Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

คอลัมน์: สัมภาษณ์: พงศ์เทพ เทพกาญจนา ‘ยุบรวม ร.ร.ขนาดเล็ก’ ทำมานานกว่า 20 ปีแล้ว

21 พฤษภาคม 2556

ศิริเกษ หมายสุข

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อม ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินทางเป็นประธานพิธี 1 ทศวรรษการจัดการศึกษา ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ศรีสะเกษ เขต 2 อ.อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ มี นายประทีป กีรติเรขาผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้อำนวยการ สพป.ศรีสะเกษเขต 1-4 คณะครู นักเรียนผู้ปกครอง ต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายพงศ์เทพ กล่าวถึงชั่วโมงเรียนว่าจะปรับอย่างไร จากปัจจุบัน 1,200 ชั่วโมงเรียน เห็นได้ว่า เราเรียนมากกว่าที่อื่นแล้วทำให้เด็กเครียด ในขณะเดียวกัน ผลการศึกษาไม่ใช่ว่าเรียนมากแล้วจะได้ดี ถ้าเรียนมากจนเกินไปจะไม่ได้ดี จำนวนชั่วโมงเรียนที่เหมาะสมในแต่ละชั้นควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าจะลดลงกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน

“เพราะว่าหลายส่วนที่ปัจจุบันเด็กจะต้องมาเรียนต้องไปเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องรู้ต้องไปจำ ในสิ่งที่ไม่จำเป็นที่ทุกคนต้องจำ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าถามถึงว่าประวัติศาสตร์สำคัญของโลก บางเรื่องเราอาจจะต้องรู้สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์อาจจะต้องรู้บ้าง แต่ไม่ต้องลึกเพราะถ้าจะลึกหมดคงจะไม่ได้ เพราะมีทั้งยุโรป อเมริกา จีน ญี่ปุ่น เยอะแยะเต็มไปหมด แต่จากนั้นแล้ว เด็กคนไหนสนใจลึกเรื่องอะไรเขาไปตรงนั้นได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องลึกเหมือนกันตรงนี้ชั่วโมงที่ต้องเรียนจริงๆ ก็จะลดน้อยลง แต่หลักการสำคัญๆ เรื่องทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ทุกคนต้องรู้ และทางเศรษฐศาสตร์ซึ่งใช้ในชีวิตประจำวัน อันนี้จะต้องรู้เขาอาจจะต้องจำบ้าง”

ด้านการรวมโรงเรียนหรือการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้ รัฐมนตรีศึกษาฯ กล่าวว่า เป็นนโยบายที่มีการดำเนินการมานานกว่า 20 ปีแล้ว ไม่ใช่นโยบายใหม่แต่อย่างใด ดังนั้น จึงสั่งการไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกจังหวัด ให้ตรวจสอบคุณภาพของโรงเรียนในสังกัด ที่มีนักเรียนไม่ถึง 60 คน

“และหลังจากที่ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่า มีโรงเรียนเป็นจำนวนมากที่มีจำนวนนักเรียนไม่ถึง 20 คน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า การที่โรงเรียนมีจำนวนนักเรียนต่ำกว่าเกณฑ์จะถูกยุบโรงเรียนแต่อย่างใด หากแต่ว่า ศักยภาพในด้านการศึกษายังมีประสิทธิภาพที่ดี มีการเรียนการสอนที่มีมาตรฐาน และเด็กสามารถเรียนรู้จากการศึกษาภายในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ โรงเรียนก็ถือว่าประสบผลสำเร็จ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องให้การส่งเสริม และสามารถทำการเรียนการสอนต่อได้”

“แต่หากโรงเรียนในชนบทที่มีจำนวนนักเรียนน้อย และประสบปัญหาในเรื่องการเรียนการสอน อาจจะมีการยุบโรงเรียน เพื่อนำไปเรียนร่วมกับโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัยของนักเรียนมากนัก ซึ่งทางรัฐบาลจะได้จัดเตรียมรถรับส่งนักเรียนไว้ เพื่อให้บริการฟรี โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ซึ่งถือว่า เป็นการผ่อนเบาภาระของผู้ปกครอง และเป็นการสร้างฐานความรู้ที่ดีขึ้นสำหรับเด็กอีกทางหนึ่งด้วย”

นายพงศ์เทพ ย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องการ คือ การศึกษาที่มีคุณภาพ ที่จะสร้างเด็กในระดับประถมศึกษา ให้สามารถเรียนต่อในระดับมัธยมพื้นฐานได้อย่างมั่นคง หรือสามารถเรียนต่อในสายอาชีพ หรือสายอาชีวะได้อย่างภาคภูมิใจ ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ มีการดำเนินการแล้วกว่า 20 ปี ไม่ใช่เพิ่งเริ่มกระทำแต่อย่างใด

ซึ่งหากจะนับสถิติตั้งแต่ปี 2551-2555 จะเห็นได้ว่า ในแต่ละปีจะมีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไม่ต่ำกว่าปีละประมาณ 100 โรงเรียน

“นโยบายนี้ถือเป็นโครงการปกติ และจะสามารถพัฒนายกระดับการศึกษาของประเทศไทย และเยาวชนไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย”

–มติชน ฉบับวันที่ 22 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32775&Key=hotnews

สพฐ.ยังไม่เคลียร์จัดสอบครูผู้ช่วย

21 พฤษภาคม 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์การสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีทั่วไปประจำปี 2556 ว่า การสอบครั้งนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะต้นสังกัดได้ตั้งคณะกรรมการเป็น 3 ส่วนได้ แก่

1. คณะกรรมการอำนวยการกลาง มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางและทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์

