Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ค้าน สพฐ. รวบอานาจแต่งตั้งผู้บริหาร ร.ร.ดัง

13 มิถุนายน 2556

นายอดิเรก รัตนธัญญา อุปนายกสมาคมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือต่อ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เพื่อคัดค้านการแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม ซึ่งสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (สพฐ.) ได้รวบอานาจการแต่งตั้งโยกย้ายมาไว้ที่ส่วนกลาง ว่า ตามกฎหมายกาหนดให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้ดาเนินการแต่งตั้งครูและผู้บริหารสถานศึกษาในพื้นที่ แต่ สพฐ.กลับทาผิดกฎหมายและ ยังทาให้การแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปด้วยความล่าช้า จนส่ง ผลต่อการแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนประเภทอื่น ๆ

“ปกติ สพฐ. ต้องแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนขนาดใหญ่ซึ่งรวมโรงเรียนกลุ่มพรีเมียมให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารในโรงเรียนขนาดถัดไปไล่ตามลาดับจนถึงโรงเรียนขนาดเล็ก โดยให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯเป็นผู้พิจารณาผู้บริหารในพื้นที่ ซึ่งสามารถดาเนินการได้ทันทีที่มีผู้บริหารเกษียณอายุราชการ แต่เมื่อ สพฐ.ดึงการแต่งตั้งโยกย้าย ผอ.โรงเรียนกลุ่มพรีเมียมมาที่ส่วนกลาง ทาให้เกิดความล่าช้า เมื่อยังไม่สามารถขยับผอ.โรงเรียนกลุ่มพรีเมียมได้ ทาให้การแต่งตั้งโยกย้ายผอ.โรงเรียนขนาดอื่นชะงักตามไปด้วย วันนี้ผ่านมา 8 เดือนแล้วนับจากเดือนตุลาคม 2555 แต่มีโรงเรียนกว่า 80 โรงยังไม่มีผู้บริหาร สมาคมฯจึงขอเสนอให้ รมว.ศธ.ยกเลิกการรวบอานาจดังกล่าวแล้วกระจายอานาจให้ อ.ก.ค.ศ.เขต พื้นที่ฯ ดาเนินการเหมือนเดิม” นายอดิเรกกล่าวและว่า หาก สพฐ.ยังรวบอานาจไว้เช่นนี้ เชื่อว่าในอนาคตอาจ ถูกฟ้องร้องได้ เพราะเป็นการกระทาที่ขัดต่อกฎหมาย เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครลุกมาเล่นเรื่องนี้เท่านั้น

นายอดิเรก กล่าวด้วยว่า การกระจายอานาจให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เป็นผู้พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายจะทาให้การแต่งตั้งโยกย้ายมีความรวดเร็ว เพราะเขตพื้นที่ฯจะรู้จักผู้บริหารในพื้นที่เป็นอย่างดี สามารถพิจารณาคัดเลือกคนที่มีความเหมาะสมได้ดีกว่า ที่สาคัญขณะนี้ผู้บริหารโรงเรียน และ ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา จานวนมากก็ไม่เห็นด้วยกับการรวบอานาจดังกล่าว อย่างไรก็ตามยอมรับว่าปัจจุบันมีการหาประโยชน์จากการแต่งตั้งโยกย้ายมากขึ้น มีข่าวลือว่า การโยกย้ายครูต้องใช้เงินเป็นตัวเลข 6 หลัก ส่วนผู้บริหาร 7 หลัก ซึ่งเป็นเพราะกลไกเก่า ๆ ที่ดีถูกเปลี่ยนแปลงไปสร้างระบบใหม่ที่ไม่ดีพอ จึงทาให้มีการหาประโยชน์ จากการแต่งตั้งโยกย้ายได้

ด้าน นายพงศ์เทพ กล่าวว่า สมาคมฯมาเสนอ ความเห็นในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารโรงเรียนกลุ่ม พรีเมียม อยากให้ไปดูว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และ ขอให้เร่งรัดการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารเมื่อมีตาแหน่งว่างเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 14 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33010&Key=hotnews

คอลัมน์: ราชภัฏสลับมุมคิด: แนวทางการบริหาร สถาบันวิจัยและพัฒนาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

13 มิถุนายน 2556

ผศ.ณรงค์ศักดิ์ จักรกรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา

งานวิจัย คือ ฐานของการบรรลุวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในอนาคตจากวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครที่มีจุดมุ่งหมายในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในการบูรณาการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน รวมทั้งมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ วิชาการเป็นเลิศ วิจัยสร้างสรรค์ และบริการเป็นเยี่ยม การที่จะบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ดังกล่าว ต้องใช้งานวิจัยเป็นฐานทั้งสิ้น เพราะการสร้างความรู้ใหม่ที่มีคุณค่า และเกิดประโยชน์กับสังคม จึงจะเป็นการสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการได้ รวมทั้งมีองค์ความรู้ที่สามารถส่งผ่าน หรือให้บริการทางวิชาการกับสังคมได้

