Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

กมธ.ศึกษาฯ จี้สพฐ.กระจายอำนาจ ทำหน้าที่ส่งเสริมแทนจัดการศึกษา

7 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่โรงแรมปริ๊น พาเลซ มหานาค นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต”  มีผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา 150 คนเข้าร่วม จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยให้ดำเนินการตามนโยบายของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่ต้องการให้นำรูปแบบการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จ ไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนลดเนื้อหาลง แต่เพิ่มการคิดวิเคราะห์ของเด็กให้มากขึ้น รวมถึง ส่งเสริมเรื่องคุณธรรมจริยธรรมให้มีการปฏิบัติอย่างชัดเจน เนื่องจากมีตัวชี้วัดว่าปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กกลับเพิ่มมากขึ้น จากนี้จะพิจารณาด้วยว่าการปฏิรูปการศึกษา ต้องดูความสำเร็จจากตัวชี้วัดทางสังคมด้วย

“เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอว่าควรกระจายภาระการจัดการศึกษาให้สมดุลมากขึ้น ทั้ง สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของ สพฐ.จากหน่วยงานที่จัดการศึกษาเอง เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริม และพัฒนาการ เป็นต้นแบบของการจัดการศึกษา อีกทั้ง ควรพัฒนาอบรมครู คิดระบบของการพัฒนาครูในเชิงสมรรถนะที่ความก้าวหน้าต้องควบคู่ไปกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก เพราะจะเห็นว่าปัจจุบันครูก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ผลการเรียนของเด็กกลับย่ำอยู่กับที่” นายชินภัทรกล่าว

นายอมรวิชช์ นาครทรรพ์ คณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็กไทยเปลี่ยนไปมาก อยู่ในภาวะที่ต้องการความรักความใส่ใจจากครูมากขึ้น แต่ระบบการศึกษาไทยทำให้ครูมีเวลาให้เด็กน้อยลง เพราะยุ่งกับภาระงานที่ไม่ใช่เรื่องการสอน ทำให้เด็กขาดที่พึ่ง และออกไปเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งที่ยังขาดทักษะชีวิต จึงต้องทำให้การเรียนรู้ของเด็กมีเสน่ห์เท่าทันโลกภายนอกให้ได้ ไม่เช่นนั้นเด็กจะเรียนด้วยระบบที่เรียนแบบไม่รู้ หรือเรียนแบบคัดลอกข้อมูลมาแปะงานส่ง จึงถึงเวลาที่โจทย์การศึกษาต้องถูกยกระดับ ไม่ควรปล่อยให้การศึกษาไทยเหมือนกบอยู่ในหม้อน้ำร้อน เพราะถ้าผลิตคนออกมาทั้งระบบ เป็นคนที่ไม่รู้ มีแต่ใบปริญญา ไม่มีปัญญา ประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32955&Key=hotnews

ครู 2 พันถูกฟ้องเหตุหนี้วิกฤต เล็งคุยแบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ 5% ช่วย สกสค.ชี้ 4 แสนแม่พิมพ์มีหนี้กว่าแสนล้าน

7 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มาปล่อยกู้ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีหนี้สินวิกฤตตามแนวคิดของนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าขณะนี้สำนักงาน สกสค.กำลังประสานกับสถาบันการเงินเพื่อหาอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ร้อยละ 5 มาปล่อยกู้ให้กับข้าราชการครูฯที่หนี้สินวิกฤต อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง ที่มีประมาณ 2,000 คน เพื่อให้ข้าราชการครูฯเหล่านี้อยู่ได้ เพราะบางคนอาจไม่มีเงินพอเหลือจ่ายหนี้สิน โดยการหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำดังกล่าว เมื่อได้รายละเอียด และข้อสรุปแล้ว จะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.อนุมัติเห็นชอบต่อไป

