Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ดึงเด็กนอกระบบเรียนสายอาชีพ กอศ.ร่วมถกผู้ประกอบการ-ผุดหลักสูตรใหม่

25 กรกฎาคม 2556

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ประธานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (ปธ.บอร์ด กอศ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้จบการศึกษาระดับม.ต้น ประมาณ 8-9 แสนคนต่อปี ในจำนวนนี้เลือกเรียนต่อสายสามัญศึกษาประมาณ 4 แสนคน และเลือกเรียนสายอาชีวะในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน ประมาณ 2.8 แสนคน โดยที่เหลืออีกประมาณ 1 แสนคน เป็นกลุ่มที่ไม่ได้เรียนต่อ ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือเป็นเป้าหมายของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) อย่างไรก็ดี สอศ.ยังเล็งกลุ่มเป้าหมายไปที่เด็กเรียนดี และชอบการปฏิบัติ กลุ่มเรียนไม่ดี และกลุ่มเด็กผู้หญิงควบคู่ด้วย

ทั้งนี้ในฐานะประธานบอร์ด กอศ.ได้เดินสายหารือด้านความร่วมมือกับผู้ประกอบการ อาทิ บ.ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด บ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปิเรชั่น จำกัด และบมจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ เป็นต้น เพื่อผลิตเด็กได้ตรงความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกอบการ จากการหารือที่ผ่านมาพบว่า ผู้ประกอบการต้องการรับเด็กอาชีวะเข้าทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะระดับ ปวส.

ปธ.บอร์ด กอศ.กล่าวต่อว่า จากนี้ สอศ.และผู้ประกอบการจะต้องร่วมกันทำงาน ตั้งแต่คิดหลักสูตร ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาสอน และให้เด็กเข้าไปฝึกงานในสถานประกอบการ โดย 5 ให้ 5 ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประกอบด้วย สถานศึกษาได้รับ บุคลากร การบริหารจัดการ เครื่อง จักรกล วัตถุดิบ และเงินทุน สถานประกอบการได้กำลังคนมีมาตรฐาน ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ภาพลักษณ์ที่ดี ได้ลดหย่อนภาษี และได้รับการเชิดชูเกียรติ หลักสูตรใหม่ๆ ที่เตรียมทำเร็วๆ นี้คือ หลักสูตรสาขาหุ่นยนต์ (Robotics) และเครื่องมือบังคับอัตโนมัติ และหลักสูตรสาขาพลังงาน (Energy) ระดับ ปวส.และป.ตรี ขณะนี้มีวิทยาลัย 12 แห่ง พร้อมเปิดสอน โดยร่างหลักสูตรจะแล้วเสร็จในปีการศึกษานี้ ก่อนนำร่องจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2557 ต่อไป

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33464&Key=hotnews

‘กมธ.ศึกษา’ จี้ สกอ.สางปัญหามหา’ลัย ‘เถื่อน-นายหน้าค้ากศ.-จ่ายครบจบแน่’

25 กรกฎาคม 2556

AST Vผู้จัดการรายวัน – กมธ.ศึกษาเร่งสางปัญหามหา’ลัยเถื่อน นายหน้าค้าการศึกษาต่างประเทศ การแก้เกรด เข้าที่ประชุมสภา 1 ส.ค.นี้จ่อฟันวลี “จ่ายครบจบแน่” หลังหมักหมมมานานไม่มีข้อกฎหมายกำกับดูแล เผย สกอ.เร่งผุด พ.ร.บ.อุดมศึกษาคุมค่าเทอม หวั่นผู้ปกครองเดือดร้อน

วานนี้ (24 ก.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ว่า ในการหารือเรื่องการพัฒนาการศึกษาร่วมกับผู้บริหาร สกอ. ซึ่งที่ประชุมหารือถึงปัญหาต่างๆ ของอุดมศึกษาโดยเฉพาะกรณีมหาวิทยาลัยเปิดสอนโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก สกอ. หรือมหาวิทยาลัยเถื่อนรวมถึงปัญหาคนไทยไปเรียนในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ที่ไม่ได้รับการรับรองจาก สกอ.และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) ทำให้เมื่อได้วุฒิมาก็ไม่สามารถนำไปใช้ในการสมัครงาน หรือเข้ารับราชการหรือปรับวุฒิเงินเดือนได้ ทำให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียโอกาส เป็นการสร้างความเสียหาย ดังนั้น กมธ.ขอให้ สกอ.ประชาสัมพันธ์ว่า มหาวิทยาลัยใดหรือหลักสูตรใดบ้างที่ สกอ.รับรอง ทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผู้ที่จะสมัครเข้าเรียนได้รู้ และไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของนายหน้าค้าการศึกษาโดย สกอ.จะต้องปรับตัวมาทำงานในเชิงรุกมากขึ้นไม่ใช่ทำงานเชิงรับอย่างเดียว