แนวโน้มงานวิจัยในอนาคตเป็นงานวิจัยรับใช้สังคม สกว. และสถาบันคลังสมองของชาติได้ผลักดันงานวิจัยแนวใหม่ที่เรียกว่า งานวิจัยรับใช้สังคม โดยให้ความสำคัญกับงานวิจัยที่เกิดประโยชน์กับสังคม เป็นงานวิจัยและพัฒนาท้องถิ่น (Research and Development) เน้นการวิจัยเชิงพื้นที่ และเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) และมีนโยบายชัดเจนที่จะสร้างสนามทางวิชาการใหม่ให้กับนักวิชาการสายรับใช้สังคมสามารถใช้ในการทำตำแหน่งทางวิชาการได้

การก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ทำให้สถาบันอุดมศึกษา ต้องมีขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งเรื่องการจัดการเรียนการสอน และการวิจัย รวมทั้งมีเครือข่ายที่แท้จริง ที่สามารถทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ในระหว่างมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน

วิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์ของสถาบันวิจัยและพัฒนาในอนาคต “สร้างงานวิจัยรับใช้สังคม สู่การเรียนการสอน บริการวิชาการ ประสานงานกับเครือข่ายกับทุกภาคี มีเพื่อนใน AEC” โดยมียุทธศาสตร์สู่วิสัยทัศน์ ดังนี้

ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างความเข้มแข็งจากภายในองค์กร โดยพัฒนาทีมทำงานสถาบันวิจัยและพัฒนา มีกลยุทธ์ส่งเสริมและพัฒนาทักษะของเจ้าหน้าที่ในสถาบันฯ ให้มีขีดความสามารถที่จะรองรับภารกิจในอนาคตสร้างขีดความสามารถในการทำงานเป็นทีม และมีความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ และความคิดสร้างสรรค์ สร้างทีมงานที่มีความสุขและความภูมิใจในการทำงาน และทุ่มเทให้กับงานของสถาบัน มีคณะทำงานที่หลากหลาย ทั้งจากภายใน และหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย
ยุทธศาสตร์ที่ 2 สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ บนฐานการวิจัยรับใช้สังคม สร้างนักวิจัยชุมชนรุ่นใหม่ โดยการสร้างสนามฝึกจริง ให้สามารถเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยได้ด้วยตนเอง กระตุ้น รณรงค์และมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้อาจารย์ที่สนใจทำวิจัยได้มีโอกาสทำวิจัย เพื่อให้เกิดทักษะในการทำวิจัย ตามที่อาจารย์สนใจ สร้างนักวิจัยที่มีความสุขกับการทำวิจัย และนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอน และการบริการวิชาการ และสร้างเวทีการนำเสนอผลงานทางวิชาการ โดยร่วมกับเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ

ยุทธศาสตร์ที่ 3 เชื่อมโยงเครือข่ายการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ สรรหาคณะกรรมการจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อเป็นคณะกรรมการวิจัยในแต่ละสาขา เชื่อมโยงเครือข่ายทำการวิจัยตามความต้องการของหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ในประเทศ อาทิ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมทรัพยากรน้ำ สำนักงาน ก.พ. กรมการพัฒนาชุมชน สภาเกษตรแห่งชาติ ฯลฯ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายธุรกิจชุมชน และองค์กรธุรกิจต่าง ๆ เชื่อมโยงเครือข่ายการทำวิจัย กับ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานระหว่างประเทศเช่น ADB UNDP MRC มหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน โดยการประสานกับแหล่งทุนต่างๆ เช่น วช. สกว. สกอ. UNDP ADB World Bank GWP ฯลฯ

ยุทธศาสตร์ที่ 4 บูรณาการงานวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม เพื่อสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับมหาวิทยาลัย ใช้งานวิจัยรับใช้สังคม งานวิจัยท้องถิ่น งานวิจัยเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถขององค์กรภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายธุรกิจชุมชน เป็นฐานในการบูรณาการงานทั้ง 3 ด้าน สร้างศูนย์เรียนรู้ชุมชนต้นแบบของการบูรณาการการทำงานระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานต่างๆ และชุมชน

การที่จะขับเคลื่อนงาน ตามวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ข้างต้นได้ ผู้อำนวยการสถาบัน จึงต้องมีวิสัยทัศน์ และขีดความสามารถในการบริหารจัดการ (Management Capacity) ทั้งด้านการจัดการคน และงาน รวมทั้งสามารถสร้างบรรยากาศในการทำงานให้คนทำงานอย่างมีความสุข มีวิธีการในการกระตุ้นให้คนมุ่งมั่นในการทำงาน และมีความรู้ความเข้าใจและทีมงานที่พร้อมที่จะขับเคลื่อนงานดังกล่าว เพื่อเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครต่อไป
สถาบันวิจัยและพัฒนา http://www.pnru.ac.th/offi/research/

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 14 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33009&Key=hotnews

