Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ชุมนุมลูกเสือชายแดนใต้ กิจกรรมสมานฉันท์ในกลุ่มอาเซียน

15 กรกฎาคม 2556

อรนุช วานิชทวีวัฒน์
ภาพเหล่าบรรดาลูกเสือ เนตรนารี และผู้บังคับบัญชา จากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ที่เข้าร่วมการชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ค่ายลูกเสือเทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวนกว่า 2,000 คน ที่ร่วม ทำกิจกรรมการออกค่าย ร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรึกษาหารือ พูดคุยกัน เรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประเพณีซึ่งกันและกัน คือเป้าหมายหลักของการจัดการชุมนุมลูกเสือครั้งนี้เพื่อเป็นการปูพื้นฐานสู่ประชาคมอาเซียน ทำให้พอจะมองเห็นอนาคตของความเป็นมิตรประเทศในภูมิภาคได้

กิจการลูกเสือเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเยาวชนในชาติให้เกิดความรัก ความสามัคคีในหมู่คณะ รู้จักเสียสละ ทำคุณประโยชน์แก่สังคม มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดจนเป็นการบ่มเพาะให้มีระเบียบวินัย มีภาวะผู้นำอยู่ในตนเอง เป็นการส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงในชาติบ้านเมือง ซึ่งประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างก็เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้ส่งเสริมกิจการลูกเสือในประเทศของตนจนมีความเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับซึ่งประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ตระหนักถึงความสำคัญของกิจกรรม ลูกเสือ จึงได้กำหนดนโยบายให้โรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยม ศึกษา ต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาลูกเสือเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มีการเรียนรู้และปฏิบัติควบคู่กันไป

การชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ไทย-ประชาคมอาเซียน ประจำปี 2556 ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน-5 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเป็นการจัดชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ครั้งที่ 9 โดยมีเป้าหมายสำคัญคือเพื่อ เตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558

“กระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็น และถือเป็นกิจกรรมสำคัญที่เปิดโอกาสให้เด็กเยาวชน ลูกเสือ เนตรนารี ได้มีโอกาสนำความรู้ ความสามารถและทักษะที่ได้รับจากการฝึกอบรมมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความสัมพันธ์อันดี มีความสามัคคี มีคุณธรรม และมีความเสียสละ อีกทั้งเพื่อเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างลูกเสือ เนตรนารี และผู้บังคับบัญชา ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และประเทศเพื่อนบ้าน จึงจัดให้มีงานชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น” ดร.กมล รอดคล้ายรองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (กพฐ.) ในฐานะประธานเปิดค่ายกล่าวพร้อมกับย้ำว่า กิจกรรมการชุมนุมลูกเสือจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการจัดกิจกรรมสืบเนื่องกันมาหลายปี โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 9 มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เราต้องการให้เด็กและเยาวชนทางภาคใต้ของไทย ได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงศิลปะ วัฒธรรมกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ประเทศใกล้เคียง โดยเฉพาะมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ เป็นต้น ที่สำคัญหวังว่ากิจการลูกเสือในอนาคตจะสามารถเชื่อมโยงกับประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียนและนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ระดับประเทศได้

