Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ชงโยกงบฯ 57 ทำโมเดลจัดเงินอุดหนุน

2 กันยายน 2556

ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ.ได้มอบให้ตนสรุปเรื่องการจัดสรรเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามโครงการเรียนฟรี เรียนดี 15 ปี อย่างมีคุณภาพทั้งระบบ เพื่อปรับหลักเกณฑ์การให้เงินอุดหนุนใหม่ นั้น ในสัปดาห์นี้ตนจะเรียกข้อมูลเรื่องดังกล่าวทั้งจากในส่วนที่ ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กำลังดำเนินการอยู่ และผลงานวิจัยที่มีมาดูประกอบ ขณะเดียวกันจะทำบันทึกไปถึงผู้บริหารองค์กรหลัก ที่มีสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดทั้งหมดว่ามีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องการปรับปรุงค่าใช้จ่ายรายหัวฯ พร้อมทั้งให้ส่งตัวแทนมาร่วมประชุม ทั้งนี้ รมว.ศธ.จะแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าว โดยมีตนเป็นประธาน และจะเชิญตัวแทนจากสำนักงบประมาณเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้จะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในแต่ละองค์กรหลัก เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นในส่วนของตนเอง ซึ่งคณะอนุกรรมการฯจะต้องส่งความคิดเห็นมาภายในเดือนกันยายนนี้

ดร.กิตติ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นในเดือนตุลาคมนี้ หรือต้นปีงบประมาณ 2557 ตนจะเสนอให้ รมว.ศธ. พิจารณาออกคำสั่งให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายรายหัวภายในวงเงินงบประมาณที่มีอยู่ เพื่อเป็นการทดลองรูปแบบ หรือโมเดลการบริหารงบฯ เพราะขณะนี้ ทุกองค์กรหลักต่างก็บอกว่างบฯค่าใช้จ่ายรายหัวที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการบริหารงาน ขณะที่เงินงบฯแผ่นดินก็มีอยู่จำนวนจำกัด ดังนั้นหากให้แต่ละองค์กรหลักไปบริหารเงินโดยโยกงบฯภายในวงเงินที่ตนเองมีไปเพิ่มในบางส่วน และลดในบางส่วน และติดตามประเมินผล ถ้าเรื่องใดดีก็ควรจัดสรรงบฯเพิ่มให้ แต่ถ้าให้งบไปแล้วไม่ดีขึ้นก็ไม่ควรให้อีก จากนั้นจะนำผลสรุปของการบริหารงบฯผ่านโมเดลนี้ไปพิจารณาตั้งงบฯปี 2558 ต่อไป ว่าต้องการใช้เงินอุดหนุนฯต่อหัวเด็กเท่าไหร่ หรือต้องการรับการจัดสรรเงินเพิ่มในส่วนใดบ้าง ดร.กิตติ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33935&Key=hotnews

รื้อเกณฑ์เฟ้น ผอ.เขตพื้นที่ฯ

2 กันยายน 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคล เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (ผอ.สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (ผอ.สพม.) ใหม่ ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับกรณีที่ค้างคามานาน เนื่องจากนายวีระ เกตุแก้ว รอง ผอ.สพป.กับพวกรวม 19 คน ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองพิษณุโลกเมื่อปี 2553 ขอให้ทุเลาการดำเนินการรับสมัคร ผอ.สพม. 23 ตำแหน่ง และขอให้เพิกถอนประกาศคณะกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง ผอ.สพม.เนื่องจากกลุ่มรอง ผอ.สพป.1,941 คน ไม่มีสิทธิสมัคร ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 1948/2553 ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2553 ที่ขอให้ศาลเพิกถอนมติ ก.ค.ศ. ดังนั้น ที่ประชุมจึงมอบให้สำนักงาน ก.ค.ศ.หารือไปยังศาลปกครองกลาง ในกรณีที่ต้องมีการดำเนินการคัดเลือกระหว่างที่ยังไม่มีคำพิพากษาว่า สามารถทำได้หรือไม่ เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารงานบุคคลของเขตพื้นที่การศึกษาที่ขาด ผอ.มากว่า 3 ปีแล้ว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33934&Key=hotnews

กคศ.ปัดรับครูผช.กลับ ปธ.โคราชหวั่นฟ้องวุ่น

2 กันยายน 2556

เลขาฯ ก.ค.ศ.ยันไม่ได้สั่งให้อดีตครูผู้ช่วยกลับเข้ารับราชการ มึน!ครูปัดโอกาสชี้แจง เลี่ยงตอบปฏิบัติทางปกครองครบหรือไม่

จากกรณีที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน มีคำสั่งให้การพิจารณาลงโทษครูผู้ช่วย จำนวน 344 ราย ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ส่อเข้าข่ายทุจริตการสอบบรรจุครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 เมื่อครั้งที่ผ่านมา ว่าให้การปฏิบัติการลงโทษเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเปิดโอกาสให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการไปแล้ว ได้รับโอกาสชี้แจงนั้น