ถกบริษัทยักษ์เยอรมันส่งครูอบรม สอศ.เล็งแลกเปลี่ยนนักศึกษา-มุ่งพัฒนาอาชีวะ

13 มิถุนายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยภายหลังเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศเยอรมนี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การศึกษาดูงานมีที่น่าสนใจอยู่ 2 แห่ง แห่งแรกที่โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู เมืองมิวนิก ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยจากการดูงานทำให้ทราบว่าบริษัทได้ตั้งศูนย์ฝึกอบรม เพื่อคัดเลือกเด็กที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดมา เข้ารับการอบรมจากวิทยากรของบีเอ็มดับเบิลยู เมื่อศึกษาจบก็ได้รับการบรรจุเป็นพนักงาน

ซึ่งกระบวนการดังกล่าวถือเป็นการเรียนการสอนอาชีวศึกษาที่สถานประกอบการจัดเอง และมีรูปแบบคล้ายคลึงกับการจัดการเรียนการสอนในวิทยาลัยอาชีวศึกษา ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงหารือกับบีเอ็มดับเบิลยู เพื่อขอจัดส่งครู อาจารย์ นักเรียน และนักศึกษา สังกัดสอศ.ไปเข้ารับการพัฒนาคุณภาพ ผ่านกระบวนการทางเทคโนโลยีของบริษัท โดยเล็งศูนย์ฝึกอบรมระดับภูมิภาคที่ประเทศมาเลเซีย และนิคมอุตสาหกรรมใน จ.ระยอง เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสาร เพราะไม่ได้ใช้ภาษาเยอรมันในการสื่อสาร

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังเดินทางไปมหาวิทยาลัยโรเซนไฮม์ ซึ่งนอกจากเชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านการประหยัดพลังงานแล้ว ยังก้าวหน้าในเรื่องเทคโนโลยีเกี่ยวกับไม้ด้วย เช่น นำส่วนผสมต่างๆ อาทิ คริสตัลมาผสมเข้ากับเนื้อไม้ จนสามารถป้องกันไม่ให้ปลวกกินได้
โดยหลักสูตรเทคโนโลยีไม้นี้ มหาวิทยาลัยโรเซนไฮม์ จัดการเรียนการสอนถึงระดับปริญญาโท ดังนั้น สอศ.จึงมีแนวคิดให้กลุ่มช่างเฟอร์นิเจอร์ สาขาก่อสร้าง ในสถาบันการอาชีวศึกษา ระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีและปฏิบัติการ ทำความร่วมมือกับโรเซนไฮม์ แลกเปลี่ยนอาจารย์ นักศึกษา และโดยเฉพาะหลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการในเร็วๆ นี้ เพื่อให้จัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2557 ต่อไป

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 14 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33008&Key=hotnews

โทรทัศน์มหาวิทยาลัย

13 มิถุนายน 2556

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์
วันก่อนที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐมีมติให้ดำเนินการขอจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมจากคณะกรรมการกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมแห่งชาติในคลื่นสาธารณะ 1 สถานี

เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่งก็รวมตัวกันขอคลื่นสัญญาณดาวเทียมเพื่อจัดตั้ง สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเป็นของส่วนมหาวิทยาลัยเอกชนเช่นกัน

การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมที่จะมีในอนาคตไม่นาน นับเป็นการเปลี่ยน แปลงระบบทางโทรทัศน์จากเดิมมาเป็นระบบดาวเทียม ซึ่งกสทช.กำหนดระเบียบปฏิบัติไว้เสร็จแล้ว
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กำหนดไว้ในมาตรา 47 คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ทั้งนี้ ตามกฎหมายบัญญัติการดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ทั้งในด้านการศึกษา วัฒนธรรม ความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะอื่น และการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม รวมทั้งต้องจัดให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการสื่อมวลชนสาธารณะ

การกำกับการประกอบกิจการตามวรรคสองต้องมีมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการควบรวม การครองสิทธิข้ามสื่อ หรือการครอบงำ ระหว่างสื่อมวลชนด้วยกันเองหรือโดยบุคคลอื่น ซึ่งจะมีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารหรือปิดกั้นการได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายของประชาชน
ก่อนหน้านี้มีผู้จัดตั้งวิทยุชุมชนขึ้นมากนับร้อยแห่ง รวมทั้งหลายมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ คณะนิเทศศาสตร์ได้จัดตั้งวิทยุชุมชนขึ้นเพื่อเป็นการฝึกงานของนักศึกษาสาขาวิทยุ
การที่มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนรวมตัวกันจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นจึงเป็นการสมควรอย่างยิ่ง เพื่อเป็นการฝึกปฏิบัติของนิสิตนักศึกษาที่เรียนทางด้านนี้โดยตรง และที่สนใจงานในสาขานี้
การจัดตั้งสถานีวิทยุของมหาวิทยาลัยมีมานานแล้ว แห่งแรกน่าจะเป็นสถานีวิทยุจุฬาฯ ที่เสนอเพลงไพเราะมายาวนานกระทั่งบัดนี้ รวมถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีวิทยุศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนสถานีโทรทัศน์ที่ยังไม่เกิดขึ้น อาจเนื่องจากการลงทุนสูงและคลื่นความถี่มีจำกัด

