Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สพฐ.เล็งดึงเด็ก ตจว.เรียน ร.ร.ดัง หลัง 3 จว.ใต้สอบเข้ามหา’ลัยได้ 90%

4 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ที่โรงแรมอเล็กซานเดอร์ กรุงเทพฯ นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในพิธีส่งมอบนักเรียนในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี, ยะลา, นราธิวาส) ให้แก่โรงเรียนที่มีชื่อเสียงทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และส่วนภูมิภาค ตามโครงการ “โรงเรียนอุปถัมภ์ (ครอบครัวอุปถัมภ์) ว่า ในปีการศึกษา 2556 มีนักเรียน 278 คน ในเขตพัฒนาพิเศษฯ ได้รับคัดเลือกให้เข้าศึกษาต่อระดับมัธยมปลายในโรงเรียนดัง 45 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างโอกาส สร้างความพร้อม และสร้างศักยภาพทางวิชาการในการเตรียม เข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้ จากการติดตามผลการประเมินโครงการ พบว่า นักเรียนเหล่านี้เรียนจบตามกำหนด และสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยได้ประมาณ 90% จึงนับเป็นความภาคภูมิใจ เพราะโครงการนี้นอกจากจะช่วยเติมเต็มความรู้ให้แก่เด็กแล้ว ยังสร้างโอกาสให้เด็กได้มีเพื่อน และมี ประสบการณ์ใหม่ๆ เชื่อว่าเด็กเหล่านี้เมื่อกลับไปในพื้นที่ของตนเองแล้ว จะเป็นผู้นำที่ดีของสังคมได้

นายกมลกล่าวต่อว่า ปีนี้ได้ให้ทุกโรงเรียนเน้นทักษะชีวิตสำหรับเด็กให้มากขึ้น เพื่อให้เด็กได้รู้จักพัฒนาตัวเองในด้านอื่นด้วย นอกจากนี้ ได้ให้เด็กรวมกลุ่มนักเรียน และตั้งเป็นชมรม รวมทั้ง เปิดเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เพื่อให้ทุกคนได้ติดต่อประสาน และแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกันด้วย
“ขณะเดียวกันในปีการศึกษา 2557 จะขยายโครงการไปยังภูมิภาคอื่นด้วย โดยจะนำร่องคัดเลือกเด็กประมาณ 30-40 คนจากภูมิภาคอื่นๆ เข้าเรียนต่อระดับมัธยมปลายโรงเรียนดังในกรุงเทพฯ อาทิ โรงเรียนหอวัง โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสรับรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เช่นเดียวกับเด็กในเขตพัฒนาพิเศษฯ โดยจะสังเกตได้ว่าเด็กในต่างประเทศ มักจะไปเรียนต่างถิ่น เพราะจะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน และมีความสามารถมากกว่าเด็กคนอื่น ดังนั้น ในปีแรกจะทดลองดูว่าเด็กจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง แต่คงไม่ได้มุ่งหวังว่าเมื่อเด็กไปเรียนโรงเรียนใหม่แล้ว จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทุกคน เพราะแค่ให้เด็กได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมารับประสบการณ์ใหม่ ก็ถือเป็นความสำเร็จแล้ว” นายกมลกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32899&Key=hotnews

ยกเครื่องกลุ่ม 6 วิชาพื้นฐานใหม่รับอาเซียน

3 มิถุนายน 2556

โพสต์ทูเดย์ ศธ.เตรียมคลอด 6 กลุ่มวิชาในการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่รองรับอาเซียน

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินการเพื่อขับเคลื่อนการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ขณะนี้กระทรวงได้เตรียมความพร้อมรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนไปแล้ว 60-70% ล่าสุดได้ปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนใน 6 กลุ่มวิชาที่จะใช้ในการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กลุ่มวิชาใหม่ที่กำหนดออกมาจะเน้นหลักสูตรอาเซียนให้มีความเข้มข้นขึ้น จากเดิมที่มีอยู่ 8 กลุ่มวิชา เหลือ 6 กลุ่มวิชา ได้แก่ วิชาภาษาและวัฒนธรรม วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ วิชาการดำรงชีวิตและโลกการงานวิชาทักษะการสื่อสารอาเซียนวิชาสังคมและมนุษยศาสตร์ และวิชาอาเซียนและโลก