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า กรณีครูผู้ช่วยได้รับคำสั่งให้ออกจากราชการโดยยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ยังไม่มีโอกาสได้ชี้แจงนั้น ตนจำตัวเลขไม่ได้ว่าครูผู้ช่วยที่เข้าข่ายกรณีนี้มีกี่ราย เพราะที่ผ่านมามีการรายงานตัวเลขเข้ามาที่สำนักงาน ก.ค.ศ.ทุกวัน ทั้งกรณีที่ให้ออกโดยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว และให้ออกโดยที่ยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการ ศธ. ไม่ได้สั่งให้กลับเข้ารับราชการ เพียงแต่ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อเปิดโอกาสให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ยังไม่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ได้มีโอกาสชี้แจง ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ก็ให้ว่าไปตามข้อเท็จจริง ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ส่วนถ้าอดีตครูผู้ช่วยกลุ่มดังกล่าว จะไม่มาชี้แจง ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ในการประชุม ก.ค.ศ.ที่ผ่านมา ไม่ได้หารือถึงประเด็นนี้ เพราะคิดกันว่าเมื่อได้รับสิทธิแล้ว ก็ควรจะมาใช้สิทธิกันทุกคน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การสั่งให้ออกจากราชการไปแล้ว สามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อให้มาชี้แจงได้อีกหรือ นางรัตนากล่าวว่า สามารถทำได้ เมื่อถามต่อว่า ทางอดีตครูผู้ช่วยยืนยันว่าจะไม่มาชี้แจง ฉะนั้น จะถือว่าการดำเนินการของ ศธ. ครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ที่จะนำมาสู่การไม่แพ้คดีถ้าหากมีการฟ้องศาลปกครองได้หรือไม่ นางรัตนากล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ เพราะไม่มีการหารือประเด็นนี้ในที่ประชุม ก.ค.ศ. อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจว่าในการประชุมชี้แจงแก่คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกี่ยวข้อง ที่สำนักงาน ก.ค.ศ. อยู่ระหว่างประสานนัดวันประชุมชี้แจงกับนายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะประธาน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มาเป็นผู้ชี้แจงแก่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯและผู้อำนวยการโรงเรียนนั้น เข้าใจว่าน่าจะมีการซักถามประเด็นนี้ในที่ประชุม ทั้งนี้ หลังประชุมทางผู้บังคับบัญชาจึงจะทำหนังสือถึงอดีตครูผู้ช่วยให้มาชี้แจงต่อไป

นายอดิศร เนาวนนท์ ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 7 กล่าวว่า ในส่วนของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 7 ได้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการปฏิบัติราชการทางปกครองครบถ้วนแล้วก่อนที่จะสั่งให้ครูผู้ช่วยออกจากราชการ โดยทางผู้อำนวยการโรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ครูผู้ช่วยมาชี้แจง ก่อนที่ทางเราจะยืนยันคำสั่งที่จะให้ออกจากราชการ

นายอดิศรกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่ากังวล คือ กรณีของครูผู้ช่วยที่ถูกให้ออกจากราชการโดยที่ไม่ได้รับโอกาสชี้แจง ตนได้พูดคุยกับอดีตครูผู้ช่วยกลุ่มนี้หลายคน ต่างยืนยันว่าจะไม่ไปชี้แจงแน่นอนแม้จะได้รับโอกาส ซึ่งทาง ศธ.ไปบังคับให้พวกเขามาชี้แจงไม่ได้ด้วย เพราะไม่ได้เป็นข้าราชการแล้ว ฉะนั้น จะใช้คำสั่งหรือกฎหมายมาตราไหนไปบังคับ ทนายความของอดีตครูผู้ช่วยกลุ่มดังกล่าวแนะนำว่า ไม่ต้องไปชี้แจงกฎหมายมาตราไหนไปบังคับ ทนายความของอดีตครูผู้ช่วยกลุ่มดังกล่าวแนะนำว่า ไม่ต้องไปชี้แจงเพราะ ศธ.ตั้งธงไว้อยู่แล้วว่าเป็นผู้ทุจริต การให้ไปชี้แจงเพื่อให้ครบถ้วนกระบวนการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เพื่อว่าจะได้ไม่ถูกฟ้องร้อง ดังนั้น ทางทนายความจึงแนะนำว่าไม่ต้องไปชี้แจง และจะอาศัยช่องทางนี้ในการฟ้องศาลปกครอง มีการวิเคราะห์กันว่าจะมีโอกาสชนะคดีความสูงด้วย

ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯนครราชสีมา เขต 7 กล่าวต่อว่า การให้สัมภาษณ์ของนาย จาตุรนต์ ที่ระบุให้อดีตครูผู้ช่วยที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการโดยที่ยังไม่มีการสอบสวนและมีโอกาสได้ชี้แจง ให้ได้กลับเข้ามารับราชการก่อน เพื่อจะได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและเปิดโอกาสให้ชี้แจงนั้น กำลังก่อให้เกิดความสับสนและจะเกิดความวุ่นวายในทางปฏิบัติตามมาแน่นอน เพราะหากสั่งให้ระงับการให้ออกและให้กลับมาเข้ารับราชการจริง จะส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องตามมาไม่จบ ทั้งการเรียกร้องเรื่องเงินเดือน เรื่องสิทธิต่างๆ ที่หายไปในช่วง 2-3 เดือนที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการ ดังนั้น จึงอยากขอความชัดเจนในเรื่องนี้ จากรัฐมนตรีว่าการ ศธ. พร้อมทั้งอยากเรียกร้องให้นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. กลับมาดูแลเรื่องนี้ต่อ เพื่อจะได้เร่งดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำความผิดได้รวดเร็วขึ้น

–มติชน ฉบับวันที่ 2 ก.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33933&Key=hotnews

