เครือข่ายพลเมืองเน็ตวอนรัฐ ป้องข้อมูลส่วนตัวเด็ก

7 มิถุนายน 2556

เครือข่ายพลเมืองเน็ต แนะภาครัฐเร่งหามาตรการปกป้องความเป็นส่วนตัวด้านข้อมูลบนโลกออนไลน์ ชี้ นักเรียนนักศึกษาอ่อนไหวมีความเสี่ยงสูงสุด หลังพบผู้ให้บริการคลาวด์ฯ บางรายแสวงหากำไร

เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network) และองค์กร Safe Gov จัดเสวนาโต๊ะกลม เพื่อหารือเกี่ยวกับ “สิทธิส่วนบุคคลออนไลน์ ประเด็นที่ต้องทบทวนในทุกภาคส่วนของสังคม”

ดร.นคร เสรีรักษ์ ที่ปรึกษานโยบายของเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า บริการคลาวด์ฯ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ เพราะผู้ให้บริการมักนำเสนอระบบที่เอื้อให้ผู้ใช้งานรายบุคคลและองค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลในระบบประมวลผลตามความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ให้บริการบางรายได้แสวงหาประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าและมีการจำหน่ายข้อมูลเหล่านั้นเพื่อการพาณิชย์และเป้าหมายอื่น ดังนั้น เครือข่ายพลเมืองเน็ตและแนวร่วมนักวิชาการด้านสิทธิส่วนบุคคล อยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อเสนอกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร กำหนดแนวทางควบคุมการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย โดยจะเน้นพิเศษไปยังสถานศึกษาเป็นหลัก

“มหาวิทยาลัยและโรงเรียน เป็นแหล่งข้อมูลที่อ่อนไหว ทั้งข้อมูลด้านการเรียนและอีเมลส่วนตัว บริษัทเอกชนผู้ให้บริการคลาวด์ฯ กำลังใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพของการทำกำไรทางธุรกิจที่ต้องแลกกับสิทธิส่วนบุคคลของนักเรียนนักศึกษาเหล่านี้ ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อยับยั้งการทำธุรกิจในลักษณะนี้ด้วย” ดร.นคร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันข้อมูลข่าวสารจะเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์หมด บางครั้งการยินยอมให้มีการเข้าถึงข้อมูลแค่เพียงมุ่งหวังเพื่อจะเข้าใช้บริการเท่านั้น ดังนั้นผู้บริหารโรงเรียนจะต้องกำหนดแนวทางในการทำงานให้แก่ผู้ให้บริการคลาวด์ฯ อย่างชัดเจน และทำข้อตกลงในการใช้ข้อมูลของนักเรียนเฉพาะเพื่อการศึกษาเท่านั้น เป็นต้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32949&Key=hotnews

ศธ.ห่วงเด็กติดไอโฟนงอมเสี่ยง!เล่นเฟซฯ-ไลน์

7 มิถุนายน 2556

ตะลึง! “สสค.” เผยผลสำรวจ “ชีวิตเด็กไทยใน 1 วัน” พบวัยรุ่นติดมือถืองอมแงมกระหน่ำเล่นเฟซบุ๊ก-ไลน์ เผย 40 เปอร์เซ็นต์ อยู่ไม่ได้หากไม่ได้เล่น เสี่ยงภัยคุกคามทางเพศ อยู่กับครอบครัวลดลงเผยครูเอาใจใส่เด็กน้อยจนเกิดการเรียนแบบไม่รู้ คัดลอกข้อมูลมาแปะส่ง สะท้อนมีปริญญาแต่ไร้ปัญญา แนะทุกฝ่ายช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

ที่โรงแรมปริ๊นพาเลซ มหานาคเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.56 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)จัดเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต”ซึ่งมีผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาจำนวน 150 คน เข้าร่วม

โดย นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.ถือเป็นองค์กรหลักขนาดใหญ่ ที่รับผิดชอบเด็กกว่า 7 ล้านคน และบุคลากรครูอีก 4 แสนคนดังนั้นการขับเคลื่อนการศึกษา จึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจถึงวิธีการและเป้าหมายหากทำงานเป็นแบบต่างคนต่างทำ การศึกษาคงไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องมีการพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วยซึ่งอยากให้มีการดำเนินการตามนโยบายของ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ที่ต้องการให้นำรูปแบบการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ ที่ประสบความสำเร็จไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆเพราะเชื่อว่าจะทำให้การศึกษาไปสู่เป้าหมายที่สูงขึ้นได้

ขณะเดียวกัน จะทำอย่างไรให้การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนนั้นลดเนื้อหาลง แต่เพิ่มการคิดวิเคราะห์ของเด็กให้มากขึ้น รวมถึงการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม เพราะขณะนี้ยังไม่มีการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งจะต้องทำให้เป็นแนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเนื่องจากมีตัวชี้วัดว่าปัญหาอาชญากรรมยาเสพติด และพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กกลับเพิ่มมากขึ้น

ด้าน นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาวิชาการสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.) กล่าวว่า สสค.ได้ทำการสำรวจในโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กในหัวข้อ “1 วันในชีวิตเด็กไทย” เมื่อเดือนม.ค.56 ที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่าง 3,058 คน ทั้งในกทม. และต่างจังหวัด พบสิ่งที่น่าสนใจว่า พฤติกรรมเด็กไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและเปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าที่ระบบการศึกษาไทยจะไล่ตามทัน