ครั้นมีการเปิดโอกาสให้คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ ขณะนี้ กสทช.กำหนดให้มีคลื่นความถี่โทรทัศน์จากสัญญาณดาวเทียมเป็นคลื่นสาธารณะ 12 คลื่น กลุ่มมหาวิทยาลัยของรัฐ กลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน จึงมีโอกาสรวมตัวกันจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เป็นของตัวเอง ซึ่งน่าจะเป็นในระดับชาติมากกว่าระดับท้องถิ่น ทั้งเพื่อเป็นประโยชน์ด้านการศึกษา วัฒนธรรม
เชื่อว่าหลังจากมหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชน รวมตัวกันจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมของกลุ่มตัวเอง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีทั้งพระจอมเกล้า และราชมงคล น่าจะร่วมกันจัดตั้งโทรทัศน์ขึ้นบ้าง
เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยราชภัฏที่มีทั้งสิ้น 40 แห่ง อาจร่วมกันจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมของชาวราชภัฏขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง

นอกจากนั้น เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ในส่วนของสถาบันอาชีวศึกษา และวิทยาลัยอาชีวศึกษาก็น่าจะจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาบ้าง

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเรื่องเงินทุนและการดำเนินการทั้งในเบื้องต้นและระหว่างดำเนินการต่อไป จึงหวังว่ามหา วิทยาลัยทั้งนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบ จะได้ไม่สูญเปล่าทางการเงินในอนาคต

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33007&Key=hotnews

คอลัมน์: อาชีวะ…สร้างสรรค์: สอศ.เพิ่มโอกาสนร.-นศ.อาชีวะชายแดนใต้ ฝึกงานต่างภาค ต่างจังหวัด

13 มิถุนายน 2556

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตัวแทนนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 3 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ชั้นปีที่ 2 ในโครงการนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ฝึกงานต่างจังหวัด ต่างภาค ประจำปีการศึกษา 2556 จำนวน 47 คน จาก 6 สถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทิ วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี วิทยาลัยเทคนิคยะลา วิทยาลัยสารพัดช่างยะลา วิทยาลัยสารพัดช่างนราธิวาส เข้าพบ นายสุวัฒน์ ตันติพิพัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำศธ. เพื่อให้โอวาท ก่อนที่นักเรียน นักศึกษาจะแยกย้ายไปฝึกงานในสถานประกอบการต่าง ๆ ตามที่สอศ.ได้จัดไว้ให้

ในโอกาสนี้นายสุวัฒน์ กล่าวว่าจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้สถานประกอบการทยอยปิดตัวเลิกกิจการ ทำให้นักเรียนอาชีวศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ขาดโอกาสการเรียนรู้ และฝึกอาชีพกับสถานประกอบ โครงการนี้จึงนับว่าเป็นโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา โดยจะทำให้นักเรียน นักศึกษาได้เรียนรู้สภาพการทำงานจริงในสถานประกอบการ และพัฒนาทักษะวิชาชีพให้มีความชำนาญ สามารถนำไปใช้ปฏิบัติงานจริงเมื่อจบการศึกษาแล้ว ได้รับความรู้และประสบการณ์ เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น

โครงการนี้สอศ.ได้จัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 18 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา วิทยาลัยสารพัดช่างยะลา วิทยาลัยการอาชีพรามัน วิทยาลัยการอาชีเบตง วิทยาลัยเทคนิคยะลา วิทยาลัยการอาชีพสุไหง โกลก วิทยาลัยสารพัดช่างนราธิวาส วิทยาลัยเทคนิคปัตตานีวิทยาลัยกาญจนาภิเษกปัตตานี วิทยาลัยอาชีวศึกษาปัตตานี วิทยาลัยประมงปัตตานี วิทยาลัยการอาชีพสายบุรี วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี วิทยาลัยเทคนิคสตูล วิทยาลัยการอาชีพนาทวี วิทยาลัยการอาชีพละงู วิทยาลัยเทคนิคจะนะ และวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสตูล จัดคัดเลือกนักเรียน นักศึกษา ไปฝึกงานต่างภาค ต่างจังหวัด โดยสนับสนุนเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก พาหนะ ให้นักเรียน รวมทั้งจัดครูผู้ควบคุมมาติดตามนิเทศ จัดวิทยาลัยพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลด้วย ซึ่งในปีนี้มีนักเรียน นักศึกษา ระดับปวช.3 และ ปวส.2 จำนวน 1,659 คนที่ได้มาฝึกงานในสถานประกอบการภาคใต้ตอนล่าง 763 คน ภาคใต้ตอนบน269 คน และกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 180 คน

สิ่งที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการนี้ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า มีความคาดหวังว่านักเรียน นักศึกษาจะได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจปัจจุบัน และยังได้ประสบการณ์ด้านสังคม เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนมีโอกาสการทำงานต่างภาค ต่างจังหวัดด้วย
ถือเป็นอีกโครงการดีๆ ของสอศ.ที่จะสร้างโอกาสแก่นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ vec_pr@hotmail.com

