหมาะสมกับศักยภาพของ 4 กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา และการส่งเสริมสนับสนุนนโยบายระดับโครงการ โดยการส่งเสริมภารกิจให้สถาบันอุดมศึกษาจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ (University Business Incubators) และหน่วยจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Technology Licensing Office) เพื่อเป็นกลไกให้สถาบันอุดมศึกษาสร้างวงจรรายได้จากการนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์พัฒนาสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และการผลิตภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนมีนโยบายส่งเสริมให้จัดการศึกษาในรูปแบบสหกิจศึกษา (Cooperative Education) และขยายสู่รูปแบบการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน(Work- integrated Learning) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพบัณฑิต” เลขาธิการ กกอ. กล่าว
สำหรับทิศทางการปรับตัวของอุดมศึกษาเข้าสู่ทศวรรษหน้า เลขาธิการ กกอ. กล่าวว่า การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันถือเป็นสินค้าสาธารณะ (Public goods)ที่ประชากรโลกจากทุกประเทศสามารถเข้าถึงบริการทางการศึกษาได้อย่างเสรีโดยไม่มีขีดจำกัด อันเนื่องมาจากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของระบบเทคโนโลยี และกลยุทธ์การบริการทางการศึกษาที่หลากหลาย ในรูปแบบ e-Learning,Distance Learning หรือการขยายวิทยาเขตขนาดเล็กของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศอื่น กอรปกับสังคมไทยให้ความสำคัญกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 2 ปีข้างหน้าที่กลุ่มประเทศอาเซียนจะมีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีด้านสินค้า บริการ แรงงานฝีมือ การลงทุน ดังนั้น ระบบอุดมศึกษาไทยควรเตรียมขับเคลื่อนการปรับตัวในทุกมิติ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจะเน้นส่งเสริมสนับสนุนในประเด็นหลัก อาทิ (1) การสร้างเสริมคุณภาพหลักสูตรด้วยกลไกกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) โดยมีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบ CHE QA online และการส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ระบบเกณฑ์คุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ (EdPEx) (2) การส่งเสริมระบบกำกับดูแลอุดมศึกษาโดยให้อิสระในการบริหารจัดการ (Autonomy)แก่สถาบันอุดมศึกษา โดยต้องคำนึงถึงการตรวจสอบได้(Accountability) ของสถาบันอุดมศึกษา(3) ระบบสนับสนุนงบประมาณเพื่อการวิจัยและงานสร้างสรรค์ในสถาบันอุดมศึกษาเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถเชิงการแข่งขัน และสนับสนุนการเงินอุดมศึกษาผ่านรูปแบบกองทุน กรอ. ต้องดำเนินนโยบายคู่ขนานกัน โดยมุ่งเน้นให้จัดการศึกษาในสาขาวิชาชีพขาดแคลนหรือสาขาวิชาที่เป็นไปตามแผนพัฒนากำลังคน และความต้องการของประเทศ (4) ส่งเสริมการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ที่เป็นนักวิชาการสายรับใช้สังคมให้เข้าสู่ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) และศาสตราจารย์ (ศ.) โดยระบบประเมินผลงานวิจัย บริการวิชาการสร้างองค์ความรู้ และตำราที่มีความหลากหลาย