สำหรับวงจรชีวิตของเด็กไทยใน 1 วัน จะเริ่มตื่นนอนตั้งแต่เวลา 06.18 น.และเข้านอนในเวลา 22.21 น. วันหยุดจะนอน 23.39 น. เฉลี่ยเด็กไทยมีเวลานอนเฉลี่ย 7-8 ชั่วโมง ถือว่าเด็กไทยมีเวลานอนไม่น้อย ที่น่าสนใจพบว่าสิ่งแรกที่เด็กส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 51.1 ทำ
หลังตื่นนอนคือ การเช็กโทรศัพท์มือถือและสิ่งสุดท้ายที่เด็กร้อยละ 35 ทำก่อนนอน คือใช้โทรศัพท์มือถือเล่นเฟซบุ๊กและไลน์ (Line) ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันเด็กไทยอยู่กับสื่อมากขึ้น ตัวเลขเด็กที่ใช้โทรศัพท์มือถือ พุ่งพรวด 2-3 เท่าใน 1 ปี

ทั้งนี้ เพราะในโทรศัพท์มือถือมีทุกสิ่งที่เด็กต้องการทั้งอินเตอร์เน็ตเฟซบุ๊ก ไลน์ กล้องถ่ายรูป โดยเด็กร้อยละ 75.7 เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กบ่อยถึงประจำ ซึ่งนักเรียนหญิงจะเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กมากกว่านักเรียนชายและยังพบเด็กร้อยละ 20.3 ใช้มือถือระหว่างคาบเรียนบ่อยถึงประจำ เด็กร้อยละ 42.5 รู้สึกทนไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียวโดยไม่มีโทรศัพท์และเด็กร้อยละ 28.7 โดยเฉพาะเด็กชายระบุว่า เคยถูกคุกคามทางเพศจากเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันทางโซเชียลมีเดีย

นายอมรวิชช์ กล่าวต่อว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็กไทยขณะนี้เปลี่ยนไปมาก ต่างตกอยู่ในภาวะที่ต้องการความรัก ความใส่ใจจากครูมากขึ้น แต่เมื่อดูจากความเป็นจริงจะพบว่าระบบการศึกษาไทย ทำให้ครูมีเวลาให้แก่เด็กน้อยลง เพราะครูยุ่งอยู่กับภาระงานที่ไม่ใช่เรื่องการสอนค่อนข้างมาก จึงทำให้เด็กขาดที่พึ่ง และออกไปเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่อง เพศ ความรุนแรงอบายมุข และสื่อไม่ดี ทั้งที่เด็กไทยยังขาดทักษะชีวิตอีกมาก เพราะครูมัวแต่สอนเรื่องวิชาการมากกว่า เด็กจึงเรียนรู้ด้วยระบบที่เรียนแบบไม่รู้ แบบ copy/paste หรือคัดลอกข้อมูลมาแปะส่งงาน

“จากการสำรวจข้อมูลเด็กไทย3,000 กว่าคนทั่วประเทศ เกี่ยวกับ 1 วันในชีวิตเด็กไทย พบว่า เด็กทำการบ้านด้วยการ copy/paste ถึงร้อยละ 45.7 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอีกหน่อย เราจะผลิตคนซึ่งเรียนแบบไม่รู้เยอะมาก และยังมีข้อมูลระบุด้วยว่า เด็กที่เกิดปีเดียวกัน 8 แสนคน เรียนจบระดับอุดมศึกษาเพียง 2-3 แสนคนเท่านั้น ที่เหลือมีวุฒิแค่ ม.6 ม.3 หรือต่ำกว่านั้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการสอนที่เน้นแต่วิชาการมันตอบโจทย์เด็กแค่ 3 ใน 10 คนเท่านั้น จึงถึงเวลาแล้วที่โจทย์การศึกษาต้องถูกยกระดับ และเปลี่ยนไปเป็นโจทย์เพื่อการมีชีวิตและการมีงานทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันทั้งภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่นจะปล่อยให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ทำเพียงลำพังไม่ได้ และไม่ควรปล่อยให้การศึกษาไทย เป็นเหมือนกบอยู่ในหม้อน้ำร้อน เพราะเรามีอนาคตประเทศชาติเป็นสิ่งเดิมพัน ถ้าผลิตคนออกมาทั้งระบบเป็นคนที่ไม่รู้ มีแต่ใบปริญญาไม่มีปัญญาประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเลิกการทะเลาะและวิจารณ์กัน ควรช่วยกันและขยายผลสิ่งที่ประสบความสำเร็จไปในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป” นายอมรวิชช์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32948&Key=hotnews

ส.ค.ศ.ท.ห่วงอุดมศึกษาผลิตครูล้น จี้ศธ.ปรับแผนเพิ่มสาขาขาดแคลน-เทียบโอน

6 มิถุนายน 2556

นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมอธิการบดีและคณบดีใน สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู 5 ปี ที่มีนายพงศ์ เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน มีมติให้สถาบันฝ่ายผลิตพิจารณาทบทวนแผนการผลิต เนื่องจากผลการสำรวจก่อนหน้านี้พบว่า บางสาขาวิชายังคงมีจำนวนผู้เรียนเกินความต้องการ ซึ่งจะทำให้บาง สาขาวิชาที่ขาดแคลนอยู่แล้วจะขาดแคลนต่อไป

ทางส.ค.ศ.ท.จึงสำรวจจำนวนผู้เรียนสายครูชั้นปีที่ 1-5 จากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนจนถึงปีการศึกษา 2560 พบว่า จะมีผู้สำเร็จรวมทั้งสิ้น 259,522 คน จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 240,000 คน จึงสรุปได้ว่า สาขาวิชาที่มีผู้เรียนเกินความต้องการจำนวนมากขึ้นอย่างน่า ตกใจ ส่วนสาขาที่คาดว่าจะขาดแคลนก็ยังมีผู้เรียนน้อยตามเดิม

