kounchanok rujjanapan

ผุดศูนย์โรดแมปปฏิรูปการศึกษาดึงผู้ตรวจเช็กงาน

20 พฤศจิกายน 2556

นายกมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า ตามที่ที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีมติเห็นชอบแผนงาน/โครงการเพื่อการขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ.2556-2558) หรือโรดแมป ซึ่งสอดคล้องกับ 8 นโยบาย 52 มาตรการ ของนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ โดยแผนนี้จะเป็นกรอบทิศทางในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลและศธ. ในการปฏิรูปการศึกษาไปสู่การปฏิรูปการศึกษาในรอบ 3 ปี โดยกำหนดมาตรการและกิจกรรมให้หน่วยงานต่างๆไปทำ ซึ่งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) นั้น เตรียมการรองรับไว้แล้วโดยสพฐ. มีความเห็นคล้ายกับที่สำนักงานปลัด ศธ. ดังนั้น สพฐ.จึงตั้งศูนย์ขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของ ศธ. ตั้งอยู่ที่สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สนผ.) นอกจากนี้ จะตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบาย โดยมีตนเป็นประธานมี ผอ.สนผ. เป็นรองประธาน และมี ผอ.สำนักงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ

นายกมล กล่าวต่อว่า กรรมการชุดนี้มีหน้าที่รับนโยบายของนายจาตุรนต์ไปดำเนินงาน เพราะทุกวันนี้นโยบายจะกระจายอยู่ แต่คณะทำงานนี้จะรับนโยบายมาแล้ว มอบให้แต่ละสำนักไปดำเนินการเพื่อเป็นระบบ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ติดตามนโยบายต่างๆ ว่าดำเนินการไปถึงขั้นไหนแล้ว “ผมเสนอที่ประชุมองค์กรหลักว่า ควรจะมีตัวศูนย์ใหญ่ หรือคณะกรรมการขับเคลื่อนชุดใหญ่ดูในภาพรวมซึ่งควรจะอยู่ที่สำนักงานปลัดศธ. แต่หากไม่สะดวกอาจจะใช้การประชุมองค์กรหลักเป็นตัวขับเคลื่อน และมอบให้ผู้ตรวจราชการ ศธ. ไปติดตามการดำเนินงานแทนซึ่งรมว.ศึกษาธิการ ก็เห็นด้วยที่จะมอบภารกิจนี้ให้ผู้ตรวจฯ” รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34851&Key=hotnews

ก.ค.ศ.ร่อนหนังสือตรวจคุณสมบัติครูผู้ช่วยรุ่นโกง

20 พฤศจิกายน 2556

ศึกษาธิการ * นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั่วประเทศ กรณีการทุจริตสอบครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ว12 ดังนี้

1. กรณีครูผู้ช่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการ และได้ยื่นคำร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ. ให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวข้องกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ พิจารณาคำร้องทุกข์ตามกระบวนการของกฎหมายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

2. กรณีเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และ/หรือยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และให้ขอข้อมูลพยานหลักฐานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กระทรวงศึกษาธิการตั้ง ฯลฯ รวมทั้งสอบพยานหลักฐานแวดล้อม โดยให้ครูผู้ช่วยได้มีโอกาสที่จะได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอ และมีโอกาสได้โต้แย้ง และแสดงพยานหลักฐานของตน หากพบว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอ ฟังได้ว่ามีการทุจริตในการสอบคัดเลือกจริง ให้สั่งให้ออกจากราชการตามและรายงาน ก.ค.ศ.ทราบ

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวอีกว่า หากตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงโดยให้ครูผู้ช่วยชี้แจงและสอบพยานหลักฐานแวดล้อมแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนพอที่จะรับฟังได้ว่ามีการกระทำทุจริตในการสอบคัดเลือกตามที่ถูกกล่าวหา ให้รับราชการต่อไป และรายงาน ก.ค.ศ.ทราบ 3.กรณี การตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษ ซึ่งสอบคัดเลือกเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2556 จำนวน 2,161 ราย ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษเชื่อว่ามีผู้สมัครสอบยื่นเอกสารหลักฐานการสมัครสอบไม่ถูกต้อง หรือขาดคุณสมบัติในการสมัครสอบ และมีการรับรองคุณสมบัติของผู้สมัครสอบไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34849&Key=hotnews

คอลัมน์: รายงานพิเศษ: ไทย ชูยกระดับคุณภาพการศึกษา…บนเวทียูเนสโก

19 พฤศจิกายน 2556

วารินทร์ พรหมคุณ
องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization :UNESCO) มีภารกิจหลักครอบคลุมการส่งเสริมด้านการศึกษาพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์วัฒนธรรม และการสื่อสาร เพื่อประโยชน์ของประเทศสมาชิก