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33006&Key=hotnews

สพฐ. อ้อน กมธ.การศึกษาเพิ่มงบ 1.5 หมื่นล้าน บ. ‘ซ่อม ร.ร.-จ้างครู’

13 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลัง กมธ.การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ประชุมสัญจรร่วมกับผู้บริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า กมธ.การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินสายประชุมสัญจรเยือนหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อรับฟังข้อมูลและแลกเปลี่ยนการจัดการศึกษาและพัฒนาการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล พร้อมติดตามโครงการที่มีความสำคัญกับผลการบริหารงานรายจ่ายงบประมาณปี 2556 ว่า มีปัญหาและอุปสรรคใดบ้าง และดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายหรือไม่ รวมถึงการจัดทำงบประมาณปี 2557 ด้วย โดยที่ประชุมได้หารือในประเด็นหลักสำคัญ ได้แก่ กระบวนการจัดการเรียนการสอนแนวใหม่ การแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่อยากให้ สพฐ.ดำเนินการแก้ปัญหาเชิงลึกอย่างจริงจังมากขึ้น และการแก้ปัญหาการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.ได้นำเสนอผลการดำเนินงานที่สำคัญต่างๆ ที่เป็นหัวใจของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเตรียมความพร้อมของครูก่อนเปิดภาคเรียน รวมถึงลดชั่วโมงเรียนของเด็กให้น้อยลง และเน้นส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ ทักษะชีวิตของเด็กเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งหากต้องการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ก็จะช่วยทำให้การป้องกันมีประสิทธิภาพมากกว่าการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า สพฐ.ได้เสนอ กมธ.การศึกษา ขอให้ช่วยผลักดันงบเพิ่มเติมจากงบประมาณรายจ่ายปี 2557 ที่ยังขาดอยู่ 3 เรื่อง วงเงิน 15,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.ความจำเป็นในการจ้างบุคลากร เนื่องจากอัตราครูมีจำกัดจึงต้องมีอัตราจ้างมาทดแทนเป็นการชั่วคราวก่อน ทั้งในส่วนของนักการภารโรงและครูสาขาขาดแคลน เช่น วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ 2.การซ่อมแซมอาคารเรียน ที่อาคารเรียนมีอายุเกิน 30 ปีมากกว่า 10,000 โรง และ 3.ครุภัณฑ์โรงเรียน ยังขาดแคลนและไม่มีความทันสมัยที่จะรองรับในการเข้าสู่ความเป็นสากลและความเป็นนานาชาติ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33005&Key=hotnews

คอลัมน์: กศน.เพื่อนเรียนรู้: ของฟรีมีในโลก ‘กศน.อินเตอร์’ ภาษาอังกฤษเพื่อคนไทย ก้าวสู่อาเซียน

12 มิถุนายน 2556

วารินทร์ พรหมคุณ
“ที่จริงแล้วผมไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย แต่ด้วยอาชีพขายของที่ระลึกหน้าพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง ทำให้พบปะกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทุกวัน ก็พอจะพูดคุยได้บ้าง ที่มาลงเรียนกับ กศน.นี้ก็เพื่อให้ความรู้แน่นขึ้นตอนนี้สามารถสื่อสารและแนะนำเส้นทางให้นักท่องเที่ยวได้แล้ว”

นายชาตรี ตะโจปะรัด นักศึกษา กศน.ภาคอินเตอร์ (English Program) อำเภอหนองหาน จ.อุดรธานี เล่าถึงประสบการณ์ดีๆ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนภาษาอังกฤษกับ กศน.

ถือว่าประสบความสำเร็จเห็นภาพชัดเจน กับการดำเนินนโยบายเตรียมพร้อมพลเมืองสู่ประชาคมอาเซียน ปี 2558 ที่นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. ได้มอบหมายให้สำนักงาน กศน. จังหวัดทั่วประเทศ เปิดสอนหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ภาคภาษาอังกฤษ (English Program) อย่างน้อยจังหวัดละ 1 ห้องเรียน ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษากลางในการสื่อสารกับเพื่อนบ้านอาเซียน

แต่ทว่าที่สำนักงานกศน.จังหวัดอุดรธานี ที่นี่อาจมีความพร้อมกว่าจึงขอทำงานแบบดับเบิลขันอาสาเปิดห้องเรียนภาคภาษาอังกฤษ ใน2 อำเภอ คือ กศน.อำเภอ เพ็ญ และกศน.อำเภอหนองหาน
ว่าที่ร้อยตรีสมปอง วิมาโร ผอ.สำนักงาน กศน. จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่าหลักสูตรภาคภาษาอังกฤษจะเรียน 2 ปี 4 เทอม แล้วก็จบ ม.ปลาย หรือ ม.6 และจะรับเพียง 30 คน ตามงบประมาณที่มีอยู่ เพราะเราจัดให้เรียนฟรีโดยนักศึกษาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม สโลแกนของจังหวัดอุดรธานี คือ เมืองน่าอยู่ ศูนย์กลางลุ่มน้ำโขงจึงชัดเจนว่าในลุ่มแม่น้ำโขงก็จะมีประเทศจีนพม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งถือว่าจังหวัดอุดรธานีเป็นตัวกลางเชื่อมโยงได้ทุกประเทศ และเมื่อครั้งในอดีตก็มีฐานทัพอเมริกัน มาอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งผู้หญิงไทยก็เป็นภรรยาของทหารอเมริกัน ทำให้ที่อุดรธานีใช้ภาษาอังกฤษได้ดีระดับหนึ่ง ดังนั้น การเตรียมที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ของจังหวัดอุดรธานีในเรื่องของภาษาจึงค่อนข้างง่าย