ประธาน ส.ค.ศ.ท. กล่าวต่อว่า ปัญหานี้เกิดจาก ศธ. ไม่มีข้อมูลความต้องการที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน ที่สำคัญหลังจากกรมการฝึกหัดครูถูกยุบ ก็ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบแผนส่งผลให้ต่างคนต่างผลิต จึงขอวิงวอนคณบดีและอธิการบดีหยุดรับผู้เรียน เพียงเพื่อหวังเป้าหมายทางงบประมาณโดยไม่ห่วงใยลูกศิษย์ ตลอดจนความเป็นวิชาชีพชั้นสูง เพราะหากเรียนครูแล้วตกงาน เพราะอัตราครูเกษียณอายุราชการอยู่ที่ประมาณ 100,000 คน แต่คาดว่าจะได้อัตราทดแทนเพียง 20,000 คน แล้วจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้อย่างไร

“ดังนั้นสถานศึกษาควรลดหรืองดรับผู้เรียนในสาขาวิชาที่เกินความต้องการ หรือโอนผู้เรียนไปเรียนในสาขาวิชาขาดแคลน ตามความพร้อมของสถาบันฝ่ายผลิตและความสมัครใจของผู้เรียน ตลอดจนสนับสนุนให้บัณฑิตเรียนเพิ่มในสาขาวิชาที่ขาดแคลนอีกสาขาหนึ่ง และเปิดโอกาสให้สถาบันฝ่ายผลิตเทียบโอนหรือโอนย้ายนักศึกษา รวมทั้งรับบัณฑิตปริญญาอื่นเข้าเรียนในสาขาวิชาที่มีความขาดแคลน หรือเข้าเรียนในระดับป.โท ทางการสอน” นายสุรวาทกล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 7 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32940&Key=hotnews

พลิ้วประกาศ ศธ.เด็กร้องสายด่วน! จี้ ร.ร.เลิกไถเกรียน

6 มิถุนายน 2556

นายประแสง มงคลศิริ เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตามที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ ได้มีหนังสือสั่งการถึงหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานศึกษาในสังกัด เพื่อซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียน โดยให้นักเรียนชายเลิกไถเกรียนและไว้ผมรองทรงได้ แต่ความยาวด้านหลังต้องไม่เกินตีนผม ส่วนนักเรียนหญิงให้ไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้กรณีไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย โดยให้สถานศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนเป็นแนวทางทางเดียวกัน และหากสถานศึกษาใดใม่ปฏิบัติตามให้ร้องเรียนมาที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นั้นล่าสุดพบว่ามีการร้องเรียนจากผู้ปกครองและนักเรียน ผ่านสายด่วนการศึกษา 1579 กรณีดังกล่าว 38 เรื่องส่วนใหญ่ระบุว่าโรงเรียนยังใช้ระเบียบเดิม โดยบังคับนักเรียนไถเกรียน ขณะที่สถานศึกษาบางแห่งปกติอนุญาตให้นักเรียนหญิงไว้ผมยาวแล้วรวบผมเรียบร้อย แต่หลัง ศธ.ออกประกาศกลับให้นักเรียนตัดผมสั้น รมว.ศึกษาธิการ จึงได้มอบหมายให้ สพฐ.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมแจ้งย้ำให้ปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันอีกครั้ง

นายชินภัทร ภูมิรัตน  เลขาธิการกพฐ. กล่าวว่า โรงเรียนบางแห่งที่มีแนวปฏิบัติด้วยการเน้นความเป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียนก็ทำได้ และขึ้นอยู่กับการพิจารณาของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในโรงเรียน ส่วนนักเรียนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวปฏิบัติของโรงเรียน สามารถเสนอความเห็นผ่านคณะกรรมการภาคีเครือข่ายฝ่ายต่างๆ จะทำให้เรื่องจบได้ภายในโรงเรียน ทั้งนี้ การที่โรงเรียนจะกำหนดเกี่ยวกับทรงผมนักเรียน ควรให้ทุกฝ่ายอาทิ นักเรียน ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32939&Key=hotnews

สมัครซ้ำถูกตัดสิทธิ์สอบครูผู้ช่วย 30 ราย

6 มิถุนายน 2556

ศึกษาธิการ * “ชินภัทร” เผยสอบครูผู้ช่วยทั่วไป 56 ยังไม่มีรายงานส่อทุจริต แต่พบผู้สอบ 30 รายส่อถูกตัดสิทธิ์ เพราะทำผิดเกณฑ์ไปสมัครหลายที่ พร้อมส่งรายชื่อให้เขตพื้นที่ฯ เชือด

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งมียอดสมัครประมาณ 84,000 คน และจะเปิดสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนนี้ ว่า คณะกรรมการตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครสอบแข่งขันได้ตรวจสอบรายชื่อผู้สมัครสอบ จากรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบด้วยหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่เขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบได้ส่งข้อมูลมาให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่ามีผู้สมัครสอบเกินกว่า 1 แห่ง จำนวน 30 ราย และยังพบว่าผู้สมัครสอบแข่งขันมีชื่อ-นามสกุลซ้ำกัน แต่หมายเลขบัตรประชาชนไม่ซ้ำกัน จำนวน 77 ราย แบ่งเป็นสมัครภายในเขตพื้นที่การศึกษาเดียวกัน 5 ราย และสมัครต่างเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 72 ราย โดยจะแจ้งข้อมูลให้เขตพื้นที่ฯ ที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ที่กำหนดให้สมัครสอบแข่งขันได้เพียงเขตพื้นที่การศึกษาเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์

“กลุ่มผู้สมัครสอบแข่งขันมีชื่อ-นามสกุลซ้ำกัน แต่หมายเลขบัตรประชาชนไม่ซ้ำกันนั้น อาจจะเป็นเพราะชื่อซ้ำกันและเป็นคนละคนได้ ซึ่งจะต้องให้เขตพื้นที่ฯ ไปดำเนินการพิจารณาตรวจสอบกันต่อไป อย่างไรก็ดี ผลติดตามสถานการการสอบแข่งขันได้รับรายงานจากคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ การสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 พบว่าเหตุการณ์ทั่วไปเป็นปกติ และยังไม่มีรายงานว่าเขตพื้นที่ฯ ใดมีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต หรือมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขัน จัดกวดวิชาแต่อย่างใด” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32938&Key=hotnews