“ในขณะเดียวกันสถาบันอุดมศึกษาควรดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐ สังคม เศรษฐกิจ โดยสถาบันอุดมศึกษาควรกำหนดอัตลักษณ์ให้ชัดเจนว่ามุ่งหมายที่จะเป็นสถาบันอุดมศึกษาในกลุ่มเน้นการผลิตบัณฑิต หรือกลุ่มสถาบันฯ เฉพาะทาง หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยวิจัย เพื่อแสดงการพัฒนาคุณลักษณะของบัณฑิตให้ชัดเจนนอกจากนี้สถาบันอุดมศึกษาแต่ละกลุ่มควรมีทิศทางที่ชัดเจนในบทบาทการวิจัย และสามารถนำผลงานวิจัย เทคโนโลยี ผลงานสร้างสรรค์ใช้เป็นทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property)เพื่อสร้างวงจรรายได้ของสถาบัน ทั้งนี้ การพัฒนาหลักสูตรของสถาบันอุดมศึกษาจะต้องเน้นการพัฒนาคุณภาพบัณฑิตที่มีสมรรถนะสูง ทั้งองค์ความรู้และทักษะการปฏิบัติงานได้จริง สอดคล้องตามความต้องการขององค์กรผู้ใช้บัณฑิตโดยการจัดหลักสูตรแบบ Work-integration Learning รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายอุดมศึกษาในประเทศและเครือข่ายอุดมศึกษาระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาผลงานวิจัย ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยี คณาจารย์ และนักศึกษา ตลอดจนเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนของวิทยาลัยชุมชนอย่างเหมาะสม ทั้งกลุ่มพัฒนาทักษะ และกลุ่มที่มีความสามารถศึกษาต่อในระดับสูง” เลขาธิการ กกอ. กล่าว

สถาบันอุดมศึกษาไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญและมุ่งเน้นคุณภาพการเรียนการสอนที่มีคุณภาพให้แก่ผู้เรียนเพื่อให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณลักษณะตามความต้องการของตลาดแรงงานที่ขยายเป็นพื้นที่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะมีการแข่งขันด้วยศักยภาพบุคคลอย่างมาก เนื่องจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ในแง่มุมของสถาบันอุดมศึกษาจะมีคู่แข่งขันหรือคู่เทียบการให้บริการทางการศึกษาจากทั่วโลกมากขึ้น ดังนั้นแม้ว่าสถาบันอุดมศึกษาจะได้รับอิสระในการบริหารจัดการ(Autonomy) แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบได้ (Accountability)มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Governance) กำกับอย่างเข้มแข็งเช่นเดียวกัน จึงจะมีประสิทธิภาพในการสร้างคุณภาพแก่บัณฑิตอุดมศึกษา ในขณะเดียวกัน การพัฒนาคุณภาพหลักสูตร คณาจารย์ และการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาที่ต้องแสวงหาเครือข่ายพันธมิตรทางวิชาการ ในขณะที่ประชาชนผู้รับบริการจะมีโอกาสเลือกใช้บริการทางการศึกษามากขึ้นเช่นกัน

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33037&Key=hotnews

‘เสริมศักดิ์’ เยี่ยม ร.ร.ห่วงนักเรียนติดยาจี้สำรวจ – ส่งบำบัด

17 มิถุนายน 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการตรวจราชการที่โรงเรียนสารวิทยา เมื่อเร็วๆ นี้ได้เน้นย้ำนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เกี่ยวกับการจัดหาแท็บเล็ต การแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา และการเตรียมความพร้อมของนักเรียนเพื่อก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ว่า ศธ. ให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาที่ต้องมีคุณภาพสามารถวัดและประเมินผลได้ชัดเจน เด็กต้องมีระเบียบวินัย มีศีลธรรม และรักชาติ รวมถึงต้องมีความเป็นสากลพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยเน้นย้ำเรื่องการสอนภาษาอังกฤษและสื่อไอทีให้มากขึ้น เพราะในอนาคตภาคธุรกิจจะต้องการคนที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษและไอทีไปทำงานเป็นจำนวนมาก