และในทุก 2 ปี ยูเนสโกจะจัดประชุมสมัยสามัญ ซึ่งในปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 37 ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีสสาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา โดยมีผู้แทนจากประเทศสมาชิก 194 ประเทศเข้าร่วมสำหรับประเทศไทย มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลไทยที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และในฐานะประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในเวทีนี้ด้วย

Ms.Alissandra Cummins  ประธานคณะกรรมการบริหารยูเนสโก กล่าวว่า ประชาคมโลกมีพันธกิจร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งการประชุมครั้งนี้จะรวบรวมความคิดของผู้นำด้านการศึกษา นำไปสู่ความร่วมมือกันในอนาคต เพื่อก่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างยั่งยืน โดยยูเนสโกจะเป็นหุ้นส่วนสำคัญของโลกในการให้ประชาคมโลกสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาภายหลังปี 2558

Mrs.Irina Bokova  ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก กล่าวว่า ภายหลังปี 2558 ประชาคมโลกจะต้องมีเป้าหมายร่วมกันในการขจัดความยากจน การส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน เคารพในสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมสันติภาพ และการดำเนินงานด้านการศึกษาจะเป็นวาระสำคัญ โดยจะต้องมีการดำเนินงานในลักษณะข้ามสาขา เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการจัดการศึกษาของ 2558 ซึ่งเด็กทุกคนจะต้องได้เรียนหนังสือและประชาชนทุกคนมีการศึกษาตลอดชีวิต ขณะเดียวกันจะต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้มีนักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่เป็นสตรี ทั้งนี้ ยูเนสโกจะต้องมีบทบาทสำคัญและกำหนดบทบาทที่ชัดเจนในวาระการพัฒนาภายหลังปี 2558

สำหรับประเทศไทย…นายจาตุรนต์ ซึ่งทำหน้าที่ผู้แทนรัฐบาลไทย ได้แถลงต่อเวทีนี้ โดยมุ่งเน้นความสำคัญในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนของโลก ให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2558 ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ริเริ่ม “การจัดการศึกษาเพื่อปวงชน”  เมื่อปี 2543 และยังคงดำเนินการต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เพื่อประชาชนคนไทยได้เข้าถึงการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เพื่อนำไปสู่สังคมแห่งความรู้ สังคมแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรม และมีความเจริญรุ่งเรือง ทั้งนี้ ในปี 2557 ประเทศไทยยังรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับสูงว่าด้วยการจัดการศึกษาเพื่อปวงชนในภูมิภาคเอเซียและแปซิฟิก เพื่อกำหนดเป้าหมายการจัดการศึกษาเพื่อปวงชน ภายหลังปี 2558 ต่อไป

“รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการจัดการศึกษาเพื่อให้คนไทยทุกคนมีโอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างเท่าเทียมกัน และสามารถประสบผลสำเร็จในการดำรงชีวิต โดยในปี 2557 รัฐบาลไทยได้จัดสรรงบประมาณร้อยละ 20.5 ของงบประมาณชาติ ให้แก่การจัดการศึกษา เพื่อให้เป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนากำลังคนอย่างมีศักยภาพ อันจะส่งผลต่อความก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ

โดยกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศวาระแห่งชาติด้านการศึกษาให้ปี 2556 เป็นต้นไป เป็นปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งเน้นความสำคัญในการวางรากฐานพัฒนาเด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัย การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ การพัฒนาทักษะชีวิต การรู้หนังสือ และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ในทุกระดับ ทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาโดยปฏิรูปการศึกษาแบบบูรณาการมีการเชื่อมโยงกัน”

นอกจากนี้ นายจาตุรนต์ยังแสดงความเห็นสอดคล้องว่าวาระการพัฒนาในอนาคตจะต้องตั้งอยู่บนหลักการของสิทธิมนุษยชน และการยึดมั่นในค่านิยมสากลแห่งความเท่าเทียมกันความยุติธรรม และความมั่นคงของประชาชนทุกคน โดยให้การสนับสนุนข้อริเริ่ม”Global Education First Initiative”ทั้งโลก..การศึกษาต้องมาก่อน

“นโยบายการจัดการศึกษาของไทยก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาของยูเนสโก ที่มองโลกในอนาคต เราจะส่งเสริมการจัดการศึกษาตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญต่อการสร้างองค์ความรู้ ค่านิยม ทักษะในการดำรงชีวิตซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างสังคมแห่งความร่วมมือ ความมีสันติภาพ และเป็นสังคมที่ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุข

…ประเด็นหนึ่งที่ไทยกำลังเร่งพัฒนาคือ การสนับสนุนเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญพัฒนาการเรียนการสอน เนื้อหาบทเรียน มาตรฐานการเรียนรู้ และการประเมินผล ขณะเดียวกันก็ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาโดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมความรู้ เสริมสร้างทักษะและการจ้างงาน และสุดท้ายนี้รัฐบาลไทยจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับยูเนสโก โดยเฉพาะเรื่องพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาสู่ประชาชนอันเป็นเครื่องมือขจัดปัญหาความยากจน การป้องกันความรุนแรง และส่งเสริมให้เกิดสันติภาพโลกอย่างยั่งยืน