“นอกจากนี้ สกสค.จะทบทวนข้อตกลง หรือ MOU กับธนาคารออมสินในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้กับข้าราชการครูฯ ที่เป็นสมาชิกอยู่กับ สกสค.โดยได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทบทวนข้อตกลงกับทางธนาคารออมสินแล้ว และคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางที่จะช่วยเหลือสมาชิกในภาวะที่มีความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจ และภาวะที่หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์สูงสุดในการกู้เงิน” นายสมศักดิ์กล่าว

“ภาพรวมมีครูประมาณ 3-4 แสนคน ที่ไปกู้สินเชื่อ และยังมีหนี้ที่ต้องชำระอยู่ประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท ถึงแม้จะเป็นมูลค่าที่มาก แต่ว่าข้าราชการครูฯ ส่วนใหญ่ก็ยังสามารถผ่อนชำระได้ ไม่ได้เป็นหนี้เสีย และหากรวมทรัพย์สินของครูแล้ว คิดว่าน่าจะมากกว่าสินเชื่อที่ไปกู้มา ส่วนครู 2,000 ราย ที่มีหนี้สินวิกฤตนั้น สกสค.ยังไม่สามารถประเมินได้ว่ามีหนี้สินอยู่เท่าไร” นายสมศักดิ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32954&Key=hotnews

สหกิจศึกษาไทยก้าวสู่อาเซียนพลัส

7 มิถุนายน 2556

ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 56 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ร่วมกับสมาคมสหกิจศึกษาไทยและ 9 เครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ได้จัดงาน “วันสหกิจศึกษาไทย” ครั้งที่ 5 พ.ศ.2556 ภายใต้แนวคิด”สหกิจศึกษาไทย กลไกสู่การพัฒนาประชาคมอาเซียนพลัส” โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการพร้อมด้วย นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)  และนายวิจิตร ศรีสอ้าน นายกสมาคมสหกิจศึกษา ร่วมเยี่ยมชมนิทรรศการ

นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการสหกิจศึกษานานาชาติ นั้นเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการจัดการศึกษาที่ สกอ.รับผิดชอบร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและเครือข่ายมหาวิทยาลัย ที่จะพัฒนานิสิตนักศึกษาให้มีความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงาน เพื่อนำไปสู่การผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพทั้งวิชาการและการปฏิบัติ เป็นการเตรียมพร้อมบุคลากรของประเทศ ที่ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นจึงอยากฝากนิสิต นักศึกษาที่เข้าร่วมในโครงการ ขอให้ตั้งใจเรียน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการอย่างเต็มที่

นายวิจิตร กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะนำเสนอกิจกรรมทางวิชาการต่างๆ การมอบรางวัลสหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ 11 รางวัลและเสวนาจากนักวิชาการระดับนานาชาติแล้ว ยังเป็นการแสดงให้บัณฑิตไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเข้าร่วมสหกิจศึกษา ที่จะทำให้พวกเขาได้ความรู้ มีทักษะในการทำงาน และพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32953&Key=hotnews

เทคนิคดอนเมืองใช้ค่ายคุณธรรมกล่อมเกลาจิตใจ-ลดความรุนแรง-ปัญหาตีกัน

7 มิถุนายน 2556

นายเพิ่มสิน เฉยศิริ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เปิดเผยว่า จากการที่วิทยาลัยได้ร่วมจัดกิจกรรมค่ายคุณธรรม จริยธรรม กับกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในการเสริมสร้างให้นักศึกษาได้ใช้หลักธรรมกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อลดความรุนแรง และลดปัญหาการตีกัน เมื่อปีที่ผ่านมานั้น พบว่า ค่ายดังกล่าวทำให้นักศึกษามีพฤติกรรมที่ดีขึ้น รู้จักการช่วยเหลือ ผู้อื่น และความรุนแรงต่างๆ ลดลง ดังนั้น ในปี 2556 ช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ทางวิทยาลัยจะได้นำนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ไปเข้าค่ายคุณธรรม จริยธรรม ภายใต้โครงการอบรมคุณธรรมนักเรียนใหม่ ประจำปีการศึกษา 2556 ระหว่างวันที่ 5-7 มิ.ย. ณ ศูนย์เยาวชนนครราชสีมา โดยมีพระวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถมากล่อมเกลาจิตใจนักศึกษา พร้อมกับมีการอบรมครูในการเฝ้าระวังนักเรียน นักศึกษา และเสริมสร้างความรู้การเข้าถึงจิตใจเด็กในการป้องกันปัญหาการตีกันด้วย