ชวนคิดเปลี่ยนห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่สาม

อ่านหนังสือที่บ้าน
อ่านหนังสือที่บ้าน
ภาพประกอบจาก http://www.thaiall.com/readbookt
ติดตามข้อมูลข่าวสารเชิงพัฒนาในต่างประเทศ
ประทับใจแนวคิดเชิงนวัตกรรมมากมายที่ปรากฏในสื่อ
บางแนวคิดก็ได้แต่มอง บ้างก็ไม่เห็นด้วย
บุรินทร์ รุจจนพันธุ์
บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

บ้าง ก็อยากนำมาใช้ เช่น การทำให้ห้องสมุดเป็นบ้านหลังที่สาม หากตีความว่าการใช้เวลาในชีวิตอยู่ที่ใดมาก ก็จะเรียกว่าบ้าน ดังนั้น นอกจากบ้านที่ใช้หลับนอนจะเป็นบ้านหลังแรก คงปฏิเสธไม่ได้ว่าบ้านหลังที่สองคือโรงเรียน เพราะตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัย เราใช้ชีวิตไปมากกว่า 16 ปีตั้งแต่เริ่มจำความได้

ตามที่ปรากฏในสื่อของสิงคโปร์ และมีการนำมาแบ่งปันในไทย มีพาดหัวว่า The library : Your third home พบว่า สถิติการเข้าห้องสมุดจำนวน 21 ห้องสมุดในปี 2544 มีผู้เข้าไปใช้ถึง 28 ล้านครั้ง ในปี 2546 มีผู้เข้าใช้ 31.2 ล้านครั้ง ปี 2554 มีผู้เข้าใช้ 37.5 ล้านครั้งในเครือข่าย 25 ห้องสมุด ซึ่งพบว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนประชากรจะมีเพียง 5 ล้านคน และกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรเป็นสมาชิกห้องสมุดโดยการดูแลของคณะกรรมการห้องสมุดแห่งชาติ (NLB = National Library Board) ที่สนับสนุนโดยภาครัฐอย่างจริงจัง

แม้จำนวนการเข้าใช้บริการ และยืมหนังสือจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยเทคโนโลยี RFID (Radio Frequency Identification) และเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้ห้องสมุดไม่จำเป็นต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่ห้องสมุดตามจำนวนการใช้งาน ด้วยการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ปัจจุบันจะพบการเข้าแถวรอรับบริการมีน้อยมากด้วยระบบการจัดการห้องสมุด (EliMS = Electronic Library Management System) ที่ จะช่วยตอบคำถามตามความต้องการของผู้ใช้บริการ ทำให้จำนวนผู้เข้าแถวรอรับบริการที่เคาน์เตอร์ลดลง เวลาส่วนใหญ่ก็จะใช้ไปกับการจัดหนังสือเข้าชั้น ห้องสมุดมีจุดคืนหนังสืออัตโนมัติ 24 ชั่วโมง และไม่ต้องกลับไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดเดิม แต่สามารถคืนที่ใดก็ได้ที่เป็นจุดรับคืนหนังสือ และที่ตั้งห้องสมุดก็จะไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ที่สะดวกในการใช้บริการทั่วประเทศ การปรับปรุง และออกแบบให้ห้องสมุดเป็นสถานที่น่าเข้าไปใช้บริการก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำ ให้ห้องสมุดมีผู้เข้าไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก

มองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย พบว่า สถิติการอ่านของคนไทยอยู่ในระดับต่ำ สืบเนื่องจากการไม่รักการอ่านหนังสือ หรือหนังสือที่มีอยู่ไม่น่าอ่าน หรือสถานที่อ่านหนังสือไม่น่าเข้าไปใช้บริการ ก็ล้วนรวมกันแล้วส่งผลให้ร้านหนังสือจำนวนไม่น้อยพบวิกฤติทางเศรษฐกิจ และปิดตัวเองไป สำนักพิมพ์ที่จัดทำหนังสือหรือนิตยสารก็ต้องแข่งขันกันสูง เป็นผลให้ปัจจุบันแผงจำหน่ายนิตยสารจะมีแต่ภาพหญิงสาวที่แต่งกายด้วยเสื้อ ผ้าน้อยชิ้นเป็นที่ชินตาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ผ่านไปมาให้เลือกซื้อ หนังสือโดยพิจารณาจากหน้าปก

ส่วนนโยบายการยุบโรงเรียนขนาดเล็กของรัฐบาลก็มีการให้เหตุผลว่า งบประมาณของภาครัฐมีจำกัดการจะให้งบประมาณสนับสนุนโรงเรียนที่มีนักเรียนไม่ ถึง 60 คน เท่ากับโรงเรียนที่มีนักเรียนหลายพันคน แต่มีคุณภาพของหนังสือและห้องสมุดเท่ากันคงไม่เหมาะสม หากยุบโรงเรียนเล็กหลายโรงเรียนเป็นโรงเรียนเดียว แล้วทุ่มงบประมาณลงไปก็จะทำให้ได้ห้องสมุดที่มีคุณภาพและเป็นแหล่งเรียนรู้ หลักของโรงเรียน แต่นโยบายการยุบโรงเรียนมีประเด็นละเอียดอ่อนอยู่ไม่น้อย ก็เชื่อว่าจะมีการพิจารณาในประเด็นต่างๆ รอบด้านก่อนตัดสินใจ