2. คณะกรรมการประจำศูนย์ปฏิบัติการการสอบแข่งขันมีผู้อำนวยการสำนักพัฒนา ระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ สพฐ.เป็นประธาน จะมีหน้าที่ประสานงานกับเขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบและรายงานคณะกรรมการ การอำนวยการกลาง และ

3. คณะกรรมการติดตามสถานการณ์การสอบแข่งขัน จำนวน 79 คณะ ทำหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังและดูความเคลื่อนไหว รวมทั้งความพร้อมของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบว่าได้วางมาตรการต่าง ๆ รัดกุมหรือไม่ ซึ่งถือว่าคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นหูเป็นตาแทน สพฐ. แต่ไม่ได้เป็นการไปจับผิดเขตพื้นที่ฯ เพียงแต่มีเจตนาต้องการให้การสอบแข่งขันเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและดึงความเชื่อมั่นกลับคืนมา

ดร.ชินภัทร กล่าวต่อไปว่า ตนได้เน้นย้ำในที่ประชุมเรื่องหลักเกณฑ์การสอบคัดเลือกของ ก.ค.ศ. ในข้อที่ 7 ที่กำหนดให้ผู้สมัครเลือกสอบได้เพียงแห่งเดียว หากสมัครสองที่จะถูกตัดสิทธิ แต่เนื่องจากเขตพื้นที่ฯ แต่ละแห่งมีหน้าที่ในการรับสมัครแต่ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลข้ามเขตได้ ดังนั้น สพฐ.จึงได้ตั้งคณะกรรมการในส่วนกลางทำหน้าที่ช่วยตรวจสอบให้ แต่ท้ายที่สุดแล้วในหลักเกณฑ์ได้กำหนดไว้ในข้อ 22 ว่ากรณีที่ผู้ดำเนินการไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่ ก.ค.ศ.กำหนดไว้จะให้หารือ ก.ค.ศ.ต่อไป ดังนั้นเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใด ๆ หากมีความจำเป็นในการตีความ ทาง สพฐ.คงไม่สามารถให้คำแนะนำหรือตัดสินใจได้โดยตรง แต่คงต้องถามไปยัง ก.ค.ศ.

“กรณีที่มีผู้สมัครสองที่แล้วจะไปขอถอนชื่อออกจากเขตใดเขตหนึ่ง ขณะนี้ก็ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งนายชูชาติ ทรัพย์มาก ที่ปรึกษา สพฐ.ให้ความเห็นว่าหลักเกณฑ์ ก.ค.ศ.ไม่ได้กำหนดให้ถอนชื่อ ดังนั้นเมื่อแนวปฏิบัติเกิดปัญหาในการตีความก็ต้องเสนอให้ ก.ค.ศ. พิจารณา” ดร.ชินภัทร กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32774&Key=hotnews

เปิดอัพโหลดเนื้อหาแท็บเล็ตป.2 354 เรื่อง ครูเลือกใช้สอนเสริม

21 พฤษภาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปสรุปถึงจำนวนเนื้อหาใหม่ที่จะสามารถบรรจุใส่ในแท็บเล็ตตามโครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน (One Tablet PC Per Child) ของรัฐบาลสำหรับนักเรียนชั้น ป.1 ที่เลื่อนขึ้นชั้น ป.2 เพราะแต่ละกลุ่มสาระวิชาหลัก มีแอพพลิเคชันให้เลือกค่อนข้างมาก ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้เตรียมวิธีการอัพเดทข้อมูลเนื้อหาใหม่ไว้เรียบร้อย เมื่อได้ข้อสรุปว่าจะเอาเนื้อหาใดมาใส่บ้าง ก็จะมีการอบรมครู และศึกษานิเทศก์เกี่ยวกับการอัพโหลดข้อมูลดังกล่าวต่อไป

ด้านนายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ. กล่าวว่า ขณะนี้มีเนื้อหาใหม่ที่จะใส่ในแท็บเล็ตของนักเรียนชั้นป.2 จำนวน 354 เรื่อง แบ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ 348 เรื่อง และอีบุ๊ก 6 เรื่อง มีความจุรวม 5 กิกะไบต์ โดยหลังจากนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง จะต้องดาวน์โหลดและคัดลอกเนื้อหา เพื่อให้โรงเรียนนำแท็บเล็ตของนักเรียนชั้น ป.2 ไปอัพโหลดเนื้อหาใหม่ซึ่งได้มีการนำร่องดำเนินการไปแล้ว 5 เขตพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดภาคเรียนไปแล้ว แต่การที่ยังไม่ได้อัพเนื้อหาใหม่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะแท็บเล็ตไม่ได้เอามาแทนครูและแท็บเล็ตนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนแค่บางวิชาเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32773&Key=hotnews

คอลัมน์: แวดวงของเรา: กศน.ที่มีผลงานดีเด่น

21 พฤษภาคม 2556

edusiamrath@gmail.com
นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เปิดเผยว่า จากการประชุมผู้บริหารสำนักงาน กศน.จังหวัด/กทม. เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาผลการดำเนินงานของหน่วยงานตามนโยบายและจุดเน้นการดำเนินการ สำนักงาน กศน. ประจำปีงบปะมาณ 2556 ปรากฏสำนักงาน กศน.จังหวัด ที่มีผลงานดีเด่นในแต่ละจุดเน้น คือการจัด กศน.อินเตอร์หรือ English Program ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดอุดรธานี อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดเชียงใหม่,บ้านหนังสืออัจฉริยะ ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดนครนายก อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจิตร อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดลพบุรี

ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชน ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดขอนแก่น อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดร้อยเอ็ดศูนย์ภาษาอาเซียน ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดกาญจนบุรี อันดับ 2 สำนักงานกศน.จังหวัดสุรินทร์ อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดอุบลราชธานีกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดเพชรบุรี อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดสระแก้ว อันดับ 3 สำนักงาน กศน.จังหวัดหนองบัวลำภูและการจัดการศึกษาเพื่อสนองงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้แก่ อันดับ 1 สำนักงาน กศน.จังหวัดน่าน อันดับ 2 สำนักงาน กศน.จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32772&Key=hotnews