ดร.กมล กล่าวว่า เชื่อว่าเด็กยุคใหม่จะอยู่ร่วมกับสังคมได้ หากเราจัดกิจกรรมที่มีลักษณะให้เด็กได้ร่วมทำงานร่วมกันตั้งแต่เด็ก เพราะจะสามารถขยายผลต่อยอดจากคนรู้จักไปสู่ความเป็นเพื่อน เป็นมิตร มีการแลกเปลี่ยนความเข้าใจ และวัฒนธรรมประเพณีร่วมกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมเช่นนี้จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ของคนในพื้นที่ในอนาคต ซึ่งนี่คือจุดมุ่งหมายของเรา และยิ่งในภาพรวมการที่มีลูกเสือทั้งจากประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมารวมตัวกันผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันในระยะเวลาหนึ่งถึงเกือบ 2,000 คน จะยิ่งทำให้ความคาดหวังของเราเป็นความจริงได้ในไม่ช้า
ขณะที่เจ้าภาพจัดการชุมนุม นายศลใจ วิบูลกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 16 กล่าวว่า การชุมนุมลูกเสือในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะสามารถสร้างเสริมสันติสุขในพื้นที่ได้มาก เพราะเหล่าบรรดาลูกเสือจะมีเพื่อนบ้านมากขึ้น ได้ทำกิจกรรมร่วมกันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ได้พูดคุยกันทำให้เกิดภาพลักษณ์ดี ๆ ที่ไม่เหมือนอย่างที่เป็นข่าว และเชื่อว่าการจัดกิจกรรมเข้าค่ายลักษณะนี้จะทำให้พวกเขามีจิตใจอ่อนโยนมากขึ้น

ด้านผู้แทนประเทศมาเลเซีย นายมาโซว์ ละห์ ผู้อำนวยการกรมการศึกษา รัฐเกดะห์ มาเลเซีย ระบุว่า มาเลเซียมีความรู้สึกดี ๆ กับประเทศไทย และได้ส่งลูกเสือ เนตรนารี และผู้บังคับบัญชามาร่วมกิจกรรมการชุมนุมลูกเสือตั้งแต่ต้น เพราะมองว่ากิจกรรมนี้เน้นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเชื่อว่างานชุมนุมลูกเสือที่เปิดโอกาสให้เหล่าลูกเสือ เนตรนารี มาทำกิจกรรมร่วมกันจะช่วยทวีความสัมพันธ์มากกว่าที่เป็นอยู่

ส่วนผู้แทนจากอินโดนีเซีย นายซัมซุล ฮาดิ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการนักเรียน โรงเรียนสุราบายา กล่าวว่า กิจกรรมลูกเสือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะนำพาให้เป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันดี ซึ่งปีนี้อินโดนีเซียส่งลูกเสือผู้บังคับบัญชาเข้ามาร่วมการชุมนุมมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีความรู้สึกที่ดีกับประเทศไทย

เรื่องของการเตรียมคนเข้าสู่ประชาคมอาเซียนนั้น เด็กต้องมีความเข้าใจในอาเซียนที่ลึกซึ้งหรือมากกว่าแค่รู้ว่าประเทศในอาเซียน มีประเทศอะไรบ้าง มีธงชาติอย่างไร แต่ต้องเรียนรู้และสัมผัสให้เข้าใจถึงวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี เศรษฐกิจ และอื่น ๆ อย่างรอบด้าน ซึ่งกิจกรรมลูกเสือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยได้.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 16 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33354&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา กรณีนักเรียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