“6 กลุ่มวิชาที่ออกมานี้ เบื้องต้นยังเป็นร่างอยู่ เพื่อที่จะนำไปปรับใช้ในหลักสูตรการเรียนการสอนขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะครอบคลุมทุกด้าน โดยจะนำวิชาวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มารวมเป็นกลุ่มเดียวกัน ทำให้เกิดการบูรณาการมากขึ้น และเป็นหลักสูตรเดียวกันในอาเซียน”                นางพวงเพ็ชร กล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีแผนที่จะเดินหน้าการเตรียมความพร้อมบุคลากรเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแบบเต็มรูปแบบ โดยจะจัดโครงการสอนภาษาอังกฤษและภาษาอาเซียนให้กับกลุ่มคนทั่วไป ตั้งแต่คนขับแท็กซี่ แม่ค้า และกลุ่มสตรีแม่บ้าน ตั้งเป้าให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษประโยคพื้นฐานที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพได้อย่างน้อย 10-20 ประโยค
นางพวงเพ็ชร กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะดำเนินโครงการรณรงค์การใช้ภาษาให้คนไทยได้เรียนรู้ผ่านศูนย์การเรียนรู้สู่อาเซียนทั้ง 26 ศูนย์ทั่วประเทศ ซึ่งแบ่งเป็นศูนย์ของ กศน. 15 แห่ง และศูนย์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 11 แห่ง พร้อมจัดทำคู่มือภาษาแจกให้กับผู้ประกอบการกลุ่มอาชีพต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมีความพร้อมที่จะแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจอาเซียนมากขึ้น n

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32891&Key=hotnews

ปฏิรูปหลักสูตรหวังเด็กคิดเป็น ไม่เกียจคร้าน-มีทักษะทำงานดี

3 มิถุนายน 2556

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดทำหลักสูตรใหม่ว่าที่ประชุมได้นำข้อมูลจากการวิจัยสำรวจและค้นพบคุณลักษณะของเด็กไทย 3 ประการในปัจจุบันที่น่าเป็นห่วงและต้องแก้ไข และจัดหลักสูตรการศึกษาให้เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของเด็กไทยให้ดีขึ้น คือ

1.การที่เด็กไทยยอมรับการคอร์รัปชัน

2.การสำรวจพบว่าเด็กไทย 12% เท่านั้นที่คิดเป็นคิดได้และกล้าแสดงความคิดเห็น และ 63% เป็นกลุ่มเด็กที่คิดได้แต่เงียบ ไม่แสดงออก สุดท้ายก็คล้อยตามผู้อื่น และที่เหลืออีก 25% เป็นเด็กที่คิดไม่ได้ แสดงออกก็ไม่ได้  ข้อค้นพบดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยไม่มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่มีวิธีคิด ดังนั้น การจัดการสอนต้องปรับจากเดิมที่ครูเขียนข้อมูลบนกระดานแล้วให้เด็กแสดงความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากเด็กไม่เห็นด้วยครูก็จะพยายามชักจูงให้เด็กเห็นด้วยกับครู แต่การสอนในปัจจุบัน ครูจะต้องถามว่านักเรียนคนใดที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากครู แล้วนำเสนอเพื่ออภิปราย ซึ่งจะส่งเสริมให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก ไม่เช่นนั้นสังคมไทยจะคิดเห็นคล้อยกันไปทั้งประเทศ และ

3.การที่เด็กไทยทำงานไม่เป็น ทำให้เกียจคร้าน

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มการเรียนรู้ 6 กลุ่ม ในส่วนของกลุ่มการเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม ที่ประชุมมีมติให้เปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มการเรียนรู้ภาษาและวรรณกรรม เพราะเห็นว่าภาษาไม่ใช่แค่การสื่อสารแต่เป็นอัตลักษณ์ สุนทรียศาสตร์ ส่วนการจัดหลักสูตรระดับประถมและมัธยมนั้น ระดับประถมเดิมกำหนดว่าควรเรียนในห้องเรียน800 ชั่วโมง แต่ที่ประชุมเห็นว่ายังมากเกินไปน่าจะจัดการเรียนในห้องให้ไม่เกิน 600 ชั่วโมงและเพิ่มการเรียนรู้นอกห้องเรียน แต่อยู่ภายในโรงเรียน และเรียนรู้นอกสถานที่กับชุมชน