ชี้จุดบอดเว็บศูนย์กำลังคนอาชีวะ

21 พฤษภาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้ง “ศูนย์กำลังคนอาชีวศึกษา” หรือ V-Cop ขึ้นผ่านเว็บไซต์ www.v-cop.net เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการในสายอาชีพต่างๆ สมัครประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงาน เงินเดือน รวมทั้งคุณสมบัติของพนักงานที่สถานประกอบการนั้นๆ ต้องการ ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ของ สอศ.ก็มีโอกาสเข้าถึงงานได้ เพียงแค่ใช้รหัสนักเรียน นักศึกษาตัวเองสมัครเป็นสมาชิก เพื่อนำเสนอคุณสมบัติให้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกได้คัดสรร ถือเป็นเวทีที่ช่วยยกระดับกำลังคนสายอาชีพ

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า สอศ.พบว่าการติดตามข้อมูลของนักเรียน นักศึกษา ที่ได้งานทำจากช่องทางนี้ยังเป็นจุดที่ต้องพัฒนาแก้ไข เนื่องจากเมื่อได้งานทำแล้วส่วนใหญ่ไม่ได้แจ้งให้ สอศ.ทราบ เพื่อเก็บเป็นสถิติ และดึงรายชื่อออกเพื่อไม่ให้สถานประกอบการสับสน สอศ.จึงสั่งการให้ศูนย์กำลังคนอาชีวศึกษาไปแก้ไข เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ ที่เสนออยู่ในเว็บไซต์มีความเป็นปัจจุบันแท้จริง ขณะนี้สถานศึกษาอาชีวศึกษาของเอกชนต้องการให้นักเรียน นักศึกษา เข้ามาอยู่ในระบบ V-Cop ด้วย ซึ่ง สอศ.ก็ยินดี แต่อาจจำเป็นต้องปรับในขั้นตอนการเข้าสู่ระบบการหางาน ที่ขณะนี้จะลิงก์ได้เฉพาะนักเรียน นักศึกษา ที่สังกัด สอศ.มาเป็นเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักแทน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32771&Key=hotnews

ลุ้นชื่อบอร์ดสาง ‘ร.ร.เล็ก’ สระแก้วดิ้นรวมชั้นแก้ยุบ

21 พฤษภาคม 2556

สภาการศึกษาทางเลือกฯรอลุ้น ‘พงศ์เทพ’ รักษา คำพูดหรือไม่ 31 พ.ค.นี้ หากบิดเรื่อง พร้อมก่อม็อบเคลื่อนไหวใหญ่ อีกทั้งชงชื่อบอร์ดสางปม ร.ร.เล็ก ให้ รมว.ศธ.เห็นชอบแล้ว

กลุ่มทางเลือกฯเปิดโผร่วมถก ศธ. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เลขาธิการสมาคมสภาการศึกษาทางหนังสือพิมพ์มติชนรายวันเลือกไทย เปิดเผยว่า ได้เสนอรายชื่อผู้แทน “คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กและกลุ่มการศึกษาทางเลือก” ให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พิจารณาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการตอบกลับ ในส่วนของผู้แทนของสมาคมสภาการศึกษาทางเลือกไทย ประกอบด้วย ผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดเล็กจาก 4 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 2 คน ผู้แทนชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 2 คน กลุ่มการศึกษาทางเลือก 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน และยังมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ประกอบด้วย นายมีชัย วีระไวทยะ ผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ร.ร.) มีชัยพัฒนา ทั้งยังเป็นกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นางเตือนใจ ดีเทศ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และนางประภาภัทร นิยม ผู้อำนวยการโรงเรียนรุ่งอรุณ ส่วนกรรมการ ฝ่าย ศธ.ยังไม่ทราบมีใครร่วมบ้าง

ลุ้น’พงศ์เทพ’รักษาคำพูดหรือไม่

นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า จะรอดูท่าทีของนายพงศ์เทพว่าจะไปในทิศทางใด ที่ผ่านมาเคยมีการตั้งคณะกรรมการร่วมลักษณะดังกล่าวมาแล้วแต่ก็ล้มเหลว ไม่มีการทำงานต่อเนื่อง จึงยังไม่วางใจว่าการตั้งคณะกรรมการครั้งนี้จะส่งผลดีทำให้เกิดการทำงานร่วมกันจริงหรือไม่ โดยในวันที่ 31 พฤษภาคม จะรอฟังนโยบายการจัดการโรงเรียนขนาดเล็กที่นายพงศ์เทพจะแถลงต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศว่าเป็นอย่างไร หากไม่เป็นไปตามที่พูดไว้ คงต้องมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อคัดค้านการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก และเสนอให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาได้

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะรัฐจัดการศึกษาล้มเหลว ทำให้ทุกคนได้รับการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน ทางแก้ปัญหาคือรัฐต้องเปลี่ยนท่าทีมาสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนที่มีความพร้อมไม่ว่าจะเป็นชุมชน วัด อปท. จัดการศึกษาได้ เป็นไปตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดนรัฐสนับสนุนงบประมาณและลดหย่อนภาษีให้ รัฐยังไม่ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดเลย” นายชัชวาลย์กล่าว

‘นครพนม’เหลือ 7 คน แต่สู้ต่อ

ที่ จ.นครพนม กระแสนโยบายการยุบควบโรงเรียน ยังคงสร้างความวิตกกังวลให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครอง เช่นเดียวกับโรงเรียนบ้านหนองลาดควาย ต.โพนทอง อ.เรณูนคร จ.นครพนม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เขต 1 เป็น 1 ใน จำนวน 262 แห่งในสังกัดที่มีนักเรียนน้อยที่สุดหรือเล็กที่สุดของจังหวัด ปัจจุบันเหลือ 7 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 4 คน เรียนในระดับชั้นประถมศึกษา 3-5 โดยมีครู 3 คน