“อำเภอหนองหาน ได้จัดการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษที่ตำบลบ้านเชียง เพราะบ้านเชียงเป็นแหล่งมรดกโลกที่มีนักท่องเที่ยวและนักศึกษาที่ต้องการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษามรดกโลก ดังนั้นหากคนในพื้นที่ไม่สามารถ ใช้ภาษาสื่อสารดีในระดับหนึ่งก็จะทำให้เข้าใจยากและขาดโอกาสที่สำคัญที่เราจะเผยแพร่มรดกโลกของเราให้เขาเข้าใจได้” ว่าที่ร้อยตรีสมปอง กล่าว

ด้านผู้ปฏิบัติจนเกิดผลผอ.กศน.อำเภอหนองหาน “นางนวลฉวี ภูดิน” สะท้อนว่า การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอันดับแรกที่มีความจำเป็นคือการจัดการศึกษาที่นอกเหนือจากตำราเรียนแล้ว เรื่องเทคโนโลยี ก็เป็นเรื่องที่สำคัญตนจึงจัดให้กศน.ตำบลทุกแห่งเป็นศูนย์ไอซีทีทั้งหมด โดยได้รับความร่วมมือจาก อบต.ทุกตำบล ซึ่งในส่วนของการจัดการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ ก็เป็นความโชคดีของจังหวัด

อุดรธานี เพราะที่อุดรมีเขยฝรั่งเยอะ มองไปทางไหนก็มีแต่ฝรั่ง ซึ่งที่ผ่านมา กศน.หนองหานก็จัดหลักสูตรสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารระยะสั้นแล้ว 2-3 คอร์ส แต่เราต้องการความยั่งยืนจึงได้จัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

ภาคภาษาอังกฤษ โดยนักศึกษาจะมีอยู่ 3 กลุ่มคือ พ่อค้า แม่ค้า ภรรยาชาวต่างชาติ และยังมีอาสาสมัครที่เป็นชาวต่างชาติ ที่มีภรรยาคนไทยมาช่วยสอนด้วย

อย่างนางรุ้งนภา พลเชียงดี เจ้าของร้านค้าหน้าพิพิธภัณฑ์บ้านเชียง สาวอุดรฯ วาสนาดีมีสามีเป็นชาวออสเตรเลีย บอกว่า มาเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออนาคตข้างหน้า ปกติอยู่ที่บ้านก็จะคุยกับแฟนไม่ค่อยรู้เรื่องได้พื้นๆ ศัพท์ลึกๆ พูดไม่ได้ แต่พอมาเรียนแล้วคุยกันรู้เรื่องขึ้นมากกว่าเดิม

ส่วนห้องเรียนอินเตอร์ที่ กศน.อำเภอเพ็ญก็ได้รับเสียงตอบรับดีไม่แพ้กัน มีนักศึกษาเข้าเรียน กว่า 32 คน โดยนายสมัย แสงใส ผอ.กศน.อำเภอเพ็ญ บอกว่า นักศึกษาที่มาเรียนภาคภาษาอังกฤษ มีหลายระดับที่จบปริญญาตรีแล้วก็มี มาเรียนเพราะอยากได้วุฒิภาคภาษาอังกฤษ นอกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาที่จบม.3 ของ กศน. ซึ่งการจัดการเรียนการสอนของ กศน.อำเภอเพ็ญ จะสอนแบบคู่บัดดี้ คือเพื่อนช่วยเพื่อน การทำโครงการก็ต้องช่วยกันทำ ถ้าคนหนึ่งไม่มาเรียนอีกคนหนึ่งต้องมาเพื่อจะได้ไปสอนกันได้

ขณะเดียวกันครูก็ต้องเป็นคู่บัดดี้ด้วยเพราะครูก็ต้องลงไปเป็นพี่เลี้ยงให้ทุกกลุ่มทั้งนี้ในพื้นที่อำเภอเพ็ญ มีประชาชนสนใจต้องการมาเรียนหลักสูตรนี้มาก จึงขออาสาจัดและจะสอนให้จบหลักสูตร ก่อนถึงจะรับรุ่นต่อไป ซึ่งเทอมนี้ได้มอบนโยบายให้ครูกศน.ทุกตำบล ทุกคนไปจัดสอนแทรกภาษาอังกฤษ เพราะเห็นว่าผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นมาก