15 กรกฎาคม 2556

ประสาน ยินดีชัย
ผู้อำนวยการภารกิจเสริมสร้างและมาตรฐานวินัย
สถานี ก.ค.ศ. ฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหากรณีนักเรียนถูกล่วงละเมิดสิทธิไปแล้ว ในครั้งนี้จะได้นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องทำนองเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรณีที่นักเรียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควรและส่งผลกระทบต่อสังคมสถาบันครอบครัว สถานศึกษา โดยเฉพาะกระทบต่ออนาคตของนักเรียนอันเป็นทรัพยากรบุคคลและเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เนื่องจากผลพวงที่ตามมาจากการที่เด็กนักเรียนมีพฤติกรรมในทางเพศ โดยมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร อาจก่อให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ในขณะเป็นนักเรียน แล้วนำไปสู่การทำแท้งอันผิดกฎหมาย จึงมีนักเรียนเป็นจำนวนมากที่ต้องออกจากโรงเรียน อันเนื่องมาจากการมีพฤติกรรมไปมีเพศสัมพันธ์ในขณะเป็นนักเรียนแล้วเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น เด็กนักเรียนเหล่านั้นก็ต้องเสียอนาคตไปอย่างน่าเสียดาย สำนักงาน ก.ค.ศ. ในฐานะองค์กรกลางบริหารงานบุคคลข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รู้สึกห่วงใยต่อปัญหากรณีนี้ จึงขอวิงวอนให้เพื่อนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้โปรดเอาใจใส่ ตระหนักถึงความสำคัญของเด็กนักเรียนด้วยการหาแนวทางหรือวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร โดยขอความร่วมมือให้สถานศึกษาดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ผู้บริหารสถานศึกษาควรสร้างความเข้าใจแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ทราบถึงแนวปฏิบัติของสถานศึกษา ในการป้องกันแก้ไขและการให้ความช่วยเหลือนักเรียนที่ตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
2. ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา ควรจัดระบบการดูแลนักเรียน โดยจัดให้มีครูเป็นที่ปรึกษาในสัดส่วนที่เหมาะสม มีการคัดกรองนักเรียน การเยี่ยมบ้าน การจัดกิจกรรมที่จะเฝ้าระวังแก้ไขปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และหาวิธีการช่วยเหลือนักเรียนที่มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ล่อแหลมต่อการเกิดปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
3. ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาควรควบคุมดูแลการจัดกิจกรรมของนักเรียน ทั้งที่จัดขึ้นภายในและภายนอกสถานศึกษาอย่างใกล้ชิด
4. ถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่นักเรียนที่อยู่ในสภาวะยากลำบากจากสาเหตุการมีเพศสัมพันธ์ก่อนถึงวัยอันควร ทั้งด้านสุขภาพทางร่างกายและจิตใจ
5. สำหรับพฤติกรรมอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนี้ โปรดถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาในการป้องกันแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน และรายงาน ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อทราบและดำเนินการต่อไป

ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาโปรดถือปฏิบัติตามนโยบาย คำสั่ง และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิเด็ก และการป้องกันการละเมิดสิทธิเด็กและเยาวชน รวมทั้งคำสั่งหรือแนวปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวของหน่วยงานต้นสังกัดโดยเคร่งครัด

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33353&Key=hotnews

สอบคัดเลือก ผอ.อาชีวะฉลุย ไร้ทุจริต-แจกคะแนนฟรี 1 ข้อ

15 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการจัดสอบคัดเลือกสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (ผอ.) สถานศึกษา และรอง ผอ.สถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งเป็นการสอบวันสุดท้ายว่า การสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีเพียงความผิดพลาดเล็กน้อยของข้อสอบสำหรับคัดเลือกตำแหน่ง ผอ.สถานศึกษา ในวิชาความสามารถในการบริหารงานในหน้าที่ เนื่องจากพบว่ามีข้อสอบข้อที่ 88 หายไป 1 ข้อ ดังนั้นเพื่อความเป็นธรรม และเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย จึงพิจารณาให้คะแนนฟรี 1 คะแนนแก่ผู้เข้าสอบทุกคน ซึ่งข้อสอบดังกล่าวเป็นข้อสอบที่ใช้จัดสอบเหมือนกันทั่วประเทศ ยกเว้นในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

“ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานการทุจริตแต่อย่างใด ซึ่งก่อนนี้ได้กำชับให้มีการป้องกันการทุจริตอย่างรัดกุมและรอบคอบที่สุด ตั้งแต่การออกข้อสอบ การดูแลระหว่างการสอบ การตรวจข้อสอบ และการประกาศผล นอกจากนี้ยังมีการป้องกันระบบข้อสอบรั่วโดยการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ” เลขาธิการ กอศ. กล่าว และว่า สำหรับการสอบคราวนี้ผู้มีสิทธิเข้าสอบ ผอ.สถานศึกษา จำนวน 1,045 คน ขาดสอบ 16 คน สอบจริง 1,029 คน มีตำแหน่งรองรับขึ้นบัญชีไว้ 68 ตำแหน่ง ส่วนตำแหน่งรอง ผอ.สถานศึกษา มีสิทธิสอบ 263 คน ขาดสอบ 9 คน มีผู้สอบจริง 254 คน มีตำแหน่งที่รองรับ 148 ตำแหน่ง โดยจะสามารถประกาศผลสอบได้ในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33352&Key=hotnews