ส่วนกรณีอธิการบดีของสจล.แก้เกรดให้ลูกชาย นั้น นายประกอบ กล่าวว่า เท่าที่ทราบขณะนี้ทางสภาสถาบันฯ ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงฯ โดยได้ขอความร่วมมือ จาก สกอ.เพื่อส่งนิติกรเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงเรื่องนี้เพิ่มเติมแต่ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรยังไม่ชัดเจน แต่หากเป็นเรื่องจริง คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าละอายมากไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ทำให้อุดมศึกษาเกิดความเสียหาย ซึ่งทางฝ่ายนิติบัญญัติ คงไม่ยอม อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญวันที่ 1 ส.ค.นี้ ตนจะนำปัญหาดังกล่าวหารือต่อสภาฯ รวมถึงภาพรวมของปัญหาอุดมศึกษา ทั้งเรื่องจ่ายครบ จบแน่ ซึ่งมีปัญหาทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ และเอกชนเพราะไม่มีกฎหมายกำกับดูแล โดยขณะนี้ทางสกอ.กำลังร่าง พ.ร.บ.อุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…ขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาในภาพรวม โดยเฉพาะกรณีค่าหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยทั้งรัฐ มหาวิทยาลัยในกำกับและมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งแพงขึ้นกว่าเดิมมาก

“สิ่งที่น่ากังวล คือ มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐไม่ได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ภาครัฐตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับและ สกอ. เองก็ออกมายอมรับแล้วว่า รัฐบาลได้มีนโยบายในการควบคุมเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต้องถือว่ามหาวิทยาลัยได้เปรียบมาก เพราะนอกจากไม่ต้องนำรายได้เข้ากระทรวงการคลัง แล้วยังมีอิสระในการบริหารจัดการและมีอิสระในการขึ้นค่าเล่าเรียน โดยจะเห็นว่าสภามหาวิทยาลัยเองมักจะมีความเห็นสอดคล้องไปกับฝ่ายบริหารเสมอ และขณะนี้ไม่ใช่แต่ ม.ในกำกับเท่านั้นแม้แต่ ม.รัฐเองก็ขึ้นค่าเล่าเรียนเช่นกัน โดยถึงแม้จะมีเหตุผลเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจที่สูงขึ้นแต่ก็ไม่ควรไปเพิ่มภาระให้กับผู้ปกครองมากนักดังนั้นจึงต้องมีกฎหมายกลางขึ้นมาดูแลเรื่องนี้ไม่ปล่อยให้ขึ้นค่าเทอมได้อย่างเสรี เพราะขณะนี้ผู้ปกครองเดือดร้อนมาก” นายประกอบกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33462&Key=hotnews

 

อธิการบดีปัดแก้เกรดให้ลูก

อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ปัดแก้เกรดให้ลูก บอกถ้าแก้ได้คงแก้ให้ได้เยอะกว่านี้ เชื่อเป็นเรื่องการเมืองภายใน เนื่องจากเป็นช่วงปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ขู่เล่นงานกลับให้ถึงที่สุด
http://education.kapook.com/view67041.html

หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอาจารย์และนักศึกษา มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้ายื่นหนังสือถึง นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) สั่งสอบอธิการบดี หลังสั่งแก้เกรดให้กับบุตรชายของตนเองอย่างไม่ถูกต้องจำนวน 8 รายวิชา ประจำปีการศึกษา 1/2555 ตามที่ได้รายงานข่าวไปนั้น
23 กรกฎาคาม 2556 นายถวิล พึ่งมา อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ก่อนที่เข้ามาเป็นอธิการบดี โดยตนเข้ามารับตำแหน่งช่วงเดือนสิงหาคม 2555 นับถึงวันนี้เป็นเวลาประมาณ 10 เดือน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการเมืองภายใน เพราะมีการร้องเรียนมานานแล้ว
โดยทางสภาสถาบันได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีการแก้ไขเกรดวิชาภาษาอังกฤษ และได้เชิญตนไปสอบปากคำ มีผลสรุปออกมาแล้วว่า มีการแก้เกรดในวิชาดังกล่าวจริง แต่ยังไม่สรุปว่าเกิดจากความผิดพลาดประการใด และจากการสอบสวนสรุปว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายทะเบียน ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ และหัวหน้าสาขา ซึ่งเป็นรองอธิการบดี ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน

ทั้งนี้ ตามระบบการแก้เกรดของ สจล. ไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่จะแก้ได้คนเดียว จะต้องมีผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อย 2 ฝ่าย คืออาจารย์ผู้สอนและฝ่ายทะเบียน ถ้าจะเข้าไปแก้เกรดของนักศึกษาได้ ต้องมีทั้งรหัสของฝ่ายทะเบียนและรหัสประจำตัวของอาจารย์ผู้สอน จะใช้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องใช้รหัสของทั้งสองคน จึงจะสามารถเข้าไปแก้เกรดให้นักศึกษาได้ ดังนั้นถึงแม้ตนเป็นอธิการบดีก็ไม่สามารถแก้เกรดให้ใครได้เพราะไม่มีรหัสดังกล่าว ถ้าจะแก้ให้ลูกจริง ๆ คงแก้ให้ได้เกรดมากกว่านี้
ส่วนที่ระบุว่าตนเพิกเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ เมื่อทางอาจารย์ผู้สอนร้องเรียนว่าเกรดของลูกชายตนมีความผิดพลาดนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะทันทีที่เห็นการร้องเรียน ได้มีคำสั่งไปว่า ขอให้แก้ไขให้เป็นเกรดที่ถูกต้องทันที หากสภาสถาบันสรุปว่าตนไม่มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และรู้ตัวชัดเจนว่าใครเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าว จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด
นอกจากนี้ นายถวิล กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองภายในสถาบัน คนที่ร้องน่าจะเป็นผู้บริหารจากกลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้จะมีผู้บริหารระดับคณบดีและผู้อำนวยการวิทยาลัย ประมาณ 7 คนหมดวาระ และเขาคงเกรงว่าถ้าตนยังเป็นอธิการบดีอยู่ จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งระดับบริหารต่อไปอีก
+ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374580565&grpid=00&catid=00