แต่นโยบายของภาครัฐที่จะพัฒนาห้องสมุดประชาชนในประเทศไทยยังต้องรอดูกันต่อไป เพราะยังเห็นรูปธรรมไม่ชัด เมื่อเดินเข้าไปในห้องสมุดประจำอำเภอ หรือประจำจังหวัดก็ต้องเข้าใจว่างบประมาณน้อย และกลายเป็นสถานที่ที่ไม่น่าเข้าไปใช้บริการด้วยข้อจำกัดเรื่องจำนวน และคุณภาพของหนังสือในห้องสมุด รวมถึงความสะดวกในการใช้บริการ หากจะให้คนไทยมองว่าห้องสมุดคือบ้านหลังที่สามคงต้องพัฒนาอย่างจริงจัง และใช้เวลาอีกนาน

ค่านิยมเรื่องการอ่านของคนไทยที่หวังว่าจะเพิ่มสถิติการอ่านให้สูงขึ้น เริ่มมีอุปสรรคชัดเจนตั้งแต่เริ่มมีความเชื่อว่าทุกอย่างค้นหาได้จาก google.com ทำให้ความสนใจที่จะซื้อหนังสือจากร้านหนังสือลดลง เนื่องจากทุกอย่างหาอ่านได้ในอินเทอร์เน็ต ประกอบกับค่านิยมที่มีต่อเครือข่ายสังคมจนหลายคนอาจมองว่าบ้านหลังที่สามคือ โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social network) ที่มี facebook.com เป็นที่มั่นสำคัญหลังการเชื่อมต่อออนไลน์ทุกครั้ง ค่าสถิติ เมื่อต้นปี 2556 พบว่า เมืองหลวงของประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่มีสมาชิกเฟซบุ๊คสูงที่สุด มีบัญชีผู้ใช้สูงถึง 12.8 ล้าน ในภาพรวมของประเทศมี 18.3 ล้านบัญชี คิดเป็นร้อยละ 27 ของจำนวนประชากรที่ใช้เฟซบุ๊ค และค่าสถิติการใช้เฟซบุ๊คย่อมหมายถึงการดึงความสนใจของคนไทยออกจากการอ่าน หนังสือ เนื่องจากต้องให้เวลากับเฟซบุ๊คมาก ทำให้มีเวลากับการอ่านหนังสือลดลง

แล้วอนาคตของห้องสมุดไทยจะเดินไปทางใดก็ต้องฝากไว้กับรัฐบาลไทยที่จะผลัก ดันให้ห้องสมุดไทยอยู่ในใจคนไทย ด้วยการพัฒนาระบบการศึกษาให้คนไทยรู้ว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความสำคัญกับ การดำรงชีวิตเพียงใด ถ้าจำนวนผู้เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ตลอด ชีวิตมีเพิ่มขึ้น สถิติการอ่านหนังสือก็จะเพิ่มขึ้น จำนวนห้องสมุดที่ดี และมีชีวิตชีวาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ก็หวังว่าวันนั้นจะมาถึงในเร็ววัน

แหล่งอ้างอิง
! http://news.voicetv.co.th/global/75568.html
! http://newspapers.nl.sg/Digitised/Page/today20030306-1.1.3.aspx
! http://fbguide.kapook.com/view55860.html

โดย : ผศ.บุรินทร์ รุจจนพันธุ์ กรุงเทพธุรกิจ

! http://bit.ly/17e934p
! http://blog.nation.ac.th/?p=2808

ปัญหาเด็กอาชีวะ นักเรียนไทย-อเมริกันคล้ายกัน

30 สิงหาคม 2556

ปัญหาเด็กอาชีวะ นักเรียนไทย-อเมริกันคล้ายกัน
นักวิชาการมะกัน ชี้แนวทางออกของการแก้ปัญหา
นายทอม คอร์คอแรน ผู้อำนวยการร่วมสถาบันวิจัยนโยบายการศึกษา Teachers College แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย กล่าวถึงระบบเตรียมความพร้อมด้านอาชีพในระบบโรงเรียนสายสามัญกรณีศึกษาจากสหรัฐอเมริกา ในการเสวนาวิชาการนานาชาติด้านการศึกษา ครั้งที่ 4 ที่สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) จัดขึ้นว่า การศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกามีปัญหาคล้ายกับประเทศไทย คือ เด็กออกกลางคัน สูงถึงร้อยละ 25 ร้อยละ 32 ไม่เรียนต่อในระดับที่สูงกว่ามัธยมปลาย ขาดทักษะความพร้อมในการประกอบอาชีพ และไม่นิยมเรียนต่อด้านอาชีวศึกษา ดังนั้น จึงได้มีการจัดการศึกษาทางเลือกหรือ Career Academies ขึ้นเป็นการจัดการศึกษาที่ผนวกด้านอาชีพไว้ในมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเรียน แก้ปัญหาเด็กออกกลางคัน และให้เด็กได้ค้นพบตนเองในการประกอบอาชีพหรืองานที่ชอบ จากการดำเนินงานมากว่า 30 ปี ปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมกว่า 8,000 แห่ง โดยหลักสูตรที่นักเรียนมีทักษะสามารถออกไปทำงานก็ได้หรือเข้าสู่มหาวิทยาลัยก็ได้ มีทั้งหมด 16 กลุ่มอาชีพ ซึ่งต่างจากหลักสูตรของอาชีวะที่เน้นเทคนิคเฉพาะทางแต่หลักสูตร Career Academies สามารถเข้าสู่อาชีพได้มากถึง 79 อาชีพ มีรูปแบบการจัดการศึกษา 3 รูปแบบ คือ

