Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ครม.ขึ้นเงินเดือน พนง.มหาวิทยาในกำกับ

9 พฤษภาคม 2556

ครม.ไฟเขียวงบ 1.1 หมื่นล้านบาท ขึ้นเงินเดือน พนง.มหา’ลัยทั่วประเทศ มีผลย้อนหลังตั้งแต่เดือน ม.ค.55 หลังอั้นมานาน แม้จะมีหลายมหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้ว

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าด้วยเรื่องกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่ ศธ.เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 ให้แก่พนักงานมหาวิทยาลัยจำนวน 54,801 คน จากมหาวิทยาลัย 79 แห่ง โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2555 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,792,432,440 บาท ทั้งนี้ สำหรับในปีงบประมาณ 2556 ขอให้มหาวิทยาลัยใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยเบิกจ่ายไปก่อน ขณะที่สำนักงบประมาณจะตั้งงบให้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 เป็นต้นไป

รมว.ศธ.กล่าวอีกว่า สำหรับงบประมาณที่ใช้เบิกจ่าย ดังนี้ พ.ศ.2555 จำนวน 3,014,836,290 บาท, พ.ศ.2556 จำนวน 4,260,969,010 บาท และ พ.ศ.2557 จำนวน 4,516,627,140 บาท แบ่งเป็นจัดสรรให้กับมหาวิทยาลัยพนักงานมหาวิทยาลัยในกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) ทั้งหมด 10,688 คน ใช้งบประมาณ 2,648,751,120 บาท, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) จำนวน 4,263 คน ใช้งบประมาณ 1,062,998,880 บาท, มหาวิทยาลัยส่วนราชการ จำนวน 19,410 คน ใช้งบประมาณ 5,013,891,610 บาท และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ จำนวน 20,440 คน ใช้งบประมาณ 3,102,790,830 บาท

“การปรับงบประมาณเพิ่มเติมให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เหมือนเช่นที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับการปรับเงินเดือนแรกบรรจุและเงินปรับเพิ่มตามคุณวุฒิ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัย” นายพงศ์เทพกล่าว.

ที่มา: http://www.thaipost.net

! http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32650&Key=hotnews

ชง ครม.ตั้งบอร์ดปฏิรูปหลักสูตร-ตำราแห่งชาติ หวั่นการเมืองล่ม! ไร้คนสานต่อ

9 พฤษภาคม 2556

นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราแห่งชาติ เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปฏิรูปหลักสูตร ว่าจากการหารือของประธานกลุ่มการเรียนรู้ทั้ง 6 กลุ่ม ที่ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับการจัดกลุ่มการเรียนรู้ โดยนำกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่ม มาบูรณาการร่วมกัน จนลงตัวเหลือ 6 กลุ่มการเรียนรู้และจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่รายวิชาต่างๆ ยังอยู่ในระหว่างรวบรวม ซึ่งสามารถลดหรือเพิ่มขึ้นได้ แล้วแต่จะมีผู้เสนอ โดยจะมีกลุ่มคัดกรอง โดยใช้หลักของกรอบเวลาในการเรียนรู้ของเด็กแต่ละช่วงชั้น เช่น ชั้นประถมไม่เกิน 800 ชั่วโมง/ปี, ม.ต้น 900 ชั่วโมง/ปี, ม.ปลาย 1,000 ชั่วโมง/ปี เป็นต้น ทั้งพิจารณาเนื้อหาสาระที่จะเรียนรู้ โดยต้องเป็นเนื้อหาที่เป็นพื้นฐาน เพื่อนำไปต่อยอดในการหาความรู้ในชั้นสูงต่อไป ดังนั้น ความรู้ที่ครูสอนในห้องเรียนจะเป็นเครื่องมือสำหรับการต่อยอดความรู้เท่านั้น

“กลุ่มสาระวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) หรือสเต็ม จะเน้นเรียนรู้แบบการทดลอง กลุ่มการเรียนรู้ด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จะเน้นการเรยนรู้ร่วมกับชุมชน ทั้งนี้ที่ประชุมแสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และแตกต่างกันของโรงเรียน ชุมชน โดยเฉพาะการทดลองวิทยาศาตร์ ซึ่งการจะให้เด็กเรียนรู้ต้องมีเครื่องมือที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นจะต้องดึงศูนย์วิทยาศาสตร์ ของ กศน. และเปิดห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยในพื้นที่ ให้เด็กได้หมุนเวียนกันเข้าไปเรียนรู้ วิธีดังกล่าวจะทำให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลมีเครื่องมือทัดเทียมกับเด็กในเมือง ทั้งนี้ จะไม่เน้นการสร้างห้องทดลองใหม่ แต่จะใช้ศูนย์วิทย์หรือห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ ยกเว้นบางพื้นที่ที่ไม่มีจริงๆ จะจัดสร้างห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม”

นายสมพงษ์ กล่าวและว่า สิ่งที่เป็นห่วงประการต่อมาคือ ครูผู้สอน ซึ่งคาดว่าอาจต้องใช้เวลา 3 ปี ในการอบรมครู โดยแบ่งครูเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ต้องใช้มหาวิทยาลัยเป็นพี่เลี้ยงอบรม และกลุ่มที่อบรมโดยอาศัยเทคโนโลยสารสนเทศ โดยคาดหวังว่าจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการสอนของครูได้ผลระดับหนึ่ง รวมทั้งจะนำตัวอย่างครูสอนดีของ สสส. สสค. สกว.มาเผยแพร่แก่ครูด้วย

“การปฏิรูปหลักสูตรต้องใช้เวลา และความจริงจังในการดำเนินการของฝ่ายการเมือง ซึ่งกรรมการเป็นห่วงว่าประเด็นทางการเมือง จะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปหลักสูตร หากการเมืองไม่นิ่งและขณะนี้ก็มีแนวโน้มยุบสภา จะทำให้การปฏิรูปหลักสูตรชะงัก ดังนั้นที่ประชุมจึงได้หาทางออกโดยจะเสนอเรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราแห่งชาติ เป็นการแต่งตั้งโดยมติ ครม. เพื่อให้กรรมการชุดนี้ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือยุบสภา ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการเสนอเรื่องเข้า ครม.” นายสมพงษ์ กล่าวและว่า ทั้งนี้ คาดว่าปี 2557 จะสามารถทำการประชาพิจารณ์และเตรียมครู และจะเริ่มใช้หลักสูตรใหม่ได้ในปี 2558

ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า มั่นใจว่าอีกประมาณ 5 เดือนข้างหน้าร่างปฏิรูปหลักสูตรจะแล้วเสร็จ การเรียนการสอนแบบใหม่จะไม่เน้นเรื่องการท่องจำและสิ่งที่ไม่จำเป็น ดังนั้นครูจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้เพื่อทำความเข้าใจกับหลักสูตรใหม่ ตอนนี้ ศธ.เดินหน้าปฏิรูปหลักสูตรอย่างเต็มที่ และประชาชนจะต้องเห็นความสำคัญในการปฏิรูปหลักสูตร ดังนั้นไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าจะสามามารถขับเคลื่อนการปฏิรูปหลักสูตรเพื่อสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้คิดเป็น ทำเป็นได้

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32649&Key=hotnews

สกศ. และ วช. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงการดำเนินงานด้านยุทธศาสตร์การศึกษา

9 พฤษภาคม 2556

รองฯ พงศ์เทพ และ รมต.นร. ศันสนีย์ฯ ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาให้ก้าวไกลและมีประสิทธิภาพ

วานนี้ (8 พ.ค. 56) เวลา 13.30 น. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมลงนามเป็นสักขีพยานในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อดำเนินงานด้านยุทธศาสตร์การศึกษาในการกำหนดเป็นนโยบายการบริหารหรือแก้ไขปัญหาของประเทศ ณ ห้องเวิลด์บอลรูม B โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

ภายหลังเสร็จสิ้นการลงนามฯ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักสกศ.และ วช. ในครั้งนี้ว่า ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ในการบูรณาการร่วมมือกันอย่างมีทิศทาง เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศ รวมทั้งส่งเสริมงบประมาณเพื่อการวิจัยทางด้านการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการศึกษา ที่มุ่งเน้นการกระจายทางด้านการศึกษาในสังคมไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ และรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน

จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงานในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งองค์ความรู้ในการพัฒนาระบบการศึกษาของไทยให้ก้าวไกลอย่างมีหลักวิชาและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เป็นความเห็นร่วมกันระหว่าง สกศ. และ วช. ที่ตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการศึกษา มีความจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์การบริหารจัดการการศึกษาของประเทศ ที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ด้านงานวิจัย และมีหน่วยงานภาคีหลักสำหรับความร่วมมือในด้านยุทธศาสตร์การศึกษา เพื่อให้การกำหนดนโยบายการบริหารจัดการการศึกษาของประเทศตลอดจนการดำเนินงานและการจัดสรรทรัพยากรในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบ ยั่งยืน และเป็นไปตามหลักวิชาการ รวมทั้งเพื่อให้เกิดความร่วมมือและบูรณาการในทุกภาคส่วน เพื่อให้รัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถวางแผนล่วงหน้าเพื่อดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างระบบการศึกษาและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศได้ในระยะยาว

บันทึกข้อตกลงฯ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเตรียมจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยด้านการศึกษาของประเทศ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์โลก และกำหนดกรอบทิศทางการวิจัย รวมทั้งประเด็นวิจัยสำคัญด้านการศึกษาของประเทศ พร้อมเสนอนโยบายยุทธศาสตร์และข้อมูลต่อฝ่ายบริหาร/รัฐบาล ตลอดจน เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาการศึกษา รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือแบบบูรณาการในการศึกษาวิจัยด้านการศึกษาของประเทศ พัฒนาการจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยและการลงทุนในเรื่องสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาที่สำคัญคือ เพื่อให้ประเทศไทยมีคลังข้อมูลการวิจัยด้านการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
…………………………
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
พัณณ์วรินทร์ รายงาน

ที่มา: http://www.thaigov.go.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32648&Key=hotnews

แฉนโยบาย ศธ. ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ! พบแล้ว! ตัวการใหญ่รับจ้างเขียนผลงานเลื่อนวิทยฐานะครู (ตอนที่2)

9 พฤษภาคม 2556

แฉนโยบาย ศธ. ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ!  
พบแล้ว!  ตัวการใหญ่รับจ้างเขียนผลงานเลื่อนวิทยฐานะครู (ตอนที่2)

เปิดขบวนการ “หากิน” ในการเลื่อนวิทยฐานะวงการครู ชี้ “ข้าราชการเขตการศึกษา-อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ” ตัวการใหญ่ รับทรัพย์อื้อ สนนราคาอยู่ที่ 6 หมื่น-1 แสนบาท หากการันตีผลงานผ่าน 100% ต้องจ่าย 2-3 แสนบาท วงในระบุ ครูดีดตัวเลขสุดคุ้ม เพราะจ่ายค่าจ้างจิ๊บๆ แต่ได้เงินตอบแทนจนเกษียณหลายล้านบาท ส่วนครูดี ครูเก่ง 4 สาขา “คณิต-วิทย์-อังกฤษ-สังคม” โรงเรียนดังใน กทม.สุดทน ยื่นผลงานชนิดทำเองไม่ผ่าน ท้อแท้ขอเออร์ลีรีไทร์ หนีครูไม่เก่งแต่ได้เงินเพิ่ม!

‘Special Scoop’ นำเสนอข่าว แฉนโยบาย ศธ.ต้นเหตุการศึกษาไทยตกต่ำ! ครูอยากเติบโตเลื่อนวิทยฐานะ ‘จ่าย 2 เด้ง’ (ตอนที่ 1) ผ่านไปแล้ว และครั้งนี้จะนำเสนอตอนที่ 2 ชี้ให้เห็น ‘คนใน’ ตัวการใหญ่ ช่วยให้ผลงานวิชาการเพื่อเลื่อนวิทยฐานะผ่านฉลุย

ปัจจุบันแม้รัฐมนตรีศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา จะออกมาขู่ฮึ่มๆ กับการรับจ้างทำสารนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ของคนระดับอุดมศึกษาแล้ว ต้องบอกว่าปัญหาที่น่าห่วงของระบบการศึกษาไทยไม่ใช่มีแค่นั้น โดยเฉพาะกรณีของการเลื่อนวิทยฐานะของครู ที่จะเริ่มจากการขอเป็นครูผู้ชำนาญการ ครูผู้ชำนาญการพิเศษ ครูผู้เชี่ยวชาญ และครูผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ในแผนการปฏิรูปการศึกษายก 2 ที่มุ่งหวังพัฒนา “ตัวครู” และหวังว่าจุดนี้จะนำไปสู่การพัฒนาการเรียนการสอน และระบบการศึกษาของไทยให้ดีขึ้น