politic or cheat
politic or cheat

อธิการบดี ม.ดังแก้เกรดให้ลูกชาย 8 วิชา นายกสถาบัน สั่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงใหม่ หลังเคยสอบแล้วเป็นเรื่องจริง
+ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1374556431&grpid=&catid=19&subcatid=1903
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2556 แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มผู้บริหาร คณาจารย์ จากมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เข้ายื่นหนังสือถึงนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ถึงพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยจรรยาบรรณอาจารย์ และอาจเข้าข่ายกระทำผิดวินัยร้ายแรง ในกรณีการแก้ไขเกรดของนักศึกษาอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม
แหล่งข่าวกล่าวว่า ใจความในหนังสือระบุว่า ขอร้องเรียนพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยจรรยาบรรณอาจารย์ และอาจเข้าข่ายการกระทำผิดวินัยร้ายแรง ในกรณีที่มีการแก้ไขเกรดอย่างไม่ถูกต้อง ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัยทั้งหมด 8 รายวิชา ประจำปีการศึกษา 1/2555 ของนาย ก. (นามสมมุติ) รหัสนักศึกษา 55xxxxxx นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรชายอธิการบดีของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ โดยมีรายละเอียดแต่ละวิชา ดังนี้

1. วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ภาคเรียนที่ 1/2555 เป็นการแก้ไขเกรดจาก D ให้เป็น B “กลุ่มผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ทราบเรื่องนี้เนื่องจากมีนักศึกษาคนหนึ่งส่งบันทึกคำร้องขอให้สาขาวิชาที่เกิดปัญหาตรวจสอบคะแนนรายวิชาพื้นฐานภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ภาคการศึกษาที่ 1/2555 และเมื่อกลุ่มอาจารย์ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษได้ตรวจทานคะแนนการสอบกลางภาค และคะแนนปลายภาค วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ของนักศึกษาคณะที่เกิดปัญหาทั้งหมด จึงพบว่า คะแนนกลางภาค ปลายภาค และเกรดของนาย ก. ที่ปรากฏอยู่ในระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักทะเบียนและประมวลผลของมหาวิทยาลัย ไม่ตรงกับคะแนนซึ่งเป็นเอกสารที่มีลายมือชื่อของคณะกรรมการผู้จัดทำคะแนน ที่ส่งจากสาขาวิชาที่เกิดปัญหา ไปยังสำนักทะเบียน โดยใบเกรดของสาขาวิชาที่เกิดปัญหาเป็น D แต่เกรดในระบบฐานข้อมูลของสำนักทะเบียนเป็น B และไม่มีอาจารย์ผู้จัดทำคะแนนคนใดเป็นผู้ดำเนินการ รับรู้ หรือรับทราบในการแก้ไขเกรดดังกล่าว” หนังสือร้องเรียนระบุ
หนังสือร้องเรียนระบุอีกว่า วันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 คณาจารย์กลุ่มวิชาภาษาอังกฤษได้ส่งเรื่องขอให้คณบดีดำเนินการหาข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งคณบดีได้รายงานเรื่องดังกล่าวถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เพื่อสั่งการให้สำนักทะเบียนแก้ไขเกรดของนาย ก. ให้ถูกต้อง และขอให้มหาวิทยาลัยดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏเอกสารว่าอธิการบดีได้สั่งให้ดำเนินการแต่อย่างใด
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า
2. วิชา ENGINEERING MATHEMATICS 1 โดยข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2555 นาย ก. ได้เกรด F ต่อมาวันที่ 23 ตุลาคม 2555 พบว่า เกรดเปลี่ยนจาก F เป็น D และในวันที่ 24 ตุลาคม มีการแก้ไขคะแนนอีกครั้งจาก D เป็น C
3. วิชา ENGINEERING MATERIALS ข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2555 คะแนนของนาย ก. ได้เกรด F และต่อมาในวันที่ 29 ตุลาคม 2555 พบว่ามีการแก้ไขคะแนนเปลี่ยนจาก F เป็น C
4. วิชา GENERAL PHYSICS 1 ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 ได้เกรด D ต่อมาวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555 พบว่ามีการแก้ไขคะแนนจาก D เป็น D+
5. วิชา GENERAL CHEMISTRY ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลของสำนักทะเบียน ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ได้เกรด D+ และในวันที่ 2 พฤศจิกายน มีการแก้ไขคะแนนจาก D+ เป็น B+
6. วิชา GENERAL PHYSICS LABORATORY 1 ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555 ได้เกรด D ต่อมาวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 มีการแก้ไขเกรดเป็น C
7. วิชา GENERAL CHEMISTRY LABORATORY ข้อมูลวันที่ 23 ตุลาคม ในระบบของสำนักทะเบียน ได้ F ต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม แก้เกรดจาก F เป็น C และ
8. วิชา COMPUTER PROGRAMMING เป็นวิชาที่รับผิดชอบโดยที่เกิดปัญหา มีการแก้ไขคะแนนหลังจากที่ส่งผลการเรียนให้สำนักทะเบียน และสำนักทะเบียนได้ประกาศเกรดให้นักศึกษาทราบทั่วกันแล้ว โดยแก้ไขเกรดของนาย ก. จาก F เป็น C
แหล่งข่าวคนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งสถาบัน ทั้งในกลุ่มอาจารย์กันเอง และนักศึกษา