1.เป็นสายการศึกษาทางเลือกในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญในระดับ ม.3-6, ม.4-6 หรือ ม.5-6 รูปแบบที่

2.หลักสูตรเตรียมอาชีพเพื่อเข้าสู่วิทยาลัยชุมชน/มหาวิทยาลัย บูรณาการระหว่างวิชาชีพกับวิชาสามัญในระดับ ม.ปลาย เน้นการสอนในลักษณะโครงงานที่ให้ทั้งทักษะความรู้วิชาการและอาชีพ เชื่อมโยงหลักสูตรระดับอุดมศึกษานักเรียนสามารถเก็บสะสมรายวิชาพื้นฐานเพื่อในการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยได้ และ

3.การจัดการสอนแบบทวิภาคีร่วมกับภาคเอกชน ชุมชนและมหาวิทยาลัย โดยให้ภาคเอกชนได้มาร่วมออกแบบหลักสูตรที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน เมื่อจบหลักสูตรนักเรียนสามารถมีทางเลือกได้ 3 ทาง คือ 1)เรียนต่อมหาวิทยาลัย 2)เรียนต่อสายเทคนิค และอาชีวศึกษาหรือ 3)เข้าสู่ตลาดแรงงานอย่างมีพื้นฐานการทำงานเพียงพอ โดยจะได้รับใบประกอบวิชาชีพ (Career Certificate) ด้วย ซึ่งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกามีความเหมือนกันอย่างหนึ่งคือทัศนคติของผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานเรียนสูงๆ ดังนั้น การพยายามเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางสังคมอาจจะเป็นการแก้ปัญหาที่ผิดจุด จึงควรแนะนำให้ผู้ปกครองรู้จักกับเส้นทางสู่ความสำเร็จหลายๆ เส้นทาง ซึ่งอาจไม่ใช่การเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสายวิชาการเสมอไป

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33925&Key=hotnews

 

หนุนจัดอับดับคุณภาพมหา’ลัยไทย’ราชภัฏ-ราชมงคล’ชี้ต้องมีเกณฑ์เฉพาะกลุ่ม

30 สิงหาคม 2556

ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีนโยบายจัดอันดับมหาวิทยาลัยไทย เพื่อให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาคุณภาพใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกัน บอกสังคมให้ได้รับรู้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเน้นการเรียนการสอนทางด้านใด และอยู่ในอันดับที่เท่าไรของประเทศนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 56 นายสุขุม เฉลยทรัพย์ ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) กล่าวถึงนโยบายนี้ว่าเป็นเรื่องที่ดีโดยเฉพาะในแง่ที่จะทำให้เด็กที่จะตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ได้มีโอกาสรู้ว่ามหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์หลักสูตรการจัดการเรียนการสอน คุณภาพอาจารย์ผู้สอน หรือจบในสาขาที่เรียนมีโอกาสในการทำงานมากเท่าใด ซึ่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัยจะสะท้อนเรื่องเหล่านี้ที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กอย่างมาก

“เรื่องนี้ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ ดัชนีชี้วัดที่ชัดเจน และต้องสอดคล้องกับทิศทางการจัดอันดับในสากลด้วย ที่สำคัญต้องไม่ลืมนึกถึงพันธกิจของแต่ละมหาวิทยาลัยซึ่งควรจะนำใช้เป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์เพราะไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มมหาวิทยาลัยใหม่อย่างแน่นอน” นายสุขุมกล่าว
ขณะที่ นายประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่าการจัดอันดับจะส่งผลดีต่อมหาวิทยาลัยในการเร่งพัฒนาตัวเอง และประชาชนที่จะได้รับรู้ข้อมูลนำไปสู่การตัดสินใจ เพียงแต่มหาวิทยาลัยไทยนั้นมีเป้าหมายในการจัดการศึกษาและผลิตบัณฑิตแตกต่างกัน แบ่งชัดๆ ได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มจัดการศึกษาที่เน้นด้านสังคม หมายถึงกลุ่มมรภ. และ ม.เอกชน, กลุ่มจัดการศึกษาด้านสังคมและวิทยาศาสตร์ ได้แก่ กลุ่มมหาวิทยาลัยเก่าอย่างจุฬาฯ ม.ธรรมศาสตร์ฯลฯ และกลุ่มจัดการศึกษาเฉพาะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ กลุ่ม มทร.กลุ่มมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้า เป็นต้นเพราะฉะนั้น หากจะจัดอันดับจะต้องกำหนดตัวชี้วัดและแยกแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน เพราะหากใช้เกณฑ์เดียวกันเพื่อมาประเมินจัดอันดับก็จะเกิดผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มมหาวิทยาลัยใหม่ มหาวิทยาลัยเอกชนอาจจะขาดความพร้อมในหลายด้าน และที่ลืมไม่ได้ในขณะนี้คือ สถาบันการอาชีวศึกษาที่เพิ่งเปิดสอนระดับปริญญาตรี จะถูกนำมารวมจัดอันดับหรือไม่

“เรื่องสำคัญ คือ กรณีมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับรั้งท้ายรัฐควรจะต้องหามาตรการหรือแนวทางที่จะเข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพ ตรงนี้เป็นเรื่องที่อยากขอให้ช่วยคิดหามาตรการรองรับด้วย” นายประเสริฐกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33924&Key=hotnews