“ในส่วนของชั้น ป.1-3 จะเน้น 3 วิชาหลัก ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เนื่องจากมีงานวิจัยระบุชัดเจนว่า หากเด็กเรียนวิชาคณิตศาสตร์เก่ง จะส่งผลให้เรียนเก่งในทุกวิชา และควรให้เด็กเรียนคณิตตั้งแต่แรก ส่วนเรียนรู้โครงงานเป็นส่วนเสริม ทั้งด้านโครงงานวิทย์ สังคมและชุมชน โครงงานสุนทรียะ คุณธรรมและวิถีประชาธิปไตย ส่วนระดับมัธยม จะเรียนลักษณะบูรณาการลดลง และเพิ่มการเรียนเป็นรายวิชามากขึ้น และตั้งแต่ชั้น ม.1 จะเรียนรู้ทักษะชีวิตและโลกของงาน เพื่อให้เด็กทำงานเป็น ไม่ว่าจะจบชั้นไหนก็สามารถทำงานได้ ประกอบกับขณะนี้ตลาดแรงงานต้องการแรงงานด้านอาชีวะ ซึ่งเป็นตัวกำหนดให้เด็กเห็นช่องทางการมีงานทำ และอาจทำให้ค่านิยมเรียนเพื่อปริญญาลดลงได้” นายสมพงษ์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32890&Key=hotnews

มจษ.ขานรับแนวทางปฏิบัติ ศธ.-สกอ.กิจกรรมรับน้องสร้างสรรค์-เคารพสิทธิเสมอภาค

3 มิถุนายน 2556

ผศ.ยะผาด วิวัฒน์พงษ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (มจษ.) กล่าวว่า กิจกรรมต้อนรับน้องใหม่และประชุมเชียร์เป็นประเพณีที่สืบทอดมายาวนาน ของมจษ. โดยมีปณิธานเพื่อสานสัมพันธ์ของนักศึกษารุ่นพี่สู่รุ่นน้องให้เกิดความสามัคคี ระเบียบวินัย ความภาคภูมิใจในสถาบัน โดยมหาวิทยาลัยได้ยึดหลักปฏิบัติตามแนวปฏิบัติจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) โดยจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก 5 คณะ 1 วิทยาลัย ประกอบด้วย คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ คณะเกษตรและชีวภาพ และวิทยาลัยการแพทย์ทางเลือก ในการทำความเข้าใจกับกิจกรรมการรับน้องสร้างสรรค์ตามรูปแบบแต่ละคณะ

“กิจกรรมรับน้องใหม่เพื่อสร้างความประทับใจ ส่งเสริมความสามัคคี ให้เกิดความผูกพันระหว่างเพื่อนร่วมรุ่น เกิดความมั่นใจแก่ผู้ปกครอง ก็สามารถมาสังเกตการณ์กิจกรรมรับน้องใหม่ได้ตลอด และเพื่อป้องกันความรุนแรงและสิ่งอบายมุขทั้งหลาย ยังจัดตั้งกองอำนวยการกลางทำหน้าที่กำกับดูแล เฝ้าระวัง รวมถึงตรวจสอบกิจกรรมรับน้องอย่างเคร่งครัด” ผศ.ยะผาด กล่าว

รองอธิการบดี มจษ.กล่าวว่า มหาวิทยาลัยได้รับนโยบายแนวปฏิบัติในการจัดกิจกรรมรับน้องใหม่และประชุมเชียร์ โดยเคารพสิทธิเสรีภาพ หลักความเสมอภาค ไม่มีความรุนแรง ไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ดื่มสุราและเสพสิ่งมึนเมาทุกชนิด และไม่กระทบต่อการเรียนการสอน ทั้งต้องอยู่ในความรับผิดชอบดูแลของผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากรของทุกคณะ จัดกิจกรรมในลักษณะสร้างสรรค์ ไม่ขัดระเบียบมหาวิทยาลัย กฎหมาย วัฒนธรรม ประเพณี และมารยาททางสังคมที่ดีงาม ยึดแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นกิจกรรมปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรม ห้ามจัดกิจกรรมรับน้องใหม่นอกมหาวิทยาลัย การเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องใหม่ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้ามาสังเกตการณ์ได้