ด้านนางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานฝ่ายการศึกษา ยูเนสโก ได้แสดงความคิดเห็นว่า ประเทศไทยยินดีให้การสนับสนุนการดำเนินงานของยูเนสโกโดยเฉพาะเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชน  Education for All หรือ EFA2015 ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการศึกษาตลอดชีวิตการเพิ่มโอกาส การพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของไทย ที่มุ่งเน้นคุณภาพ เพิ่มโอกาส และส่งเสริมการมีส่วนร่วมและการศึกษาต่อเนื่อง…การเข้าถึงการบริการการศึกษา การส่งเสริมให้ประชาชนไทยอ่านออกเขียนได้ การปฏิรูปหลักสูตร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี และเป็นประชาคมโลกที่ทรงประสิทธิภาพตามคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในทศวรรษที่ 21…รู้ใช้เทคโนโลยี คิดวิเคราะห์ได้ และเป็นกำลังพลที่สอดคล้องกับตลาดแรงงานโลกอนาคต เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34827&Key=hotnews

 

เล็งเปิดรองฯ สพป.สอบชิง ‘บิ๊กสพม.’ สพฐ.ชง ก.ค.ศ.แก้เกณฑ์คัด ’49’ ผอ.เขต เสนอให้แต้มต่อผู้สมัคร ‘สาย’ เดียวกัน

19 พฤศจิกายน 2556

รายงานข่าวจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำลังพิจารณาเสนอปรับคุณสมบัติมาตรฐานตำแหน่งในหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.)ในสังกัด สพฐ. ที่จะรับสมัครสอบคัดเลือกในเร็วๆ นี้ เพื่อบรรจุแทนตำแหน่งว่างจากการเกษียณอายุ ราชการและตำแหน่งว่างจากกรณีที่มีการ ฟ้องร้องต่อศาลปกครองและมีการยกเลิกในเวลาต่อมา รวมจำนวน 49 ตำแหน่งโดย คุณสมบัติมาตรฐานตำแหน่งใหม่ที่จะเสนอ ให้ปรับ จะเปิดโอกาสให้กลุ่มรองผู้อำนวยการ สพป. สามารถมีสิทธิสมัครสอบคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการ สพม.ได้ซึ่งหลักเกณฑ์เดิมไม่ได้ ให้สิทธิสมัครข้ามสายได้ นอกจากนี้จะเปิดโอกาสให้รอง ผอ.สพม. มีสิทธิสมัครคัดเลือกเป็น ผอ.สพป.ได้ด้วยเช่นกัน และหลักเกณฑ์ ดังกล่าวจะมีคะแนนพิเศษเพิ่มให้แก่ผู้สมัครในสายเดียวกันด้วย เช่น หากเป็นรอง ผอ.สพป. สมัครสอบคัดเลือกเป็น ผอ.สพป. จะมีคะแนนประสบการณ์ส่วนนี้ให้ เป็นต้น

รายงานข่าว ศธ.กล่าวต่อว่า ทั้งหมดนี้ สพฐ.จะต้องจัดทำรายละเอียดเสนอคณะอนุกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทาง การศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) ระบบที่เกี่ยวข้องจากนั้น ต้องนำเสนอที่ประชุมกรรมการข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) พิจารณาเห็นชอบ และจะได้กำหนดปฏิทินการรับสมัครคัดเลือกต่อไป

นางศิริพร กิจเกื้อกูล เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า สพฐ.ได้ทำหนังสือแจ้งเรื่องการคัดเลือกผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) มาแล้ว แต่ตนไม่แน่ใจว่ามีเรื่องการขอปรับคุณสมบัติมาตรฐานตำแหน่ง หรือไม่ และเรื่องนี้จะต้องมีการพิจารณาในที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.ระบบฯ ที่มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เป็นประธาน ซึ่งการคัดเลือกผู้อำนวยการ สพท.ในขณะนี้ ยังต้องรอหนังสือแจ้งมาจากศาลปกครองก่อน ในกรณีที่ผู้ฟ้องร้อง ได้ถอนฟ้องแล้ว ถึงจะดำเนินการคัดเลือกแต่งตั้งได้ ทั้งนี้ สำนักงาน ก.ค.ศ. เห็นว่าอาจจะต้องใช้คุณสมบัติมาตรฐานตำแหน่งเดิมไปก่อน