ก.ค.ศ.เยียวยาบุคลากร 290 ราย ออกเกณฑ์-เทียบประสบการณ์

15 กรกฎาคม 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยผลการประชุม คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคลเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับระบบตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) จำนวน 290 ราย ที่ถูกยุบเลิกตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานการเงินและบัญชี และเจ้าหน้าที่ บริหารงานพัสดุ โดยมีมติ ดังนี้ 1.เทียบประสบการณ์การปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานการเงินและบัญชี เจ้าหน้าที่บริหารงานพัสดุ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี รวมกับคุณวุฒิในระดับปริญญาทางอื่นเป็นคุณวุฒิทางอื่นที่ ก.ค.ศ.กำหนด สำหรับตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการพัสดุ และนักวิชาการตรวจสอบภายใน เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เนื่องจากเหตุถูกยุบเลิกตำแหน่ง

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า 2.กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคลากรทางการศึกษาอื่น ผู้ได้รับผลกระทบจากการยุบเลิกตำแหน่งไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ในสายงานวิชาการเงินและบัญชี วิชาการพัสดุ วิชาการตรวจสอบภายใน ด้วยวิธีการคัดเลือก การสอบ ข้อเขียนและประเมินความเหมาะสม รวม 3 ภาค คือ ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง และภาคความเหมาะสมกับตำแหน่ง สำหรับเกณฑ์การตัดสินต้องได้คะแนนรวมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 และ 3.เห็นชอบให้เปลี่ยน ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น กลุ่มดังกล่าว หากเป็นผู้มีคุณสมบัติและผ่านการคัดเลือกตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดแล้วไม่ต้องจัดทำผลงานทางวิชาการเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนตำแหน่งในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการศึกษาอื่นฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการยุบเลิกตำแหน่ง

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33351&Key=hotnews

สร้าง ร.ร.ไกลกังวล 2 ถวายในหลวง ศธ.ระดมพันล้าน 3 ปีเสร็จ-รับเด็กด้อยโอกาส

15 กรกฎาคม 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดตั้ง ร.ร.วังไกลกังวล 2 ครั้งที่ 1/2556 ร่วมกับนายกิตติ ขันธมิตร กรมวังผู้ใหญ่ และผู้บริหาร ศธ.ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการจัดตั้ง ร.ร.วังไกลกังวล 2 บนที่ดินสาธารณะทุ่งเลี้ยงสัตว์เขาแล้ง บ้านหนองพรานพุก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 300 ไร่ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจาก ร.ร.วังไกลกังวล ที่จัดการเรียนการสอนให้กับนักเรียนทั่วไป และนักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์ มีจำนวนผู้เรียนกว่า 2,000 คน จนไม่สามารถขยายห้องเรียนได้แล้ว ดังนั้นนายขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ ผู้จัดการ ร.ร.วังไกลกังวล และประธานกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม จึงหารือกับ ศธ. เพื่อเสนอรัฐบาลให้ ร.ร.วังไกลกังวล 2 เป็น ร.ร.ในกำกับของ ศธ. ที่จัดการศึกษารูปแบบพิเศษ ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาและคณะกรรมการอำนวยการจัดตั้ง โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ เป็นกรรมการขึ้นมาในวันที่ 28 มิ.ย.