นายเพิ่มสิน กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการการป้องกันปัญหาการตีกัน ทางวิทยาลัยได้มีระบบการตรวจเช็กนักเรียนในช่วงเช้า โดยเฉพาะการเข้าแถวหน้าเสาธง ว่าห้องไหน นักเรียนคนใดขาด หรือไม่มา แล้วที่ไม่มามีสาเหตุใด ซึ่งจะช่วยป้องกันเด็กได้ในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกัน วิทยาลัยได้ประสานผู้ปกครอง ประชาชนในพื้นที่ ในการช่วยกันเฝ้าระวังการเกิดความรุนแรงหรือตีกันระหว่างเด็กต่างสถาบัน ช่วยแจ้งข้อมูลต่างๆ มายังวิทยาลัยด้วย นอกจากนี้ ตนยังอยากให้วิทยาลัยเทคนิค หรือโรงเรียนเทคนิคต่างๆ ใช้แนวทางดังกล่าวในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ความรุนแรง เชื่อว่า หากแต่ละแห่งมีมาตรการป้องกัน หรือสามารถตรวจสอบได้ว่า นักศึกษาของตนเองอยู่ที่ใด ก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

“เราต้องนำหลักคุณธรรม จริยธรรม มาพัฒนาจิตใจเด็ก โดยเฉพาะนักศึกษาปี 1 เชื่อว่า นักเรียนอาชีวะมีพัฒนาการที่ดีได้ อย่ามองว่าเป็นกลุ่มหัวรุนแรงเพียงอย่างเดียว ส่วนทัศนคติ ต้องไปตีกันเพื่อแสดงให้รุ่นพี่เห็นว่าเก่งนั้น ผมได้ให้ครูอบรมเด็ก รวมทั้งป้องกันกิจกรรมรับน้อง ไม่ให้รุ่นพี่ปลูกฝังความรุนแรงให้แก่รุ่นน้อง และไม่ให้รุ่นพี่ที่เรียนไม่จบเข้ามาร่วมกิจกรรม” ผอ.วิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32952&Key=hotnews

ปฐมวัย ฐานรากแห่งการพัฒนาประเทศ

7 มิถุนายน 2556

เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ประเทศจะพัฒนาในอนาคต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชากรตัวน้อยทุกคนด้วยตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว ในงาน “สานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่”  ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ จึงได้ระดมผู้รู้ผู้เกี่ยวข้องมาร่วมกันถก เรื่อง   “สานพลังสร้างปฐมวัยให้มีคุณภาพ”  โดย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล รักษาการรองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การสร้างคุณภาพเด็กควรเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ปัจจุบันมีเพียง5-10% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แม้หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่คลอดที่สถานพยาบาล ยังต้องเผชิญ 2 ปัญหาสำคัญคือ

1.ทารกแรกคลอดน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่ากำลังเป็นภาระทางสุขภาพที่สำคัญในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีเด็กน้ำหนักเกินมากขึ้นเรื่อยๆ

2.การเติบโตเรียนรู้ ปลอดโรค ปลอดภัยของเด็ก ซึ่งไทยมีความก้าวหน้าด้านวัคซีน แต่ยังมีเด็กด้อยโอกาสที่เข้าไม่ถึง เมื่อคลอดปลอดภัยแล้ว ก็เตรียมพร้อมเข้าสู่การดูแลของสถานเลี้ยงเด็ก ก่อนเข้าสู่รั้วโรงเรียน เพราะพ่อแม่ยุคใหม่ต้องทำงานนอกบ้าน หน้าที่ในการดูแลบุตรหลานจึงถูกส่งต่อไปยังครูพี่เลี้ยง