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34825&Key=hotnews

ชู ‘ละอออุทิศ’ ต้นแบบปฐมวัย

19 พฤศจิกายน 2556

อาจารย์ ณฐิณี เจียรกุล ประธานฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) เปิดเผยว่า จากการที่ มสด.ได้ทำความร่วมมือบันทึกข้อตกลงทางวิชาการร่วม กับ University of Southeastern Philippines เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านระบบการศึกษาของทั้งสองประเทศในภาพรวมนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางฟิลิปปินส์ได้เดินทางมาศึกษาดูงานที่ มสด.มีความสนใจศึกษาดูงานโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ สาขาการศึกษาพิเศษ โดยให้เหตุผลว่า มสด.มีการจัดการเรียนการสอนที่เป็นระบบ มีความชัดเจน และมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนทุกชั้นเรียนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ซึ่งถือเป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทยด้วย ทำให้มีความมั่นใจในระบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของ มสด. ซึ่งสอดคล้องกับทางฟิลิปปินส์ที่เล็งเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาระดับนี้ เพราะหากประเทศจะผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพได้ พื้นฐานทางการศึกษาต้องเข้มแข็งก่อน

“นอกจากประเทศฟิลิปปินส์ จะให้ความสนใจด้านระบบการจัดการเรียนการสอนของ มสด.แล้ว ทางคณะศึกษาดูงานหลายคนซึ่งมีทั้งที่เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก เจ้าของโรงเรียน รวมถึงผู้บริหารระดับสูง ลงทุนเดินทางมาศึกษาดูงานด้วยตนเอง เพื่อนำองค์ความรู้กลับไปพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศฟิลิปปินส์ให้เกิดผล อย่างเป็นรูปธรรม”  อาจารย์ณฐิณีกล่าวและว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนและเป็นการตอกย้ำศักยภาพความเป็นเลิศด้านปฐมวัยของ มสด.ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นกำลังใจให้ มสด.ได้พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนที่เป็น อัตลักษณ์ให้มีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34826&Key=hotnews

สพฐ.ชงเพิ่มคะแนนโอเน็ต 30% วัดผลนักเรียนชั้น ป.6 – ม.6

18 พฤศจิกายน 2556

เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน นางอ่องจิต เมธยะประภาส รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการจัดสอบวัดผลกลางแล้วและเตรียมเสนอ นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการ กพฐ. พิจารณาเพื่อนำเสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เห็นชอบ โดยการสอบวัดผลกลางจะเริ่มใช้ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557 ในสัดส่วน 30% จะแบ่งเป็น 15% เป็นข้อสอบที่ร่วมกันพัฒนาโดยส่วนกลาง และ 15% เป็นข้อสอบจากเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน ส่วนอีก 70% จะเป็นการวัดผลของโรงเรียน ซึ่งการสอบวัดผลกลางจะใช้ในระดับชั้น ป.2, 4, 5 ม.1, 2, 4 และ ม.5 จะมีการทดสอบใน 5 วิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และสังคม ยกเว้นระดับชั้น ป.2 จะทดสอบเฉพาะวิชาภาษาไทยเท่านั้น เนื่องจากระดับชั้นนี้จะเน้นการอ่านออกเขียนได้ของ ผู้เรียน ส่วนระดับชั้นอื่นจะไม่ใช้การสอบวัดผลกลางเนื่องจากมีการทดสอบระดับชาติในส่วนอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น การทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ในชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 เป็นต้น

รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ในปีการศึกษา 2557 จะเสนอให้ปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ในระดับชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 จากสัดส่วนเดิม 20% เป็น 30% ส่วนอีก 70% จะเป็นผลคะแนนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร หรือจีพีเอของโรงเรียน และเมื่อนำสองส่วนมาคิดรวมกันจะกลายเป็นผลการเรียนของนักเรียน ทั้งนี้การเพิ่มสัดส่วนคะแนนโอเน็ตเป็น 30% เป็นข้อเสนอของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ซึ่งหลายฝ่ายก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะการใช้คะแนนโอเน็ตในสัดส่วน 20% ที่ผ่านมาเป็นผลดีต่อการจัดการศึกษาและทำให้นักเรียน ครูผู้สอน เขตพื้นที่การศึกษาให้ความสำคัญกับการสอบโอเน็ตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้คะแนนโอเน็ตดังกล่าวจะต้องเสนอให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิจารณาลงนามในประกาศต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34804&Key=hotnews

 

‘จาตุรนต์’ ฟันธงปี 58 ระบบเดียวคัดเด็กเข้ามหา’ลัย

18 พฤศจิกายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “จาตุรนต์” ชี้ปี 58 ระบบสอบคัดเลือกควรเหลือระบบเดียว พร้อมมอบ สกอ.ทำหนังสือถึงมหา’ลัย ที่ยังไม่สอบรับตรงให้ดำเนินการหลังเด็กเรียนจบปีการศึกษา ส่วนที่สอบไปแล้วให้ทำหนังสือแจงเหตุผล และปี 58 มหา’ลัยไม่ควรจัดสอบรับตรงเอง แต่ให้ร่วมระบบเคลียริ่งเฮาส์และสอบหลังเรียนจบล้อมคอกปัญหาเด็กทิ้งห้องเรียน