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32889&Key=hotnews

เสนอ ครม.เพิ่มเงินรายหัวอาหารเด็ก ศธ.ขอขยับขึ้น 20 บาท – เร่งแก้ปัญหาทุพโภชนาการ

3 มิถุนายน 2556

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุน เพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมอนุมัติให้ใช้ดอกผลของกองทุนอาหารกลางวัน จำนวน 210 ล้านบาท มาในโครงการเพิ่มผลผลิตอาหารกลางวันในโรงเรียน เป็นการสนับสนุนงบประมาณให้โรงเรียนนำไปทำการเกษตร เพื่อนำผลผลิตมาประกอบอาหารกลางวันเพื่อให้อาหารกลางวันเพียงพอและมีคุณภาพสำหรับนักเรียนมากขึ้น

ปลัด ศธ. กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ยังอนุมัติให้ใช้ดอกผล กองทุนอีก 372 ล้านบาท เพื่อเติมเต็มงบประมาณค่าอาหารกลางวันให้โรงเรียนที่มีนักเรียนอยู่ในภาวะทุพโภชนาการจำนวน 369,214 คน ในโรงเรียน 4,594 โรง แบ่งเป็น โรงเรียนสังกัดสพฐ. ภาคเหนือ จำนวน 807 จำนวนเงิน 35,704,100 บาท ภาคกลาง จำนวน 499 โรง จำนวน 24,271,300 บาท ภาคอีสาน จำนวน 2,645 โรง จำนวนเงิน 116,409,100 บาท ภาคใต้ จำนวน 599 โรง จำนวนเงิน 32,290,700 บาท สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 12 โรง จำนวนเงิน 871,900 บาท สังกัดโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) จำนวน 9 โรง จำนวนเงิน 412,900 บาท และสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จำนวน 1 โรง จำนวนเงิน 40,000 บาท รวมถึงโครงการสนับสนุนอาหารเช้า-เย็น สำหรับเด็กพักนอนในโรงเรียนตชด. 52 โรง จำนวน 1,876 คน รวมเป็นเงิน 9,755,200 บาท และโครงการประชาสัมพันธ์และรณรงค์แก้ปัญหาทุพโภชนาการ แบ่งเป็นโครงการประชา สัมพันธ์ จัดมหกรรมเฉลิมพระเกียรติวันแม่ และรณรงค์อาหารกลางวัน รวมทั้งสิ้น จำนวน 32,730,000 บาท

“ศธ.ยังเสนอขอครม.ปรับ พ.ร.บ.กองทุนอาหารกลางวัน พ.ศ.2526 ซึ่งใช้มา 20 ปีแล้ว โดยจะขอแก้ไขตัวเลขเงินรายหัวค่าอาหารกลางวัน จากปัจจุบัน 13 บาท เป็น 20 บาท เพื่อให้พอต่อค่าใช้จ่ายจริง รวมถึงขอปรับให้กองทุนครอบคลุมถึงอาหารมื้อเช้าและเย็นด้วย เพราะในกรณีของเด็กยากจน อย่างเช่น ร.ร.ตชด. เด็กจะต้องอยู่ประจำ ต้องจัดทำอาหารเช้าและเย็นให้ด้วย จึงควรปรับให้ใช้ดอกผลเงินกองทุนมารองรับส่วนนี้ได้ด้วย” นางพนิตากล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32888&Key=hotnews

