Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

“ห้องเรียนกลับด้าน” สพฐ.ให้ “เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่ ร.ร.”

3 พฤษภาคม 2556 เรียบเรียงโดย สุพินดา ณ มหาไชย

 

homework at school
homework at school

“ห้องเรียนกลับด้าน” หรือ “Flipped Classroom” เป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหม่ที่ Jonathan และ Aaron ครูวิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School สหรัฐอเมริกา ค้นคิดขึ้น นักเรียนบางส่วนของพวกเขาจำเป็นต้องขาดเรียนบ่อยครั้งเพราะถูกกิจกรรมต่างๆ ดึงตัวออกไป ทั้ง 2 คนจึงระดมสมองคิดหาทางแก้ไข จนนำไปสู่ Flipped Classroom ในปี 2007 จนถึงปัจจุบัน กระแส Flipped Classroom แพร่ขยายเป็นวงกว้างในอเมริกา และในปีการศึกษา 2556 นี้ ชั้นเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะปรับตัวให้เป็นห้องเรียนกลับด้าน เช่นกัน

“เรียนที่บ้าน-ทำการบ้านที่โรงเรียน”
นิยามสั้น ๆ ของ Flipped Classroom นั้น “รุ่งนภา นุตราวงศ์” ผู้เชี่ยวชาญของ สพฐ. ซึ่งจับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า นำสิ่งที่เดิมเคยทำในชั้นเรียนไปทำที่บ้าน และนำสิ่งที่เคยถูกมอบหมายให้ทำที่บ้านมาทำในชั้นเรียนแทน ชั้นเรียนที่เราคุ้นเคยกันมานั้น ครูจะเป็นผู้บรรยายเนื้อหาต่างๆ ในชั้นเรียนแล้วมอบงานให้นักเรียนกลับไปทำเป็นการบ้าน แต่ Jonathan และ Aaron สังเกตว่า เวลาที่นักเรียนต้องการพบครูจริงๆ คือ เวลาที่เขาติดขัดและต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่ได้ต้องการครูอยู่ในชั้นเรียนเพื่อบอกเนื้อหา เพราะเขาสามารถค้นหาเนื้อหานั้นด้วยตนเองได้

เพราะฉะนั้น ถ้าครูบันทึกวิดีโอการสอนให้เด็กไปดูเป็นการบ้าน แล้วครูใช้ชั้นเรียนสำหรับชี้แนะนักเรียนให้เข้าใจแก่นความรู้ หรือชี้แนะในการที่เด็กได้รับมอบหมายจะดีกว่า ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันก้าวหน้าไปมาก เว็บไซต์ต่างๆ อย่างยูทูบอัดแน่นไปด้วยความรู้ต่างๆ เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หมดยุคที่ต้องคอยมารอรับความรู้ในชั้นเรียนเพียงช่องทางเดียวแล้ว

เพราะฉะนั้นในห้องเรียนกลับด้าน ครูจะแจกสื่อให้เด็กไปเรียนรู้ล่วงหน้าที่บ้าน หรืออาจให้เด็กไปดูสื่ออย่างยูทูบ เมื่อมาเข้าชั้นเรียนในวันรุ่งขึ้น นักเรียนจะซักถามข้อสงสัยต่างๆ จากนั้นก็ลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่มโดยมีครูคอยให้คำแนะนำตอบข้อสงสัย

เพื่อตรวจสอบว่า เด็กได้ดูสื่อที่ครูให้ไปเรียนรู้ล่วงหน้าหรือไม่นั้น จะมีเด็กบันทึกโน้ตมาส่งครู อาจบันทึกมาในสมุด เข้าไปเขียนไว้ใน Blog ของครู หรือเขียนส่งมาทางอีเมล และจะให้เด็กตั้งคำถามมาด้วยอย่างน้อย 1 ข้อ อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการฝึกทักษะในการจดบันทึกให้แก่นักเรียนก่อนช่วงต้นปีการศึกษาเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ห้องเรียนกลับด้านให้เด็ก