ปรากฏว่าไม่เพียงแต่วงการการเรียนในระดับอุดมศึกษาเท่านั้น ที่มีกระบวนการ “หากิน” ของคนบางกลุ่มเพื่อให้ “ครู” ที่ส่วนหนึ่งทำงานวิจัยไม่เป็น เพียงแค่มีเงินก้อนใหญ่ ก็สามารถที่จะเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ หรือที่เรียกว่าค่าวิทยฐานะนี้ได้แบบง่ายๆ
ไม่ต้องตั้งคำถามถึง “คุณภาพของระบบการศึกษาไทย” ว่าจะดีขึ้นแค่ไหน เพราะแท้จริงแล้ว นโยบายการพัฒนา “ตัวครู” นี้ ทั้งๆ ที่ความตั้งใจในการกำหนดนโยบายดี แต่สุดท้ายช่องโหว่ที่มีอยู่จำนวนมาก ก็ทำให้นโยบายนี้มีผลดีเพียงช่วยให้ครูมีเงินเดือนเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ระบบการศึกษาไทยไม่ได้พัฒนาขึ้นจริง และที่สำคัญ เด็กไทยยังเรียนเหมือนเดิมเป๊ะ!

4 ขั้นวิทยฐานะครู

สำหรับการเลื่อนวิทยฐานะครูนั้น จะมีกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้วางไว้ เริ่มต้นจากการเป็นครูผู้ช่วย 2 ปี แล้วจะได้เลื่อนเป็น ครู หลังจากนั้นจะเริ่มนับเวลาการดำรงตำแหน่งครู เมื่อเป็นครูไปได้ 6 ปี สำหรับคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี, 4 ปีสำหรับคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท และ 2 ปีสำหรับคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกที่จะสามารถขอทำการเลื่อนวิทยฐานะไปเป็นครูระดับชำนาญการได้

จากนั้นเมื่อระยะเวลาในการทำงานครบ 1 ปี จึงสามารถขอเลื่อนวิทยฐานะไปเป็นครูชำนาญการพิเศษ และมีระยะเวลาการทำงานครบ 3 ปีก็จะสามารถยื่นขอเลื่อนวิทยฐานะเป็นครูเชี่ยวชาญได้ และทำงานไป 2 ปีก็จะมีสิทธิในการเลื่อนฐานะเป็นครูเชี่ยวชาญพิเศษ

โดยที่ผ่านมาพบว่าครูส่วนใหญ่ได้ทำการเลื่อนวิทยฐานะไปเป็นครูชำนาญการ ซึ่งไม่ยาก ไม่ต้องมีผลงานประกอบ จึงเป็นขั้นที่มีการเลื่อนได้ง่ายที่สุด

หลังจากนั้นก็จะมีการขอเลื่อนวิทยฐานะในตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ ซึ่งครูมีความต้องการที่จะอยู่ในวิทยฐานะนี้มากที่สุด สาเหตุคือหากได้เลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการ แม้จะง่าย แต่ก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนอีกเดือนละ 3,500 บาท

แต่ถ้าได้เลื่อนขั้นไปอยู่ในตำแหน่ง “ครูชำนาญการพิเศษ” จะได้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอีกถึงประมาณเดือนละ 12,000 บาท

เหตุนี้ทำให้ “ครู” บางคนพยายามวิ่งเต้น ทำทุกอย่างเพื่อให้การเลื่อนวิทยฐานะไปอยู่ในระดับชำนาญการพิเศษนี้

สมมติว่าอายุราชการยังเหลืออีก 20-30 ปี เงินที่เพิ่มขึ้นเดือนละ 12,000 บาทยันเกษียณอายุราชการ นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อย

“เงินเพิ่มเดือนละ12,000 ถ้ายังเหลืออายุราชการ 20 ปีจะได้เงินเพิ่ม 12,000x12x20 ซึ่งเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้น 2,880,000 บาท แต่ถ้า 30 ปีจะได้ 12,000x12x30 เท่ากับได้เงินเพิ่มขึ้น 4 ,320,000 บาท” แถมในขั้นของการทำผลงานในระดับการเลื่อนจากครูชำนาญการ เป็นครูชำนาญการพิเศษ ยังไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนัก เหมือนกับการเลื่อนวิทยฐานะไปเป็นครูเชี่ยวชาญ และครูเชี่ยวชาญพิเศษ ที่จะต้องมีการทำงานวิจัยประหนึ่งการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งยาก มาตรฐานสูง

แต่ใช่ว่าครูเหล่านี้จะสามารถทำผลงานวิชาการเพื่อยื่นเสนอขอเลื่อนวิทยฐานะตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ทุกคน   ตรงนี้จึงเป็นช่องโหว่ให้เกิดขบวนการทุจริตของบรรดาครูทั่วประเทศ!

ที่สำคัญทำให้เกิดอาชีพรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ และการเขียนผลงานวิชาการ รวมไปถึงกระบวนการรีดไถของคณะกรรมการตรวจงานฯ โดยที่ครูเหล่านี้หาได้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นจากการทำผลงานวิชาการแต่อย่างใด

รับจ้างทำผลงานครู “คนใน” เอี่ยว
ทีม Special Scoop ได้ทำการสืบค้นหาแหล่งว่าจ้างทำผลงานวิชาการของ “ครู” แต่พบว่าส่วนใหญ่ที่ประกาศแพร่หลายในอินเทอร์เน็ตจะเป็นการประกาศรับจ้างทำงานวิชาการในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกเป็นหลัก

ส่วนการรับจ้างเพื่อช่วยเหลือ “ครู” ในการเลื่อนวิทยฐานะนั้น หาได้น้อย และแทบไม่มีปรากฏ
ด้านแหล่งข่าวประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษาในภาคอีสาน ซึ่งได้ทำงานในส่วนของการพยายามตรวจจับขบวนการ “รับจ้าง” ทำผลงานวิชาการ ร่วมกับเครือข่ายมานาน ระบุว่าจากการติดตามพบว่าขบวนการรับจ้างช่วยครูในการเลื่อนวิทยฐานะได้นั้นจะไม่ประกาศตัวอย่างแพร่หลาย แต่จะเป็นที่รู้กันในแวดวงครู