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการศึกษาแนวทางการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา เมื่อเร็วๆ นี้ที่ประชุมได้พิจารณาข้อสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกนักศึกษาเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าทุกฝ่ายเห็นตรงกันที่จะต้องแก้ปัญหาการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยปัญหาใหญ่ของการคัดเลือกเกิดจากคณะและมหาวิทยาลัยต่างๆ เปิดรับตรงเองจนทำให้เกิดปัญหาการวิ่งรอกสอบ นักเรียนและผู้ปกครองต้องแบกรับภาระค่า ใช้จ่ายสูง รวมทั้งยังทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าศึกษาระหว่างคนจนกับคนรวย อีกทั้งการคัดเลือกของคณะและมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่สอบเองนั้นยังใช้ข้อสอบที่หลากหลาย ทำให้เด็กต้องไปกวดวิชาและไม่สนใจเรียนในห้องเรียน สุดท้ายส่งผล กระทบให้การปฏิรูปการศึกษาไม่ประสบความสำเร็จ

ดังนั้น ที่ประชุมมีมติร่วมกันถึงแนวทางการแก้ปัญหาเบื้องต้น ดังนี้

1. มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อขอความร่วมมือว่าหากมหาวิทยาลัยใดยังไม่ได้ดำเนินการรับนิสิต/นักศึกษา ในปีการศึกษา 2557 ให้ไปจัดสอบหลังจากที่นักเรียนได้เรียนจบการศึกษาแล้ว แต่หากมหาวิทยาลัยใดดำเนินการรับนักศึกษาไปแล้วก็ให้ชี้แจงเหตุผล และความจำเป็นของการคัดเลือกที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ และ

2.ในปีการศึกษา 2558 ก็ขอให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งไม่จัดสอบรับตรงเอง แต่ถ้าจะรับตรงก็ขอให้มาใช้ระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ มากขึ้น และให้มีการจัดสอบหลังจากเด็กเรียนจบการศึกษาแล้ว เพื่อเด็กจะได้ไม่ทิ้งห้องเรียน

“อนาคตผมมีเป้าหมายจะให้การคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยมีระบบเดียวเท่านั้น เพราะระบบที่ดำเนินการอยู่สร้างปัญหานักเรียนและผู้ปครองมานานมาก หากจะมีการจัดสอบก็จะให้ใช้ข้อสอบกลาง” นายจาตุรนต์ กล่าวและว่า ขณะนี้ได้มอบให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สกอ. ไปร่วมกัน ดูระบบการจัดสอบต่างๆ และให้ ดร.วราภรณ์ สีหนาท รองเลขาธิการ กกอ. เป็นประธานคณะอนุกรรมการศึกษาแนวทางการคัดเลือกฯ โดยคณะทำงานชุดนี้จะหาแนวทางการพัฒนาระบบคัดเลือก ฯ และมาเสนอในการประชุมครั้งต่อไปจากนั้นจะรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องด้วย

ด้าน ดร.วราภรณ์ กล่าวว่า จากนี้ สกอ.จะทำหนังสือส่ง ไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อขอความร่วมมือในการคัดเลือกดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังย้ำด้วยว่าอยากให้มีการจัดสอบเพียงครั้งเดียว และให้นักเรียนสามารถนำผลคะแนนไปยื่นกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้เลย รวมถึงจะพยายามให้การดำเนินการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษามีระบบเดียวเท่านั้น อย่างเช่นระบบเคลียริ่งเฮาส์

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34806&Key=hotnews

‘ภาวิช’ ยันครูพันธุ์ใหม่ต้องเดินหน้าต่อ

18 พฤศจิกายน 2556

ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ตนได้นัดหารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ถึงการเดินหน้าโครงการครูพันธุ์ใหม่หรือครูมืออาชีพว่าจะมีทิศทางอย่างไร ก่อนที่จะหารือกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง

รมว.ศธ.ในวันที่ 23 พ.ย. โดยส่วนตัวคิดว่า โครงการนี้ต้องเดินหน้าต่อแน่นอน แต่อาจต้องปรับรูปแบบให้ตอบโจทย์ของโครงการในการผลิตครูพันธุ์ใหม่อย่างแท้จริง คือ ต้องเป็นครูที่สามารถตอบโจทย์การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้ เพราะที่ผ่านมาโครงการยังไม่ได้ตอบโจทย์เท่าที่ควร เพราะเป็นเพียงการแจกทุน และสถาบันฝ่ายผลิตก็ผลิตครูรูปแบบเดิม ๆ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่ครูพันธุ์ใหม่จริง ๆ ดังนั้นในเบื้องต้นตนจะหารือถึงการกำหนดคุณสมบัติของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ที่จะสามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งต้องเป็นคณะที่ผลิตบัณฑิตอย่างมีคุณภาพสามารถตอบโจทย์ครูพันธุ์ใหม่ โดยระยะแรกคณะที่จะได้เข้าร่วมโครงการอาจเป็นคณะที่มีความพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่คณะ ที่ยังไม่มีความพร้อมก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมี การปรับตัวและพัฒนาคุณภาพ ที่สำคัญจะต้องเลิกนโยบายรับนักศึกษาคราวละมาก ๆ เพราะทำให้ได้ครูที่มีคุณภาพต่ำ สร้างความเสียหายแก่วิชาชีพ