ดังนั้น ประชาคมของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงนายกสภาสถาบัน และสภาสถาบันได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ผลสอบข้อเท็จจริงสรุปว่า มีการแก้ไขเกรดวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 ของนาย ก. จริง และตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงรองอธิการบดีแต่เพียงผู้เดียว โดยที่อธิการบดีไม่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ทั้งที่ทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ เลย

ผู้บริหารและอาจารย์เห็นว่า การสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง อาจจะยังสาวไปไม่ถึงคนสั่งการจริงๆ และเพิ่งมาพบภายหลังว่า มีการแก้ไขเกรดให้นาย ก. ถึง 8 วิชา ดังนั้น จึงเสนอเรื่องไปยังสภาสถาบันใหม่ เพื่อขอให้สอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง ขณะนี้ทางสภาสถาบันได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นใหม่แล้ว เพื่อสอบสวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า ผู้บริหารระดับรองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกหลายคน ได้แก้เกรดให้กับลูกของตัวเองด้วยแหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากมหาวิทยาลัยชื่อดังกล่าวต่อว่า การแก้เกรดนักศึกษา ถือเป็นการทำผิดวินัยร้ายแรง ตามข้อบังคับสถาบันว่าด้วยวินัย หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการสอบสวนพิจารณา และการสั่งลงโทษทางวินัย พ.ศ.2552 ข้อ 18 (3) ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับผลประโยชน์โดยมิควร ซึ่งถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ และเข้าข่ายกระทำผิดจรรยาบรรณร้ายแรงของข้อบังคับสถาบัน ว่าด้วยจรรยาบรรณของผู้ปฏิบัติงานในสถาบัน พ.ศ.2553 ตามข้อ 38(7) ใช้วิชาชีพปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์ และแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ โดยกระทำการแก้ผลการเรียน หรือผลสอบของนักศึกษา
การที่กลุ่มอาจารย์ออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว เพราะอยากรักษาความถูกต้องทางการศึกษาไว้ โดยอยากขอให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เข้ามาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และขอให้ทางสภาสถาบันสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง และผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน จนกว่ากระบวนการสอบสวนจะได้ข้อสรุป เพราะนักศึกษารายดังกล่าวเป็นลูกของผู้บริหารระดับสูงของสถาบัน ดังนั้น กระบวนการสอบสวนอาจถูกแทรกแซงได้ และหากพบว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าว และผู้เกี่ยวข้อง ทางกลุ่มอาจารย์ และผู้บริหาร ยอมรับให้ผู้บริหารระดับสูงคนดังกล่าวกลับมาทำงานตามเดิม เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแหล่งข่าวจากมหาวิทยาลัยชื่อดังกล่าว

ที่มา:มติชนรายวัน 23 ก.ค.2556


ข้อร้องเรียนกรณีมีการแก้ไขเกรด ประจำภาคการศึกษา 1/2555

ก.พ. ชงปรับฐานเงินเดือนข้าราชการปี 57

24 กรกฎาคม 2556

ก.พ.ชงปรับฐานเงินเดือนข้าราชการปี 57 หวังแก้ ปัญหาค่าตอบแทนลักลั่นของหน่วยงานภาครัฐ เสนอขยับเพดานระดับผู้บริหารเปิดช่องระดับล่างขยับขึ้น เผยนายกฯ เข้าข่ายได้รับการปรับด้วย

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ กล่าวว่า ที่ประชุมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) กลับไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งคณะกรรมการฯ ต้องเปรียบเทียบค่าตอบแทนทุกส่วนทั้งภาคราชการ เอกชน รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ และองค์กรมหาชน แล้วเสนอกลับมาอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน

นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการ ก.พ. ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ กล่าวว่า กรณีหลายองค์กรเสนอเรื่องขอปรับ ค่าตอบแทนเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เกรงว่าจะเกิดความลักลั่น จึงตั้งกรรมการชุดนี้ ขึ้นซึ่งประชุมครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ก.พ.เสนอข้อมูลเบื้องต้นว่าข้าราชการประเภทต่างๆ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน และองค์กรอิสระปัจจุบัน ได้รับการจ่ายค่าตอบแทนเท่าไร รวมถึงเงินประจำตำแหน่งในรูปค่าตอบแทนพิเศษ เงินเพิ่ม สวัสดิการ ซึ่งแต่ละหน่วยงาน มีกฎหมายกำหนดเองได้

