4 มิถุนายน 2556
ฟาฏินา วงศ์เลขา
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราเห็นได้ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีความพยายามดำเนินการเพื่อปฏิรูปการศึกษาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงาน ปฏิรูปครู ปฏิรูปหลักสูตร ปฏิรูปการบริหารจัดการ แต่ปัญหาทางการศึกษาก็ยังคงมีอยู่ นับวันกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาด้านคุณภาพการศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ตกต่ำ ผลผลิตจากการจัดการศึกษายังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าที่ควร ต่างโยนบาปให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเหตุทำให้เยาวชนคนไทยขาดคุณธรรม จริยธรรม ขาดวินัย ไม่มีจิตสาธารณะ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ผลพวงตามมาคือการเกิดสารพัดปัญหาจนยากเกินกว่าจะเยียวยาอย่างเช่นปัจจุบัน
สำหรับข่าวเด่นประเด็นร้อนที่ถูกหยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายที่จะยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่ถึง 60 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นและช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐ ซึ่งถ้ามองในเชิงธุรกิจอาจจะเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่านัก แต่ในแง่มุมของการศึกษาแล้วไม่มีคำว่าขาดทุนสำหรับการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ เพราะนั่นคือ เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทุกด้าน
ทันทีที่เกิดกระแสข่าวการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กทำให้เกิดกลุ่มที่ต่อต้านและกลุ่มที่เห็นด้วยสนับสนุน แต่จากผลการสำรวจของสวนดุสิตโพล พบว่า ผู้ปกครองไม่เห็นด้วยกับการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กถึงร้อยละ 60.09 เพราะเชื่อว่าจะมีผลกระทบกับนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ต้องไปโรงเรียนที่ไกลกว่า การปรับตัวของเด็กในโรงเรียนใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เป็นต้น ส่วนผู้ปกครองที่เห็นด้วยมีเพียงร้อยละ 17.20 เท่านั้น ต่างมองว่ากระทรวงศึกษาธิการจะได้ควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น การบริหารจัดการเป็นระบบมากขึ้น เด็กจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงส่วนผู้ปกครองอีกร้อยละ 22.71 ยังไม่แน่ใจว่าการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กนั้นจะดีหรือไม่ เพราะกรณีดังกล่าวมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้าน ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็มีมุมมองเหตุผลและอ้างถึงผลประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับเป็นสำคัญ
ในช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้พยายามบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กในรูปแบบหลากหลาย โดยมีทั้งการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้าไปใช้ในการจัดการศึกษา เช่น ห้องเรียนเคลื่อนที่ ครูหลังม้า การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น ส่วนโรงเรียนใดที่สามารถยุบรวมและเลิกล้มได้ก็ให้ดำเนินการไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ โดยยึดหลักสำคัญคือต้องเป็นไปตามความสมัครใจในระดับพื้นที่ด้วย
ในการก่อตั้งโรงเรียนในชนบทแต่ละแห่งแต่ละพื้นที่ล้วนมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น บ้างเกิดจากการที่รัฐเห็นความจำเป็นต้องขยายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึงและเท่าเทียม บ้างก็เกิดจากความต้องการของชุมชนท้องถิ่นเอง บ้างก็เกิดจากผู้มีจิตศรัทธาในชุมชนยอมสละที่ดินยกให้ทางราชการสร้างโรงเรียน เพราะต้องการให้บุตรหลานมีที่เรียนใกล้บ้าน ไม่ต้องเดินทางไปโรงเรียนไกล ๆ เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีถนนหนทาง เด็กนักเรียนต้องเดินเท้าไป กลับโรงเรียนวันละหลายกิโลเมตร และบางคนไม่มีแม้แต่รองเท้าที่จะสวมใส่เดินไปโรงเรียน ในขณะที่ปัจจุบันสถานการณ์เหล่านั้นแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถนนหนทางดีขึ้นมาก แต่ละครอบครัวมีรายได้ดีขึ้น ส่วนใหญ่แต่ละครัวเรือนมีรถยนต์หรือจักรยานยนต์เป็นของตัวเอง หรือแม้แต่มีรถรับจ้างรถสองแถวคอยบริการรับส่งนักเรียนจากบ้านถึงโรงเรียน
เราต้องยอมรับว่าโรงเรียนขนาดเล็กบางแห่งหรือส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนพัฒนาผู้เรียนได้เต็มศักยภาพอย่างมีคุณภาพ และแน่นอนว่านักเรียนมีคุณภาพที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับสถานศึกษาขนาดอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัญหาจากการที่โรงเรียนขนาดเล็กขาดความพร้อมทางด้านปัจจัย เช่น มีครูไม่ครบชั้นเรียน ขาดแคลนสื่อการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์ โดยเฉพาะสื่อและเทคโนโลยียุคใหม่ เนื่องจากเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณส่วนใหญ่ใช้จำนวนนักเรียนเป็นเกณฑ์ในการจัดสรร จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการในภาวะขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร ทำให้ฝ่ายบริหารต่างมองเห็นว่า “การยุบ” เป็นทางออกหนึ่งของสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น
สิ่งหนึ่งที่สมควรได้รับการส่งเสริมสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ โรงเรียนขนาดเล็กบางแห่งได้จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้เด็กได้รู้จักรากเหง้าของตนเอง รู้จักชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น เน้นการสอนด้านคุณธรรม จริยธรรรม และวิถีการทำมาหากิน ซึ่งแตกต่างจากแนวทางการสอนของโรงเรียนขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือโรงเรียนในเมืองส่วนใหญ่ที่ถูกกระแสโลกาภิวัตน์ครอบงำได้จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นเพียงด้านวิชาการเป็นหลักจนผู้เรียนหลงลืมขาดจิตสำนึกที่จะอนุรักษ์รักบ้านเกิดซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง
อย่างไรก็ตาม การจะมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กโดยใช้สูตรสำเร็จสูตรเดียวกันทั่วประเทศคงเป็นไปไม่ได้ เพราะในทางปฏิบัตินั้นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ด้วยมาตรการที่หลากหลายเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ หากโรงเรียนอยู่ในที่ทุรกันดารห่างไกลหรือทำได้ดีมีคุณภาพอยู่แล้วก็ให้ดำเนินการต่อไป หรือกรณีผู้ปกครอง ชุมชนมีความพร้อมที่จะจัดในลักษณะอื่น เช่น ศูนย์การเรียน หรือ โฮมสคูล (Home School) ก็ต้องมีคณะกรรมการพิจารณาร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม นั่นคือ เด็กทุกคนต้องมีที่เรียนที่ดีกว่า เด็กและผู้ปกครองไม่เดือดร้อน รวมถึงต้องมีมติเห็นชอบจากชุมชนว่าให้ยุบหรือไม่ให้ยุบโรงเรียนของเขา
กระบวนการเวทีประชาคมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน ผู้ปกครอง ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาหาทางแก้ไขและตัดสินใจร่วมกัน เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องส่งเสริมให้เกิด
ทุกปัญหามีทางออก คงเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องหันหน้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยกันคิดแสวงหาวิธีการและทางออกอย่างชาญฉลาด เท่าทัน และสร้างสรรค์ แต่รัฐบาลต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพในภาพรวมของชาติ ไม่ว่าจะยุบหรือไม่ยุบโรงเรียนขนาดเล็กก็ตาม.
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32901&Key=hotnews