รมช.ศธ.กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ร.ร.วังไกลกังวล 2 จะสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดการศึกษารูปแบบร.ร.ประชาสงเคราะห์ เพื่อรับเด็กด้อยโอกาส จากพื้นที่ใกล้เคียงมาเรียนในลักษณะโรงเรียนกินนอน และจัดการศึกษาภาคปกติสำหรับเด็กไปกลับ ส่วนการเรียนการสอนจะเป็นชั้นเรียนปกติ สลับกับการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม รวมทั้งเป็นชั้นเรียนต้นทางสำหรับออกอากาศ โดยตั้งเป้าแล้วเสร็จไม่เกิน 3 ปี เพื่อรองรับนักเรียนไม่น้อยกว่า 1,000 คน ใช้งบฯ 1,000 ล้านบาท สร้างอาคารเรียน 400 กว่าล้านบาท และจัดตั้งกองทุนอีก 500 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายออกแบบ ตลอดจนคณะอนุกรรมการจัดหารายได้ขึ้นมา เพื่อระดมทุนจากประชาชนก่อสร้างร.ร. ส่วน สพฐ.จะสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอน

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33348&Key=hotnews

สภาการศึกษาระดมความคิดนานาชาติ ขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิ…สู่ประชาคมอาเซียน

15 กรกฎาคม 2556

ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายหลังคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบและมอบให้ ศธ.นำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (National Qualifications Framework : NQF) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากำลังคนสู่มาตรฐานสากล โดยใช้ระบบคุณวุฒิเป็นองค์ประกอบในการประเมินความรู้กับการเทียบโอนประสบการณ์ ไปดำเนินการจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และยกระดับสู่การเป็นประชาคมอาเซียนโดยขณะนี้ สกศ. ได้ดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ4 ภูมิภาค เรื่อง “การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และสร้างการมีส่วนร่วม เกิดการยอมรับ และนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ซึ่งได้ดำเนินการจัดประชุมเสร็จสิ้นไปแล้วทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ที่ จ.เชียงใหม่ ภาคใต้ ที่ จ.สุราษฎร์ธานีภาคกลาง ที่ กรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.อุดรธานี อย่างไรก็ตามเมื่อช่วงปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศ ประจำปี 2556 เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย” ขึ้นที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กทม. ซึ่ง สกศ.ได้หยิบยกประเด็น “กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ” มาเป็นหัวข้อสำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติของนานาประเทศ รวมถึงจัดให้มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกี่ยวกับการจัดทำรายละเอียดของกรอบคุณวุฒิของกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย

ดร. ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษากล่าวว่า การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติครั้งนี้ มี 4 ประเทศที่ร่วมนำเสนอ ได้แก่ ไทยนิวซีแลนด์ ฮ่องกงและอินโดนีเซียโดยไทยนำเสนอว่าได้เริ่มจัดทำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติมาเป็นเวลานานแล้ว โดยมีการรวบรวมผลงานวิจัยจากหลายแห่ง รวมถึงได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศึกษาดูงานในหลายประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป จากนั้นได้ตั้งคณะทำงานพัฒนากรอบคุณวุฒิฯก่อนจะจัดประชาพิจารณ์ 4 ครั้ง จนกระทั่งครม.ได้อนุมัติกรอบคุณวุฒิแห่งชาติเมื่อต้นปีที่ผ่านมา “กรอบคุณวุฒิฯ จะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากำลังคนสู่มาตรฐานสากล โดยใช้ระบบคุณวุฒิเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประเมินศักยภาพการเรียนรู้ของบุคคล ที่เชื่อมโยงคุณวุฒิการศึกษา กับการเทียบโอนประสบการณ์ ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญในการเชื่อมโยงและสร้างความร่วมมือระหว่างการศึกษาในระดับต่างๆ ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้คนไทยที่อยู่ในวัยแรงงานมีความรู้ ความสามารถตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานทั้งไทยและเทศ รวมทั้งมองเห็นถึงเส้นทางการเรียนรู้และความก้าวหน้าอย่างชัดเจน และยังเป็นการส่งเสริมการประกันคุณภาพของบุคคลตามระดับคุณวุฒิด้วย” …โครงสร้างกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ1.ระดับและองค์ประกอบของระดับคุณวุฒิ ซึ่งแบ่งออกเป็น 9 ระดับ (1-9) ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงปริญญาเอก โดยแต่ละระดับจะมีการกำหนดสมรรถนะ หรือความสามารถในการปฏิบัติงานเชื่อมโยงกับระดับวุฒิการศึกษา ซึ่งจะสามารถประยุกต์ใช้ได้กับกำลังคนในแต่ละกลุ่มสาขาอาชีพ 2.กลไกการเชื่อมโยงเติมเต็ม/เทียบเคียง และ 3.ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามระดับคุณวุฒิการศึกษาทั้งนี้ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ไทยจะนำกรอบคุณวุฒิไปเทียบเคียงกับกรอบคุณวุฒิอาเซียน ซึ่งผู้ที่ได้รับการยอมรับในกรอบคุณวุฒิเหล่านี้ จะสามารถไปทำงานในกลุ่มอาเซียนได้เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของนิวซีแลนด์นำเสนอว่า เริ่มพัฒนากรอบคุณวุฒิแห่งชาติตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 ซึ่งนิวซีแลนด์มีผู้ที่อยู่นอกระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่มีประสบการณ์การทำงาน ส่วนผู้ที่อยู่ในระบบการศึกษา กลับไม่มีประสบการณ์ ทักษะ และความเชี่ยวชาญในการทำงาน ดังนั้นจึงต้องมีการจัดทำกรอบคุณวุฒิขึ้นมาซึ่งโครงสร้างกรอบคุณวุฒิได้แบ่งระดับคุณวุฒิเป็น 10 ระดับ(1-10) โดยระดับที่ผ่านการทดสอบจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะเทียบได้กับอนุปริญญา ปริญญาตรี โท และเอก

ขณะที่อินโดนีเซียนำเสนอว่า ได้จัดทำกรอบคุณวุฒิและประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยแบ่งระดับคุณวุฒิเป็น9 ระดับ และจะนำไปใช้เทียบเคียงกับกรอบคุณวุฒิอาเซียนด้วยทั้งนี้รัฐบาลอินโดนีเซียให้ความสำคัญกับการพัฒนากรอบคุณวุฒิเป็นอย่างมาก โดยคาดหวังว่านานาชาติจะให้การยอมรับกับระบบการศึกษาของอินโดนีเซียและสามารถเทียบเคียงกับคุณวุฒิกับนานาประเทศ ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนย้ายแรงงานในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

สุดท้ายที่ฮ่องกงนำเสนอว่าได้มีการตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องกรอบคุณวุฒิเป็นการเฉพาะ เพราะที่ฮ่องกงมีผู้ที่เรียนจบจากสายอาชีพมากกว่าผู้ที่จบปริญญา แต่ทว่าภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมจะไม่ยอมรับผู้ที่จบจากสายอาชีพ เพราะจะรู้สึกว่ามีความชำนาญไม่เท่ากับผู้ที่จบปริญญา ดังนั้นจึงส่งผลให้ต้องมีการผลักดันเรื่องกรอบคุณวุฒิ และพยายามให้ภาคเอกชนและภาคอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยขณะนี้ได้เข้ามาร่วมมือกับสถาบันที่ดำเนินการเรื่องกรอบคุณวุฒิแล้ว 19 อุตสาหกรรม
…นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่นานาประเทศต่างให้ความสำคัญกับกรอบคุณวุฒิ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ขณะนี้ต่างกำลังพัฒนา “กรอบคุณวุฒิ” โดยมีการเทียบเคียงกับกรอบคุณวุฒิอาเซียน เพื่อนำไปสู่การยอมรับและการรับรองความรู้ ความสามารถในแต่ละระดับของอาเซียน ซึ่งเชื่อได้ว่าเมื่อถึงปี 2558 การเคลื่อนย้ายบุคลากรเข้าสู่ประชาคมอาเซียนคงเป็นไปได้อย่างลื่นไหลทั้งผู้เรียน และคนทำงาน