ศ.พิเศษ ดร.ภาวิช กล่าวต่อไปว่า สำหรับจำนวนการผลิตครูพันธุ์ใหม่นั้น จะต้องศึกษาข้อมูลอัตราเกษียณและการได้รับอัตรากำลังคืนประกอบกัน รวมถึงต้องมีพื้นที่ว่างสำหรับผู้ที่เรียนครูอยู่แล้วให้เข้ามาในระบบได้ด้วย อย่างไรก็ตามตนมองว่าการผลิตครูพันธุ์ใหม่เข้าไปทดแทนอัตราเกษียณซึ่งมีจำนวนมากนั้น จะเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาของไทยได้ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มโครงการต้องรอผลการหารือก่อน หากได้ข้อสรุปก็สามารถเริ่มได้ในปีการศึกษา 2556 และเชื่อมั่นว่าภายในระยะเวลา 2 ปี จะสามารถผลิตครูพันธุ์ใหม่เข้าสู่ระบบได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มตั้งแต่นักศึกษาชั้นปีที่ 1

“วันนี้เราเห็นว่าสถาบันผลิตครูต้องปรับตัวครั้งใหญ่ โครงการที่จะขึ้นมาใหม่นี้อาจไม่ใช่ทุกคณะมีสิทธิผลิต ดังนั้นจะต้องมีการกำหนดคุณสมบัติของคณะที่มีขีดความสามารถเพียงพอที่จะผลิตครูพันธุ์ใหม่ได้ เพราะเราคาดหวังว่าครูพันธุ์ใหม่ต้องเป็นครูที่มีคุณภาพสูงมากเพื่อเข้าไปเป็นนักปฏิวัติระบบ ส่วนคณะที่ยังไม่ได้คุณภาพตามเกณฑ์ก็ต้องเร่งพัฒนา ไม่ใช่ว่ามีการผลิตครูกันปีละ 6 พันคน แล้วจะบอกว่าเป็นครูพันธุ์ใหม่ทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้นมันเสียหาย” ผู้ช่วย รมต.ศธ. กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34807&Key=hotnews

สทศ.เตือนสมัครสอบ 7 วิชาสามัญ

15 พฤศจิกายน 2556

รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ สทศ.มีความเป็นห่วงว่า นักเรียนอาจจะลืมสมัครและชำระเงินค่าการทดสอบวิชาสามัญ 7 วิชา ประจำปีการศึกษา 2557 เนื่องจากขณะนี้มีผู้สมัครเข้ามาแล้ว 116,925 คน แต่ชำระเงินเพียง 45,736 คน ดังนั้นขอให้นักเรียนที่จะต้องใช้ผลคะแนนการทดสอบวิชาสามัญ 7 วิชา รีบสมัครและชำระเงิน เพื่อที่จะได้มีเวลาในการตรวจสอบความถูกต้องของการสมัคร โดย สทศ.เปิดรับสมัครทางเว็บไซต์ สทศ. www.cuas.or.th ถึงวันที่ 24 พ.ย. ให้ชำระเงินผ่านทางธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และเคาน์เตอร์เซอร์วิสทุกสาขา ถึงวันที่ 25 พ.ย.นี้ นอกจากนี้ขอฝากไปถึงนักเรียนที่กำลังศึกษาระดับชั้นเทียบเท่า ม.6 ได้แก่ นักศึกษาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) นาฏศิลป์ อาชีวศึกษา การจัดการศึกษาโดยครอบครัว หรือ Home school เป็นต้น ที่ต้องการใช้คะแนนผลสอบการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต ประจำปีการศึกษา 2556 ให้รีบสมัคร เพราะจะปิดรับสมัครวันที่ 15 พ.ย.นี้แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จากสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ สทศ.จะมีการขยายการรับสมัครทดสอบวิชาสามัญ 7 วิชา และการสอบความถนัดทั่วไปหรือแกต และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพหรือแพต ครั้งที่ 1/2557 ที่จะสอบ 7-10 ธ.ค. นี้หรือไม่ รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ศูนย์สอบต่าง ๆ ยังไม่มีการรายงานว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะมีผลกระทบกับการสอบและยังมีเวลาอีกพอสมควร ดังนั้น สทศ.ยังดำเนินการตามกำหนดเดิม.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34793&Key=hotnews