“แต่ละหน่วยงานมีกฎหมายที่ให้อำนาจเสนอเรื่องเงินเดือน และเงินค่าตอบแทนรูปแบบต่างๆ มายังครม.ทำให้เกิดปัญหา แต่เดิมต้องผ่านความเห็นชอบของ คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) แต่ต่อมาได้แยกและเสนอ ขอแก้ไขกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน ทำให้ไม่มีหน่วยงานกลางดูแลจึงเกิดการลักลั่น ปัญหา ที่พบคือมีเงินเดือน และเงินประจำตำแหน่งเท่ากัน แต่บางกลุ่มมีเงินอื่นๆ เพิ่มเช่นค่าตอบแทนพิเศษ เบี้ยขยัน เป็นต้น” เลขาธิการ ก.พ.กล่าว

เขากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกองค์กรและหน่วยงานภาครัฐต้องให้ความร่วมมือ แม้แต่ละองค์กรจะมีอำนาจพิจารณาแต่ก็ควรมีข้อเสนอไม่ควรให้เกิดความแตกต่างหรือมีความเหลื่อมล้ำ ส่วนของเงินเดือนข้าราชการในภาพรวม เนื่องจากไม่ได้ปรับมานานทำให้เพดานเงินเดือนปัจจุบันค่อนข้างต่ำ ข้าราชการเริ่มที่ 15,000 บาท ปลัดกระทรวงสูงสุดอยู่ที่ 69,000 บาท ประกอบกับเมื่อมีการปรับฐานแรกเข้ารับราชการ 15,000 บาทไปแล้ว เพดานเงินเดือนด้านบนจะเหมือนถูกบีบให้แคบลงในการบริหารจัดการ จึงต้องขยับเพดานของระดับผู้บริหารที่อยู่ด้านบน เปิดกรอบเพดานเงินเดือนของข้าราชการระดับรองลงมาให้ขยับขึ้น แต่เนื่องจากต้องใช้งบจำนวนมาก จึงมีความเห็นหลายแนวทาง
ที่ผ่านมา การพิจารณาระบบค่าตอบแทนจะพิจารณาจากตำแหน่งและเงินเดือนระนาบเดียว ทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ โดยฝ่ายบริหารสูงสุด คือ นายกรัฐมนตรี ส่วนนิติบัญญัติคือประธานสภา และฝ่ายตุลาการคือประธานศาลฎีกา

โดยคาดว่า การศึกษาโครงสร้างเงินเดือน ราชการจะแล้วเสร็จต้นปี 2557 และคาดว่าจะ กระทบหลายฝ่าย โดยเฉพาะบัญชีค่าตอบแทน ของฝ่ายการเมืองคือนายกรัฐมนตรีที่จะขยับ ขึ้นด้วย เพราะนายกฯอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ฝ่ายบริหารคือทั้งของข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ดังนั้นถ้าไม่ขยับเงินเดือนของนายกฯ ตำแหน่งอื่นๆ ก็จะขยับไม่ได้แก้ปัญหา ค่าตอบแทน ลักลั่นของ หน่วยงานรัฐ

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33448&Key=hotnews

 

มทร.ธัญบุรีเผยแผนดูแลสวัสดิภาพนักศึกษา

24 กรกฎาคม 2556

ผศ.พูลเกียรติ นาคะวิวัฒน์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) กล่าวถึงการดูแลด้านสวัสดิการและสวัสดิภาพของนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ว่า มทร.ธัญบุรีมีความเป็นห่วงเรื่องสวัสดิการและสวัสดิภาพของนักศึกษาอย่างมาก โดยนับตั้งแต่เปิดภาคเรียนก็ได้กำชับหัวหน้าส่วนงานรักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยให้เข้มงวดตรวจตราความเรียบร้อยภายในสถาบันอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้บุคคลภายนอกเข้ามาในมหา วิทยาลัยนั้นจะต้องดูให้ละเอียดและต้องสังเกตพฤติกรรมด้วย นอกจากนี้ได้แจ้งให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งคณะและสาขาวิชาแจ้งให้นักศึกษาในสังกัดระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ให้วางมาตรการป้องกันแก๊งมิจฉาชีพที่อาจฉวยโอกาสเข้ามาก่อเหตุภายในหน่วยงานด้วย

รองอธิการบดี มทร.ธัญบุรี กล่าวว่า นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังมีแผนติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะต้องพยายามจัดหางบประมาณเพื่อมาดำเนินการเรื่องนี้ โดยอาจจะต้องทำเร่งด่วนในบางจุดที่ถือว่ามีความจำเป็นไปก่อน แล้วค่อยทยอยทำให้ครบทุกจุด เชื่อว่าหากมีกล้องวงจรปิดแล้วแก๊งมิจฉาชีพก็คงมีความเกรงกลัวไม่กล้าเข้ามาก่อเหตุอีก ผิดกับถ้าไม่มีเลยจะทำให้ย่ามใจเข้ามาก่อเหตุซ้ำได้อีก