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เลขที่ 99/20 ถนนสุโขทัยแขวงดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร.0-2241-8284 ต่อ2413, 2414, 2416, 2471 และเว็บไซต์ www.onec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33347&Key=hotnews

คลังบีบนักศึกษาใช้หนี้ กยศ.-กรอ. เตรียมดึงเข้าเครดิตบูโร-คาดเริ่มใช้ ส.ค.นี้

15 กรกฎาคม 2556

นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแล กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับผู้บริหารกยศ.เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมอบหมายให้ไปเร่งจัดทำแผนที่จะกระตุ้นให้นักเรียนนักศึกษาจ่ายหนี้คืน แนวทางที่มองไว้มี 2-3 แนวทาง ประกอบด้วย การนำรายชื่อผู้ที่กู้ กยศ. และกองทุนเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ทั้งรายใหม่และรายเก่าไปอยู่ในระบบของศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) หากผู้ที่จบไปแล้วแต่ไม่มีงานทำจะช่วยหางานให้ในลักษณะพี่ช่วยน้องและนำไปผูกไว้กับกองทุนตั้งตัวได้ให้กู้เงินมาประกอบอาชีพ

ทั้งนี้ จะนำแผนทั้งหมดเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกรอ.และ กยศ.ที่มีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในวันที่ 25 ก.ค. หากที่ประชุมเห็นด้วยจะเริ่มใช้ทันทีในเดือนส.ค.นี้ โดยในส่วนของเครดิตบูโรจะเริ่มใช้กับผู้กู้รายใหม่ปีการศึกษา 2557 ที่จะให้ผู้กู้เซ็นยินยอมให้ส่งข้อมูลไปยังเครดิตบูโรพร้อมกับสัญญาเงินกู้ ส่วนผู้กู้รายเก่าจะให้เวลาปรับตัว 5 ปีจึงจะเข้าระบบเครดิตบูโร ซึ่งตรงนี้จะเป็นการกระตุ้นให้ผู้กู้รายเก่าที่ไม่ยอมใช้หนี้กลับใจมาใช้หนี้ และถ้าผู้กู้ใช้หนี้ตามปกติทุกปียิ่งเป็นการดีกับผู้กู้เองเพราะจะช่วยเสริมเครดิตในการไปขอสินเชื่อ

นายทนุศักดิ์ กล่าวว่า ปัญหาใหญ่ของกยศ.ในขณะนี้คือ ผู้กู้รายเก่าไม่ยอมใช้หนี้ มีสัดส่วนถึง 48% ในปีล่าสุดมียอดครบกำหนดชำระ 5 หมื่นล้านบาท พบว่าไม่มาชำระถึง 2 หมื่นล้านบาท ทำให้กยศ.ขาดเงินที่จะนำไปปล่อยกู้ต่อให้กับนักเรียน นักศึกษารายใหม่ และต้องของบประมาณในจำนวนที่สูงขึ้น โดยให้ปีงบประมาณ 2557 ถูกตัด 5,500 ล้านบาท จากที่ขอไป 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะสามารถปล่อยกู้ รายใหม่ได้เพียง 3.5 หมื่นราย จากแผนเดิมจะปล่อยกู้ปีนี้ 2.3 แสนราย

ทั้งนี้ ในปัจจุบันกองทุนปล่อยกู้นักเรียน นักศึกษาไปแล้ว 8-9 แสนราย คิดเป็นเงินที่ปล่อยกู้ไป 4 แสนล้านบาท โดยในแต่ละปีจะมีการเข้าออกกองทุนประมาณ 2 แสนราย ขณะนี้พยายามหาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งวางระบบการใช้หนี้ของผู้กู้เพราะจะได้นำข้อมูลนี้ไปชี้แจงต่อสำนัก งบประมาณ หากมีเหตุผลที่ดีอาจไม่ถูกตัดงบประมาณ 5,500 ล้านบาท และจะได้ไม่มีปัญหาต่อการปล่อยกู้ในปี การศึกษาหน้า