องค์การค้าฯ ร่วมประมูลแทบเล็ต

6 มิถุนายน 2556

ศึกษาธิการ : องค์การค้าฯเสนอตัวเข้าร่วมประมูลแทบเล็ต ป.1 และ ม.1 ประจำปีการศึกษา 2556 โดยดึงบริษัทจากจีนเป็นคู่ค้าร่วมประมูล เนื่องจากเงินลงทุนมีไม่มาก

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและ สวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เห็นชอบในหลักการตามที่ สกสค. เสนอที่จะเข้าร่วมประมูลการจัดซื้อคอมพิวเตอร์พกพาหรือแทบเล็ตของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยม-ศึกษาปีที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2556 แต่เนื่องจากองค์การค้าฯไม่มีเงินลงทุนมากพอจึงต้องหา คู่ค้าร่วม

ในครั้งนี้องค์การค้าฯได้เสนอรายชื่อคู่ค้าร่วม ซึ่งเป็นบริษัทจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 3 บริษัท อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้องค์การค้าฯจะต้องไปคุยกับทั้ง 3 บริษัทเกี่ยวกับข้อตกลงและพิจารณาว่าบริษัทใดจะทำประโยชน์ให้แก่องค์การค้าฯ ได้มากที่สุด เพื่อคัดเลือกให้เหลือ 1 บริษัทที่จะร่วมกับองค์การค้าฯ ประมูลแทบเล็ตในครั้งนี้

“การเข้าร่วมประมูลไม่ใช่เรื่องเสียหาย บอร์ดจึงพิจารณาว่าควรเปิดโอกาสและให้สิทธิแก่องค์การค้าของ สกสค. ที่จะเข้าประมูลได้เช่นเดียวกับการประมูลเพื่อทำงานอื่นที่เกี่ยวกับภารกิจโดยตรง เพียงแต่กรณีนี้เมื่อต้องมีบริษัทคู่ค้ามาร่วมจึงต้องนำมาเสนอต่อที่ประชุม และเมื่อเลือกแล้วต้องเสนอเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งก่อนจะเข้าร่วมประมูลด้วย”

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32937&Key=hotnews

 

คอลัมน์: รายงาน: อาชีวะ จับมือ กฟผ. สานต่อโครงการชีววิถีฯตามแนวพระราชดำริ สู่ชุมชน

6 มิถุนายน 2556

ณพาภรณ์ ปรีเสม 
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดงาน EGAT CSR DAY กฟผ. ปี 2556 ร่วมทำดี 44 ปี กฟผ. จะรักและดูแลกันตลอดไป เมื่อวันที่ 20-22 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมา ภายในงานมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน มุ่งนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา และขยายองค์ความรู้สู่ชุมชนโดยกฟผ. ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ

“…สิ่งสำคัญคือเราพออยู่พอกิน อุ้มชูตัวเราได้ให้มีความพอเพียงแก่ตัวเอง พึ่งตนเองได้ หมายความว่าให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน มีความเป็นอยู่อย่างประมาณตน มีกินมีใช้ตามอัตภาพ แล้วที่เหลือจึงจะขายเป็นรายได้ต่อไป…” พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง”เศรษฐกิจพอเพียง” พระราชทานเมื่อวันที่4 ธันวาคม 2540 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มุ่งมั่นสืบสานพระราชปณิธานในเรื่องนี้ มาดำเนินการจัดตั้ง “โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ร่วมกับ สอศ. ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 โดยการน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ การปลูกพืช(กสิกรรม) การเลี้ยงปลาในบ่อขนาดเล็ก (ประมง) การเลี้ยงไก่ไว้กินไข่ (ปศุสัตว์)และการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้จุลินทรีที่มีประสิทธิภาพ (สิ่งแวดล้อม) เป็นเครื่องช่วยให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ขยายผลสู่ครัวเรือน สู่ชุมชน สังคมเมือง องค์กรภาครัฐและเอกชนโดยดำเนินการในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมง กลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ กลุ่มวิทยาลัยเฉพาะทาง และกลุ่มวิทยาลัยเทคโนโลยีและการจัดการ ให้คณาจารย์ นักเรียน นักศึกษา มีการเรียนการสอนและจัดทำโครงการเพื่อความรู้จริงปฏิบัติจริงของนักศึกษาแล้วนำไปถ่ายทอดและขยายผลไปยังสถาบัน โรงเรียน ชุมชนประชาชน เกษตรกร ต่อไป

วิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิ ส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพใน 4 กิจกรรม คือ การเพาะปลูก, การเลี้ยงสัตว์น้ำ, ปศุสัตว์ และการรักษาสิ่งแวดล้อม,เป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้ในการทำเกษตรกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงฯ เพื่อที่ขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โครงการชีววิถีฯตามแนวพระราชดำริมีวิทยาลัยสังกัด สอศ. ทำหน้าที่ศูนย์ประสานงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับภาค 4 แห่ง เพื่อประสานการดำเนินงาน และติดตามประเมินผลการดำเนินงานประจำปี ทั้งระดับภาค และระดับประเทศเพื่อคัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่น เข้ารับรางวัลจาก กฟผ. และเผยแพร่ผลการดำเนินงานในระดับประเทศ