“กระทรวงฯ ให้ความสำคัญการให้โอกาสทางการศึกษา โดยจัดทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่ยากจน ห่างไกลและด้อยโอกาสทางร่างกายและจิตใจที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อให้มีโอกาสรับการศึกษา และยังมีการแจกคอมพิวเตอร์พกพาหรือแท็บเล็ต ให้แก่นักเรียนต่อเป็นปีที่ 2 เพื่อให้เด็กมีเครื่องไม้เครื่องมือในการเข้าถึง ค้นคว้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถมีความรู้ได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มคุณภาพการศึกษาอีกทางหนึ่ง โดยปีนี้มีนโยบายให้เด็กสามารถนำแท็บเล็ตกลับบ้านได้ เพื่อให้คนในครอบครัวได้ใช้ประโยชน์ได้ด้วย โดยครูไม่ต้องกังวลเรื่องความเสียหายหรือสูญหาย เพราะจะมีเครื่องสำรองไว้ให้ด้วย”

นายเสริมศักดิ์ กล่าวและว่า ได้กำชับเรื่องการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่นายกรัฐมนตรีประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อให้ทั้งครอบครัวและชุมชนเป็นฐานในการป้องกันยาเสพติดขณะที่ในโรงเรียนต้องให้คุณครูประจำชั้นเป็นผู้ดูแล เป็นหูเป็นตาช่วยตรวจสอบว่ามีเด็กกลุ่มเสี่ยงติดยาเสพติดหรือไม่หากตรวจพบให้เร่งบำบัดรักษา ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้เด็กห่างไกลจากยาเสพติดได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33036&Key=hotnews

แฉ! บริษัทเอกชนอ้างชื่อ “วท.” รับนศ.เทียบโอน “ศูนย์นนทบุรี”

17 มิถุนายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – บ.เอกชนหัวหมอ อ้างชื่อ วท.การอาชีพพุทธมณฑล จัดการศึกษาแบบเทียบโอนพร้อมเปิดรับสมัคร นศ.โดยใช้ชื่อ “ศูนย์นนทบุรี” ทั้งที่วิทยาลัยไม่มีเอี่ยว ขณะที่นโยบายให้ วท.เปิดเทียบโอน มีวิทยาลัยเปิดสอนนอกที่ตั้ง 19 แห่ง 66 ศูนย์ สอนปวช., ปวส. กว่า 13,000 คน

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการ กอศ. เปิดเผยว่า จากการติดตามผลการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับการเปิดโอกาสการเรียนการสอนโดยให้มีการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ให้สถานศึกษาที่เปิดสอนเรื่องดังกล่าวอยู่นอกสถานศึกษา หรือในศูนย์ต่างๆ นำนักศึกษาเข้ามาเรียนในสถานศึกษาตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมานั้น พบว่า มีสถานศึกษา ในสังกัด สอศ.ที่เปิดสอนนอกที่ตั้ง 19 แห่ง จำนวน 66 ศูนย์ เป็น การสอนในระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.) 5,099 คน และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) 8,064 คน ขณะนี้ทุกวิทยาลัยได้ส่งแผนการนำเด็กกลับมาเรียนในสถานศึกษามายัง สอศ.แล้ว สามารถสรุปเป็น 3 แนวทางใหญ่ คือ 1.ศูนย์ฯ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลสถานศึกษาแม่ นำเด็กกลับมาเรียนในที่ตั้ง 2.ศูนย์ฯ ที่ตั้งอยู่ไกลจากสถานศึกษาแม่ ใช้วิธีจัดรถรับส่ง และ 3.ทางวิทยาลัย ให้เด็กเลือกว่าจะกลับเข้าเรียนในวิทยาลัย หรือย้ายสถานที่เรียน ซึ่งในกรณีที่เด็กเลือกย้ายสถานที่ไปเรียนกับสถานศึกษาเอกชน ก็ให้โอนผลการเรียนที่เรียนกับวิทยาลัยไปเทียบโอนประสบการณ์ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สอศ. ได้ชี้แจงแนวปฏิบัติในการจัดเทียบโอนความรู้และประสบการณ์แก่สถานศึกษาแล้วว่า วิธีการเทียบโอนจะต้องมีคณะกรรมการ และประเมินอย่างเป็นระบบ มีวิธีจัดการเรียนการสอนโดยอาจารย์ของวิทยาลัย ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาดำเนินการ มีการใช้เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ในการสอน และมีการประเมินสมรรถนะผู้จบการศึกษา ทั้งนี้การให้นำเด็กทั้งหมดกลับมาเรียนในสถานศึกษา เพื่อให้มีการควบคุมมาตรฐานใน การเรียนไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ สะเปะสะปะเหมือนที่ผ่านมา และภายในสัปดาห์นี้จะมีการส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปติดตามว่าสถานศึกษาได้ปฏิบัติตามแผนที่ส่งมาให้ สอศ.หรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ผ่านมาสถานศึกษาบางแห่งได้ร่วมกับบริษัทเอกชนในการจัดการศึกษาแบบเทียบโอนฯ แต่เมื่อ สอศ.มีนโยบายให้นำเด็กกลับเข้ามาเรียนในสถานศึกษา ปรากฏว่า วิทยาลัยส่วนใหญ่สามารถนำเด็กกลับเข้ามาเรียนในวิทยาลัยได้ แต่วิทยาลัยบางแห่งยังติดปัญหาว่าถึงแม้วิทยาลัยจะประกาศยกเลิก และปิดการจัดการอาชีวศึกษากลุ่มเทียบโอนฯ แล้ว แต่บริษัทเอกชนที่เคยร่วมมือกันก็ยังดำเนินการรับสมัครเด็กอยู่ อาทิ วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล ที่ต้องมีการขึ้นประกาศหน้าเว็บไซต์ของวิทยาลัยว่า มีผู้แอบอ้างชื่อวิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล เปิดรับนักศึกษาเทียบโอนโดยใช้ชื่อ “ศูนย์นนทบุรี” รับสมัครนักศึกษา ทั้งที่วิทยาลัยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33035&Key=hotnews