นายเวสแก้ว ยอดมงคล อายุ 57 ปี ผอ.ร.ร.บ้านหนองลาดควาย เผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้ปกครองนักเรียนสรุปคัดค้านการยุบโรงเรียน ขณะนี้ยังเปิดสอนตามปกติ พร้อมประสานงานกับ สพป.นครพนม เขต 1 ทำโครงการนำร่องนำนักเรียนไปเรียนร่วมกับโรงเรียนใกล้เคียงที่มีศักยภาพ แต่กิจกรรมทุกอย่างยังทำที่โรงเรียนเดิมเป็นปกติ  พร้อมเรียนควบแต่ยังคงที่เดิม

“ร.ร.บ้านหนองลาดควายอยู่กับชุมชนมากว่า 50 ปี สร้างหลายคนเป็นข้าราชการ มีหน้าที่การงานที่ดีจำนวนมาก หากนำไปเรียนควบถือเป็นเรื่องดีแต่คงสภาพโรงเรียนเดิมไว้ การพัฒนาการศึกษาไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กหรือใหญ่สามารถพัฒนาได้เท่าเทียมกัน เบื้องต้นโรงเรียนได้สนองนโยบายกระทรวงศึกษา นำนักเรียนไปเรียนร่วมกับโรงเรียนใกล้เคียงที่มีศักยภาพด้านวิชาการ ส่วนเรื่องกิจกรรมหรือวิชาการเรียนอื่นๆ ยังคงสอนที่โรงเรียน” นายเวสแก้วกล่าว และว่า ในอนาคตส่วนที่เป็นอาคารเรียนที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ 1 หลัง จะส่งมอบให้ใช้ประโยชน์ในชุมชนต่อไป หรือเป็นสถานที่

ดูแลนักเรียนวัยก่อนเกณฑ์

สุรินทร์เข้าข่ายยุบมัธยม 4 แห่ง

ที่ จ.สุรินทร์ นายไพบูลย์ ศิริมา ผอ.ร.ร.ศรีสำเภาลูน อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ในฐานะประธานกลุ่ม ร.ร.พัฒนาคุณภาพจังหวัดสุรินทร์ (โรงเรียนขนาดเล็ก) กล่าวว่า โครงการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คน ไปควบรวมกับโรงเรียนขนาดกลางหรือใหญ่ในระดับมัธยมศึกษา ของ จ.สุรินทร์ มีเข้าข่ายยุบ 4 โรง ได้แก่ ร.ร.แสงทรัพย์ราชประชาวิทยาคาร อ.เมืองสุรินทร์ มีนักเรียน 108 คน, ร.ร.แร่วิทยา อ.เขวาสินรินทร์ 86 คน ร.ร.ทุ่งกุลาพิทยาคม อ.ท่าตูม 118 คน และ ร.ร.บึงนครประชาสรรค์ อ.จอมพระ 101 คน ตนเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว แต่ต้องพิจารณาถึงสภาพความเป็นจริงของแต่ละโรงอยู่ห่างกันแค่ไหน และผู้ปกครองมีฐานะยากจน รัฐบาลต้องลงทุนในทุกเรื่องเพื่อให้เด็กได้เรียน ส่วนโรงเรียนระดับประถมศึกษา จ.สุรินทร์ ไม่มีเข้าข่ายโดนยุบ มีแต่ควบรวมแต่ก็มีไม่กี่แห่ง

ยกเว้น’ร.ร.ริมวัง’-กันดารหนัก

นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวหลังลงพื้นที่โรงเรียนริมวัง 2 บ้านผาวี หมู่ 8 ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย สัปดาห์ก่อน ว่า เป็นโรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร การเข้าออกยากลำบากห่างจากตัว อ.พานถึง 27 กิโลเมตร เป็นเส้นทางขึ้นลงเขาถนนลูกรัง เปิดสอนระดับอนุบาลจนถึง ป.6 มีนักเรียน 26 คน ครูและผู้บริหารรวม 3 คน ถือเป็นโรงเรียนที่มีความจำเป็นของชาวบ้านอย่างมาก ไม่สามารถยุบได้ ด้วยหลายปัจจัยทั้งเรื่องเส้นทาง

สระแก้วคละ 3 ชั้นไปด้วยกันได้

นายสุรพล น้อยแสง ผู้อำนวยการ สพป.สระแก้ว เขต 1 กล่าวว่า โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน มีทั้งหมด 13 แห่ง และมีคุณภาพพอสมควร สังเกตจากผลสัมฤทธิ์การสอบโอเน็ต โรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน คะแนนอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้นักเรียนที่มีจำนวนน้อยได้ใช้วิธีสอนแบบคละกัน โดยให้ชั้น ป.1 ป.2 และ ป.3 อยู่ชั้นเดียวกัน จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนครู และยังทำให้นักเรียนระดับ ป.1 ป.2 สามารถเรียนรู้มีความรู้ระดับ ป.3 ได้ ส่งผลให้ผลการสอบโอเน็ตสูงตามมาด้วย

ผอ.ภูซางใกล้เกษียณ-ลูกน้องสู้ต่อ

นายสงกรานต์ สุปินะเจริญ ผอ.ร.ร.บ้านดอนไชย ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา กล่าวว่า ทั้งครูผู้สอน คณะกรรมการสถานศึกษา ตลอดจนผู้ปกครองนักเรียน ต่างไม่ขอยุบรวมไปเรียนกับโรงเรียนอื่น แต่จากนั้นเมื่อตนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2556 โรงเรียนบ้านดอนไชยจะไม่มีผู้บริหาร ครูผู้สอนทั้ง 6 คน ก็ต้องแบกรับภาระหน้าที่จัดการเรียนการสอนทั้งระบบต่อไป โดยมี ผู้ปกครองในชุมชนและคณะกรรมการสถานศึกษาให้ความช่วยเหลือดูแลต่อไป