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้สัมภาษณ์ว่า สอศ.ได้ร่วมดำเนินโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กับ กฟผ. มากว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา ซึ่งนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาสังกัด สอศ. ได้ประโยชน์จากโครงการชีววิถีฯ มากมายสำหรับในปีนี้ สอศ. มีนโยบายที่เน้นการดำเนินการ 2 เรื่อง ได้แก่ เรื่องเกษตรธรรมชาติและเรื่องการนำจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้สิ่งที่ทาง สอศ. ได้ดำเนินการในกลุ่มวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกลุ่มวิทยาลัยการอาชีพ กลุ่มวิทยาลัยเฉพาะทาง และกลุ่มวิทยาลัยเทคโนโลยี และ การจัดการทั้ง 90 กว่าแห่งทั่วประเทศ ได้นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวไปประยุกต์ใช้จัดการเรียนการสอน ซึ่งเป็นภารกิจหลักของ สอศ. โดยการนำแนวคิดนี้สู่การ ปฏิบัติในสถานศึกษา ให้นักเรียน นักศึกษาได้ปฏิบัติจริงโดยใช้พื้นที่ของสถานศึกษา และเรื่องการเผยแพร่นวัตกรรมเทคโนโลยีสู่ชุมชนโดยใช้พื้นที่ของสถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ สอศ.ได้ดำเนิน ตามรอยพระยุคลบาทด้วยใจเต็มร้อยพร้อมยืนยันที่จะดำเนินโครงการชีววิถีฯ ร่วมกับกฟผ. ต่อไปเพื่อเป็นประโยชน์ต่อนักเรียน นักศึกษา และชุมชน

ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ. ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า โครงการชีววิถีเพื่อ การพัฒนาอย่างยั่งยืน กฟผ. ดำเนินการมานานแล้วมีผลสำเร็จเป็นรูปธรรมเพราะมองว่าสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรมเหมาะสมกับการนำแนวทางชีววิถีมาประ ยุกต์ใช้ โดยการดำเนิน โครงการชีววิถีฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนองพระราชดำริเรื่องเศรษฐ กิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ลดการพึ่งพาสารเคมีลดการพึ่งพิงปัจจัยภาย นอกลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม กฟผ.จะทำองค์ความรู้ผลสำเร็จให้ครู นักเรียน นักศึกษาสังกัด สอศ.และชุมชนได้ทดลองคิด ค้นสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ในด้านชีวภาพเพื่อความเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ทางกฟผ. ยินดีให้ความร่วมมือกับสถานศึกษาสังกัด สอศ.โดยความ ร่วมมือนี้นำไปสู่การขยายองค์ความรู้สู่ชุมชนต่อไป ซึ่งมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี
โอกาสนี้ยังมอบรางวัลชนะเลิศผลการดำเนินงานโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระดับประเทศ ประจำปี 2555 ประเภทที่ 1 การดำเนินการในวิทยาลัย ได้แก่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสระแก้วประเภทที่ 2 วิทยาลัยขยายผลสู่ชุมชนดีเด่นได้แก่ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ประเภทที่ 3 นักศึกษาปัจจุบันในระบบนำไป ใช้ได้ผล ได้แก่ นายนิยม ก้องพัฒนาไพรสณฑ์ นักศึกษาวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงใหม่ ประเภทที่ 4 ราษฎรนำความรู้ที่ได้รับจากวิทยาลัยไปใช้ และได้ผลดีเยี่ยม นางสาวจุไรรัตน์ เพ่งพิศ เกษตรกรต.วังมะ ปรางเหนือ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง ประเภทที่ 5 ชุมชนที่ได้รับความรู้และใช้ได้ ผลดีเยี่ยมได้แก่ ชุมชนบ้านห้วยแดง ต.ฝางคำ อ.สิรินธรจ.อุบลราชธานี โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี ประเภทที่ 6 โรงเรียนที่ได้รับการขยายผลจากวิทยาลัยและใช้ได้ผลดีเยี่ยม ได้แก่ โรงเรียนบ้านท่าล้ง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี ประเภทที่ 7 การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ ได้แก่ ถังหมักอีเอ็มสะดวกใช้ โดยวิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยีมหาสารคามและประเภทที่ 8 งานวิจัยและนวัตกรรมในโครงการชีววิถีฯ ได้แก่ การใช้อาหารสูตรต่างกันผสมจุลินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพ (EM)ในการเพาะเลี้ยงไรแดง โดยวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32936&Key=hotnews

‘สวนดุสิต’ เร่งปรับกลยุทธ์สร้างความอยู่รอด

6 มิถุนายน 2556

รศ.ดร.ศิโรจน์  ผลพันธิน อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวถึงแนวทางการบริหารมหาวิทยาลัย ว่า การ บริหารมสด.มีรูปแบบการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ทีมคือ ทีมกลยุทธ์ มีหน้าที่วางแผนและกำหนดกลยุทธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ และทีมบริหารทำหน้าที่นำกลยุทธ์มาดำเนินการให้เป็นไปตามแผน ซึ่งทั้ง 2 ทีมจะมีวิธีคิดที่แตกต่างกันแต่จะร่วมกันทำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ การบริหารงานของมสด.คำนึงถึงเรื่องความอยู่รอดเป็นสำคัญ โดยได้กำหนดภาพอนาคตว่าจะไปทางไหน และนำความเข้มแข็งและความเชี่ยวชาญที่เป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมาพัฒนาให้มีความเป็นเลิศ ด้วยการปรับหลักสูตรให้มีความน่าสนใจและรองรับความต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน

“การบริหารงานของมสด. ต้องการสร้างให้องค์กรมีความมั่งคั่ง ทั้งสติปัญญา ความคิด และนวัตกรรมต่างๆ โดยมสด.ได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง คือเน้นเพิ่มขีดความสามารถของบัณฑิตในสาขาที่เป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยทั้ง 4 ด้านคือ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการบริการ การศึกษาปฐมวัย และพยาบาลผู้ดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ตลอดจนพัฒนามหาวิทยาลัยให้มีความเข้มแข็งเพื่อเตรียมพร้อมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน” อธิการบดี มสด.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32935&Key=hotnews