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 25 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33447&Key=hotnews

ราชภัฏขานรับจำกัดจำนวนบัณฑิตครู

24 กรกฎาคม 2556

จากกรณี ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภา เตรียมขอความร่วมมือคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ และสถาบันฝ่ายผลิตครู ในการควบคุมจำนวนรับนักศึกษาครูในปีการศึกษา 2557 นั้น ผศ.นันทกา ปรีดาศักดิ์ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (มร.นม.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เพื่อควบคุมจำนวนบัณฑิตครูให้เหมาะสมกับความต้องการ แต่คุรุสภาก็ควรมีจำนวนความต้องการที่ชัดเจน และแจ้งให้สถาบันทราบเพื่อให้สามารถวางแผนการรับนักศึกษาได้ หรืออย่างน้อยจะต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายภายในสิ้นปีงบประมาณนี้ เพราะมหาวิทยาลัยจะต้องมีแผนการรับนักศึกษาล่วงหน้า ที่สำคัญการรับนักศึกษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะ แต่ขึ้นอยู่กับนโยบายของมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลมีกรอบที่ชัดเจนก็จะเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของมหาวิทยาลัยได้

“อย่างไรก็ตามอยากให้คุรุสภาคำนึงถึงสภาพพื้นที่และความต้องการของผู้เรียนด้วย เพราะนักศึกษาแถบอีสานหากไม่สามารถเข้าเรียนที่ส่วนกลางได้ก็มักเลือกเรียนมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งในปีการศึกษา 2556 เรามีแผนรับนักศึกษา 19 สาขาวิชา จำนวน 1,000 คน แต่รับจริง 1,800 คน เนื่องจากความต้องการของเด็กในพื้นที่มีมาก” ผศ.นันทกา กล่าว

ผศ.ประเสริฐ ลิ้มสุขวัฒน์ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มบส.) กล่าวว่า ตั้งแต่ตนรับตำแหน่งคณบดีฯ ในปี 2555 ได้หารืออธิการบดีเพื่อขอให้เริ่มจำกัดจำนวนรับนักศึกษาครู ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวเพราะน่าจะมีส่วนช่วยแก้ปัญหาจำนวนครูล้นได้ แต่ตนก็คาดหวังว่าคุรุสภาจะใช้อำนาจอย่างมีขอบเขต ไม่มาล้วงลูกเรื่องหลักสูตรการสอนเหมือนที่เกิดปัญหากับสภาวิชาชีพอื่น

ผศ.ละออง ภู่เงิน อดีตคณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ (มรภ.บร.) กล่าวว่า ในความเป็นจริงอาจารย์ผู้สอนและคณะไม่ต้องการรับนักศึกษาเข้ามามาก เพราะการจำกัดจำนวนจะทำให้ควบคุมคุณภาพการเรียนการสอนได้ดี แต่เนื่องจากจำนวนการรับนักศึกษาใหม่จะเป็นไปตามนโยบายของมหาวิทยาลัย ดังนั้นหากผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คุรุสภา และสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เอาจริงเอาจังและกำหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจนลงมา น่าจะทำให้การจำกัดจำนวนครูให้เหมาะสมมีความเป็นไปได้มากขึ้น อีกทั้งจากการสอบถามนักศึกษาครูที่เข้าใหม่ส่วนใหญ่ก็ต้องการให้มีการจำกัดการเข้าสู่วิชาชีพเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นวิชาชีพชั้นสูง และยังจะช่วยให้มหาวิทยาลัยสามารถคัดเด็กที่มีคุณภาพและมีความตั้งใจเป็นครูอย่างแท้จริงได้

“หากเรามีระบบการคัดเลือกเพื่อให้ได้คนที่อยากเป็นครูจริง ๆ เข้ามาเป็นครู ไม่ใช่ใครก็มาเป็นครูได้เหมือนปัจจุบันจะสามารถยกระดับวิชาชีพครูให้สูงขึ้นได้ เพราะคนที่สอบบรรจุเป็นครูได้อาจเป็นคนสอบเก่ง คือ ติวแล้วสอบ แต่เราก็มั่นใจเรื่องคุณภาพคุณธรรมไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราจำกัดจำนวนคนที่จะมาเรียนครูและจำนวนตำแหน่งครูที่จะบรรจุ เมื่อเด็กจบมาก็จะเป็นครูไม่ต้องออกจากวิชาชีพนี้เช่นเดียวกับคนที่เรียนแพทย์ได้จะเป็นการดี” ผศ.ละออง กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 25 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33446&Key=hotnews

สช.ทำแผนส่งเสริมเอกชน

24 กรกฎาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้จัดประชุมทำแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการศึกษาเอกชน ปี 2556-2560 ขึ้น โดยมีนายกสมาคมทางการศึกษาเอกชน ผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน และข้าราชการ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นพร้อมเสนอแนวทางในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของ สช. เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการส่งเสริมการศึกษาเอกชนให้ครอบคลุมในเรื่องของลักษณะ ประเภท ขนาด คุณภาพของโรงเรียน ครู และนักเรียน สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ

ด้าน นางเสาวนีย์ พนัสสรณ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนโยบายและแผน สช. กล่าวว่า เนื่องจาก สช.ดูแลโรงเรียนเอกชนทั้งในและนอกระบบกว่า 12,000 แห่ง จึงต้องมีการทำเป็นกรอบแนวทางส่งเสริมการศึกษาเอกชน ให้ครอบคลุมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงเป็นไป โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการศึกษาเอกชนที่สอดรับกับการเข้าสู่อาเซียน เนื่องจากโรงเรียนเอกชนมีบริบทที่แตกต่างกัน ซึ่งจากการประชุมจัดทำร่างยุทธศาสตร์ ได้มีการวางวิสัยทัศน์ ให้การศึกษาเอกชนมีคุณภาพได้มาตรฐานสากล มีพันธกิจส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาเอกชนให้มีคุณภาพมาตรฐานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง พัฒนาระบบบริหารจัดการและเครือข่ายความร่วมมือการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้จะมีการนำร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวไปรับฟังความเห็นอีกครั้งในเดือน ส.ค.นี้.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 25 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33445&Key=hotnews

 

‘สกอ.’ จ่อประกาศร่าง จัดทางไกล ‘อุดมศึกษา’

24 กรกฎาคม 2556

นายปรัชญา เวสารัชช์ ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาระบบการศึกษาทางไกล ในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำร่างแนวปฏิบัติในการพิจารณาคุณภาพการจัดการศึกษาทางไกลว่า คณะทำงานพัฒนาเกณฑ์การเปิดหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล ได้จัดทำร่างแนวปฏิบัติดังกล่าวเสร็จแล้ว และส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แล้ว คาดว่าเร็วๆ นี้ อนุกรรมการพิจารณาและติดตามประเมินผลฯจะได้พิจารณา และจะดูว่าต้องเพิ่มเติมหรือปรับแก้ไขส่วนใดบ้าง จากนั้นจะส่งกลับให้คณะทำงานแก้ไข และรับฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ มหาวิทยาลัยและผู้เกี่ยวข้องต่อไป ก่อนจะนำร่างนี้ไปใช้ในการปรับปรุงประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องหลักเกณฑ์การขอเปิดและดำเนินการหลักสูตรระดับปริญญาในระบบการศึกษาทางไกล พ.ศ.2548

นายปรัชญากล่าวต่อว่า สำหรับร่างแนวปฏิบัติในการพิจารณาคุณภาพการจัดการศึกษาทางไกล ที่คณะทำงานได้ร่างนั้น จะเน้นคุณภาพของนักศึกษาผู้เรียนเป็นหลัก และการเรียนการสอนจะต้องไม่ด้อยกว่าการเรียนในชั้นเรียน นอกจากนี้ ในร่างจะลงรายละเอียดต่างๆ ในการจัดการศึกษาทางไกลของมหาวิทยาลัยอย่างเข้มข้น เช่น หลักสูตร จะต้องเหมาะสมกับผู้เรียน เครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้สอนต้องทันสมัยและเหมาะสม มีระบบการติดตามและตรวจสอบผู้เรียนที่ชัดเจน ตั้งแต่เริ่มลงทะเบียนเรียน สอบ และผ่านการสอบ ซึ่งการจะตรวจสอบได้นั้น อาจจะใช้วิธีในการบันทึกการเรียนการสอน การสนทนาระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33444&Key=hotnews

หลักเกณฑ์ใหม่สอบครูผู้ช่วย ว12

24 กรกฎาคม 2556

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) แจ้งว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้ลงนามในหนังสือหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็น หรือ มีเหตุพิเศษ หรือ ว12 ใหม่ โดยกำหนดให้ คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และ อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ.แต่งตั้งเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือกครูผู้ช่วย ว12 แทนการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้ดำเนินการ

แหล่งข่าว แจ้งด้วยว่า หลักเกณฑ์การตัดสิน ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนแต่ละภาค ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 และหากพบว่าการดำเนินการคัดเลือก มีการทุจริตหรือส่อไปในทางไม่สุจริต หรือดำเนินการผิดพลาดอันอาจทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ให้ผู้ดำเนินการคัดเลือกพิจารณาแก้ไขหรือยกเลิกการ คัดเลือกในครั้งนั้นได้ ทั้งนี้ การสอบคัดเลือกจะแบ่งเป็น ภาค ก ความรอบรู้ และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวินัย คุณธรรม จริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา คะแนนเต็ม 150 คะแนน ให้คัดเลือกด้วยวิธีการสอบข้อเขียนแบบปรนัย ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง คะแนนเต็ม 150 คะแนน ให้คัดเลือกด้วยวิธีการสอบข้อเขียนแบบปรนัย และภาค ค ความเหมาะสมกับตำแหน่งและวิชาชีพ คะแนนเต็ม 50 คะแนน ให้ประเมินด้วยวิธีการสัมภาษณ์ สังเกต ตรวจสอบเอกสาร หรือวิธีอื่นที่เหมาะสม