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวเสริมว่า การให้เด็กเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้าที่บ้านแล้วมาพูดคุยในชั้นเรียนนั้น จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น เร็วขึ้น เหลือเวลาสำหรับเติมสิ่งอื่นๆ ให้เด็กโดยเฉพาะทักษะคิดวิเคราะห์ รูปแบบเดิมนั้น เวลาในชั้นเรียนจะหมดไปกับการ warm-up (เตรียมพร้อม) จำนวน 5 นาที ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการบ้านของนักเรียน 20 นาที บรรยายเนื้อหาใหม่ 30-45 นาที เหลือแค่ 20-35 นาทีให้นักเรียนทำงานและกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ แต่ห้องเรียนกลับด้าน ใช้เวลา warm-up จำนวน 5 นาที ถามตอบเกี่ยวกับวิดีโอที่ดู 10 นาที ที่เหลืออีก 75 นาที เต็มๆ นักเรียนจะได้ทำงาน กิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ มี่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ให้ลุ่มลึกกว้างขวางขึ้น

ที่ผ่านมา เด็กไทยอยู่ในกลุ่มเรียนเยอะ เปรียบเทียบจำนวนชั่วโมงเรียนกับนานาชาติแล้ว ไทยอยู่ในกลุ่มบน ต่อปีเด็กไทยเรียนถึง 1,200 คาบ แต่ผลประเมินระดับนานาชาติ เช่น Pisa กลับอยู่ในกลุ่มล่าง เข้าทำนอง เรียนมากแต่รู้น้อย
ดร.ชินภัทร บอกว่า 70% ของชั้นเรียนเป็นการบรรยายของครู แต่ถ้ากลับด้านห้องเรียนแล้ว แทนที่เด็กจะมาตัวเปล่า นั่งรอรับความรู้จากครู เด็กก็จะมาเรียนด้วยความเข้าใจเพราะเรียนรู้เนื้อหาล่วงหน้ามาแล้ว ในชั้นเรียนจะเป็นการซักถามเพิ่มเติม การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน เราจะได้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 30-40 นาที สำหรับพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ให้เด็ก

“ห้องเรียนกลับด้าน” ยังเป็นการเข้าใกล้การจัดการเรียนการสอนแบบ Child Center มากขึ้น แทนที่การสอนแบบ Teacher Center ซึ่งกำลังจะตกยุคเข้าไปทุกที ที่สำคัญช่วยแก้ปัญหาเรื่องการบ้านได้ด้วย

ดร.ชินภัทร บอกว่า เด็กไม่ต้องไปทุกข์ทนกับการทำการบ้านที่บ้านอีกต่อไป การบ้านบางประเภทโดยเฉพาะ Problem solving นั้น เด็กไม่สามารถทำคนเดียวโดยปราศจากการแนะนำของครูได้ การฝึกให้การบ้านกับเด็กไป รั้งแต่สร้างความเครียดกับเด็ก สุดท้ายเด็กอาจเกลียดกลัวการมาโรงเรียน แต่ถ้ากลับด้านให้เด็กเรียนเนื้อหาล่วงหน้ามาเป็นการบ้านแล้วมาทำงานร่วมกันในชั้นเรียน จะช่วยให้เด็กเรียนด้วยความเข้าใจและมีความสุขขึ้น

สพฐ.จะเดินหน้าปรับโฉมชั้นเรียนเป็น Flipped Classroom ทันทีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ดร.ชินภัทร ย้ำว่า และนี่จะเป็นสิ่ง สพฐ.ทำเพื่อเพิ่มคุณภาพการจัดการเรียนการสอนได้โดยไม่ต้องรอการปฏิรูปหลักสูตรซึ่งอาจใช้เวลานาน และสำหรับ ดร.ชินภัทร แล้ว ห้องเรียนกลับด้าน เป็นการคิด “นอกกรอบ” ที่สพฐ.หามานาน สำหรับตอบโจทย์ปฏิรูปการศึกษา

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 3 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32600&Key=hotnews