บ้านหนองไผ่เร่งหา น.ร.เพิ่ม

นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร ผู้อำนวยการ สพป.นครราชสีมา เขต 1 เปิดเผยว่า สพป.นครราชสีมา เขต 1 ประกอบด้วย อ.เมือง และ อ.โนนสูง มีโรงเรียนขนาดเล็ก นักเรียนต่ำกว่า 60 คน 19 โรง และกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กต่ำกว่า 40 คน 7 โรง กำลังทำแผนเรื่องนี้ หากโรงเรียนใดผู้บริหารชุมชนเข้มแข็ง และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีผลสัมฤทธิ์ดีจะเข้าสนับสนุน บางโรงเรียนหาเงินด้วยการทอดผ้าป่ามาเป็นเงินอัตราจ้าง เรื่องนี้จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“มีโรงเรียนที่มีเด็กต่ำที่สุด 27 คน อยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพราะเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ เช่น โรงเรียนบ้านหนองไผ่ล้อม อ.เมือง เดิมมีนักเรียน 47 คน ขณะนี้เพิ่มเป็น 52 คนแล้ว และยังมีเด็กทยอยเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง และส่วนหนึ่งโรงเรียนพยายามหาเด็กมาเพิ่มเพราะกลัวถูกยุบ โดยหลังวันที่ 20 พฤษภาคม จะทราบว่ามีโรงเรียนใดบ้างเข้าข่ายที่จะถูกยุบ ก่อนสรุปเสนอ สพฐ.ต่อไป” นายปฐมฤกษ์กล่าว

เผยตึกร.ร.ถูกยุบถูกปล่อยร้าง

นายอำนาจ สูงยิ่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ่อนอก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังจากเขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 สั่งยุบโรงเรียนบ้านละลอง หมู่ 6 เมื่อหลายปีก่อน ล่าสุดยังไม่มีหน่วยงานใดประสานงานมาที่ อบต.ให้เข้าใช้ประโยชน์จากตึกอาคารเรียนปูน 2 ชั้น ปัจจุบันชำรุดทรุดโทรม กลายเป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดกลุ่มวัยรุ่น ทราบว่าอาคารโรงอาหารได้ใช้เป็นที่ประชุมคณะกรรมการหมู่บ้าน ซึ่งโรงเรียนที่ถูกยุบควรมีการพิจารณาเพื่อให้ชุมชนใช้ในการทำประโยชน์ไม่ควรปล่อยทิ้งร้าง

ชายแดนใต้หนุนนโยบายศธ.

นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) เปิดเผยว่า การยุบโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น พบว่ามีโรงเรียนประถมจำนวนหนึ่งที่มีแนวโน้มนักเรียนลดลงทุกปี จนบางโรงเหลือเด็ก 20-30 คน แต่เด็กกลับไปเพิ่มจำนวนในโรงเรียนสอนศาสนาของเอกชน ทั้งนี้เห็นด้วยให้ยุบโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อง่ายต่อการดูแลและการรักษาความปลอดภัยบุคลากรทางการศึกษา ทาง สพป.ต้องเข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจกับชุมชนถึงความจำเป็น

นายประสิทธิ์ รัตนแคล้ว ผู้อำนวยการ สพป.นราธิวาส เขต 1 เปิดเผยว่า โรงเรียนในสังกัดที่อยู่ในเกณฑ์โรงเรียนขนาดเล็กนักเรียนน้อยกว่า 60 คน มี 2 แห่งคือ โรงเรียนบ้านโคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส และโรงเรียนบ้านจอเบาะ อ.ยี่งอ ยอมรับว่าเห็นด้วยกับนโยบายยุบโรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ เพราะมีครูไม่ครบตามกลุ่มสาระวิชา เด็กๆ จะมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อนในวงแคบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32770&Key=hotnews

 

ระทึก ‘เสริมศักดิ์’ จ่อลงดาบ ‘บิ๊ก สพฐ.’ ทุจริตสอบครูผู้ช่วย

21 พฤษภาคม 2556

ทีมข่าวเฉพาะกิจ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.56 นายพิษณุ ตุลสุข หัวหน้าผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดของ ศธ. กล่าวถึงผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตจัดสอบครูผู้ช่วยพบว่า ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 4 คน ได้แก่นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ., นายไกรเกษทัน อดีตผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลสพฐ. และนายสุเทพ ชิตยวงษ์ อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ.มีส่วนร่วมกระทำผิดทางวินัย กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และจากการสอบสวนกรรมการคุมสอบของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือสพป.อุดรธานี เขต 3 และสพป.ยโสธร เขต 1 พบทุจริตสอบและโพยคำตอบ พร้อมแจ้งให้ส่วนกลางรับทราบ แต่ผู้บริหาร สพฐ.ไม่ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และประกาศบรรจุเข้ารับราชการ ขณะที่ผู้สอบในพื้นที่มีคะแนนสูงผิดปกติ ทั้งนี้ จะสรุปผลเสนอต่อนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ และคาดว่าจะเสนอให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ รับทราบ พร้อมแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงผู้บริหาร สพฐ.ทั้ง 4 คน เมื่อวันที่ 20 พ.ค.56 ที่ผ่านมา ส่วนความผิดทางอาญาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) จะแจ้งเรื่องการเพิกถอนการบรรจุรับราชการครูผู้ช่วยของผู้ที่สอบได้คะแนนสูงผิดปกติจำนวน 344 คน ใน 119 เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้แต่ละเขตพื้นที่ดำเนินการเพิกถอนต่อไป