สอศ.เพิ่มขรก.-พนง. 1.5 หมื่นอัตรา ลุ้นดันร่าง พ.ร.บ.บุคลากรฯ มหา’ลัย

3 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ประชุมได้อนุมัติตามที่ สอศ. เสนอกรอบอัตรากำลังข้าราชการและพนักงานราชการเพิ่มเติมในปี 2557-2559 จำนวน 15,973 อัตรา แบ่งเป็นข้าราชการ 1,409 อัตรา พนักงานราชการทั่วไป สายผู้สอน จำนวน 10,000 อัตรา และสายสนับสนุน จำนวน 4,564 อัตรา ซึ่ง สอศ.จะเสนอให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาอีกครั้ง สำหรับสาเหตุที่ต้องเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการและพนักงานราชการสังกัด สอศ.เพราะขณะนี้จำนวนบุคลากร สอศ.ไม่เพียงพอต่อการความต้องการที่แท้จริง โดยปัจจุบันสถานศึกษาสังกัด สอศ.มีนักศึกษาอยู่ 684,760 คน ข้าราชการครู 14,856 คน พนักงานราชการ 3,498 คน และลูกจ้างชั่วคราวทำหน้าที่สอน จำนวน 19,998 คน

“เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนนักเรียนต่อครู จะเห็นว่าไม่เพียงพอ เพราะจำนวนนักเรียนเพิ่มมากขึ้น และสัดส่วนนักเรียนต่อครูผู้สอนที่เหมาะสมอยู่ที่ 40 ต่อ 1 ทำให้ที่ผ่านมา สถานศึกษาสังกัด สอศ.ต้องใช้วิธีจ้างลูกจ้างชั่วคราวมาสอนเพิ่ม เพราะอัตรากำลังข้าราชการของ สอศ.ลดลงถึง 80% โดยสถานศึกษาต้องเจียดเงินงบประมาณรายหัวของนักศึกษามาจ่ายเป็นค่าจ้างให้ลูกจ้างชั่วคราว ถึง 2,356 ล้านบาทต่อปี”  รัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าว

ด้าน นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า จากการประชุมคณะอนุกรรมการ เพื่อศึกษาระบบการบริหารงานบุคคลสำหรับพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้หารือรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้จัดทำเสร็จแล้ว และคาดว่า จะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ในเดือนนี้ หาก ก.พ.อ.เห็นชอบจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

นายสุมิตร สุวรรณ อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในฐานะประธานเครือข่ายพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา กล่าวว่า รายละเอียดในร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารฯ เป็นไปตามที่เครือข่ายพนักงานเสนอฯ อาทิ จะมีการปรับสถานะจากพนักงานราชการเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย เพื่อให้ได้รับสวัสดิการที่ดีกว่า การปรับเพิ่มเงินเดือนแรกเข้า จัดระบบประกันสุขภาพกลุ่ม เพื่อให้พนักงานมหาวิทยาลัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และได้รับสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมกับข้าราชการ เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32887&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: เงินเดือนข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษาปี พ.ศ.2556 และ 2557

3 มิถุนายน 2556

วัชรี เกิดพิพัฒน์ ผอ.ภารกิจเสริมสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับวงวิชาชีพครู ซึ่งเป็นที่สนใจของสาธารณชนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวเกี่ยวกับการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2556 ซึ่งมีผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเห็นว่าวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาพลเมืองของประเทศเป็นอาชีพที่มีความมั่นคง มีค่าตอบแทนและความก้าวหน้าในวิชาชีพตามความรู้ความสามารถ ในวันนี้จึงนำความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองเพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในปี พ.ศ.2556 และปี พ.ศ.2557 มานำเสนอเป็นความรู้ ดังนี้

จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการปรับปรุงค่าตอบแทนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในวันที่ 1 มกราคม 2555 โดยให้ผู้มีวุฒิตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไปได้รับเงินเดือนแรกบรรจุรวมกับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว จะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 15,000 บาท ซึ่งต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาและการปรับเงินเดือนชดเชยให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ข้าราชการพลเรือนสามัญ) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 และวันที่ 1 มกราคม 2557 นั้น ส่งผลให้ ก.ค.ศ. ต้องมีการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาและการปรับเงินเดือนชดเชยสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 และวันที่ 1 มกราคม 2557 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตาม นโยบายรัฐบาลและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี

ก.ค.ศ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2556 ได้มีการพิจารณาและเห็นชอบร่างบัญชีอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 และร่างบัญชีกำหนดอัตราเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ โดยมอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ซึ่งมีหลักการคือ