“พวกเขารู้กันเองว่าจะว่าจ้างใครซึ่งเป็นข้าราชการครู (เขตการศึกษา) เองที่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้”
สำหรับหลักการและขั้นตอนในการทำผลงานวิชาการนั้นจะเริ่มจากเมื่อครูมีระยะเวลาการทำงานและเงินเดือนถึงระดับที่จะสามารถเลื่อนวิทยฐานะได้นั้น ครูจะต้องไปทำเรื่องขอเลื่อนวิทยฐานะ ซึ่งในขั้นตอนนี้ครูจะต้องคิด และเลือกว่าจะทำผลงานในกลุ่มสาระการเรียนรู้ด้านไหน และต้องระบุไปในขั้นตอนนี้ เช่น จะทำผลงานด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ

จากนั้นจะมีคนในราชการระดับเขตนี้แหละ ที่จะติดต่อกับครูที่ต้องการเลื่อนวิทยฐานะเหล่านั้น ว่าจะช่วยให้ผลงานผ่านได้แน่ๆ และผ่านไปได้อย่างง่ายๆ แต่ก็ใช่ว่าครูทุกคนจะจ้างทำผลงานทั้งหมด เพราะมีครูจำนวนไม่น้อยที่อยากทำผลงานเองจากการประเมินเบื้องต้นอยู่ที่สัดส่วน 50-50%
โดยขบวนการ “หากิน” นี้จะเริ่มจาก ผู้รับจ้างจะนำผลงานที่เคยทำมา มาให้ครูคนนั้นๆ นำไปเปลี่ยนหัวข้อ หรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาในผลงานที่เคยผ่านการพิจารณาไปแล้วนำไปทำ เพราะว่าเป็นการสร้างผลงานที่ง่ายที่สุด

จากนั้น คนในราชการระดับเขต ก็จะทำตัวเป็นผู้ประสานงานทุกอย่างเพื่อช่วยครู โดยเฉพาะในการคัดเลือกคนที่อยู่ในระดับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาเป็นผู้ “อ่านผลงาน”
จะผ่านหรือไม่ผ่าน อยู่ในขั้นตอนนี้!

ดังนั้นในการคัดเลือกอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาอ่านผลงานในเขตนั้นๆ ก็จะมีการประสานเพื่อให้อาจารย์นั้นเข้าสู่กระบวนการนี้ด้วย และหากได้อาจารย์ที่ไม่ค่อยมีจรรยาบรรณ ยินยอมเข้าร่วมกระบวนการ ก็จะมีการมาติดต่อครูคนนั้นๆ อีกทีว่าคัดเลือกอาจารย์ได้แล้ว ผ่านแน่นอน
แต่จะผ่านแบบไหน?

จะผ่านโดยไม่ต้องมีการอ่านผลงานเลย หรือต้องการผ่านโดยการให้อาจารย์เหล่านั้นมีการแนะนำก่อนว่าผลงานนั้นๆ ต้องปรับแก้ตรงไหน ก่อนถึงวัน “อ่าน”

ในขั้นตอนนี้ ผู้ประสานงานที่เป็นข้าราชการก็จะมีการประสาน และบางครั้งมีการเปิดโรงแรมเพื่อนัดพบเป็นพิเศษระหว่างครูผู้ขอเลื่อนวิทยฐานะกับอาจารย์ผู้ที่จะอ่านผลงาน เพื่ออ่านผลงานก่อนนำเสนอ และเมื่อถึงวันนำเสนอผลงานก็จะให้ผ่านได้ง่ายๆ

สิ่งนี้คือสิ่งที่ต้องเลือก เพราะสนนราคาทั้ง 2 แบบไม่เท่ากัน
หากต้องการให้การอ่านผลงานผ่านเลย สนนราคาอยู่ที่ฉบับละ 60,000-100,000 บาท
แต่หากเลือกแบบมีการปรับแก้ก่อนวันตรวจ สนนราคาอยู่ที่ระดับ 30,000-35,000 บาท
สำหรับขบวนการหากินนี้ มีมากที่สุดในภาคอีสาน!

แหล่งข่าวประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษา (อ.ค.ก.ศ.) กล่าวว่า ขบวนการหากินแบบนี้เกิดมากที่สุดในภาคอีสาน เพราะมีโอกาสได้ครูชำนาญการมากถึง 80% ของครูที่ทำการขอเลื่อนวิทยฐานะ ขณะที่ภาคอื่นๆ มีน้อยกว่า ได้แก่ภาคกลางมีประมาณ 30% ภาคเหนือประมาณ 30% และภาคใต้มีประมาณ 20% ซึ่งน้อยที่สุด

“หากจะถามว่าการตรวจจับเป็นการแก้ปัญหาไหม ตอบได้เลยว่า ถ้ากระทรวงศึกษาธิการยังใช้เกณฑ์การวัดผลโดยดูจากเอกสาร ก็จะเกิดขบวนการรับจ้างอย่างนี้ต่อไป”

สิ่งที่เป็นทางออกในเรื่องนี้คือ กระทรวงศึกษาธิการ ต้องทบทวนแล้วว่า การเลื่อนวิทยฐานะครูแบบนี้เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ควรจะยกเลิกไปเสีย แล้วตั้งเกณฑ์การประเมินครูแบบใหม่ โดยเน้นประสิทธิผลที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียนเป็นหลัก
รับประกันผ่าน 100% จ่าย 3 แสน

ส่วนในเขตภาคกลางและกรุงเทพมหานคร แหล่งข่าวผู้แทนครูใน ค.ก.ศ. (คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) ในกรุงเทพมหานคร บอกว่า ขบวนการการทำผลงานทางวิชาการนั้นเกิดขึ้นจริง เนื่องจากต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ครูมี 2 ส่วน คือ ครูคนที่มีความสามารถไปถึงมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการวางไว้ ก็จะสามารถทำผลงานในการเลื่อนวิทยฐานะได้ และมีการนำผลงานมาพัฒนานักเรียนที่ได้ผลดี ซึ่งตรงตามเป้าหมายของการเลื่อนวิทยฐานะ