สกอ.นัดมหา’ลัยเครือข่ายความเร็วสูงปฏิบัติการเก็บองค์ความรู้พัฒนาการศึกษา-วิจัย

6 มิถุนายน 2556

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งว่า จากที่สกอ.ได้ดำเนินการโครงการเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา โดยเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายความเร็วสูงระหว่างมหาวิทยาลัย/สถาบัน และสถาบันการศึกษาต่างๆ ภายในประเทศ เพื่อเป็นการกระจายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ภูมิภาคและชุมชน เป็นการแบ่งปันทรัพยากรทางการศึกษาร่วมกัน และได้ดำเนินกิจกรรมทางการศึกษา ทั้งทางด้านการเรียนการสอนและการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาต่างๆ รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสมาชิกที่เชื่อมต่ออยู่บนเครือข่ายดังกล่าว

การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของสมาชิกเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสบ การณ์ ในการดูแลระบบและบริหารจัดการเครือข่ายที่จะต้องใช้งานร่วมกัน ซึ่งนอก จากการได้แลกเปลี่ยนข้อมูลแล้ว ยังจะเป็นโอกาสอันดีที่บุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่จะได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีเครือข่ายใหม่ๆ รวมทั้งการรวมกลุ่มกับเพื่อนสมาชิกเพื่อศึกษาและวิจัย และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ในการสนับสนุนการศึกษาและยังเป็นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รายงานข่าวระบุว่า เพื่อให้การเชื่อมโยงเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษากับเครือข่ายการศึกษาและวิจัยนานาชาติเกิดประโยชน์สูงสุด จึงจำเป็นต้องให้บุคลากรของสถาบันที่เป็นสมาชิกเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา รับทราบข้อมูลของเครือข่ายการศึกษาและวิจัยนานาชาติ ทั้งในด้านเครือข่ายสารสนเทศและเนื้อหาบนเครือข่าย ตลอดจนกิจกรรมการวิจัยและพัฒนาของสถาบันสมาชิกเครือข่าย

ดังนั้นเพื่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรที่เป็นสมาชิกในเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี จึงจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การดำเนินกิจกรรมบนระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 27” ขึ้น ระหว่างวันที่ 15-17 ก.ค.นี้ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32934&Key=hotnews

การผลิตครูสาขาที่ถูกมองข้าม

6 มิถุนายน 2556

ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน
ต้นตอของปัญหาการศึกษา ที่ถูกมองข้ามไม่ว่าในหน้าหนังสือพิมพ์หรือการประชุมของผู้บริหารที่มีบทบาททางการศึกษามักจะพูดถึงสาขาที่ควรลดการผลิต สาขาที่ผลิตเพิ่มขึ้นแต่ไม่ได้มองถึงต้นตอแห่งปัญหาเลย นั่นคือแหล่งการศึกษาค้นคว้าไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง และทั้งยังขาดบุคลากรในการที่จะมาดำเนินการให้ห้องสมุดในแต่ละหน่วยงานการศึกษาขาดการศึกษาค้นคว้า จะเห็นว่าในหลายๆ ประเทศ เขาจะส่งเสริมการอ่านเด็กนักเรียนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เล็กจนโตรู้จักรักการอ่าน รู้จักการค้นคว้า ฐานะเศรษฐกิจในบ้านบางครอบครัวไม่มีหนังสือและไม่มีโอกาสแนะนำการอ่านของเด็ก แต่ทำไมเราไม่ช่วยโดยการพัฒนาการอ่านของเด็กตั้งแต่เริ่มอนุบาล รัฐช่วยให้เด็กได้รู้จักการรักการอ่าน รู้จักการค้นหนังสืออ่าน นั่นคือ มีห้องสมุดที่ดี มีบรรณารักษ์ที่ดี มีทรัพยากรในการอ่านที่ดี

เรื่องห้องสมุดรัฐประกาศมาทุกยุคทุกสมัย แต่วูบวาบมาแล้วก็ไม่เคยจริงจัง แม้แต่บรรณารักษ์ บรรณารักษ์ควรทำหน้าที่เป็นทั้งครูและเป็นบรรณารักษ์ไปด้วย ซึ่งเขาทั้งเป็นครูบรรณารักษ์ ไม่ใช่พูดว่าเป็นบรรณารักษ์ และหนักเข้าก็ให้เจ้าหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ทำให้แหล่งค้นคว้าด้อยคุณภาพสำหรับเด็กไปมาก ถ้าเราสอนให้เขาเป็นครูบรรณารักษ์ แล้วให้ครูบรรณารักษ์สอนในวิชาที่เกี่ยวข้องกับการค้นคว้าเหล่านี้ เช่น วิชาการใช้ห้องสมุด รักการอ่าน วิชาค้นคว้า การทำรายงานการอ้างในการค้นคว้า ซึ่งวิชาเหล่านี้จะเป็นสิ่งติดตัวไปถึงการเรียนรู้ในระดับสูงและใช้ได้ในการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะผลิตครูในสาขาอะไรก็ต้องใช้การศึกษาค้นคว้าเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น

การอ่านเป็นหน้าที่หลักของครู บรรณารักษ์ที่ต้องทำหน้าที่
คงต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงว่า วันนี้กระทรวงศึกษาธิการให้ความสำคัญกับครูบรรณารักษ์น้อยมาก ทั้งที่ความสำคัญยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่มิใช่น้อย ด้วยเหตุผลหนึ่งในหลายเหตุผลที่ว่าการจะพัฒนาเด็กไทยให้รักการอ่านได้ ห้องสมุดที่มีบรรณารักษ์มืออาชีพช่วยได้ สภาพทุกวันนี้มีทั้งการรณรงค์ มีการทำโครงการรักการอ่าน จัดประกวดให้รางวัลกันนั้นเป็นเพียงความฉาบฉวยเอาใจบรรดาท่านผู้นำที่มีอำนาจเท่านั้นเอง ปัญหาขาดความต่อเนื่องในการดูแลห้องสมุดในโรงเรียนหลายแห่งส่งเสริมกิจกรรมห้องสมุดทุ่มงบประมาณให้ห้องสมุดในช่วงที่มีการประกวดห้องสมุดเพื่อชิงรางวัลต่างๆ เมื่อได้รางวัลแล้วแทนที่จะคิดพัฒนาสานต่อให้เป็นหนึ่งของการเรียนการสอนและเป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ กลับถอยหลังไปยิ่งกว่าที่เคยเป็น

ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากผู้บริหารจำนวนไม่น้อย นอกจากไม่ให้ความสำคัญกับครูบรรณารักษ์แล้วยังปล่อยให้ห้องสมุดอยู่กันตามยถากรรมอีกด้วย ปล่อยให้ห้องสมุดเป็นเพียงห้องเก็บหนังสือ ขาดชีวิต ไร้การรังสรรค์กิจกรรมและช่วยกระตุ้นให้เด็กไทยรักการอ่าน ทั้งๆ ที่เวลานี้มีการพัฒนาก้าวไกลด้วยโลกเทคโนโลยีเข้ามาเสริมสร้างให้ทันสมัย น่าตื่นเต้น น่าเข้าไปใช้ แบบมีชีวิตซึ่งแตกต่างไปจากยุคสมัยเดิมอีกด้วย

ดังนั้น จึงมีคำถามว่าเราจะพัฒนาเด็กไทยให้รักการอ่านได้อย่างไร หากห้องสมุดในโรงเรียนจำนวนมากขาดการพัฒนา ขาดบรรณารักษ์มืออาชีพที่ต้องสร้างสรรค์กิจกรรมเป็นแหล่งเรียนรู้ให้เด็กๆ เข้ามาใช้

นโยบายแห่งชาติมักจะพูดว่าปีนี้เป็นปีส่งเสริมการอ่าน เด็กต้องอ่านหนังสือ แต่ในฐานะที่ทำงานด้านนี้มาก็ได้แค่เฝ้ามองว่าเรามีนโยบายอะไรที่เด่นชัด ทำอย่างไรการอ่านเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการที่จะปฏิรูปการศึกษา แต่ก็เป็นงานที่เรียบที่สุด คนไม่ตื่นเต้นเหมือนไอที แท็บเล็ต และการเตรียมภาษาอังกฤษสู่ประชาคมอาเซียน

พื้นฐานการศึกษาของเราจะทำอะไรก็ทำเถิด โปรดอย่าลืมเรื่องการสนับสนุนการอ่านเลย และขออย่าทำอะไรเหมือนไฟไหม้ฟาง การสนับสนุนขอให้จริงจังและขอเป็นปีแห่งการอ่านจริงๆ
ต้องการครูบรรณารักษ์ มาทำงานแต่ไม่ผลิต

กระทรวงศึกษาธิการมองว่าบรรณารักษ์ไม่ใช่ครู จริงๆ ไม่ใช่ ถ้าเราผลิตครูบรรณารักษ์มาทำหน้าที่สอนในด้านที่เกี่ยวข้องที่กล่าวไปแล้ว ดูแลแหล่งค้นคว้า จัดหาทรัพยากรด้วยโดยให้ชั่วโมงสอนเขาน้อยลง จะทำให้เราเริ่มพัฒนาการอ่านเด็กอย่างจริงจัง กระทรวงศึกษาธิการต้องเริ่มแล้ว เมื่อ 3-4 ปีมานี้ กระทรวงศึกษาฯเคยพูดโดยรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จะพยายามจัดสรรอัตราบรรณารักษ์ให้ครบทุกโรงเรียน รวมทั้ง กศน.ด้วย ซึ่ง กศน.ยังเป็นหน่วยงานที่ควรมีเพราะถึงประชาชนโดยตรงให้ได้ครบทุกโรงเรียนประมาณ 30,000 กว่าแห่งเป็นแบบครูบรรณารักษ์ ซึ่งค่อยบรรจุไปจะใช้เวลาบ้างก็ยิ่งดีกว่าไม่เริ่มต้น แต่ละยุคแต่ละสมัยก็เปลี่ยนความคิดไป ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่วันนี้ ความเลวร้ายเรื่องเด็กไม่อ่านหนังสือ อ่านหนังสือน้อย อ่านไม่เป็น ปลูกฝังมาแต่เด็กซึมซับ หลายประเทศเขาสอนเด็กให้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และเก็บใจความแล้ว โปรดเถอะสนใจเรื่องใหญ่บ้าง ถ้าครูบรรณารักษ์มีสถานภาพเป็นครูสอน เชื่อเถอะเขาก็จะเต็มใจและทำงานให้กับเด็กเต็มที่ ถ้าเราทำได้ไม่ช้าเราจะต้องพบกับสิ่งที่น่ามหัศจรรย์เกิดขึ้น คือ ระดับการอ่านของเด็กไทยจะก้าวไกลกว่าที่คิด
ต้องการครูบรรณารักษ์ แต่ไม่ดูแล

เป้าหมายการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านของสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานปีงบประมาณ 2554-2561
เป้าหมายปี 2561 คุณภาพผู้บริหาร ผู้บริหารสามารถบริหารแผนงานโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน และพัฒนาห้องสมุดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ผู้บริหารเป็นผู้นำในการส่งเสริมรักการอ่านและส่งเสริมการใช้ห้องสมุด เป็นแบบอย่างที่ดีในการอ่านและการใช้ห้องสมุด

คุณภาพครู เป้าหมายปีงบประมาณ 2561 ครูบรรณารักษ์สามารถบริหารงานห้องสมุดและจัดกิจกรรมส่งเสริมนิสัยรักการอ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ครูบรรณารักษ์มีสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านที่มีคุณภาพและหลากหลาย ครูบรรณารักษ์บูรณาการการอ่านกับการจัดการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ครูบรรณารักษ์ศึกษาวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านและพัฒนาห้องสมุด