นายวีระชาติ ทศรัตน์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษานอกระบบและพัฒนากิจกรรมเยาวชน สำนักประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ปัจจุบันมีศูนย์เด็กเล็กในสังกัดกรมฯ รองรับเด็กที่ไม่ได้เข้าสู่สถานเลี้ยงเด็กอื่นๆ 20,000 แห่งทั่วประเทศ ครู 52,000 คน ดูแลเด็กประมาณ 1 ล้านคน เพื่อกระตุ้นพัฒนาเด็ก ให้ได้รับการพัฒนาตามวัย ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม

นางสุกัญญา เวชศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า แต่ละปีมีเด็กคลอดใหม่กว่า 4 ล้านคน เด็ก 1 ล้านคนเข้าศูนย์ดูแลเด็กเล็ก อีก 1 ล้านคนเข้าศูนย์พัฒนาเด็กของรัฐบาล ที่เหลืออีกประมาณ 2 ล้านคนไม่ได้อยู่ในการดูแลของสถานดูแลเด็กสังกัดใดๆ อยู่ในการดูแลของปู่ย่า ตา ยาย การสร้างคุณภาพเด็กปฐมวัยจึงต้องมองให้ครบทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกับครอบครัว ผู้ปกครองเด็ก และควรมีมาตรฐานกลางศูนย์ดูแลเด็กเพราะปัจจุบันยังเป็นมาตรฐานเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน จึงร่วมกับ สสส. พัฒนาการทำงานด้านเด็กเชิงระบบ ให้เด็กเป็นศูนย์กลางตอบสนองความต้องการของเด็กได้ทุกมิติ ทั้งการศึกษา อนามัย สิ่งแวดล้อม

รศ.ดร.อุดมลักษณ์ กุลพิจิตร กรรมการพัฒนาระบบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. กล่าวว่า เพราะการประเมินของ สมศ. ครอบคลุมทั้งด้านผู้บริหาร ด้านครู และด้านผู้เรียน ซึ่งการรับรองและประเมินคุณภาพเป็นการตรวจสอบคุณภาพภายนอก จะช่วยผลักดันให้โรงเรียน รวมถึงสถานดูแลเด็กให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้เด็ก 2 ล้านกว่าคน ที่อยู่ในการดูแลของศูนย์ฯ ต่างๆ ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย เศร้าสลด ทั้งการลืมเด็กไว้ในรถ การทำร้ายร่างกายเด็ก เป็นต้น

เด็กไทยในวันนี้ล้วนมีศักยภาพในตัวเอง ขอเพียงผู้ใหญ่ให้การดูแลและส่งเสริมอย่างเหมาะสมและใส่ใจ เท่านี้ก็ประชากรตัวน้อยๆ ก็พร้อมจะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้วัฒนาก้าวหน้าได้แน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32951&Key=hotnews

‘ผอ.สพม.’ ยันไม่ขัด ‘ทรงผม’

7 มิถุนายน 2556

กรณีนักเรียนและผู้ปกครองร้องผ่านสายด่วนการศึกษา 1579 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่ามีสถานศึกษาหลายแห่งไม่ปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความประพฤติ การแต่งกายและแบบทรงผมของนักเรียนและนักศึกษาฉบับใหม่ หลัง ศธ.ทำหนังสือสั่งการถึงหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานศึกษาในสังกัด เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนนั้น เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายสัจจา ศรีเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) กรุงเทพฯ เขต 2 กล่าวว่า ในส่วนของ สพม. กรุงเทพฯ เขต 2 ทำหนังสือถึงโรงเรียนทุกแห่งในสังกัด สพม.กรุงเทพฯ เขต 2 ให้ปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงฯ แต่ที่ผ่านมามีผู้ปกครองบางรายไม่เข้าใจ และสอบถามมาที่เขตพื้นที่ฯ บ้าง ซึ่งเขตพื้นที่ฯ ก็ได้ชี้แจงทำความเข้าใจแล้ว ขณะนี้ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนใดๆ อีก