รื้อเกณฑ์ทุนอำเภอปันส่วนให้เด็กอาชีวะ

30 สิงหาคม 2556

ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า จากการเดินทางไปดูงานและหารือความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างประเทศไทยกับญี่ปุ่น ร่วมกับนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีหลายเรื่องที่จะต้องผลักดันและยกร่างเป็นข้อเสนอให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ.พิจารณา โดยเฉพาะการจัดสรรทุนการศึกษาเรียนต่อระดับปริญญาตรีทั้งในและนอกประเทศ ในโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน หรือทุนโอดอส โดยแบ่งส่วนหนึ่งมาให้ทุนแก่นักเรียนสายอาชีวศึกษา ไปเรียนในประเทศอื่น ๆ ที่มีศักยภาพด้านอาชีวศึกษา อาทิ เกาหลี เยอรมนี จีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยจะต้องมีการพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ทุนโอดอสใหม่ ซึ่งเบื้องต้นอาจจะจัดสรรให้เด็กอาชีวศึกษาจังหวัดละ 1 คน เปิดโอกาสให้รับทุนเรียนต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามศักยภาพและความต้องการของนักเรียน ซึ่งการสอบรับทุนจะต้องแยกสอบระหว่างนักเรียนสายอาชีวศึกษากับนักเรียนสายสามัญศึกษา

ดร.กิตติ กล่าวต่อไปว่า ตนได้มอบหมายให้ ดร.สุทธศรี วงษ์สมาน รองเลขาธิการสภาการศึกษา ว่าที่ ปลัด ศธ.คนใหม่ และผู้ที่เกี่ยวข้องสรุปข้อมูลโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน ที่ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ทั้งกระบวนการสรรหา การสอบ การเตรียมตัวเด็ก การส่งเด็กไปเรียน และการติดตามเด็กใน ต่างประเทศ ตลอดจนเด็กกลับมาแล้วทำงานที่ไหนอย่างไร เพื่อมาพิจารณาว่าจะต้องมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในส่วนไหนบ้าง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับเด็ก เช่น เรื่องการคัดเลือกเด็ก รายได้ต่อปีของครอบครัวนักเรียน การเตรียมตัวของนักเรียนที่สอบได้ในการไปเรียนต่างประเทศ อาจจะต้องเพิ่มระยะเวลามากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้เด็กมีความพร้อมด้านภาษา ความรู้ และการปรับตัวทางด้านวัฒนธรรม เป็นต้น

นายจาตุรนต์ เน้นด้านการอาชีวศึกษามาก และ จะขอแบ่งทุนโอดอสจำนวนหนึ่งมาให้เด็กอาชีวศึกษาได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งเร็ว ๆ นี้เรื่องการให้ทุนโอดอสจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยจะเน้นการกระจายความเท่าเทียมให้แก่นักเรียน นักศึกษา ที่อยู่ห่างไกลให้มีโอกาสได้รับทุนนี้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อได้ข้อสรุปทั้งหมดแล้ว ผมจะทำเป็นข้อเสนอในทางปฏิบัติไปให้ รมว.ศธ. และรองนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยคาดหวังว่าจะใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ได้ในปีการศึกษา 2557″ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33923&Key=hotnews

ศธ.รับแทบเล็ต ป.1 ปัญหาเพียบ

30 สิงหาคม 2556

วังจันทรเกษม : รมว.ศึกษาฯยอมรับครูและนักเรียนใช้ศักยภาพแทบเล็ต ป.1 แค่ 20% แจงพบปัญหาอื้อ หลายพื้นที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงครูบางส่วนยังไม่มีแทบเล็ตและไม่มีทักษะด้านไอทีทำให้ไม่สามารถสอนนักเรียนได้

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ผลการวิจัยการใช้แท็บเล็ต ป.1 พบว่า ครูและนักเรียนยังคงใช้ศักยภาพเครื่องที่ได้รับแจกประกอบการเรียนการสอนเพียง 20% ซึ่งถือ ว่ายังน้อย จึงต้องหาแนวทางและจัดทำแผนเพื่อกระตุ้นให้มีการใช้งานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ผลการวิจัยยังระบุอีกว่า ครูผู้สอนยังไม่สามารถปรับเนื้อ หาการเรียนการสอนจากแทบเล็ตให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่นได้ รวมถึงยังมีข้อกังวลว่าอุปกรณ์ดังกล่าวจะกระตุ้นให้เด็กติดเกมมากขึ้น ทางกระทรวงศึกษาธิการจะเร่งกำชับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งพัฒนาเกมที่ส่งเสริมการเรียนรู้นำมาบรรจุในแทบเล็ตมากขึ้น เพื่อกระตุ้นในการเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาในการพัฒนาเด็ก

พร้อมกันนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการจะเร่งพัฒนาแผนแม่บทด้านไอซีทีของประเทศร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอทีซี) โดยจะวางแผนด้านการศึกษาเพิ่มขึ้น จากเดิมที่พบว่าแผนแม่บทเดิมของไอซีทีเน้นเรื่องการศึกษาน้อย โดยเสนอให้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำวิจัยผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนที่ใช้แทบเล็ตในปี 2554-2555 พบว่าการใช้แทบเล็ตมีข้อดีคือ เด็กสนุกสนาน มีแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ เนื้อหาในแทบเล็ตส่วนใหญ่ยังเหมือนในหนังสือเรียน มีปัญหาทางเทคนิค เช่น แบตเตอรี่หมดเร็ว เครื่องร้อน และหลายพื้นที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง รวมถึงครูบางส่วนยังไม่มีแทบเล็ตและไม่มีทักษะด้านไอทีทำให้ไม่สามารถสอนนักเรียนได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33922&Key=hotnews