ยกเครื่องกู้เรียนแก้ขาดแรงงานสายวิทย์

3 พฤษภาคม 2556

พิมพ์ไทยออนไลน์ // นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน มอบนโยบายแก้ผู้บริหารสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับการกู้ยืม เงินเพื่อการศึกษาประจำปีการศึกษา 2556 ว่า เพื่อให้การบริหารงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ .ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถผลิตแรงงานในสาขาที่ขาดแคลน เช่นวิทยาศาสตร์ แพทย์ คอมพิวเตอร์ และอาชีวะหลายสาขา ทางกระทรวงการคลังจึงได้ยกร่างกฎหมายใหม่ให้มีการควบรวมกองทุนเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต หรือ กรอ.และ กยศ.ด้วยกัน เพื่อเชื่อมโยงข้อมูล นำนักเรียน นักศึกษามาดูแลอยู่ในรูปแบบเดียวกัน

นางสาวฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. กล่าวว่า ผลการปล่อยกู้ให้กับนักเรียน นักศึกษาสำหรับปีการศึกษาปี 55 เป็นเงิน 30,000 ล้านบาท จำนวน 8 แสนราย ส่วนภาระหนี้สะสมค้างอยู่ประมาณร้อยละ 40 หรือเป็นเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนปีการศึกษาประจำปี 2556 ในส่วนของกองทุน กรอ.ตั้งวงเงินไว้ 86,000 ล้านบาท กองทุน กยศ.อนุมัติกรอบวงเงินไว้ 36,213 ล้านบาท

โดยกองทุน กยศ.จะเน้นจัดสรรเงินกู้ในสายอาชีวะมากกว่าสายสามัญในระดับมัธยมปลายมากขึ้น นอกจากนี้ยังพยายามสร้างเครือข่ายแนวร่วม จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้ช่วยกันดูแล ผู้จบการศึกษา พื่อสร้างจิตสำนักให้ช่วยกันชำระหนี้คืนให้กับกองทุน เพื่อให้มีเงินรองรับการกู้จากนักศึกษารุ่นต่อไป

ปัจจุบัน มีนักเรียน นักศึกษา กู้ยืมเงินจากกองทุนฯ 4.1 ล้านรายซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาและสำเร็จการศึกษา คิดเป็นเงินงบประมาณกว่า4 แสนล้านบาท โดยในปีการศึกษา 2556 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบวงเงินให้กู้ยืมกองทุน กรอ.
สำหรับนักศึกษาประมาณ 86,000 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 6,037 ล้านบาท และอนุมัติกรอบวงเงินให้กู้ยืมกองทุน กยศ. สำหรับนักเรียนนักศึกษาประมาณ 880,000 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 36,213 ล้านบาท โดยได้มีการเพิ่มสัดส่วนการจัดสรรเงินกู้ยืมในสายอาชีวะมากกว่าสายสามัญในระดับมัธยมปลาย

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32599&Key=hotnews

สอศ.สนองพระราชดำริ ‘พระเทพ’ จับมืออาชีวะจีนสอนอาชีพเด็กไทย

3 พฤษภาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีกระแสรับสั่งเรื่องการจัดการอาชีวศึกษา หลังเสด็จฯไปยังโรงเรียนมัธยมอาชีวศึกษาเจิ้นซ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเปิดสอนหลักสูตรอาหารจีน เสริมสวย ถ่ายภาพ และการโรงแรม โดยพระองค์รับสั่งชื่นชมว่าทำได้ดี มีความก้าวหน้าเอาจริงเอาจัง เพราะชาวจีนเห็นความสำคัญกับการเรียนสายอาชีพ ขณะที่สถานประกอบการก็ให้ความร่วมมือ เป็นเจ้าภาพในการจัดการเรียนการสอน และยังเน้นจัดการเรียนการสอนอาชีพเฉพาะด้านอย่างลึกซึ้ง ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน ที่สำคัญให้นักศึกษาได้ฝึกงานต่างประเทศเป็นระยะเวลานาน ทำให้รู้ลึกรู้จริง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะนำกระแสรับสั่งมาขยายผลการจัดการศึกษาร่วมโครงการกับจีน โดยเฉพาะในสาขาที่จีนโดดเด่น และสั่งสมมาอย่างยาวนานเป็นที่ยอมรับ