ด้านนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กรณีกรรมการสอบวินัยชุดที่มีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเสนอให้สอบวินัยร้ายแรง 4 ผู้บริหารระดับสูงของสพฐ.กรณีการทุจริตการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย โดยอ้างอิงรายงานของดีเอสไอว่า เบื้องต้นดีเอสไอสรุปการทุจริตเกี่ยวพันจากส่วนกลางลงไปในพื้นที่และมีผู้ร่วมกระทำผิด โดยสอบสวนหลายเรื่อง ซึ่งดีเอสไอยังไม่สรุปประเด็นที่จะสอบสวนเชิงลึก และเน้นดำเนินคดีอาญา แต่กรรมการชุดที่มีปลัดฯ ศึกษาธิการเป็นประธาน ก็ได้เรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบถามเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตนยังพิจารณารายงานดังกล่าวไม่หมด และกำลังดำเนินการให้เสร็จภายใน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม ต้องหารือ รมว.ศึกษาธิการด้วย แต่ชัดเจนว่าผลสรุปให้สอบวินัยร้ายแรงได้บางคน และบางคนต้องหาข้อมูลสอบเพิ่มเติม โดยเน้นการปกปิดข้อมูลการทุจริตการสอบ แต่กลับเร่งประกาศบรรจุครูผู้ช่วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32769&Key=hotnews

บอร์ด กคศ.ไฟเขียวขึ้นเงินเดือนครูผู้ช่วย เฮรับ 1.5 – 1.7 หมื่นบาท

21 พฤษภาคม 2556

ครูเฮ! บอร์ด ก.ค.ศ.ไฟเขียวขึ้นเงินเดือนตามวุฒิ ปี 56-57 ตามนโยบายปรับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท เผยครูผู้ช่วยบรรจุใหม่ สตาร์ต 15,050-17,690 บาท เตรียมคำนวณงบประมาณ ก่อนชงเข้า ครม.พิจารณา

เมื่อวันที่ 20 พ.ค.56 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติเห็นชอบตามที่ก.ค.ศ.เสนอร่างบัญชีอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.รับรองเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กับอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) รับรอง เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญรวมทั้งบัญชีเปรียบเทียบอัตราเงินเดือนและจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ก.ค.ศ.รับรองกับอัตราเงินเดือน และจำนวนเงินที่ได้ปรับตามคุณวุฒิที่ ก.พ.รับรอง ใช้บังคับในวันที่ 1 ม.ค.56

“การขึ้นเงินเดือนดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายการปรับเงินเดือน 15,000 บาทของรัฐบาล โดยในงบประมาณ พ.ศ.55 ได้มีการปรับเงินเดือนตามคุณวุฒิไปแล้วตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ยังไม่ถึง 15,000 บาท และได้กำหนดให้มีการปรับให้ครบในปี 56 และ 57 อย่างไรก็ตามจากนี้ ก.ค.ศ. จะต้องไปคำนวณจำนวนตัวเลขภาพรวม ว่าจะต้องของบประมาณเพิ่มอีกเท่าไหร่ และเสนอให้ครม.ตามลำดับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับร่างบัญชีอัตราเงินเดือนที่จะนำเสนอที่ประชุมก.ค.ศ.เห็นชอบได้กำหนดอัตราเงินเดือนบรรจุใหม่ ในอันดับครูผู้ช่วย ที่จะใช้บังคับดังนี้ ปี56 ได้แก่ ปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี เงินเดือน 13,470 บาท ปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี 14,300 บาท ประกาศนียบัตรบัณฑิตที่มีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรี หลักสูตร 4 ปี 14,300 บาท ปริญญาตรี หลักสูตร 6 ปี 16,570 บาท ปริญญาโททั่วไป16,570 บาท ปริญญาโทที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี 17,690 บาทและปริญญาเอก 20,320 บาท

สำหรับอัตราเงินเดือนที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค. 57 ได้แก่ ปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี 15,050 บาท ปริญญาตรีหลักสูตร 5 ปี 15,800 บาท ประกาศนียบัตรบัณฑิตที่มีหลักสูตรการศึกษาไม่น้อยกว่า 1 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรี หลักสูตร4 ปี 15,800 บาท ปริญญาตรี หลักสูตร6 ปี 17,690 บาท ปริญญาโททั่วไป 17,690 บาท ปริญญาโทที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี 18,690 บาท และปริญญาเอก 21,150 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าในการปรับเงินเดือนดังกล่าวจะมีการปรับให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเงินเดือน15,000 บาทด้วย โดยได้มีการจัดทำรายละเอียดไว้ในบัญชีเปรียบเทียบอัตราเงินเดือน ที่จะนำเสนอไปพร้อมกัน เช่น ผู้ที่มีคุณวุฒิปริญญาโทที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 2 ปี ต่อจากวุฒิปริญญาตรีที่มีหลักสูตรกำหนดเวลาศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี และมีเงินเดือนอยู่ในอันดับ คศ.4 มีอัตราเงินเดือนก่อนปรับวันที่ 1 ม.ค.56 จำนวน 24,400 บาทจะได้รับการปรับเงินเดือนในวันที่ 1 ม.ค.56 เป็น 27,090 บาท เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อที่ประชุม ก.ค.ศ.เห็นชอบในเรื่องนี้แล้วจะต้องเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติและจะต้องตั้งงบประมาณ ที่จะนำมาปรับเงินเดือนให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเหล่านี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32768&Key=hotnews