“ผมเข้าใจว่าที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว เพื่อไม่เป็นการไปละเมิดสิทธิของเด็ก ตามหลักการประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้อยู่ที่มุมมอง เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผล ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่มีโรงเรียนใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงเพราะถือเป็นนโยบาย แต่ที่ยังมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้นบ้าง ส่วนหนึ่งอาจเพราะโรงเรียนยังทำความเข้าใจไม่เพียงพอ เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น” นายสัจจากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32950&Key=hotnews

เครือข่ายพลเมืองเน็ตวอนรัฐ ป้องข้อมูลส่วนตัวเด็ก

7 มิถุนายน 2556

เครือข่ายพลเมืองเน็ต แนะภาครัฐเร่งหามาตรการปกป้องความเป็นส่วนตัวด้านข้อมูลบนโลกออนไลน์ ชี้ นักเรียนนักศึกษาอ่อนไหวมีความเสี่ยงสูงสุด หลังพบผู้ให้บริการคลาวด์ฯ บางรายแสวงหากำไร

เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) และองค์กร Safe Gov จัดเสวนาโต๊ะกลม เพื่อหารือเกี่ยวกับ “สิทธิส่วนบุคคลออนไลน์ ประเด็นที่ต้องทบทวนในทุกภาคส่วนของสังคม”

ดร.นคร เสรีรักษ์ ที่ปรึกษานโยบายของเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า บริการคลาวด์ฯ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ เพราะผู้ให้บริการมักนำเสนอระบบที่เอื้อให้ผู้ใช้งานรายบุคคลและองค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลในระบบประมวลผลตามความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการบางรายได้แสวงหาประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและมีการจำหน่ายข้อมูลเหล่านั้นเพื่อการพาณิชย์และเป้าหมายอื่น ดังนั้น เครือข่ายพลเมืองเน็ตและแนวร่วมนักวิชาการด้านสิทธิส่วนบุคคล อยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อเสนอกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร กำหนดแนวทางควบคุมการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย โดยจะเน้นพิเศษไปยังสถานศึกษาเป็นหลัก

“มหาวิทยาลัยและโรงเรียน เป็นแหล่งข้อมูลที่อ่อนไหว ทั้งข้อมูลด้านการเรียนและอีเมลส่วนตัว บริษัทเอกชนผู้ให้บริการคลาวด์ฯ กำลังใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพของการทำกำไรทางธุรกิจที่ต้องแลกกับสิทธิส่วนบุคคลของนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้ ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อยับยั้งการทำธุรกิจในลักษณะนี้ด้วย” ดร.นคร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารจะเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์หมด บางครั้งการยินยอมให้มีการเข้าถึงข้อมูลแค่เพียงมุ่งหวังเพื่อจะเข้าใช้บริการเท่านั้น ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนจะต้องกำหนดแนวทางในการทำงานให้แก่ผู้ให้บริการคลาวด์ฯ อย่างชัดเจน และทำข้อตกลงในการใช้ข้อมูลของนักเรียนเฉพาะเพื่อการศึกษาเท่านั้น เป็นต้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32949&Key=hotnews

ศธ.ห่วงเด็กติดไอโฟนงอมเสี่ยง!เล่นเฟซฯ-ไลน์

7 มิถุนายน 2556

ตะลึง! “สสค.” เผยผลสำรวจ “ชีวิตเด็กไทยใน 1 วัน” พบวัยรุ่นติดมือถืองอมแงมกระหน่ำเล่นเฟซบุ๊ก-ไลน์ เผย 40 เปอร์เซ็นต์ อยู่ไม่ได้หากไม่ได้เล่น เสี่ยงภัยคุกคามทางเพศ อยู่กับครอบครัวลดลงเผยครูเอาใจใส่เด็กน้อยจนเกิดการเรียนแบบไม่รู้ คัดลอกข้อมูลมาแปะส่ง สะท้อนมีปริญญาแต่ไร้ปัญญา แนะทุกฝ่ายช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ที่โรงแรมปริ๊นพาเลซ มหานาคเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.56 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)จัดเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต”ซึ่งมีผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาจำนวน 150 คน เข้าร่วม