“ที่ผ่านมา วิทยาลัยอาชีวศึกษาไทยมีความร่วมมือกับวิทยาลัยของจีนในการส่งครูมาสอนภาษาจีนปีละประมาณ 50 คน โดยครูจีนจะสอนเกี่ยวกับการสื่อสารภาษาจีน แต่ไม่ได้สอนอาชีพที่เป็นจุดเด่นของประเทศจีน ซึ่งในเร็วๆ นี้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะเดินทางไปเจรจาความร่วมมือด้านการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการของจีน ผมจะถือโอกาสนี้เพิ่มความร่วมมือในการจัดการศึกษาด้านการอาชีวะในสาขาที่จีนเชี่ยวชาญ โดยอาจจะส่งครูมาสอนอาชีพ และให้เด็กได้ไปฝึกงานที่จีน ซึ่งจะเป็นความร่วมมือในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะส่วนของวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่ดำเนินการกันเองเพียงเท่านั้น” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32598&Key=hotnews

ก.ค.ศ.เล็งเพิ่มมาตรการจูงใจ เกลี่ยคนลงพท.ไกลหลังขาดแคลนหนัก

3 พฤษภาคม 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กำลังดำเนินการจัดทำกรอบอัตรากำลังบุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค (2) ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ซึ่งที่ผ่านมาเป็นเพียงการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเท่านั้น ทำให้ต้องมากำหนดกรอบกันใหม่ทั้งหมด โดยจะกำหนดตามกลุ่มของเขตพื้นที่การศึกษา เช่น เขตพื้นที่การศึกษาเขต 1 เขตพื้นที่การศึกษาที่อยู่ห่างไกลหรืออยู่ในชายแดน เป็นต้น ซึ่งการกำหนดอัตราดังกล่าวจะต้องดูปริมาณงาน ความห่างไกล และองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย และคาดว่าจะต้องมีการเกลี่ยบุคลากรไปยังเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ

“เดิมกรอบอัตรากำลังชั่วคราวที่ ก.ค.ศ.วางไว้ ไม่สามารถจัดสรรหรือโอนให้ครบ เมื่อมีการกำหนดกรอบใหม่อาจจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติม อย่างในปัจจุบันการ
จัดสรรในเขตพื้นที่การศึกษา จะมีมาตรการจูงใจ โดยจะให้เลื่อนตำแหน่งได้ 1 ระดับสำหรับเขตพื้นที่ฯ ห่างไกลเพื่อเป็นการจูงใจ ซึ่งจะต้องมาดูว่า ก.ค.ศ.ควรจะต้องกำหนดมาตรการจูงใจอะไรบ้าง” เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าว และว่า ปัจจุบันหลายเขตพื้นที่การศึกษาจะประสบปัญหาไม่มีคนลงตามกรอบอัตราบุคลากรทางการศึกษาอื่น 38 ค(2) เพราะไม่สามารถเกลี่ยหรือจัดสรรได้ และบางตำแหน่งไม่มีคนมาปฏิบัติงานเลย เช่น เจ้าหน้าที่พัสดุ และนิติกร ทำให้เขตพื้นที่การศึกษาประสบปัญหาในการทำงาน เป็นต้น

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาที่ผ่านมา ก.ค.ศ.จะอนุมัติเป็นกรณีพิเศษให้กับเขตพื้นที่การศึกษาที่ขาดแคลนในตำแหน่งสำคัญอย่างนิติกร แม้ในภาพรวมเขตพื้นที่การศึกษาดังกล่าวอาจจะมีอัตรากำลังที่เกินกรอบที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การกำหนดกรอบใหม่ ทาง ก.ค.ศ.จะทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคาดว่าจะนำเสนอที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้ในเดือนพฤษภาคมนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32597&Key=hotnews

2,478 ร.ร. สังกัด สพฐ. ขาดแคลนน้ำ…หนัก!