แต่ก็มีครูอีกส่วนหนึ่ง คือครูที่ไม่มีความสามารถ แต่มีเงิน ประกอบกับมีอลัชชีทางการศึกษา ที่อยู่ในวงการการศึกษา แต่ต้องการเงิน ก็จะเข้ามารับจ้างในการทำผลงานวิทยฐานะตรงนี้
“เป็นไปตามหลักดีมานด์ ซัปพลาย คือ เมื่อมีผู้เสนอ ก็ต้องมีผู้สนอง”

ขณะเดียวกัน ขบวนการหากินในภาคกลาง จะเหมือนในภาคอีสานคือ จะมีคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีที่เป็นข้าราชการ (ครู) ที่อยู่ในเขตการศึกษานั่นเอง เป็นคนจัดการประสานผลประโยชน์ทั้งหมด โดยเฉพาะระหว่างครู และอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งบอกได้ว่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ นั้น มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการได้เงินอย่างไม่ถูกต้องที่เกิดในขบวนการนี้ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ดีนั้น จะอ่านผลงานครูที่ไม่ได้เข้าสู่การซื้อวิทยฐานะด้วยการอ่านผลงานแล้วไม่ให้ผ่าน
สำหรับวิธีการซื้อผลงานเพื่อเลื่อนวิทยฐานะจะมี 2 ระดับคือ

ระดับแรก คือจะจ้างให้จัดทำทั้งหมด โดยนายหน้าที่เป็นข้าราชการครู (ในเขตการศึกษา) จะไปติดต่อให้อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ มีการจัดทำผลงานทั้งหมดให้ ทั้งผลงานด้านนวัตกรรม รายงานวิชาการ และผลงานปฏิบัติงาน รวม 3-5 เล่ม แต่จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ สนนราคาในส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 70,000-100,000 บาท

ระดับที่สอง ถ้าอยากให้ “ผ่านแน่นอน” จะต้องมีการจ้างคนตรวจเพื่อให้อนุมัติผ่านแบบรับประกัน 100% ราคาการจ้างในส่วนนี้เมื่อรวมขั้นตอนแรกด้วยนั้นจะตกอยู่ที่ประมาณ 200,000-300,000 บาท
ดังนั้นแม้ราคาค่าจ้างทำผลงานวิชาการจะสูงมาก แต่ก็คุ้มค่าที่เสียไปมาก!

“ครูที่ทำงานมานานๆ เงินเดือนก็อยู่ที่ 37,000 บาท ถ้าได้เลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการพิเศษก็จะได้เงินเดือนเพิ่ม และยังได้เงินค่าวิทยฐานะเพิ่มอีก 12,000 บาทต่อเดือน แต่หากเลื่อนขั้นอีกเป็นครูเชี่ยวชาญ ก็จะได้เงินค่าวิทยฐานะเพิ่มอีก 19,600 บาท”

หากย้อนมาดูตัวเลขของการตกเบิกประกอบ ก็จะเห็นได้ชัดว่า ถ้าครูคนหนึ่งลงทุนจ้างทำผลงานไป 2 แสนบาท ยังไงก็คุ้ม เพราะแค่การตกเบิกยังได้แล้วสูงสุดถึง 3 แสนบาท

แหล่งข่าวย้ำว่าเมื่อได้เงินเพิ่ม แถมได้ค่าวิทยฐานะเพิ่ม แต่การศึกษาแย่ลงจึงกลายเป็นประเด็นปัญหาที่ใหญ่มาก เพราะผลที่ตามมาคือ “ครูดีๆ เริ่มท้อแท้”

แฉครูดี 4 สาขาสุดช้ำ ลาออกอื้อ!
แหล่งข่าวกล่าวว่า ครูที่อยู่ในกรุงเทพมหานครจำนวนไม่น้อยเลยที่สอบไม่ผ่าน เนื่องจากครูใน กทม.นั้นส่วนใหญ่จะเป็นครูที่ต้องการจะทำผลงานด้วยตนเอง แต่เมื่อไม่ซื้อ ถึงแม้เก่ง โอกาสที่ผลงานจะผ่านก็เป็นไปได้น้อย เพราะอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนก็ไม่ใช่คนที่ตรงไปตรงมา
ไม่จ่ายก็อย่าหวังผ่าน!

ทำให้เวลานี้ ครูที่ทำงานโรงเรียนดังๆ ที่มีการสอนมา 20-30 ปี สอนให้เด็กเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ก็หลายคน แต่ไม่ผ่านการประเมินวิทยฐานะก็มีไม่น้อย

ขณะที่ครูรุ่นใหม่ๆ ไม่มีความสามารถ แต่ใช้เงินซื้อ ก็ได้เลื่อนวิทยฐานะ ครูดีๆ โดยเฉพาะในสาขา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และสังคม หลายคนก็รับไม่ได้ เลยมีการขอ “เออร์ลีรีไทร์” หรือขอเกษียณก่อนกำหนด ปีหนึ่งหลายคน อย่างปี 2555 มีครูใน 4 สายนี้ที่ขอเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดกว่า 100 คนไปแล้ว

ดังนั้น นโยบายและหลักเกณฑ์ในการเลื่อนวิทยฐานะครู กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลและผู้บริหารการศึกษาระดับกระทรวงจะมองข้ามไม่ได้อีกแล้ว

เพราะจุดประสงค์ในการเลื่อนวิทยฐานะครู ถือเป็นการเพิ่มคุณภาพครูเพื่อต้องการให้นักเรียนมีระบบการเรียนการสอนที่ดีขึ้น เด็กนักเรียนมีคุณภาพสูงขึ้น

แต่วันนี้ความเห็นแก่ “เงิน” ของแวดวงผู้บริหารการศึกษา ถือเป็นตัวอันตรายที่ทำให้ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอและคุณภาพด้อยลงไปอีก

“เงินเพิ่ม แถมได้ค่าวิทยฐานะเพิ่ม แต่การศึกษาแย่ลง” ประโยคนี้ได้ยินแล้วมันช้ำ!

— ASTVผู้จัดการออนไลน์ —

! http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32647&Key=hotnews

“พงศ์เทพ” แนะเปิดเทอมใหม่ลดสอนท่องจำ ให้ปลูกฝังคุณธรรม-ปชต.