กช.ไฟเขียวร่างเงินเดือนครูเอกชน ป.เอกรับ 2 หมื่นบาท -ย้อนหลัง 1 ม.ค.

17 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่างประกาศสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) เรื่อง อัตราเงินเดือนผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งได้มีการกำหนดอัตราเงินเดือนใหม่ตามคุณวุฒิ เพิ่มจากอัตราเดิมที่เคยปรับมาแล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 ตามนโยบายการปรับเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ดังนี้ ระดับปริญญาเอกอัตราเดิม 19,000 บาท อัตราใหม่ 20,000 บาท ระดับปริญญาโท อัตราเดิม 15,300 บาท อัตราใหม่ 16,400 บาท ระดับประกาศนียบัตรขั้นสูงหรือประกาศนียบัตรบัณฑิตย์ (วิชาชีพครู) หลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปีต่อจากวุฒิปริญญาตรีทั่วไป หรือปริญญาตรีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี อัตราเดิม 12,480 บาท อัตราใหม่ 14,100 บาท ปริญญาตรีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 4 ปีและประกาศนียบัตรเปรียญธรรมประโยค 9 อัตราเดิม 11,680 บาท อัตราใหม่ 13,300 บาท ระดับอนุปริญญา หรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการอื่นๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 3 ปี 6 เดือนต่อจากวุฒิ ม.ปลายหรือเทียบเท่า อัตราเดิม 9,640 บาท อัตราใหม่ 10,540 บาท ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรืออนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการอื่นๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 3 ปีต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า อัตราเดิม 9,300 บาท อัตราใหม่ 10,200 บาท

รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวต่อว่า ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค (ปวท.) ประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง (ป.กศ.) และอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการต่างๆ ที่หลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลายหรือไม่น้อยกว่า 4 ปีต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น หรือเทียบเท่า อัตราเดิม 8,640 บาท อัตราใหม่ 9,540 บาท ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรที่หลักสูตรกำหนด ระยะเวาการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือไม่น้อยกว่า 3 ปีต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้น หรือ เทียบเท่าอัตราเดิม 7,620 บาท อัตราใหม่ 8,300 บาท ระดับ ป.กศ. หรือประกาศนียบัตรของส่วนราชการต่างๆ ที่มีหลักสูตรกำหนดระยะเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปีต่อจากวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นหรือเทียบเท่าอัตราเดิม 7,150 บาท อัตราใหม่ 7,830 บาท และวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่าและประกาศนียบัตรเปรียญธรรมประโยค 6-8 อัตราเดิม 6,910 บาท อัตราใหม่ 7,590 บาท

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการ กช. กล่าวว่า ร่างประกาศดังกล่าวจะมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการปรับเงินปริญญาตรี 15,000 ของรัฐบาล ที่ได้มีการปรับเงินเดือนตั้งแต่ปี 2555 และจะปรับให้เต็มเพดาน 15,000 บาทในปี 2557

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33033&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานีก.ค.ศ.: เตือนผู้สอบบรรจุครูผู้ช่วย อย่าเชื่อกลลวงการแอบอ้างติวข้อสอบ

17 มิถุนายน 2556

ประชาสัมพันธ์ สำนักงาน ก.ค.ศ.
ตามที่ ก.ค.ศ.ได้กำหนดการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2556 ระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน 2556 ปรากฏว่ามีสำนักติวข้อสอบ หรือสถาบันวิชาการมากมายได้จัดอบรมเตรียมสอบครูผู้ช่วย ปี พ.ศ.2556 โดยประชาสัมพันธ์ข่าวสารดังกล่าวไปยังสถานศึกษาโดยตรง หรือผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ รวมทั้งมีผู้แอบอ้างว่าสามารถนำข้อสอบมาเฉลยคำตอบได้ หรือสามารถช่วยให้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ ซึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ โดยผู้เข้าสอบแข่งขันจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเข้ารับการอบรม หรือซื้อข้อสอบพร้อมเฉลยมาศึกษาก่อนวันสอบแข่งขัน หรือจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับผู้แอบอ้างว่าช่วยเหลือได้

สำนักงาน ก.ค.ศ. ขอเรียนว่า ก.ค.ศ. มีเจตนารมณ์มุ่งมั่นที่จะให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ.ตั้งในส่วนราชการ ดำเนินการสอบแข่งขันให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยยึดระบบคุณธรรม ความเสมอภาค ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ได้มีการประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการสอบแข่งขัน ให้รับทราบนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการไปแล้ว และ ก.ค.ศ. ก็มีมาตรการในการควบคุมดูแลการสอบแข่งขันครั้งนี้อย่างเคร่งครัด โดยมีหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนหลายภาคส่วน รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาที่เป็นผู้ออกข้อสอบ เพื่อป้องกันการดำเนินการอันส่อไปในทางไม่สุจริตในการสอบครั้งนี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งผู้แทน ก.ค.ศ. ประจำหน่วยสอบ เพื่อทำหน้าที่ในการกำกับ ติดตาม ดูแลการสอบแข่งขันให้เป็นไปตามนโยบาย และหลักเกณฑ์การสอบแข่งขัน

จึงขอแจ้งเตือนมายังผู้ที่จะสอบบรรจุในครั้งนี้ว่า อย่าได้หลงเชื่อการแอบอ้างที่จะช่วยให้สอบแข่งขันได้ โดยการเสียเงินในการเข้าร่วมอบรม หรือการซื้อข้อสอบ หรือการเสียเงินเพื่อการฝากเข้ารับราชการ ขอให้ผู้ที่จะเข้าสอบตั้งใจอ่านหนังสือตามหลักสูตรที่ ก.ค.ศ. กำหนด และเข้าสอบด้วยความสุจริต ยึดความถูกต้องและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่ข้องแวะกับการกระทำใดๆ ที่อาจส่อไปในทางไม่สุจริต เพราะนอกจากจะสอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ.กำหนดแล้ว ยังอาจเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการสอบบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในโอกาสต่อไป หรือหากสอบผ่านแล้ว ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วยไปแล้ว ก็จะต้องถูกให้ออกจากราชการทันที หากพบว่ากระทำการทุจริตในการสอบแข่งขัน ดังเช่นที่ปรากฏในข่าวตามสื่อต่างๆ ในขณะนี้

นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้ตั้งศูนย์อำนวยการประสานงานการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ในสำนักงาน ก.ค.ศ. ซึ่งมีที่ทำการศูนย์ ณ ชั้น 5 อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อประสานงาน รับรายงานและอำนวยความสะดวกในการสอบ หากพบว่ามีการทุจริต หรือส่อไปในทางไม่สุจริต สามารถโทรศัพท์แจ้งเรื่องมายังสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ทันทีที่หมายเลข 0-2280-2835, 0-2280-1094 และ 0-2280-3237

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33032&Key=hotnews

“สพฐ.” หนุนสร้างคุณธรรมในสถานศึกษาฟื้นฟูจิตวิญญาณครู สู่โรงเรียนสุจริต

17 มิถุนายน 2556

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)จัดประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม และธรรมาภิบาลในสถานศึกษา “ป้องกันการทุจริต” (ฟื้นฟูจิตวิญญาณครู สู่โรงเรียนสุจริต) เพื่อร่วมเป็นกลไกหนึ่งในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพร้อมทั้งเป็นแบบอย่างให้กับนักเรียนในสถานศึกษาได้มีคุณธรรม จริยธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม

ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา “ป้องกันการทุจริต” (ฟื้นฟูจิตวิญญาณครู สู่โรงเรียนสุจริต)ครั้งนี้ ณ โรงแรมภูเขางามรีสอร์ท จ.นครนายก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูและนักเรียนได้รู้และเข้าใจถึงคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนซึมซับคุณค่าแห่งความดีสร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอย่างเป็นวิถีชีวิต โดยมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ ๑.การประชุมเชิงปฏิบัติการกระตุ้นการสร้างเจตคติฟื้นฟูชีวิตทางจิต  ๒.การแบ่งกลุ่มปฏิบัติการระดมความคิดยกระดับจรรยาบรรณวิชาชีพครู  ๓.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้” โครงการโรงเรียนสุจริต”โดยแบ่งกลุ่มตามภูมิภาค ๔.ปฏิญญาโครงการโรงเรียนสุจริตสู่การขับเคลื่อนนโยบายสู่ห้องเรียนสุจริต ๕.แนวทางการทำงานวิจัยโครงการฟื้นฟูจิตวิญญาณครูสู่โรงเรียนสุจริต และ ๖.ระดมความคิดสร้างแนวทางร่วมกันระดับภาคในการพัฒนาโรงเรียนสุจริต และการนำเสนอนิทรรศการโรงเรียนสุจริต (Symposium)
สำหรับผู้เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้แทนของโรงเรียนสุจริต จาก 225 เขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน ตัวแทนครู 1 คน รวมทั้งสิ้น 450 คนซึ่งการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีกิจกรรมหลากหลายและเน้นให้ผู้เข้าประชุมได้ปฏิบัติกิจกรรมจริงสามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในห้องเรียนได้อย่างมีคุณภาพสู่การเป็นโรงเรียนสุจริต ซึ่งเป็นโครงการที่ สพฐ.ได้ทำการเปิดตัวโครงการณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้จอมเทียนพัทยา จ.ชลบุรี ที่ผ่านมาโดยการประชุมครั้งนี้ จึงเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อสร้างแนวทางร่วมกันในการนำปฏิญญาโครงการโรงเรียนสุจริตขับเคลื่อนเป็นนโยบายสู่ห้องเรียนสุจริต และนำความรู้พร้อมทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับไปพัฒนาโรงเรียนสุจริตให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33031&Key=hotnews