3 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (ทบ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ได้รายงานสถานการณ์ต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ ที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ หมู่ 11 ต.โนนสมบูรณ์ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น ว่าปัจจุบันมีโรงเรียนในพื้นที่ชนบทที่ยังขาดแคลนน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคบริโภคอยู่เป็นจำนวนมาก จากการสำรวจพบว่าโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 32,186 แห่ง มีโรงเรียนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภคขั้นรุนแรง จำนวน 2,478 แห่ง ปีงบประมาณ 2556 มีแผนการดำเนินการอีก 457 แห่ง โดยโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เป็นโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกให้ดำเนินโครงการปีงบประมาณ 2555 กิจกรรมที่ดำเนินการ การเจาะบ่อน้ำบาดาลพร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำบาดาล ก่อสร้างระบบประปาบาดาลและก่อสร้างอาคารพร้อมติดตั้งระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำดื่มสะอาดตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลกแล้วเสร็จสามารถใช้งานได้

อธิบดี ทบ.กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรจากการศึกษาของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลพบว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่นอกเขตชลประทาน และมีศักยภาพด้านน้ำบาดาลสูง คือ มากกว่า 10 คิวบิกเมตรต่อชั่วโมง มากกว่า 11 ล้านไร่ สามารถพัฒนานำมาใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้แก่เกษตรกร ทำให้สามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปีที่บ้านทางพาดปอแดงได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2556 ได้ดำเนินการเจาะบ่อน้ำบาดาลเสร็จสิ้นทั้งหมด 13 บ่อ ส่วนการก่อสร้างถังพักน้ำและระบบการจ่ายน้ำอยู่ระหว่างการดำเนินการเมื่อโครงการแล้วเสร็จประชาชนก็จะสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างมาก

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32596&Key=hotnews

สัปดาห์หน้าจับตัวการทุจริตสอบครูผู้ช่วย

3 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่โรงแรมปรินซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ ได้มีการประชุมชี้แจงการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 โดยมีประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ผู้แทนครูใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) 131 เขต รวม 393 คนร่วมรับฟัง ซึ่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ดีเอสไอพบว่ามีการทุจริตสอบครูผู้ช่วยอย่างแน่นอน เพราะมีการเข้าสอบแทนกัน มีการทำเฉลยข้อสอบแจกจ่ายและนำเอาคำเฉลยมาส่งข้อความทางโทรศัพท์ มีการให้ท่องจำ หรือจดโพยเข้าไป ซึ่งสัปดาห์หน้าจะจับตัวคนที่เกี่ยวข้องได้อย่างแน่นอน

นายธาริต กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรณีผู้ที่สอบได้คะแนนสูงผิดปกติ 344 คนนั้น ข้อมูลจากการสอบสวนจะแบ่งเป็น 3 ส่วนได้แก่ข้อมูลจากการสอบสวนของดีเอสไอ ข้อมูลของนายชอบ ลีซอ อดีตผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลการสอบครูผู้ช่วย และข้อมูลของนายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีปัญหาการทุจริตสอบครูผู้ช่วย ซึ่งดีเอสไอจะขอให้ทั้งสองคนมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นภายในสัปดาห์หน้าตนจะลงนามในหนังสือเพื่อส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมด รวมทั้งความเห็นของดีเอสไอที่จะระบุว่าสมควรพิจารณาดำเนินการแก้ไขหรือยกเลิกการบรรจุและผลการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยไปให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ 130 เขต และ 1 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษเพื่อใช้ประกอบการพิจารณายกเลิกและเพิกถอน ซึ่ง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะสามารถสั่งยกเลิกได้แน่นอนเพราะหนังสือแจ้งดังกล่าวของดีเอสไอถือเป็นหนังสือราชการจากหน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนเรื่องนี้โดยตรง

“อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไม่ต้องกังวลเรื่องถูกฟ้องศาลปกครอง เพราะผมเชื่อว่าคนที่ทำทุจริตคงไม่กล้าไปฟ้องศาลปกครอง เพราะเสี่ยงที่จะถูกตรวจสอบข้อเท็จจริง และจะถูกดำเนินคดีที่เบิกความเท็จด้วย ซึ่งเป็นคดีอาญามีโทษจำคุก ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลอะไร” นายธาริต กล่าวและว่า หลังจาก อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ สั่งยกเลิกการบรรจุและผลการสอบคัดเลือกแล้วจะกันคนเหล่านั้นไว้เป็นพยานหากให้ความร่วมมือ เพื่อเอาตัวใหญ่มาลงโทษ