1.ร่างบัญชีอัตราเงินเดือนดังกล่าว เป็นการกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุให้ใกล้เคียงกับข้าราชการพลเรือนสามัญ และยึดโยงตามบัญชีเงินเดือนชั่วคราว ถ้าไม่มีอัตราเงินเดือนเท่ากับข้าราชการพลเรือนสามัญจะใช้อัตราเงินเดือนใกล้เคียงที่สูงกว่า

2.ร่างบัญชีกำหนดอัตราเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุใหม่ ให้เป็นธรรมและใกล้เคียงกับข้าราชการพลเรือนสามัญมากที่สุด

3.ในการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) ให้ใช้บัญชีอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.พ.รับรองเพื่อการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน

ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ดำเนินการจัดเตรียมข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น จำนวนเงินงบประมาณที่ใช้ในการปรับอัตราเงินเดือน และการปรับชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาผลการพิจารณาเป็นอย่างไรจะนำมาแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32886&Key=hotnews

ก.ค.ศ.ยืดขอรับการประเมิน เลื่อนวิทยฐานะถึง 14 มิ.ย.นี้

3 มิถุนายน 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ ก.ค.ศ.มีหนังสือกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่น ที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะ หรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และวิทยฐานะเชี่ยวชาญ และได้กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับการประเมินตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ในปี พ.ศ.2556 ยื่นคำขอ พร้อมแบบรายงาน และข้อเสนอในการพัฒนางาน ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้น ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 นั้น ก.ค.ศ.พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้โอกาสข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีความประสงค์จะเข้ารับการประเมินได้มีความพร้อมในการจัดทำเอกสารเพื่อเสนอขอรับการประเมิน จึงขยายเวลาให้ผู้ขอรับการประเมินยื่นคำขอรับการประเมิน พร้อมแบบรายงาน และข้อเสนอในการพัฒนางาน ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้นได้ ไปจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน

“ผู้บริหาร และข้าราชการครูฯขอให้ขยาย เวลาเสนอผลงานเชิงประจักษ์ออกไปครึ่งเดือน เพื่อรอการประกาศผลรางวัลโรงเรียนพระราชทาน ซึ่งได้พิจารณาไปแล้ว แต่ยังไม่ประกาศผล เกรง ว่าจะไม่ทัน จึงขอให้สำนักงาน ก.ค.ศ. เลื่อนการยื่นคำขอออกไป ก.ค.ศ.พิจารณาแล้วสามารถเลื่อน ได้จนถึงวันที่14 มิถุนยนจึงเลื่อนให้จึงนับเป็นข่าวดีของเพื่อนข้าราชการครูฯ” นางรัตนากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32885&Key=hotnews

รมว.ศธ.ลงพื้นที่หวังพัฒนาร.ร.ขนาดเล็ก

3 มิถุนายน 2556

“พงศ์เทพ”ลงพื้นที่รับฟังความเห็นเวทีประชาคม หวังพัฒนาการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก เผยไม่มีเป้าหมายยุบโรงเรียนเพิ่ม

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะเดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 ที่โรงเรียนบ้านปางดง ต.ป่าเมี่ยง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพบปะและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผาปกาเกอะญอ โดยมีนายชุมพล รัตน์เลิศลบ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 1 นายอภิชาติ วงศ์คีรี ผู้อำนวยการและคณะครูโรงเรียนบ้านปางแดงให้การต้อนรับ โดยปีการศึกษา 2556 โรงเรียนบ้านปางแดงมีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 ถึง ป.6 จำนวน 37 คน และครู 4 คน
นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า สำหรับความกังวลเรื่องการยุบรวมโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลนั้น หากโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถพัฒนาไปทางอื่นด้วยการเรียนรวมกัน หรือคละชั้นเรียนได้ ก็มีวิธีเดียวในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ โดยใช้การศึกษาทางไกล มีสถานีของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีสถานีโรงเรียนไกลกังวล ซึ่งโรงเรียนต่างๆสามารถรับสัญญาณและมาพัฒนาการเรียนารสอนได้ อีกด้านหนึ่ง คือ แท๊ปเลต เพราะแม้ว่าบางโรงเรียนไม่มีครูจบเอกภาษาอังกฤษโโยตรง แต่แท๊ปเลตมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆที่สามารถช่วยนักเรียนในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ เด็กเหล่านี้จะได้เปรียบเด็กยุคก่อน หากสนใจใฝ่รู้สามารถฟังเจ้าของภาษาพูดได้โดยตรงผ่านแท๊ปเลตจึงมีสำเนียงภาษาดีกว่า