รมว.ศึกษาสั่งชลอเพิกถอนบรรจุครูผู้ช่วยชั่วคราว มอบ ก.ค.ศ.หาแนวทางเอาผิดให้ชัด

30 สิงหาคม 2556

มว.ศึกษา มอบ ก.ค.ศ.ทำแนวปฏิบัติใหม่ใช้เอาผิดผู้ทุจริตสอบครูผู้ช่วยให้ชัด พร้อมจัดประชุมทำความเข้าใจผู้เกี่ยวข้อง สั่งชะลอการเพิกถอนบรรจุชั่วคราว หลังผู้ถูกเพิกถอนร้องทุกข์อ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมเหตุไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจงก่อนเขี่ยออกจากราชการ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เมื่อเร็ว ๆนี้ ว่า จากการรายงานผลการกรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วย ซึ่ง ก.ค.ศ.ได้มีมติตามข้อเสนอของดีเอสไอ ให้เพิกถอนการบรรจุผู้ที่ได้คะแนนสอบสูงผิดปกติ จำนวน 344 คนเป็นข้าราชการครู นั้น ซึ่งผู้ที่ถูกเพิกถอนการบรรจุได้ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมมายัง ก.ค.ศ. โดยให้เหตุผลการให้ออกจากราชการโดยทันทีนั้นไม่มีความเป็นธรรมเพราะเจ้าตัวยังไม่มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ ในการการประชุมก่อนหน้านี้ ก.ค.ศ.มีมติให้ไปหารือกับ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับกฏหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซี่ง อ.ก.ค.ศ.ก็มีความเห็นว่า มติ ก.ค.ศ.ที่ให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา แจ้งไปยังผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ซึ่งก็คือ ผอ.สถานศึกษา ให้ดำเนินการกับผู้เข้าสอบ จำนวน 344 ที่ดีเอสไอแจ้งว่าเข้าข่ายดำเนินการทุจริตการสอบคัดเลือก หากรายใดได้รับการบรรจุแต่งตั้งไปแล้ว ก็ให้ออกจากราชการเพราะถือว่าเป็นผู้บกพร่องในศิลธรรมอันดีสำหรับเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่ง อ.ก.ค.ศ.วิสามัญก็เห็นว่า เป็นมติที่ถูกต้องแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน มี อ.ก.ค.ศ.บางเขตพื้นที่การศึกษา ได้ดำเนินการตามมตินี้แล้ว แต่บางเขตพื้นที่การศึกษาก็ไม่ยอมดำเนินการตาม ส่วนหนึ่งเพราะไม่รู้ขั้นตอนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะฉะนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้สำนักงาน ก.คงศ.ทำแนวปฏิบัติในการดำเนินการและให้จัดประชุมชี้แจง อ.ก.ค.ศ.และผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกี่ยวข้องซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจขั้นตอนในทางปฏิบัติ โดยให้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ เช่น เลขาธิการกฤษฎีกา ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้มีประสบการณ์ในเรื่องการสอบทางวินัยหรือออกคำสั่งทางปกครอง มาอธิบายเรื่องทั้งหมดตลอดกระบวนการของแนวปฏิบัติ เช่น กรณีที่มีการร้องทุกข์จะทำอย่างไร กรณีบกพร่องทางศิลธรรมอันดี หรือขาดความสามารถเป็นเหตุให้ออกได้หมายความว่าอย่างไร ส่วนกรณีที่มี่การร้องทุกข์ว่าไม่ได้มีดำเนินการให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง ก็ให้ อกคศ.ที่เกี่ยวข้อง และผู้อำนวยการโรงเรียนไปทบทวนการดำเนินการ โดยไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งทางปกครอง คือ เปิดโอกาสให้ผู้ที่ถูกให้ออกได้มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง

“การเพิกถอนการบรรจุเป็นข้าราชการ หรือการให้ออกจากข้าราชการนั้น เป็นคำสั่งทางปกครอง สมควรที่จะให้เจ้าตัวมีโอกาสชี้แจง ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็ได้ร้องเรียนมาว่าไม่ได้มีโอกาสชี้แจง เพราะฉะนั้น จึงให้ ก.ค.ศ.ไปทบทวนเพื่อปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏหมาย โดยให้ระงับการเพิกถอนให้ไว้ก่อน เพื่อให้ผู้ที่กำลังจะถูกเพิกถอนหรือถูกให้ออกจากราชการไปแล้ว ได้มีการชี้แจงตัวเองตามขั้นตอนราชการก่อน หลังจากนั้น หากสอบสวนแล้วพบว่า ผิดก็อาจจะให้ออกอีกรอบหนึ่ง ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฏหมาย “ นายจาตุรนต์ กล่าว