หลักสูตรดีแถมเรียนฟรี ใครๆ ก็อยากเรียนขนาดน้องนางบ้านนาอย่าง “สุปราณีธาตุมี” แม้จะมีอาชีพทำนาเป็นหลัก แต่เธอมองไปไกลถึงอนาคตวันหน้า “มาเรียนเพราะอยากได้ความรู้เพิ่ม อย่างน้อยก็จะได้พูดกับชาวต่างชาติได้ เพราะพี่เขยเป็นชาวต่างชาติ พี่สาวก็บอกให้มาเรียน จะได้คุยกันรู้เรื่องซึ่งก็เป็นโอกาสดีด้วย เรียนโดยไม่ต้องเสียเงิน และก็เป็นคนชอบเรียนรู้อยู่แล้ว แถมยังได้เคล็ดลับกลับไปสอนลูกได้ผลดีจริงๆ”

…รู้แล้วบอกต่อ ประชาชนที่สนใจอยากเรียนภาษาอังกฤษ กับ กศน.อินเตอร์ สามารถสอบถามได้ที่ สำนักงาน กศน.ทั่วประเทศ

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32997&Key=hotnews

“สพฐ.” หนุนสร้างคุณธรรมในสถานศึกษาฟื้นฟูจิตวิญญาณครู สู่โรงเรียนสุจริต

12 มิถุนายน 2556

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในสถานศึกษา “ป้องกันการทุจริต” (ฟื้นฟูจิตวิญญาณครู สู่โรงเรียนสุจริต) เพื่อร่วมเป็นกลไกหนึ่งในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พร้อมทั้งเป็นแบบอย่างให้กับนักเรียนในสถานศึกษาได้มีคุณธรรม จริยธรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม

ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา “ป้องกันการทุจริต” (ฟื้นฟูจิตวิญญาณครู สู่โรงเรียนสุจริต) ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๖-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ โรงแรมภูเขางามรีสอร์ท จ.นครนายก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูและนักเรียนได้รู้และเข้าใจถึงคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนซึมซับคุณค่าแห่งความดีสร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอย่างเป็นวิถีชีวิต โดยมีกิจกรรมต่างๆ อาทิ ๑.การประชุมเชิงปฏิบัติการกระตุ้นการสร้างเจตคติฟื้นฟูชีวิตทางจิต ๒.การแบ่งกลุ่มปฏิบัติการระดมความคิดยกระดับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ๓.การแลกเปลี่ยนเรียนรู้”โครงการโรงเรียนสุจริต”โดยแบ่งกลุ่มตามภูมิภาค ๔.ปฏิญญาโครงการโรงเรียนสุจริตสู่การขับเคลื่อนนโยบายสู่ห้องเรียนสุจริต ๕.แนวทางการทำงานวิจัยโครงการฟื้นฟูจิตวิญญาณครูสู่โรงเรียนสุจริต และ ๖.ระดมความคิดสร้างแนวทางร่วมกันระดับภาคในการพัฒนาโรงเรียนสุจริต และการนำเสนอนิทรรศการโรงเรียนสุจริต (Symposium)

สำหรับผู้เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้แทนของโรงเรียนสุจริต จาก 225 เขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน ตัวแทนครู 1 คน รวมทั้งสิ้น 450 คน ซึ่งการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีกิจกรรมหลากหลายและเน้นให้ผู้เข้าประชุมได้ปฏิบัติกิจกรรมจริงสามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในห้องเรียนได้อย่างมีคุณภาพ สู่การเป็นโรงเรียนสุจริตซึ่งเป็นโครงการที่ สพฐ.ได้ทำการเปิดตัวโครงการเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี ที่ผ่านมา โดยการประชุมครั้งนี้จึงเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อสร้างแนวทางร่วมกันในการนำปฏิญญาโครงการโรงเรียนสุจริตขับเคลื่อนเป็นนโยบายสู่ห้องเรียนสุจริต และนำความรู้พร้อมทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่ได้รับไปพัฒนาโรงเรียนสุจริตให้เกิดความยั่งยืนต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32996&Key=hotnews

เด็กออกกลางคันยอดพุ่งหลักล้าน กศน.ปรับตัวเป็นที่พึ่งสร้างปัญญา

12 มิถุนายน 2556

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการเป็นประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวด “สุดยอด กศน.” ทั่วทุกภูมิภาค พบข้อสังเกตหนึ่งคือเด็ก กศน.ขณะนี้เป็นกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่ามีเด็กประชากรวัยเรียน ที่ควรอยู่ในการศึกษาภาคบังคับและเรียนในระบบโรงเรียนหลุดออกจากระบบจำนวนมาก และจากการสอบถาม นายประเสริฐ บุญเรืองเลขาธิการ กศน. พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีนักศึกษา กศน. เพิ่มขึ้น 200,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน หากตัวเลขการเพิ่มขึ้นของ กศน.ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าในแต่ละปีมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษาจำนวนมาก โดยกศน.รองรับได้เพียง 200,000 คน ส่วนที่ไม่ได้เรียนกับ กศน.หายไปอีกมีจำนวนมากแต่จะเป็นจำนวนเท่าไรต้องนำตัวเลขมาเปรียบเทียบระหว่างผู้เรียนจบชั้น ม.3 ในระบบโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กับเด็กที่เรียนต่อด้านอาชีวศึกษา และที่เรียนกับกศน.มีจำนวนเท่าไร รวมทั้งผู้เรียนจบจากสถานศึกษา สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็จะทำให้รู้ว่ามีเด็กที่หายไปจำนวนเท่าไร ซึ่งคาดการณ์เบื้องต้นว่าไม่น้อยกว่า1 ล้านคน