โดย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.ถือเป็นองค์กรหลักขนาดใหญ่ ที่รับผิดชอบเด็กกว่า 7 ล้านคน และบุคลากรครูอีก 4 แสนคนดังนั้นการขับเคลื่อนการศึกษา จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจถึงวิธีการและเป้าหมายหากทำงานเป็นแบบต่างคนต่างทำ การศึกษาคงไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องมีการพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยซึ่งอยากให้มีการดำเนินการตามนโยบายของ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้นำรูปแบบการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ ที่ประสบความสำเร็จไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆเพราะเชื่อว่าจะทำให้การศึกษาไปสู่เป้าหมายที่สูงขึ้นได้

ขณะเดียวกัน จะทำอย่างไรให้การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนนั้นลดเนื้อหาลง แต่เพิ่มการคิดวิเคราะห์ของเด็กให้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม เพราะขณะนี้ยังไม่มีการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งจะต้องทำให้เป็นแนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเนื่องจากมีตัวชี้วัดว่าปัญหาอาชญากรรมยาเสพติด และพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กกลับเพิ่มมากขึ้น

ด้าน นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาวิชาการสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) กล่าวว่า สสค.ได้ทำการสำรวจในโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กในหัวข้อ “1 วันในชีวิตเด็กไทย” เมื่อเดือนม.ค.56 ที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่าง 3,058 คน ทั้งในกทม. และต่างจังหวัด พบสิ่งที่น่าสนใจว่า พฤติกรรมเด็กไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและเปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าที่ระบบการศึกษาไทยจะไล่ตามทัน

สำหรับวงจรชีวิตของเด็กไทยใน 1 วัน จะเริ่มตื่นนอนตั้งแต่เวลา 06.18 น.และเข้านอนในเวลา 22.21 น. วันหยุดจะนอน 23.39 น. เฉลี่ยเด็กไทยมีเวลานอนเฉลี่ย 7-8 ชั่วโมง ถือว่าเด็กไทยมีเวลานอนไม่น้อย ที่น่าสนใจพบว่าสิ่งแรกที่เด็กส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 51.1 ทำ
หลังตื่นนอนคือ การเช็กโทรศัพท์มือถือและสิ่งสุดท้ายที่เด็กร้อยละ 35 ทำก่อนนอน คือใช้โทรศัพท์มือถือเล่นเฟซบุ๊กและไลน์ (Line) ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันเด็กไทยอยู่กับสื่อมากขึ้น ตัวเลขเด็กที่ใช้โทรศัพท์มือถือ พุ่งพรวด 2-3 เท่าใน 1 ปี

ทั้งนี้ เพราะในโทรศัพท์มือถือมีทุกสิ่งที่เด็กต้องการทั้งอินเตอร์เน็ตเฟซบุ๊ก ไลน์ กล้องถ่ายรูป โดยเด็กร้อยละ 75.7 เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กบ่อยถึงประจำ ซึ่งนักเรียนหญิงจะเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กมากกว่านักเรียนชายและยังพบเด็กร้อยละ 20.3 ใช้มือถือระหว่างคาบเรียนบ่อยถึงประจำ เด็กร้อยละ 42.5 รู้สึกทนไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียวโดยไม่มีโทรศัพท์และเด็กร้อยละ 28.7 โดยเฉพาะเด็กชายระบุว่า เคยถูกคุกคามทางเพศจากเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันทางโซเชียลมีเดีย

นายอมรวิชช์ กล่าวต่อว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็กไทยขณะนี้เปลี่ยนไปมาก ต่างตกอยู่ในภาวะที่ต้องการความรัก ความใส่ใจจากครูมากขึ้น แต่เมื่อดูจากความเป็นจริงจะพบว่าระบบการศึกษาไทย ทำให้ครูมีเวลาให้แก่เด็กน้อยลง เพราะครูยุ่งอยู่กับภาระงานที่ไม่ใช่เรื่องการสอนค่อนข้างมาก จึงทำให้เด็กขาดที่พึ่ง และออกไปเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่อง เพศ ความรุนแรงอบายมุข และสื่อไม่ดี ทั้งที่เด็กไทยยังขาดทักษะชีวิตอีกมาก เพราะครูมัวแต่สอนเรื่องวิชาการมากกว่า เด็กจึงเรียนรู้ด้วยระบบที่เรียนแบบไม่รู้ แบบ copy/paste หรือคัดลอกข้อมูลมาแปะส่งงาน

“จากการสำรวจข้อมูลเด็กไทย3,000 กว่าคนทั่วประเทศ เกี่ยวกับ 1 วันในชีวิตเด็กไทย พบว่า เด็กทำการบ้านด้วยการ copy/paste ถึงร้อยละ 45.7 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอีกหน่อย เราจะผลิตคนซึ่งเรียนแบบไม่รู้เยอะมาก และยังมีข้อมูลระบุด้วยว่า เด็กที่เกิดปีเดียวกัน 8 แสนคน เรียนจบระดับอุดมศึกษาเพียง 2-3 แสนคนเท่านั้น ที่เหลือมีวุฒิแค่ ม.6 ม.3 หรือต่ำกว่านั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการสอนที่เน้นแต่วิชาการมันตอบโจทย์เด็กแค่ 3 ใน 10 คนเท่านั้น จึงถึงเวลาแล้วที่โจทย์การศึกษาต้องถูกยกระดับ และเปลี่ยนไปเป็นโจทย์เพื่อการมีชีวิตและการมีงานทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทั้งภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่นจะปล่อยให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ทำเพียงลำพังไม่ได้ และไม่ควรปล่อยให้การศึกษาไทย เป็นเหมือนกบอยู่ในหม้อน้ำร้อน เพราะเรามีอนาคตประเทศชาติเป็นสิ่งเดิมพัน ถ้าผลิตคนออกมาทั้งระบบเป็นคนที่ไม่รู้ มีแต่ใบปริญญาไม่มีปัญญาประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเลิกการทะเลาะและวิจารณ์กัน ควรช่วยกันและขยายผลสิ่งที่ประสบความสำเร็จไปในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป” นายอมรวิชช์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32948&Key=hotnews

ส.ค.ศ.ท.ห่วงอุดมศึกษาผลิตครูล้น จี้ศธ.ปรับแผนเพิ่มสาขาขาดแคลน-เทียบโอน

6 มิถุนายน 2556

นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีและคณบดีใน สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู 5 ปี ที่มีนายพงศ์ เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน มีมติให้สถาบันฝ่ายผลิตพิจารณาทบทวนแผนการผลิต เนื่องจากผลการสำรวจก่อนหน้านี้พบว่า บางสาขาวิชายังคงมีจำนวนผู้เรียนเกินความต้องการ ซึ่งจะทำให้บาง สาขาวิชาที่ขาดแคลนอยู่แล้วจะขาดแคลนต่อไป

ทางส.ค.ศ.ท.จึงสำรวจจำนวนผู้เรียนสายครูชั้นปีที่ 1-5 จากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนจนถึงปีการศึกษา 2560 พบว่า จะมีผู้สำเร็จรวมทั้งสิ้น 259,522 คน จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 240,000 คน จึงสรุปได้ว่า สาขาวิชาที่มีผู้เรียนเกินความต้องการจำนวนมากขึ้นอย่างน่า ตกใจ ส่วนสาขาที่คาดว่าจะขาดแคลนก็ยังมีผู้เรียนน้อยตามเดิม