เงินแป๊ะเจี๊ยะสะพัดปีละ 5 พันล้าน ยอมควักดันลูกเข้าโรงเรียนดัง

20 พฤษภาคม 2556

มช.ศธ.เผยปี 56 ไม่มีเหตุร้องเรียนแป๊ะเจี๊ยะ ย้ำกำชับเป็นพิเศษเน้นความเท่าเทียมและยุติธรรม ขณะที่นายกสมาคมผู้ปกครองเครือข่าย แห่งชาติเผยตัวเลขสะพัดปีละ 5,000 ล้านบาท ยังไม่มีกฎหมายหรือนโยบาย ปราบปรามอย่างชัดเจน และเรื่องคดีแป๊ะเจี๊ยะ DSI กับสำนักงานป.ป.ช. เมิน ไม่รับฟ้อง

ปัญหา “แป๊ะเจี๊ยะ” เป็นปัญหาที่จะมีการนำเสนอข่าวกันอย่างครึกโครม ในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมของทุกปี จนอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นปัญหาเรื้อรัง และต่อเนื่อง มองไม่เห็นทางออก เพราะก่อนที่จะมีการเปิดภาคเรียนใหม่ของทุกปี จะต้องมีการร้องเรียนเรื่องแป๊ะเจี๊ยะทุกครั้ง และรัฐมนตรีศึกษาทุกคนก็จะประกาศว่าจะแก้ปัญหานี้ แต่เมื่อปีการศึกษาใหม่เวียนมาปัญหาก็เวียนกลับมาทุกที
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช. กระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า เรื่องของเงิน แป๊ะเจี๊ยะในปีนี้ยังไม่มีข่าวร้องเรียนเข้ามาที่กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้กระทรวงฯ ไม่มีการออกนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่จะกำชับ เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งมีการสื่อกันตลอดโดยให้ทางโรงเรียนรับนักเรียนอย่างถูกต้อง แต่อาจจะมีกลุ่มกรณีที่เป็นผู้อุปถัมภ์เคยช่วยโรงเรียนทำให้โรงเรียนต้องรับนักเรียนกลุ่มนี้บ้าง แต่หลักๆ จะให้รับนักเรียนโดยให้เกิดความเท่าเทียมกันและยุติธรรมที่สุด ซึ่งนอก จากนี้ ในเดือนพฤษภาคมจะมีการเปิดรับสมัครนักเรียนอีกรอบหนึ่งด้วยเพื่อจะเกลี่ยให้เด็กได้เข้าเรียนกันทั่วถึง

“กระทรวงศึกษาธิการอยากให้เด็กที่มีความรู้ความสามารถเข้าเรียนโดยเฉพาะโรงเรียนเกรดพรีเมี่ยม รวมถึงโรงเรียนมีการ คัดสรรพัฒนาเด็กเก่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นโรงเรียนทั้งหลายคงไม่หวังที่จะมีรายได้ส่วนหนึ่งที่จะเข้าให้กับสมาคมฯ ทั้งนี้ เรายังยึด ถือให้มีการสอบตามกฎเกณฑ์ต่างๆ รวมถึงอยากได้คนดีมากกว่าด้วย”

นายคมเทพ ประภายนต์ นายกสมาคม ผู้ปกครองเครือข่ายแห่งชาติ และคณะกรรมการภาคีเครือข่ายผู้ปกครองเพื่อความเป็นธรรมทางการศึกษา เปิดเผยว่า ณ ขณะ นี้ยังไม่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการเรียกเงินกินเปล่าหรือแป๊ะเจี๊ยะเข้ามากับทางสมาคมฯ ซึ่งไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยเพราะทางโรงเรียน ไม่ได้ให้บุคคลภายนอกเข้าไปยุ่ง ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2554 ได้เก็บสถิติไว้พบว่าโรงเรียนในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานประมาณ 34,000 แห่ง ปรากฏว่ามีโรงเรียนที่รับแป๊ะเจี๊ยะประมาณ 300 แห่ง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ โรงเรียนดังประมาณ 5-6 แห่ง โดยจำนวนเงินหมุนเวียนแป๊ะเจี๊ยะ ในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดเรียกเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะเพิ่มสูง ขึ้นทุกปี เช่น โรงเรียนดังบางแห่งเคยเรียกเก็บ แป๊ะเจี๊ยะในหลักหมื่นแต่ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็นหลักแสนบาท โดยสาเหตุที่ผู้ปกครอง ต้อง ยอมจ่ายแป๊ะเจี๊ยะเพราะต้องการให้ลูกหลาน เข้าเรียนโรงเรียนดังๆ แต่เนื่องจากทำคะแนน ได้น้อยหากจะเข้าเรียนในโรงเรียนได้ต้องจ่าย เงินเพื่อแลกกับที่นั่งเข้าเรียนในรูปแบบบริจาค ให้กับทางสมาคมผู้ปกครองใครให้เงินมากกว่าก็จะได้เข้าเรียน อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินแป๊ะเจี๊ยะก็จะมีใบเสร็จให้ด้วย ทั้งนี้ การทำเช่นนี้เป็นทางโรงเรียนอ้างว่าโรงเรียนได้รับการกระจายอำนาจตามกฎหมาย

“เรื่องของแป๊ะเจี๊ยะนั้น เราได้ส่งเรื่อง ไปที่ DSI แต่ไม่ได้รับเรื่องไว้เพราะอ้างว่าไม่ ใช่คดีพิเศษ รวมถึงส่งข้อมูลไปให้ทางสำนัก งานป.ป.ช. แต่เรื่องก็ถูกหมกไว้ โดยคดีที่ส่งไปเป็นโรงเรียนดัง 5 แห่ง อาทิ ร.ร.ย่านราชดำเนิน เกียกกาย หรือรามคำแหง แต่เรื่องก็ไปไม่ถึงไหน ทั้งนี้ เราคิดว่ามีขบวนการเดียว ที่น่าจะพึ่งได้คือขบวนการศาลยุติธรรม”