“เกณฑ์การยุบรวมมีเงื่อนไขต่างๆที่กำหนดไว้นานแล้ว และยังขึ้นอยู่กับความเห็นของชาวบ้าน ผู้ปกครองของนักเรียนในพื้นที่ โรงเรียหลายแห่งไม่สามารถยุบรวมกับใครได้เพราะอยู่ห่างไกลมาก บางโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยแต่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ดีจะส่งเสริมได้อย่างไร ต้องเข้ามาดู แต่บางโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนต่ำกว่า 20 คน อาจมีปัญหาเรื่องการพัฒนามาก”นายพงศ์เทพ กล่าว

นายพงศ์เทพ กล่าวต่อว่า หลังไปดูโรงเรียนต่างๆ เช่นบางโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล และ ขาดครู วิธีจะพัฒนาได้นอกจากเรียนผ่านระบบการศึกษาทางไกลก็จะให้ครูสัญจรมาช่วย จะมีการจัดส่งครูในโรงเรียนที่ขาดแคลนครูที่จบการศึกษาในวิชานั้นๆโดยตรงมาสอนเสริมให้ เพราะโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลไม่สามารถยุบรวม หรือ แบ่งชั้นการสอน เรียนคละชั้นกับใครได้ กระทรวงฯไม่มีเป้าหมายจะยุบรวมโรงเรียน แต่จะเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษานักเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนเล็กๆที่มีปัญหาด้านการศึกษาได้อย่างไร เช่นการพัฒนาแบบโด่ดๆ การพัฒนาแบบไปควบรวม หรือการไปสอนร่วมกัน

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32884&Key=hotnews

ดีเอสไอเรียกสอบปากคำ 48 ครูผู้ช่วย โกงสอบ

3 มิถุนายน 2556

ดีเอสไอเรียกสอบปากคำ 48 ครูผู้ช่วยโกงสอบ คาดใช้เวลา 1 สัปดาห์ ด้านอ.ก.ค.ศ.เขตฯ 7 มั่นใจได้ข้อมูลสาวถึงตัวการใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เรียกสอบปากคำบุคคลที่ส่อทุจริตสอบครูผู้ช่วย จำนวน 48 รายในพื้นที่ จ.นครราชสีมา นั้น ล่าสุด 2 มิ.ย. 56 นายอารมณ์ ทางตะคุ ปลัดเทศบาลนครนครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้เทศบาลนครนครราชสีมา ได้รับการติดต่อจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขอใช้ห้องประชุมสภาเทศบาล ชั้น 5 อาคารกาญจนาภิเษก เพื่อสอบสวนคดีทุจริตสอบครูผู้ช่วยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ระบุว่าขอใช้ห้องประชุมระหว่างวันที่ 3 – 10 มิ.ย. 56 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.30 น. เนื่องจากได้มีการเรียกตัวผู้ที่สอบได้ในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาทั้ง 48 ราย มาให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน นายอารมณ์ฯ กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 7 กล่าวว่า การเรียกบุคคลทั้ง 48 ราย มาสอบปากคำครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับการเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วย เนื่องจากการเพิกถอนเป็นเรื่องการขาดคุณสมบัติ เพราะกระทำผิดวินัยร้ายแรง ดังนั้นทางดีเอสไอ จึงต้องการกันบุคคลทั้ง 48 ราย ไว้เป็นพยาน
“หากทุกคนให้ความร่วมมือเป็นประโยชน์นำไปสู่การจับกุมตัวการในการทุจริตสอบ ควรได้รับการลดหย่อนโทษ ในพื้นที่ จ. นครราชสีมา หากบุคคลทั้ง 48 ราย ให้ปากคำตามความเป็นจริง ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน รวมทั้งจะสาวถึงตัวการใหญ่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาด้วย” ผศ.ดร.อดิศร กล่าว.

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32883&Key=hotnews