“เด็กที่หายไปจากระบบการศึกษาดังกล่าว เราไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ไหน แต่ผมถือว่าเป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง หรือเป็นเด็กลุ่มล่องลอย ไม่รู้อยู่ที่ไหนในสังคม และเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ เพราะเด็กหายไป 1 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

เป็นตัวเลขที่รัฐบาลต้องตื่นตัว” นายสมพงษ์กล่าวและว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบ เพราะโรงเรียนไม่สามารถดูแลเด็กได้ทุกกลุ่ม ทั้งที่มีกฎหมายรองรับ แต่การศึกษาของไทยมีผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งคือกลุ่มคนที่เรียนต่อมหาวิทยาลัย ซึ่งในเบื้องต้นนี้ เห็นว่า กศน.ต้องปรับตัวทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น โดยเข้าไปค้นหาเด็กกลุ่มที่หายจากระบบกลับเข้าเรียนกับ กศน.

ด้านนายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการ กศน. กล่าวว่า ตามข้อกำหนดของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เด็กที่เรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจะต้องเรียนอยู่ในระบบ แต่เด็กบางคนอาจมีปัญหาด้านความประพฤติ ท้องก่อนวัยเรียน จนไม่สามารถเรียนอยู่ในระบบต่อไปได้ ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ซึ่ง กศน.จะสามารถรับเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนได้ แต่ต้องให้เขตพื้นที่การศึกษาทำหนังสือส่งตัวมาให้ ซึ่งแต่ละปีมีตัวเลขเด็กที่มีปัญหาดังกล่าวค่อนข้างสูงเช่น จังหวัดขอนแก่น และนครราชสีมามีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา จังหวัดละเป็นหมื่นคน

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32995&Key=hotnews

ผุด ‘อ.ก.ค.ศ.สพฐ.’ แก้ปัญหา สพท. สอศ.ไม่ห่วงทุจริตคัด ‘รอง-ผอ.’ อาชีวะ

12 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ให้สถานศึกษาในสังกัด ที่เป็นหน่วยรับเปิดรับสมัครสอบคัดเลือกสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาและรองผู้อำนวยการสถานศึกษา รวม 216 ตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 10-16 มิถุนายน และจะสอบวันที่ 14 กรกฎาคมนี้ ว่าการสอบคัดเลือกรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถานศึกษาในสังกัด สอศ.นั้น ไม่น่ากังวลถึงปัญหาการทุจริต ที่ผ่านมา สอศ.ไม่เคยมีปัญหาในการสอบเลย เพราะมีขั้นตอนที่รัดกุม ทั้งในการออกข้อสอบเองและตรวจข้อสอบเอง และตอนสอบมีการตรวจตราสิ่งที่ต้องห้ามทุกอย่าง และที่สำคัญคนเข้าสอบไม่มีใครที่จะทำการทุจริต เพราะเป็นข้าราชการอยู่แล้ว หากถูกจับได้ก็ไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การสอบครั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้สมัครมากกว่าครั้งที่ผ่านมาเพราะมีการเปิดกว้างและผู้ที่เป็นข้าราชการครู ก็สามารถมา สมัครสอบได้ด้วย

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงแนวคิดและข้อเสนอของคณะกรรมการ กพฐ. ที่จะให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า แนวคิดนี้มาจากหลายครั้งเวลาเกิดปัญหาในระบบบริหารงานบุคคลระหว่างเขตพื้นที่การศึกษากับเขตพื้นที่การศึกษา ไม่มีผู้ตัดสินเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีศักดิ์เท่ากัน และยังมีกรณีการย้ายระหว่างเขตพื้นที่ฯ ก็มีกรณีพิพาทและหาข้อยุติไม่ได้ ดังนั้น หากจะให้เรื่องนี้ยุติควรต้องทำแบบสมัยสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ที่มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครู สปช. ทำหน้าที่ตัดสินข้อพิพาทระหว่างเขตพื้นที่ฯ ฉะนั้นจึงมีการเสนอให้มี อ.ก.ค.ศ. สพฐ. มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องราวปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลจากเขตพื้นที่ฯ โดยไม่ต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาและตัดสิน ซึ่งทำให้มีเส้นทางที่ไกลและอาจแก้ไขปัญหาไม่ทันกับเหตุการณ์ โดยการจะมี อ.ก.ค.ศ.สพฐ.จะต้องไปแก้ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32994&Key=hotnews