คุณภาพนักเรียน เป้าหมายปีงบประมาณ 2561 นักเรียนทุกคนเห็นคุณค่าของการใช้ห้องสมุด นักเรียนใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีนิสัยรักการอ่านอย่างยั่งยืนและเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ นักเรียนสามารถใช้ประโยชน์จากสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและจริยธรรม นักเรียนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง

คุณภาพโรงเรียน โรงเรียนทุกแห่งมีห้องสมุด 3 ดี (ครูบรรณารักษ์ดี ห้องสมุดดี สิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ดี) ที่ทันสมัยและมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานห้องสมุดและตัวบ่งชี้ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และยังทำให้ห้องสมุดเป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนและให้บริการแก่ผู้ปกครองและชุมชน

ประกอบกับเกณฑ์ประเมินความพร้อมการเปิดหลักสูตรปริญญาตรีของสถาบันการอาชีวศึกษา ระบุชัดว่าต้องมีห้องสมุด บรรณารักษ์ ทรัพยากรสารสนเทศ ตลอดจนสื่อต่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งแน่ใจว่าตัวบรรณารักษ์ก็ควรเป็นครูบรรณารักษ์ซึ่งสอนนักศึกษาในการค้นคว้า การอ่าน การเขียนรายงาน ฯลฯ ได้เช่นกัน

เราจะผลิตครูบรรณารักษ์อย่างไร กระทรวงศึกษาธิการต้องผลิตครูบรรณารักษ์ให้เกิดทักษะแห่งอนาคต การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับครูบรรณารักษ์ที่ควรเรียนก็คือให้เรียน 5 ปี มีวิชาครูให้เพียงพอต่อมาตรฐานวิชาชีพครู ในปีสุดท้ายคือปีที่ 5 ให้ฝึกปฏิบัติงานและสอน มีวิธีการสอนการใช้ห้องสมุด การส่งเสริมการอ่าน วิชาครูที่เรียน การออกแบบและจัดการเรียนการสอน พัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับครู ภาษาไทยสำหรับครู เทคโนโลยีและสารสนเทศทางการศึกษา การศึกษากับการพัฒนาสังคม การบริหารจัดการและภาวะผู้นำทางการศึกษา การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลทางการศึกษา สถิติและสารสนเทศทางการศึกษา จิตวิทยาพื้นฐานการศึกษาจิตวิทยาการอ่าน จิตวิทยาสำหรับครูและการศึกษาพิเศษ

วิธีวิทยาการสอนวิชาห้องสมุด (ช่วยให้เด็กทำรายงานเป็น ผู้จักอ้างอิงข้อมูล เขียนรายงานที่เด็กนักเรียนในระดับต่างๆ ที่ทำในรายวิชาต่างๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในความซื่อสัตย์ทางวิชาการและเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้เด็กรักการทำวิจัยและอยู่กับข้อเท็จจริงจนเป็นนิสัย) ในด้านห้องสมุดควรมีบริการสารสนเทศ ห้องสมุดโรงเรียนหรือศูนย์สารสนเทศโรงเรียนการจัดระบบทรัพยากรสารสนเทศ บริการสารสนเทศและบริการอ้างอิง การวิเคราะห์สารสนเทศและการจัดหมวดหมู่ การจัดการห้องสมุด การจัดการสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษาในห้องสมุด สารสนเทศในห้องสมุดและศูนย์สารสนเทศในโรงเรียน เทคโนโลยีในการจัดการสารสนเทศ

กลุ่มความรู้ในการเป็นครูบรรณารักษ์ เน้นหนักภาษาอังกฤษสำหรับครูบรรณารักษ์ การสร้างเสริมนิสัยรักการอ่าน วรรณกรรมสำหรับเด็กและวัยรุ่น สุนทรียภาพการอ่าน จิตวิทยาการอ่าน สารสนเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน กิจกรรมส่งเสริมการอ่านกลุ่มวิชาเลือก วิจัยในสารสนเทศศึกษา วิจัยในเรื่องพัฒนาการอ่าน การออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ในงานสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารเพื่อการศึกษา สื่อมวลชนและการประชาสัมพันธ์เพื่อการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานห้องสมุด การเรียนรู้ด้วยการอ่าน เทคนิคการเล่าเรื่องและนิทาน อาเซียนศึกษา

หลักสูตรดังกล่าวเป็นแค่เพียงข้อเสนอแนะเท่านั้น ถ้าเรานำจำนวนหน่วยกิตและหลักการศึกษาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์จะทำให้ได้ครูบรรณารักษ์ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้และการอ่านของเด็ก หลักสูตรนี้ถ้าเกิดขึ้นจริงจะเป็นหลักสูตรที่ลงตัวมากในเรื่องศักยภาพของครูบรรณารักษ์ในอนาคต และเขาทำงานเป็นครูอย่างมีศักดิ์ศรี

น่าดีใจก็คือ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามเริ่มแนวคิดที่จะผลิตบรรณารักษ์ศึกษา ขึ้นมาเป็นแห่งแรก อีก 5 ปี จะมีบัณฑิตรุ่นนี้ออกไปทำหน้าที่ครูบรรณารักษ์ กระทรวงศึกษาธิการก็วางหลักเกณฑ์บรรจุครูบรรณารักษ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเข้าหลักเกณฑ์ สพฐ. ในปี 2561 ที่กล่าวแล้วข้างต้นพอดี เราขอปรบมือให้คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามที่มองการณ์ไกลในการที่จะเตรียมเด็กไทย พัฒนาการอ่านและเยาวชนสู่ประชาคมอาเซียนจากการรู้จักค้นหาความรู้และการอ่านอย่างแท้จริง

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32933&Key=hotnews