ประธาน ส.ค.ศ.ท. กล่าวต่อว่า ปัญหานี้เกิดจาก ศธ. ไม่มีข้อมูลความต้องการที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน ที่สำคัญหลังจากกรมการฝึกหัดครูถูกยุบ ก็ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบแผนส่งผลให้ต่างคนต่างผลิต จึงขอวิงวอนคณบดีและอธิการบดีหยุดรับผู้เรียน เพียงเพื่อหวังเป้าหมายทางงบประมาณโดยไม่ห่วงใยลูกศิษย์ ตลอดจนความเป็นวิชาชีพชั้นสูง เพราะหากเรียนครูแล้วตกงาน เพราะอัตราครูเกษียณอายุราชการอยู่ที่ประมาณ 100,000 คน แต่คาดว่าจะได้อัตราทดแทนเพียง 20,000 คน แล้วจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้อย่างไร

“ดังนั้นสถานศึกษาควรลดหรืองดรับผู้เรียนในสาขาวิชาที่เกินความต้องการ หรือโอนผู้เรียนไปเรียนในสาขาวิชาขาดแคลน ตามความพร้อมของสถาบันฝ่ายผลิตและความสมัครใจของผู้เรียน ตลอดจนสนับสนุนให้บัณฑิตเรียนเพิ่มในสาขาวิชาที่ขาดแคลนอีกสาขาหนึ่ง และเปิดโอกาสให้สถาบันฝ่ายผลิตเทียบโอนหรือโอนย้ายนักศึกษา รวมทั้งรับบัณฑิตปริญญาอื่นเข้าเรียนในสาขาวิชาที่มีความขาดแคลน หรือเข้าเรียนในระดับป.โท ทางการสอน” นายสุรวาทกล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 7 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32940&Key=hotnews

พลิ้วประกาศ ศธ.เด็กร้องสายด่วน! จี้ ร.ร.เลิกไถเกรียน

6 มิถุนายน 2556

นายประแสง มงคลศิริ เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้มีหนังสือสั่งการถึงหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานศึกษาในสังกัด เพื่อซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียน โดยให้นักเรียนชายเลิกไถเกรียนและไว้ผมรองทรงได้ แต่ความยาวด้านหลังต้องไม่เกินตีนผม ส่วนนักเรียนหญิงให้ไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้กรณีไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย โดยให้สถานศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนเป็นแนวทางทางเดียวกัน และหากสถานศึกษาใดใม่ปฏิบัติตามให้ร้องเรียนมาที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้นล่าสุดพบว่ามีการร้องเรียนจากผู้ปกครองและนักเรียน ผ่านสายด่วนการศึกษา 1579 กรณีดังกล่าว 38 เรื่องส่วนใหญ่ระบุว่าโรงเรียนยังใช้ระเบียบเดิม โดยบังคับนักเรียนไถเกรียน ขณะที่สถานศึกษาบางแห่งปกติอนุญาตให้นักเรียนหญิงไว้ผมยาวแล้วรวบผมเรียบร้อย แต่หลัง ศธ.ออกประกาศกลับให้นักเรียนตัดผมสั้น รมว.ศึกษาธิการ จึงได้มอบหมายให้ สพฐ.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งย้ำให้ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันอีกครั้ง

นายชินภัทร ภูมิรัตน  เลขาธิการกพฐ. กล่าวว่า โรงเรียนบางแห่งที่มีแนวปฏิบัติด้วยการเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียนก็ทำได้ และขึ้นอยู่กับการพิจารณาของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในโรงเรียน ส่วนนักเรียนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวปฏิบัติของโรงเรียน สามารถเสนอความเห็นผ่านคณะกรรมการภาคีเครือข่ายฝ่ายต่างๆ จะทำให้เรื่องจบได้ภายในโรงเรียน ทั้งนี้ การที่โรงเรียนจะกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียน ควรให้ทุกฝ่ายอาทิ นักเรียน ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32939&Key=hotnews