9 พฤษภาคม 2556

เสมา 1 กำชับ ผอ.เขตฯ พร้อมรับมือเปิดเทอมใหม่ 2556  ชี้เป็นช่วงเวลาต้องเปลี่ยนการสอนในชั้นใหม่ลดการท่องจำ ใช้เวลาในชั้นเรียนอย่างคุ้มค่าและต้องปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และประชาธิปไตยควบคู่ด้วย

วานนี้ (8 พ.ค.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้น นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยระหว่างมอบนโยบายเตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2556 ให้แก่ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างมากและต้องการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการแก่ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้น หากเขตพื้นใดพบว่าโรงเรียนที่อยู่ในการดูแลมีรูปแบบการจัดการศึกษาที่ดี เป็นแบบอย่างต่อการพัฒนาแก่โรงเรียนอื่น ๆ ได้ขอให้แจ้งมายังเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เพื่อนำมาเผยแพร่ต่อไป โดยเฉพาะในปีการศึกษา 2556 จะเป็นช่วงเวลาที่ ศธ.เดินหน้าพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน และจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดเรียนการสอนในชั้นเรียนใหม่ โดยเฉพาะการบริหารจัดการเวลาในชั้นเรียนคาบละ 50 นาทีให้เกิดประโยชน์มากขึ้น เวลาเรียนในแต่ละปีการศึกษามีเพียง 5 เดือนเศษ ๆ เท่านั้น จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

นอกจากนี้ จะต้องเชื่อมโยงการศึกษาในภาพรวมทุกระดับตั้งแต่อนุบาลไปถึงอุดมศึกษา เพื่อให้เป็นไปตามแผนผลิตกำลังคนและปรับโครงสร้างทั้งบุคลากร สถานที่ เพื่อรองรับความเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งต่อไปนักเรียนชั้น ม.ปลายจะน้อยลง จากเดิมที่จำนวนนักเรียนสายสามัญอยู่ที่ประมาณกว่า 60% จะต้องเหลือ 50% เพื่อให้เด็กหันไปเรียนสายอาชีพให้มากขึ้นเป็นร้อยละ 50 จากเดิมที่มีเพียงกว่า 30% เท่านั้น ซึ่งตรงนี้เขตพื้นที่ฯจะต้องมองภาพให้ออกและเตรียมการจัดการศึกษาสายสามัญที่เหมาะสม

“ต่อไปจะต้องเลิกเสียเวลามาท่องจำในสิ่งที่ไม่จำเป็น ท่องเฉพาะสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น แล้วนำเวลาเรียนมาส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก และต้องแบ่งแยกความสำคัญของเนื้อหา เลือกเน้นในบางเนื้อหา อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดทิ้งไป ที่สำคัญ นอกจากด้านวิชาการแล้วจะต้องส่งเสริมการปลูกฝังเรื่องคุณธรรม จริยธรรรมให้กับนักเรียน รวมถึงเรื่องการปลูกฝังประชาธิปไตยด้วย ต้องสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ประชาธิปไตยในโรงเรียน เพราะเรื่องเหล่านี้จะเรียนรู้ได้ต้องผ่านการปฏิบัติซ้ำ จนเด็กซึมซับ “รมว.ศึกษาธิการ กล่าว

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวต่อว่า เปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2556 นี้ สพฐ.จะเริ่มปรับลดการให้การบ้านโดยใช้วิธธีให้ครูแต่ละวิชาบูรณาการการให้การบ้านร่วมกัน จำนวนการบ้านรายวันของเด็กจะได้ลดลง ขณะนี้ สพฐ.ได้จัดทำคู่มือบูรณาการการให้การบ้านแบบครบวงจรเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในเดือนพฤษภาคมนี้ จะได้นำคู่มือดังกล่าวมาจัดอบรมศึกษานิเทศก์ก่อนขยายผลสู่โรงเรียนต่อไป นอกจากนั้น สพฐ.จะได้นำแนวคิดจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่” ห้องเรียนกลับด้าน” หรือ Flipped Classroom มาให้ในปีการศึกษา2556 ด้วย โดยจะให้นำร่องดำเนินการในเขตพื้นที่การศึกษาที่มีความพร้อม ห้องเรียนกลับด้านนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการบ้านและช่วยพัฒาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้เด็กได้

–ASTVผู้จัดการออนไลน์–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32646&Key=hotnews

“พงศ์เทพ” สั่งยุบ ร.ร.ขนาดเล็กไร้คุณภาพ

9 พฤษภาคม 2556

“พงศ์เทพ” สั่งยุบ ร.ร.ขนาดเล็กเด็กน้อยไร้คุณภาพ ชี้หากมีร.ร.ใกล้เคียงคุณภาพดีให้โอนย้ายเด็กและยุบที่เดิมทิ้งทันที ขณะที่ ร.ร.เดิมที่ยังอยู่ให้ปรับรูปแบบบริหารงานใหม่ ย้ำ สพฐ.มีแนวทางรองรับการดูแลเด็ก พร้อมแนะ ผอ.สพท.ให้ทำความเข้าใจชุมชนถึงเหตุจำเป็นเพื่อลดการต่อต้าน

วานนี้ (8 พ.ค.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศเพื่อรับฟังนโยบายเตรียมความพร้อมรับเปิดภาคเรียน 2556 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา นำไปดำเนินการ ถ้าโรงเรียนขนาดเล็กแห่งใดอยู่ในข่ายไม่จำเป็นต้องคงอยู่ ก็ให้ยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กแห่งนั้น โดยโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในข่ายควรยุบรวมนั้น จะเป็นโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยมาก เป็นโรงเรียนที่ด้อยคุณภาพและมีโรงเรียนใกล้เคียงที่มีคุณภาพรองรับ ทั้งนี้ การยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กบางแห่ง จำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจกับชุมชนเพื่อลดการต่อต้านด้วย ซึ่งต้องชี้แจงให้ชุมชนเข้าใจว่า รัฐบาลไม่มีกำลังและงบประมาณจะพัฒนาโรงเรียนทุกแห่งและไม่สามารถนำงบประมาณจากเงินภาษีมาดูแลทุกโรงเรียนได้เท่าเทียมกัน แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้ว