นายประเสริฐ บุญเรือง ประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า สพป.บุรีรัมย์ เขต 1 มีผู้สอบได้ 2 คน และมีคะแนนสูงมากถึง 198 คะแนนที่ถือว่าผิดปกติ ซึ่งหลังรับฟังการชี้แจงแล้ว ตนคิดว่าหากมีหนังสือจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) แจ้งมาว่าการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยที่ผ่านมามีการทุจริตก็คิดว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯบุรีรัมย์ เขต 1 จะสามารถพิจารณายกเลิกผลการสอบได้ หรือจะใช้เฉพาะหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่แจ้งผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยนายชอบ ลีซอ อดีตผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลการสอบครูผู้ช่วยก็สามารถนำไปยกเลิกผลการสอบได้แล้ว โดยถือว่าเป็นการขาดคุณสมบัติตามมาตรา 30 (13) ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32595&Key=hotnews

ศธ.สั่งผลิตคนรับแผนพัฒนารถไฟ

3 พฤษภาคม 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังโดยสารรถไฟจากอำเภอทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กลับมายังสถานีรถไฟสามเสน กรุงเทพฯ ว่า ระยะทางจากทุ่งสงมากรุงเทพฯ กว่า 900 กิโลเมตร แต่รถไฟไทยใช้เวลาวิ่งถึง 13 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องยอมรับความจริงว่ารถไฟไทยยังต้องพัฒนาทั้งเรื่องของระบบโครงสร้างและระยะเวลาการเดินทาง ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณให้ซื้อหัวรถจักรใหม่หลาย 10 หัว แต่สาเหตุที่รถไฟไทยใช้เวลาเดินทางนานไม่ได้มาจากความล้าสมัยของหัวรถจักรอย่างเดียว แต่ยังต้องรอสับหลีกกัน ดังนั้นรัฐบาลจึงมีโครงการที่จะจัดระบบขนส่งทางรางใหม่ เพื่อให้การเดินทางรถไฟมีความสะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นทางเลือกในการเดินทางสำหรับประชาชน และทำให้การขนส่งสินค้าสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งการพัฒนาระบบขนส่งแบบรางอยู่ในยุทธ ศาสตร์ไทยแลนด์ 2020 ของรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของ ศธ.ได้รับมอบหมายให้เตรียมบุคลากรรองรับการสร้างรถไฟความเร็วสูง และรองรับการขยายบริการของการรถไฟในอนาคต ซึ่งตนได้หารือกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพยากรณ์ความต้องการของบุคลากรทางด้านนี้ในอนาคต รวมถึงพิจารณาด้วยว่าอุตสาหกรรมประเภทใดที่จะขยายตัว ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ศธ.จะประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อให้ทั้ง 2 หน่วยงานปรับแผนการผลิตกำลังคนให้สอด คล้องกับความต้องการของประเทศต่อไป.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32594&Key=hotnews

 

ทปอ.หาทางกันลอกผลงาน

3 พฤษภาคม 2556

ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณี ศ.(พิเศษ) ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ระบุถึงปัญหาการรับจ้างทำวิทยานิพนธ์ที่ยังไม่สามารถปราบปรามได้ว่า ขณะนี้มหาวิทยาลัยทุกแห่งพยายามจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ของนิสิตนักศึกษาอย่างเข้มข้น และมหาวิทยาลัยก็พอจะรู้ว่ามีบริษัทที่รับจ้างทำเรื่องเหล่านี้อยู่ ทั้งนี้มักจะพบปัญหาในกลุ่มนักศึกษาที่เรียนภาคพิเศษ ระดับผู้บริหารที่มาเรียน ส่วนใหญ่จะลอกผลงานมา แต่มหาวิทยาลัยก็สามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตามในที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีการหารือกันว่า ในอนาคต วิทยานิพนธ์ของนักศึกษาทุกระดับจะต้องมีใบรับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้ลอกผลงานของคนอื่นมา จึงจะสามารถให้เข้าสอบและจบการศึกษาได้ และควรมีการแจ้งข้อห้ามในการทำวิทยานิพนธ์ให้แก่นักศึกษาด้วย เช่น ห้ามคัดลอกผลงานผู้อื่นมาโดยไม่อ้างอิง เป็นต้น เพราะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญา ผิดกฎหมายและต้องถูกถอดปริญญา