ก้าวสำคัญของการนำสะเต็มศึกษาไปใช้กับความหวังยกระดับคุณภาพศึกษาไทย

15 พฤศจิกายน 2556

สินีนาฎ ทาบึงกาฬ
จากปัญหาในปัจจุบันที่จำนวนผู้เรียนสายวิทยา ศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีลดลง ตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา นอกจากนี้การประเมินผลทั้งในระดับประเทศและ ระดับนานาชาติ บ่งชี้ว่าการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิต ศาสตร์ และเทคโนโลยีในระดับโรงเรียน มีคุณภาพโดยเฉลี่ยต่ำ

ด้วยเหตุนี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จึงได้ผลักดันให้เกิด “สะเต็มศึกษา” (STEM Education) ขึ้นในประเทศไทย โดยหวังว่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาของไทยขึ้นมาได้

STEM Education (Science Technology Engineering and Mathematics Education) เป็นแนวทางใหม่ในการจัดการศึกษาแบบบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เข้าด้วยกัน ทั้งในการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงการศึกษาตลอดชีวิต

วันนี้เราลองมาคุยกับ ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งมองว่าการเรียนการสอนของไทยไม่บรรลุเป้าหมาย เกิดจากหลายปัจจัยหลายอย่างทั้งครู สื่อการสอน กระบวนการเรียนการสอน การเน้นให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริง จะกระตุ้นความสนใจได้มาก จากผลการวัดและประเมิน จะเห็นได้ว่าเด็กไทยไม่ได้ถูก ฝึกให้มีความสามารถในการคิดและการอ่านมากนัก การสอบวัดผลส่วนใหญ่จะเป็นคำถามแบบเลือกตอบ เป็นการปิดกั้นทางความคิดของเด็กทำให้เด็กไม่ได้พัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นการปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสะเต็มศึกษาต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ตอบคำถามที่ใช้การอธิบาย หรือคำถามแบบปลายเปิด ครู ผู้สอนจะได้รู้ว่าเด็กมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือทักษะของการอ่าน และทักษะคณิต ศาสตร์ที่จะช่วยให้เข้าใจและนำไปปรับใช้กับวิชา อื่น ๆ ได้

ดร.พรพรรณ ย้ำว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา สามารถจัดการเรียนรู้ได้หลายแนวทาง เช่น จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเป็นโครงงาน ประยุกต์ใช้กับวิชาอื่น ๆ เพราะถ้าเด็กมีการใช้กระบวนการคิด เพื่อทำโครงงานซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เมื่อเจอปัญหาในชีวิตจริง ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นสะเต็มศึกษาจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ สสวท. อยากเน้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เน้นให้เด็กนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน วิชาที่เรียนสามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตอย่างไรบ้าง หรือเขาอยากจะไปในทิศทางของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์หรือไม่ เพราะวิชาเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตในยุคโลกาภิวัตน์ แต่ทั้งนี้การเรียนรู้แบบนี้ต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย ผู้ปกครองต้องให้โอกาสเด็ก ๆ ได้สังเกต ให้คำตอบในเรื่องต่าง ๆ และต้องเชื่อมโยงให้เด็กได้เห็นว่าสัมพันธ์กับสิ่งใดบ้างรอบ ๆ ตัวเด็ก คิดว่ากระบวนการนี้จะสร้างความน่าสนใจ ทำให้เกิดการเรียนรู้กับเด็กไทยทุกคน

“สำหรับการดำเนินงานด้านสะเต็มศึกษาใน เบื้องต้น สสวท.จะกระจายกระบวนการเหล่านี้สู่ท้องถิ่น ในรูปแบบของการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ พยายามสร้างเครือข่ายในอนุภูมิภาค เราได้นำวิธีการเหล่านี้มาเสริมศักยภาพเด็ก ด้วยการเรียนรู้จากการทำโครงงานอยู่แล้ว ตอนนี้ก็จะเริ่มใช้กับโรงเรียนในเครือข่ายก่อน หากเรื่องใดมีเนื้อหาที่ลึกก็อาจมีการขอความช่วยเหลือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เขาทำโครงการอยู่แล้ว ซึ่งภาคเอกชน หรือผู้ประกอบการก็สามารถสนับสนุนองค์ความรู้ได้ เพราะสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ปัญหาในระบบโรงเรียนได้ก็คือ งบประมาณในการจัดหาสื่ออย่างเพียงพอ” ผอ.สสวท.กล่าว