โรงเรียนขนาดเล็กบางแห่ง อย่างที่จ.สมุทรสาครมีนักเรียนแค่ประมาณ 20 คน เป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น ถามว่า อย่างนี้จะเปิดไว้ทำไม คุณภาพก็ไม่ได้ ขณะที่ โรงเรียนข้างเคียงที่มีคุณภาพก็อยู่ห่างไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ถ้ายุบโรงเรียนแล้วย้ายเด็กไปเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพมากกว่า จะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวนักเรียนเองและเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษาในภาพรวม ซึ่งแม้แต่ในต่างประเทศ อย่างสหรัฐอเมริกา ยังมีการปิดโรงเรียนขนาดเล็กแม้แต่ในเมืองหลวงอย่างกรุงวอชิงตัน ดีซีอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเห็นว่า โรงเรียนในย่านใดไม่มีประโยชน์จะคงไว้ แม้มีนักเรียน 60 คน หรือโรงเรียนขนาด 300 คน ยังถูกปิด”  นายพงศ์เทพ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม การยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อนักเรียน เพราะ สพฐ.ได้จัดระบบรับส่งนักเรียนไว้รองรับแล้ว โดยได้เตรียมงบประมาณไว้จัดซื้อรถตู้รับส่งนักเรียน 1,000 คัน แต่ในบางพื้นที่ตนเห็นว่าอาจให้เอกชนเข้าประมูลรับไปบริหารจัดการแทน จะช่วยประหยัดงบประมาณรัฐได้มาก หรือในกรณีที่เด็กย้ายไปโรงเรียนใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก อาจจะจัดงบประมาณจัดซื้อจักรยานให้เด็ก จะเป็นวิธีที่ประหยัดกว่าการจัดรถรับส่งเสียอีก ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กที่ยังคงอยู่นั้น จะต้องมีการบริหารจัดการใหม่ ใช้วิธีรวมกลุ่มกันจัดการเรียนการสอน นำครูและทรัพยากรที่แต่ละโรงเรียนมีอยู่มาใช้ร่วมกันเพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพขึ้น

ด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า โรงเรียนขนาดเล็กที่ สพฐ.ตั้งเป้ายุบรวมนั้น จะเป็น โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 60 คน ซึ่งก็ต้องไปสำรวจว่า โรงเรียนที่อยู่ในข่ายจะยุบได้ทันทีนั้น มีจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ โรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 120 คน ลงทั่วประเทศ มีจำนวนประมาณ 17,000 โรง จากจำนวนโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 3 หมื่นโรง

–ASTVผู้จัดการออนไลน์–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32645&Key=hotnews

 

เตือนสอศ.ใช้งบฯซื้อเครื่องมือฝึกทักษะตรงสเปก-โปร่งใส

8 พฤษภาคม 2556

นายวีรวัฒน์ วรรณศิริอุปนายกสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทยกล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีนโยบายจัดซื้อเครื่องมือประจำตัวให้แก่นักศึกษาช่างในสังกัด สอศ.ทุกคน ว่า เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวเนื่องจากที่ผ่านมา นักศึกษาช่างของ สอศ.ยังขาดเครื่องมือพื้นฐานในการฝึก ทั้งที่เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่ง สอศ.ควรดูแลมานานแล้ว ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะเป็นแนวทางหนึ่งในการผลักดันเรื่องคุณภาพการอาชีวศึกษาได้ ซึ่งจะดีกว่าไปเน้นเรื่องการสร้างอาคารสถานที่เป็นหลัก แม้แต่การจัดตั้งวิทยาลัยการอาชีวศึกษาระดับอำเภอก็ยังไม่จำเป็นเท่ากับการยกระดับคุณภาพเครื่องมือให้แก่นักศึกษา

“เมื่อสอศ.มีแนวคิดที่ดี ที่จะจัดงบประมาณสนับสนุนการจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือแล้ว ในการจัดซื้อควรให้ครูผู้สอนเป็นผู้กำหนดสเปกเอง เพราะครูประจำสาขาจะทราบดีว่าสาขาใดต้องการเครื่องมือประจำตัวช่างชิ้นใดบ้าง อีกทั้งในการจัดซื้อก็ต้องมีความโปร่งใสยุติธรรมจัดหาเครื่องมือที่มีคุณภาพ และป้องกันเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ได้ รวมถึงต้องตรวจสอบได้ด้วย อย่าให้เหมือนการจัดซื้อครุภัณฑ์ที่จัดซื้อมาแล้วกลับใช้ไม่ได้เหมือนที่ผ่าน”

นายวีรวัฒน์ กล่าวและว่า ที่ผ่านมาการลงทุนด้านการศึกษาถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่สูง แต่ก็ไม่ได้ลงไปที่เด็กอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนบุคลากร และยิ่งวันนี้การลงทุนด้านการศึกษาก็ถึงทางตัน เพราะมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้น การจัดหาครุภัณฑ์สำหรับนักศึกษาในอนาคตอยากให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กโดยตรง ถึงแม้ต้องลงทุนมหาศาลก็ต้องทำเพื่อให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าซึ่งประโยชน์ก็จะตกกับประชาชนในที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32638&Key=hotnews

ผุดเกณฑ์เยียวยาวิทยฐานะ

8 พฤษภาคม 2556

นายสุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า ก.ค.ศ. มี นโยบายพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ได้มีโอกาสพัฒนาและเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถที่จะนำไปใช้ใน การปฏิบัติงานตามหน้าที่ให้เกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งเยียวยาให้ เลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้น เพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ ที่ผ่านมา ก.ค.ศ.ได้รับร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาเลื่อนวิทยฐานะและไม่ได้พิจารณาจากความสามารถที่แท้จริง

นายสุขุมกล่าวว่า ดังนั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมจึงให้ดำเนินโครงการการเยียวยาผู้ที่ยังไม่ได้รับการเลื่อนวิทยฐานะเป็นครั้ง สุดท้าย โดยการเยียวยาเพื่อเลื่อนวิทยฐานะครั้งนี้จะมีการกำหนดเกณฑ์ออกมา โดยเฉพาะไม่เหมือนกับเกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะ ครั้งที่ผ่านๆ มาเพื่อเยียวยาจริงๆ ซึ่งผู้ที่ได้รับการเลื่อนวิทยฐานะ มีศักดิ์และสิทธิเหมือนกับรุ่นอื่นๆ ทุกประการ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32637&Key=hotnews