ด้านนางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไปสำนักงาน ก.ค.ศ.จะเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนที่เกี่ยวข้องมารับฟังคำชี้แจงถึงขั้นตอนและแนวปฏิบัติจาก นายอัชพร จารุจินดา เลขาธิการคณะกรรมการกฤษษฎีกา ซึ่งเป็นประธาน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรตามมติ ก.ค.ศ. ทั้งในกรณีที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง 2.กรณีที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วแต่พยานหลักฐานไม่ชัดเจนเพียงพอจะต้องทำอย่างไร และ3.กรณีที่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ก็ให้ดำเนินการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้จะมีการชี้แจงแนวปฏิบัติทั้งในส่วนที่สอบข้อเท็จจริงแล้วมีพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอ และไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนเพียงพอว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนวันเวลาจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ก.ค.ศ.ยังได้พิจารณากรณีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) วิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติม พบว่ามีผู้ที่เข้าข่ายการทุจริตอีกจำนวน 204 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคะแนนสูงกว่า 80 คะแนนขึ้นไปซึ่งภายหลังการพิจารณา ก.ค.ศ.มีมติเห็นสมควรมอบข้อมูลนี้ให้กับศูนย์ประสานงานการสอบสวนการทุจริตการสอบบรรจุครูผู้ช่วย เพื่อดำเนินสอบสวนต่อไป

–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33920&Key=hotnews

กระทุ้งหาครูภาษาอาเซียนเสนอเพิ่มเงินเดือน-แจกทุนปั้นบุคลากรปรับกฎยืดหยุ่นเอื้อเปิดหลักสูตร

28 สิงหาคม 2556

โพสต์ทูเดย์
นักวิชาการกระทุ้งรัฐเร่งปลดล็อกหาครูสอนภาษาอาเซียน หลังพบทั้งมัธยม-อุดมศึกษาขาดแคลนหนัก

น.ส.วิชชุกร ทองหล่อ หัวหน้าภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ควรร่วมมือกันสนับสนุนการสรรหาบุคลากรสอนวิชาภาษาต่างๆในกลุ่มอาเซียนให้แก่สถาบันการศึกษาอย่างเร่งด่วน เพราะปัจจุบันสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาต้องการครูสอนภาษาอย่างมากเพื่อพร้อมรองรับประชาคมอาเซียน แต่ไม่สามารถหาบุคลากรเองได้เลย

“ปัญหาเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่นเรื่องเงินเดือนครูสอนระดับอุดมศึกษาต้องจบการศึกษาระดับปริญญาเอก แต่ปัจจุบันครูสอนภาษาเวียดนาม ชาวเวียดนามของเราได้เงินเดือนเพียง 2.2 หมื่นบาทเท่านั้นขณะที่คนรู้ภาษาเวียดนามจริงๆ มีน้อยมาก เป็นที่ต้องการของภาคเอกชน ผู้ที่มีความรู้ระดับปริญญาเอกส่วนใหญ่จึงเลือกทำงานกับเอกชนเพราะได้เงินเดือนดีกว่า” น.ส.วิชชุกรกล่าว
ทั้งนี้ ภาครัฐจึงควรเพิ่มอัตราเงินเดือนสำหรับอาจารย์สอนวิชาภาษาในกลุ่มอาเซียนเป็นกรณีพิเศษ เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ให้เข้ามาเป็นอาจารย์ในสถาบันการศึกษามากขึ้นระหว่างรอการสร้างบุคลากรใหม่ๆ

นอกจากนี้ สกอ. และ ก.พ. ควรร่วมออกทุนการศึกษาระดับปริญญาเอกแบบต้องใช้ทุนคืนสำหรับเรียนวิชาภาษาอาเซียนมากขึ้น โดยออกกฎให้ต้องกลับมาสอนยังสถาบันการศึกษาต่างๆ
น.ส.วิชชุกร กล่าวอีกว่า ภาครัฐยังต้องแก้ปัญหาระเบียบปฏิบัติไม่ตรงกัน เช่น ปัจจุบันภาควิชาต้องการเปิดหลักสูตรวิชาภาษาพม่าระดับปริญญาตรี แต่ติดข้อบังคับของ สกอ.ที่ว่า แต่ละคณะที่จะเปิดหลักสูตรใหม่ต้องมีอาจารย์ประจำหลักสูตรไม่ต่ำกว่า 3 คน และอาจารย์อื่นๆอีกไม่น้อยกว่า 2 คน ขณะเดียวกันเมื่อต้องการหาอาจารย์ประจำเพื่อรองรับการเปิดภาควิชาภาษาพม่าก็ไม่สามารถทำได้ เพราะติดข้อบังคับเรื่องการขออัตรากำลังว่าต้องขาดแคลนอาจารย์ปัจจุบันก่อน จึงจะสามารถขออัตรากำลังได้

“ภาครัฐอาจปรับกฎระเบียบให้ยืดหยุ่นเช่น ลดการบังคับจำนวนอาจารย์ประจำหลักสูตรลง แล้วไปเพิ่มอาจารย์ผู้ช่วยอื่นแทน เพื่อให้เปิดหลักสูตรใหม่ได้ง่ายขึ้น”น.ส.วิชชุกร กล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มการเรียนภาษาในกลุ่มอาเซียนกำลังเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนปัจจุบันภาควิชามีเปิดสอนวิชาภาษาเวียดนามและกัมพูชาแล้ว ซึ่งมีจำนวนผู้สมัครสอบตรงเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในแต่ละปี ขณะที่จำนวนผู้เรียนภาษาตะวันตก เช่น ภาษาฝรั่งเศส กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33890&Key=hotnews