นายคมเทพ กล่าวว่า ผลของแป๊ะเจี๊ยะ มีผลเสียมหาศาลเพราะเงินไม่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษาอาจจะเข้าไปในกระเป๋าส่วนตัว ทั้งนี้ แป๊ะเจี๊ยะถือเป็นที่มาของการคอร์รัปชั่นโกงกินชาติที่สำคัญ และที่จริงเด็กทุกคนได้สิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่ป.1-ม.6 เป็นไปตามกลไกของกฎหมายรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายลูก, พ.ร.บ.การศึกษาและมีมาตรา กฎหมายสิทธิมนุษยชน มาตรา 22 รองรับอีกด้วย ซึ่งทำให้แป๊ะเจี๊ยะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายได้

ที่มา: http://www.siamturakij.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32765&Key=hotnews

สพฉ.แนะวิธีปฐมพยาบาลเด็กติดอยู่ในรถ-ย้ำผู้ปกครองอย่าทิ้งเด็กไว้ทุกกรณี

20 พฤษภาคม 2556

สพฉ. แนะวิธีปฐมพยาบาลเด็กติดอยู่ในรถเบื้องต้น ย้ำผู้พบเหตุให้รีบโทร.แจ้งสายด่วน 1669 หากเด็กหยุดหายใจให้ทำการฟื้นคืนชีพจนกว่าเจ้าหน้าที่จะให้การช่วยเหลือ ชี้ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยเด็กทิ้งไว้ในรถทุกกรณี… จากกรณีการเสียชีวิตของน้องเอยที่ติดอยู่ในรถโรงเรียนนานร่วมหลายชั่วโมงเพิ่ง ผ่านพ้นไปได้เมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดได้เกิดเหตุซ้ำในแบบเดียวกันอีกกับ ด.ช.สุริยการ พากัน หรือน้องพ็อตเตอร์ อายุ 3 ขวบ นักเรียนชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนอนุบาลอุทุมพรวิทย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับความร้อนสูงเกินขนาดโดยน้องพ็อตเตอร์ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาด เจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี ระบุอย่างชัดเจนว่า เด็กที่ติดในรถส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจหากแต่เสียชีวิต เพราะความร้อนที่อยู่ในรถมีอากาศสูง โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนเด็กไม่สามารถอยู่ได้ ยิ่งนานเกิน 10 นาที ร่างกายของเด็กจะแย่ และภายใน 30 นาทีเด็กอาจหยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงานจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแหงชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า หากท่านพบเห็นเหตุการณ์เด็กติดอยู่ในรถเป็นเวลานานและเป็นผู้เข้าให้การช่วยเหลือเด็กที่หมดสติหรือหยุดหายใจสิ่งแรกที่ท่านจะต้องทำคือโทร.แจ้งสายด่วน 1669 เพื่อประสานเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาทำการช่วยเหลือเด็กให้ได้อย่างทันท่วงที และในระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่เข้าให้การช่วยเหลือจะต้องรีบนำเด็กออกมาจากรถ และนำไปอยู่บนพื้นราบที่อากาศปลอดโปร่งพร้อมกับทำการฟื้นคืนชีพ (CPR) เบื้องต้นในเด็ก ซึ่งการทำ CPR ในเด็กเล็กจะแตกต่างกับการทำ CPR ในผู้ใหญ่เล็กน้อย โดยมีขั้นตอนการทำ CPR ดังนี้ คือเมื่อปลุกเรียกแล้วสังเกตว่าเด็กส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวหรือไม่ ถ้าไม่ตอบสนอง ให้ทำการฟื้นคืนชีพทันทีจนครบ 2 นาที ก่อนร้องขอความช่วยเหลือโดยโทร. 1669 และอย่าทิ้งเด็กไว้ลำพัง จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง ทั้งนี้ ถ้าหากเด็กเกิดอุบัติเหตุจนอาจได้รับอันตรายที่กระดูกสันหลังให้ยกเว้นการเคลื่อนย้าย หรือปฏิบัติตามคำแนะนำของศูนย์นเรนทร 1669 เลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อว่า การปฏิบัติการกู้ชีพในเด็กก่อนทีมรถพยาบาลจะมาถึงนั้นให้กดหน้าอกของเด็กโดยวางส้นมือข้างหนึ่งไว้ตรงกลางหน้าอก ระดับราวนมและใช้มืออีกข้างหนึ่งวางบนหน้าผากของเด็กพยายามให้เด็กหงายหน้าขึ้นเพื่อเปิดทางเดินหายใจ กดหน้าอกให้กดลงไประหว่าง 1/3 ของความลึกของหน้าอก ซึ่งการกดหน้าอกจะต้องทำ 30 ครั้ง กดแต่ละครั้งต้องเร็วและไม่มีการหยุด ทั้งนี้ให้ทำไปจนกว่าเจ้าหน้าที่รถพยาบาลจะเข้ามาให้ความช่วยเหลือและนำเด็กส่งต่อไปยังโรงพยาบาล “อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่หรือคุณครูจะต้องดูแลเด็กๆ ให้ดี โดยไม่ควรปล่อยเด็กไว้ในรถตามลำพัง ถึงแม้จะแง้มกระจกรถไว้ก็ไม่ควรทำทุกกรณี เมื่อท่าจะต้องลงจากรถเพื่อไปทำธุระก็ควรนำเด็กลงไปด้วย และคุณครูก็ควรจัดทำรายชื่อของเด็กที่ขึ้นมาในรถ และก่อนลงรถควรเช็กรายชื่อของเด็กๆ ทุกคนดูอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเด็กลงจากรถครบแล้วทุกคนหรือไม่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ขึ้นอีก” นพ.อนุชา กล่าว.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32764&Key=hotnews