ด้าน ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจ้างทำวิทยานิพนธ์ หรือการลอกผลงานทางวิชาการของผู้อื่นเท่ากับการทุจริตทางวิชาการ ซึ่งน่าห่วง และปัญหานี้ส่วนหนึ่งเกิดจากค่านิยมที่ทุกคนคิดว่าต้องมีปริญญาหลายใบเพื่อเพิ่มดีกรี และหลงผิดว่าจะได้มาโดยวิธีใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้อย่างแท้จริง ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดช่องให้คนไปทำธุรกิจประเภทนี้ ถือว่าทำผิดทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง ดังนั้นหากจะเอาผิดก็ต้องเอาผิดทั้งคู่ เพื่อป้องกันไม่ให้วงวิชาการเสื่อมเสียไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในส่วนของเครื่องตรวจสอบวิทยานิพนธ์ฉบับภาษาไทยที่จุฬาฯ กำลังพัฒนานั้น คาดว่าจะใช้ได้ประมาณเดือนกรกฎาคมนี้.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32593&Key=hotnews

มสด.เยียวยาเลื่อนวิทยฐานะ

3 พฤษภาคม 2556

รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ฐานะผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (กคศ.) กล่าวตอนหนึ่งในการอบรมเรื่อง “หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเยียวยาให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ มสด. กับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 3 และเขต 5 ว่า กคศ. มีนโยบายพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ได้มีโอกาสพัฒนาและเพิ่มพูนความรู้ความสามารถที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบให้เกิดประสิทธิภาพ รวมทั้งเยียวยาให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะสูงขึ้นเพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพ ซึ่งที่ผ่านมา กคศ.ได้รับการร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ได้พิจารณาเลื่อนวิทยฐานะจากความสามารถที่แท้จริง แต่พิจารณาจากความถูกใจของคณะกรรมการที่อ่านผลงานมากกว่า ส่งผลให้ผู้ขอหลายคนไม่ผ่านการพิจารณา เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กคศ.จึงให้ดำเนินโครงการการเยียวยาผู้ที่ยังไม่ได้รับการเลื่อนวิทยฐานะเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวินัย คุณ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถพัฒนาคุณภาพ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดทำผลงานทางวิชาการได้ และให้โอกาสผู้ผ่านการอบรมได้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32592&Key=hotnews

กต.เมินยืดวีซ่าครูต่างชาติ

3 พฤษภาคม 2556

นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวว่า ตามที่ ทปอ.ได้ทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังกระทรวง การต่างประเทศ (กต.) กรณีขอปรับแนวปฏิบัติหนังสืออนุญาต เข้าประเทศ หรือ วีซ่า สำหรับอาจารย์และนักศึกษาต่างชาติ ให้สามารถยืดระยะเวลาการอยู่ในประเทศจากกำหนดเวลาเดิมได้ โดยปัจจุบันพบว่าอาจารย์ขอวีซ่า 4 ปี แต่ได้ครั้งละ 1 ปี ส่วนนัก ศึกษาขอวีซ่า 1 ปี แต่ได้ครั้งละ 90 วัน โดยขณะนี้ กต.โดยอธิบดี กรมการกงสุลตอบหนังสือกลับมาแล้ว แต่ปฏิเสธในข้อร้องขอ เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ที่ ทปอ.เคยส่งหนังสือขอความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็ปฏิเสธกลับมาเช่นกัน

ประธาน ทปอ. กล่าวต่อว่า ทปอ.ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าการขอวีซ่าของกลุ่มคนดังกล่าวเป็นการตอบสนองของมหาวิทยาลัยต่อการเปิดประเทศ เพราะต้องรับคนที่มีคุณภาพมาเป็นอาจารย์ ส่วนนักศึกษาต่างชาติเราก็ดูแลดีพอสมควร สิ่งที่เสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็เพื่อเป็นประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและประเทศเป็นส่วนรวม เพราะการต่ออายุวีซ่าบ่อยๆ เป็นเรื่องสิ้นเปลืองเวลาและกำลังคน จากนี้ไปจะเจรจาในระดับที่สูงขึ้น ทั้งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.กต.ต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32591&Key=hotnews