ทปอ.ดันตั้งกระทรวงอุดมศึกษา ตั้ง ‘วันชัย ‘นั่งประธาน กก.ศึกษาฯ

8 พฤษภาคม 2556

นายวันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการศึกษาและจัดทำโครงการจัดตั้งกระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย โดยมีนายมณฑล สงวนเสริมศรี อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นรองประธานและมีกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนมหาวิทยาลัยต่างๆ รวม 15 คนนั้น เร็วๆ นี้ จะมีการนัดประชุมคณะกรรมการนัดแรก โดยกรอบการทำงานจะศึกษาข้อมูลรอบด้านที่เกี่ยวข้องทั้งปัญหา อุปสรรค การบริหารจัดการหลังจากที่การอุดมศึกษาได้อยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในรูปของคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งข้อเสนอจากการพิจารณาก็อาจจะออกมาใน 2 แนวทาง คือ แนวทางแรกอาจจะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องแยกออกจาก ศธ. เพียงแต่ปรับปรุงการบริหารจัดการและรูปแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แนวทางที่สองก็อาจจะเห็นถึงความจำเป็นที่จะให้มีการจัดตั้งเป็นกระทรวงอุดมศึกษาและวิจัย เพื่อประสิทธิภาพในการบริการจัดการและการพัฒนาประเทศ

“อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งเป็นกระทรวงมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่การดำเนินการของคณะกรรมการคงไม่มีอคติในการพิจารณาว่าควรเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ต้องพิจารณาจากข้อมูลรอบด้าน รวมทั้งการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายอย่างครบถ้วน เพื่อให้เกิดความรอบคอบทุกด้านและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อบ้านเมือง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาและยังมีขั้นตอนการดำเนินงานหลายขั้นตอน” นายวันชัยกล่าว

อธิการบดี มฟล.กล่าวต่อว่า การที่ ทปอ.หยิบยกประเด็นนี้มาพิจารณาถือเป็นบทบาทหน้าที่ของ ทปอ.ที่จะเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการอุดมศึกษาที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับรัฐบาล ซึ่งอยู่ในห้วงเวลาที่เหมาะสมหลังจากที่การอุดมศึกษาได้อยู่ภายใต้การกำกับของ ศธ.มาเป็นระยะเวลาพอสมควร เพื่อเสนอแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากที่สุดให้กับรัฐบาลพิจารณาต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32635&Key=hotnews

เผยเด็กเก่งทิ้ง ‘หมอ’ แห่เรียน ‘ครู’ เพียบอธิการบดี มข. ชี้รุ่นใหม่ฮิตสายสังคมฯ

8 พฤษภาคม 2556

นายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) เปิดเผยถึงผลการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮ้าส์ ประจำปีการศึกษา 2556 ซึ่งมีผู้ขอสละสิทธิ จำนวน 11,735 คน จากผู้ผ่านการคัดเลือก จำนวน 43,445 คน โดยในส่วนของ มข.รับ 3,647คน แต่สละสิทธิ 1,429 คน ว่า มข.มีผู้สละสิทธิมากเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งหลายคนสละสิทธิเพื่อไปเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ อย่างไรก็ตาม พบว่าปัจจุบันเด็กไทยไม่ค่อยสนใจเรียนด้านวิทยาศาสตร์ แต่หันไปเรียนสายสังคมศาสตร์มากกว่า เพราะแม้แต่เด็กเก่งๆ ที่จบชั้น ม.6 สายวิทยาศาสตร์ แทนที่จะเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ กลับเลือกเรียนสายสังคมศาสตร์มากกว่า โดยคณะยอดนิยมของ มข.ที่สนใจเข้าเรียนมากที่สุดคือ คณะศึกษาศาสตร์ มีสัดส่วนการแข่งขันประมาณ 1 ต่อ 30 และคณะนิติศาสตร์ มีสัดส่วนการแข่งขัน 1 ต่อ 20 ขณะที่สัดส่วนการแข่งขันในภาพรวมของ มข.อยู่ที่ 1 ต่อ 18 ส่วนสาเหตุที่เด็กสนใจเลือกเรียนแพทย์น้อยลง อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่แพทย์ถูกฟ้องร้องได้ ทำให้เด็กสนใจเรียนน้อยลง เพราะแม้แต่แพทย์ด้วยกันเอง ก็ยังเลือกเรียนแพทย์เฉพาะทางที่มีโอกาสถูกฟ้องน้อย และมีรายได้ดี เช่น ศัลยแพทย์ เป็นต้น

“ที่เด็กๆ นิยมเรียนคณะศึกษาศาสตร์ ถือเป็นทิศทางที่ดี เพราะจะทำให้ประเทศไทยได้ครูเก่งๆ อย่างการรับตรงของ มข.เอง พบว่าคนที่สอบเข้าได้ ที่สุดท้ายของคณะศึกษาศาสตร์ ยังมีคะแนนสูงกว่าเด็กสอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ และแม้แต่คนที่คะแนนสูงพอที่จะเลือกคณะทันตแพทยศาสตร์ได้สบายๆ ก็ยังเลือกที่จะเรียนครู ส่วนที่เกรงว่าเมื่อเด็กแห่เรียนครูจำนวนมาก อาจเกิดการทุจริตเช่นเดียวกับการสอบเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในตำแหน่งครูผู้ช่วย ที่มีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ในขณะนี้นั้น เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น เพราะหลักสูตรที่คณะศึกษาศาสตร์ใช้อยู่ขณะนี้เป็นหลักสูตรครูพันธุ์ใหม่ 4+1 ปี เมื่อเรียนจบแล้ว จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการทันที ซึ่งขณะนี้รุ่นแรกจบ และได้รับการบรรจุแล้ว ซึ่งต่างจากกรณีของครูผู้ช่วยที่ไม่ได้เรียนครูโดยตรง เป็นเพียงพนักงานราชการ หรืออัตราจ้าง และต้องสอบเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย นายกิตติชัยกล่าว

นายกิตติชัยกล่าวว่า ส่วนการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาใหม่ หรือแอดมิสชั่นส์ ประจำปีการศึกษา 2556 ขณะนี้มหาวิทยาลัยได้รับแจ้งให้ยืนยันจำนวนที่จะรับนักศึกษาอีกครั้ง ซึ่ง มข.จะแจ้งตัวเลขนักศึกษาที่สละสิทธิจากระบบรับตรง ไปเพิ่มในยอดรับสมัครของแอดมิสชั่นส์แล้ว ทั้งนี้ โดยภาพรวมการรับนักศึกษาผ่านระบบรับตรง และผ่านระบบแอดมิสชั่นส์ของ มข.อยู่ที่ 75 ต่อ 25

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32634&Key=hotnews