กับคำถามที่ว่าโรงเรียนที่ สสวท. นำร่องไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ? ดร.พรพรรณ บอกว่า โรงเรียนที่นำร่องไปแล้วคือโรงเรียนที่มี ศูนย์สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ในเครือข่ายของ สสวท. แต่ตอนนี้กำลังจะเริ่มใช้กับนักเรียนปกติในปีการศึกษาใหม่นี้แทรกในสื่อประกอบการเรียนรู้ ซึ่งคู่มือครูจะมีการจัดทำและจะจัดอบรมเพื่อให้ครูสามารถนำสะเต็มศึกษาไปใช้จัดการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ในที่สุดคุณครูและนักเรียนก็จะสามารถเลือกทำโครงงานได้ โดยจะเริ่มกระจายไปสู่โรงเรียนต่าง ๆ โดยโรงเรียนที่เข้ามามีส่วนร่วมต้องมีความตั้งใจ ที่จะปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งในขั้นแรกก็จะมีโรงเรียนนำร่องที่เป็นศูนย์สะเต็ม 12 จังหวัด จังหวัดละ 6 โรงเรียน รวมระดับภูมิภาคที่เป็นศูนย์ก็จะเป็น 84 โรงเรียนด้วยกัน ซึ่งปีการศึกษา 2557 ก็จะเริ่มสิ่งเหล่านี้ รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้นักเรียนสนุกกับสิ่งเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและสนใจ นอกจากนี้เรื่องสื่อการศึกษาก็สำคัญ เป็นส่วนที่จะทำให้นักเรียนเข้าถึงเนื้อหา ต่าง ๆ ได้”

หากผล PISA ยังอยู่ในระดับต่ำ แล้วสะเต็มศึกษาจะมีส่วนช่วยอย่างไร ? ดร.พรพรรณ เห็นว่า ส่วนหนึ่งคือการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางของ สสวท. รวมทั้งสะเต็มศึกษา จะกระตุ้นการเรียนการสอนให้เด็กสนใจ ดังนั้นในการตอบโจทย์ต้องมีการทำอย่างเป็นขั้นตอน และต่อเนื่องระยะยาว เพราะปัญหาของ PISA คือการอ่าน ซึ่ง สพฐ. มีนโยบายที่จะผลักดันในเรื่องของการอ่าน การเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ สามารถเน้นการอ่านได้อยู่แล้ว ฉะนั้นเรื่องการอ่านจะเข้ามาแทรกในวิชาต่าง ๆ นอกจากนี้การวัดและการประเมินจะเน้นการคิดวิเคราะห์ให้ครูได้ใช้เป็นตัวอย่าง จึงอยากยกเลิกกระบวนการที่เน้นความจำ เปลี่ยนเป็นเน้นให้นักเรียน ได้อธิบายเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆ กัน และไม่ใช่แค่วิชาเดียว แต่ต้องทำทุกวิชา

สำหรับโรงเรียนที่ลงมือปฏิบัติไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ? ผอ.สสวท.ยอมรับว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่เรามองจากการเรียนรู้ เช่น นักเรียนในโครงการ GLOBE จะมีทักษะในการสังเกต การวัด การรวบรวมข้อมูล การตอบโจทย์อย่างเป็นขั้นตอน เราไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแค่เพียงเด็กที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้น อยากให้เกิดกับนักเรียนทั่วไปด้วย

ผอ.สสวท.ย้ำอีกว่า เป้าหมายสำคัญคือการทำให้นักเรียนสามารถนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ และมองเห็นการเชื่อมโยงอาชีพในอนาคตข้างหน้า ซึ่งต้องอาศัยเวลาหลายปี นักเรียนจะได้ฝึกฝน สะสมความรู้ความคิด คนรุ่นใหม่มีความรู้และทักษะในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ สามารถประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีคุณภาพชีวิตที่ดีในยุคประชาคมอาเซียน พร้อมทั้งมีเป้าหมาย ที่จะยกระดับคุณภาพและเพิ่มจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประชากรไทยให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

สำหรับการเปิดรับสมัครผู้สนใจเข้าร่วมสะเต็มศึกษา สสวท.จะรับสมัครโรงเรียน และรับสมัครบุคคลหรือหน่วยงานในท้องถิ่นที่ทำอาชีพเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ที่สนใจอยากเข้าร่วม เช่น สมาคมผู้ปกครองที่มีอาชีพหลากหลายก็สามารถเป็นอาสาสมัครได้ ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน เป็นการเชื่อมโยงการเรียนรู้ ที่บ้าน ที่โรงเรียน ด้วยตัวของนักเรียน และตอนนี้สื่อต่าง ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ง่าย เด็กโตอาจเข้า ไปศึกษาได้เอง แต่เด็กเล็กผู้ปกครองอาจต้องช่วย ชี้แนะด้วย

“สะเต็มศึกษา เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ครูจำนวนมาก ที่ได้จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการนำเอาสาระเนื้อหา วิชาต่าง ๆ มาให้นักเรียนได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน การ นำสะเต็มศึกษามาใช้ จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ครูจะต้อง ทิ้งของเดิมทั้งหมด เพียงแต่รู้จักบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์เข้า ด้วยกัน โดยต่อจากนี้ไป สังคมไทย และแวดวงการศึกษาของไทยก็จะเห็นการส่งเสริมผลักดันด้าน สะเต็มศึกษาจาก สสวท. อย่างเป็นรูปธรรม และนำ ไปสู่การปฏิบัติที่ชัดเจนขึ้น” ดร.พรพรรณ กล่าว ทิ้งท้าย.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34792&Key=hotnews