ด้านนางรัตนา กล่าวว่า การปรับหลักเกณฑ์ใหม่นี้ เพื่อให้อำนาจ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯในการสอบ แต่การสอบจะต้องสอบพร้อมกัน โดยให้ สพฐ.กำหนดปฏิทินเพื่อรับสมัครและสอบพร้อมกันทั่วประเทศ โดยหลักเกณฑ์นี้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33443&Key=hotnews

อาชีวะรางวัลพระราชทาน คว้าทั้ง ปวช./ปวส.เล็ก-กลาง-ใหญ่ ว.เกษตรฯ-เทคนิค-การอาชีพนำ

24 กรกฎาคม 2556

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเผยชื่อสถานศึกษาดีเด่นนร./นศ.อาชีวะในสังกัดที่มีผลการเรียนดี-ประพฤติดีรับรางวัลพระราชทานปีการศึกษา 2555 ปลื้ม นร./นศ. /สถานศึกษาขนาดเล็ก-กลาง-ใหญ่รับรางวัลถ้วนหน้าว.เกษตร-ว.เทคนิคทั่ว ปท. นำโด่งนักเรียนนักศึกษารางวัลพระราชทาน
ประเภทนักเรียนนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สถานศึกษาขนาดเล็กได้แก่ นักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพะเยา วิทยาลัยการอาชีพโคกสำโรง วิทยาลัยสารพัดช่างตราด วิทยาลัยการอาชีพด่านซ้าย วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีชุมพร วิทยาลัยการอาชีพปัตตานี และวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอี่ยมละออ สถานศึกษาขนาดกลางได้แก่ นักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรี วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ วิทยาลัยการอาชีพสตึก วิทยาลัยการอาชีพตระการพืชผล วิทยาลัยเทคนิคพังงา วิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการต่อเรือนครศรีธรรมราช วิทยาลัยเทคนิคสตูล และวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี สถานศึกษาขนาดใหญ่ได้แก่ นักศึกษาจาก วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม วิทยาลัยการอาชีพนางรอง วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ และวิทยาลัยพณิชยการเชตุพน

ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.) สถานศึกษาขนาดเล็กได้แก่นักศึกษาจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพะเยา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครสวรรค์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรี วิทยาลัยเทคนิคบูรพาปราจีน วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกาญจนบุรี วิทยาลัยการอาชีพด่านซ้าย วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีตรัง วิทยาลัยการอาชีพเวียงสระ วิทยาลัยการอาชีพสายบุรี สถานศึกษาขนาดกลางได้แก่ นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคตราด วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีร้อยเอ็ด วิทยาลัยสารพัดช่างนครราชสีมา วิทยาลัยการอาชีพศรีสะเกษ วิทยาลัยเทคนิคพังงา และวิทยาลัยเทคนิคสตูล สถานศึกษาขนาดใหญ่ได้แก่ นักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย วิทยาลัยอาชีวศึกษานครสวรรค์ วิทยาลัยเทคนิคชัยนาท วิทยาลัยอาชีวศึกษาชลบุรี วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม วิทยาลัยเทคนิคเลย วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต และวิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี นักศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทานระดับการศึกษาวิชาชีพได้แก่ นักศึกษาจากวิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี วิทยาลัยสารพัดช่างอุบลราชธานี และวิทยาลัยการอาชีพหลวงประธานราษฎร์นิกร

สถานศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทานระดับอาชีวศึกษาสถานศึกษาขนาดเล็กได้แก่วิทยาลัยการอาชีพเถิน วิทยาลัยการอาชีพนครไทย วิทยาลัยการอาชีพโคกสำโรง วิทยาลัยสารพัดช่างสระบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีฉะเชิงเทรา วิทยาลัยการอาชีพสองพี่น้อง วิทยาลัยการอาชีพด่านซ้าย วิทยาลัยการอาชีพแก้งคร้อ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยียโสธร วิทยาลัยการอาชีพปะเหลียน วิทยาลัยการอาชีพไชยา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสงขลา สถานศึกษาขนาดกลางได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคตาก วิทยาลัยอาชีวศึกษาสิงห์บุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุพรรณบุรี วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีขอนแก่น วิทยาลัยเทคนิคหลวงพ่อคูณปริสุทโธ วิทยาลัยการอาชีพศรีสะเกษวิทยาลัยการอาชีพห้วยยอด วิทยาลัยเทคนิคสตูล และวิทยาลัยการอาชีพกาญจนาภิเษกหนองจอก สถานศึกษาขนาดใหญ่ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคลำปาง วิทยาลัยเทคนิคสุโขทัยวิทยาลัยเทคนิคสระบุรี วิทยาลัยเทคนิคนครนายก วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ วิทยาลัยเทคนิคเดชอุดม วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต วิทยาลัย

อาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ และวิทยาลัยพณิชยการเชตุพน สถานศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทานระดับการศึกษาวิชาชีพสถานศึกษาขนาดเล็ก ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่างราชบุรี สถานศึกษาขนาดใหญ่ได้แก่ วิทยาลัยสารพัดช่างพระนครศรีอยุธยา วิทยาลัยสารพัดช่างอุดรธานี วิทยาลัยสารพัดช่างสุรินทร์ และวิทยาลัยสารพัดช่างชุมพร

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33441&Key=hotnews