“จากการสำรวจพบว่านักศึกษาที่กู้ยืมเงินมีความสามารถในการผ่อนชำระแต่ไม่ยอมมาใช้หนี้ถึง 70% อีก 30% ไม่มีงานทำ จริงๆ ไม่อยากทำอะไรที่รุนแรง อย่างการฟ้องร้อง หรือเข้าระบบเครดิตบูโร แต่เด็กที่กู้ยืมเงินไม่ยอมมาใช้หนี้ในจำนวนที่สูงมากๆ จะมีผลกระทบต่อรุ่นน้องที่จะกู้ใน รุ่นต่อๆ ไป” นายทนุศักดิ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33346&Key=hotnews

‘จาตุรนต์ ฉายแสง’ ชูวาระแห่งชาติรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา

12 กรกฎาคม 2556

ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 56 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ แถลงนโยบายและการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษา แก่ผู้บริหารระดับสูงของ ศธ. ภายหลังเข้ารับตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา

โดยนายจาตุรนต์กล่าวว่า หลังจากที่ได้หารือและร่วมรับฟังความคิดเห็นตลอดจนข้อเสนอแนะในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาจากผู้บริหารองค์กรหลักของ ศธ. จึงได้ประมวลมาเป็นนโยบายด้านการศึกษาที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันยกเครื่องการศึกษาไทยโดยในปีนี้จะประกาศให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นปีแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา ทั้งนี้ ได้วางเป้าหมายในการจัดการศึกษาไว้ว่า ภายในปี 2558 จะต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
สำหรับนโยบายที่จะต้องเร่งดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้แล้วประกอบด้วย 8 นโยบาย ได้แก่

1.เร่งปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิรูปให้มีการเชื่อมโยงกันทั้งหลักสูตร และการเรียนการสอนในโลกยุคใหม่ การพัฒนาครู ระบบการทดสอบ การวัดและประเมินผล โดยจะเริ่มจากวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้ต้องพัฒนาผลการทดสอบโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA ของนักเรียนไทยให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นอย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานก็จะต้องเดินหน้าต่อไปเพราะการที่ไทยจะสามารถยืนอยู่บนเวทีการแข่งขันของนานาชาติได้ จะต้องมีการปฏิรูปการศึกษา และการพัฒนาคนที่ดี

2.ปฏิรูประบบผลิต และพัฒนาครูโดยจำนวนการผลิตจะต้องสอดคล้องกับความต้องการ มีความรู้ ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนในโลกยุคใหม่ มีการพัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะครูให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดูแลระบบสวัสดิการครูเพื่อเพิ่มขวัญและกำลังใจ

3.เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฏิรูปการเรียนรู้สร้างมาตรฐานการเรียนการสอน และการพัฒนาครู การพัฒนาเนื้อหาสาระ เพื่อเป็นเครื่องมือให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต

4.พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล โดยจะต้องผลักดันกรอบคุณวุฒิวิชาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เพื่อนำมาใช้กำหนดทักษะ ความรู้ความสามารถให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ เพื่อการมีงานทำมีความก้าวหน้า และมีค่าตอบแทนตามทักษะ ความรู้ ความสามารถ อีกทั้งต้องมีมาตรการจูงใจให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสถานศึกษาในลักษณะทวิภาคี เพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษา:สามัญให้เป็น 50:50

5.ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเร่งพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน มากกว่าการขยายเชิงปริมาณ ต้องมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี ต้องมีการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษา เพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานและจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาสู่การเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก

นอกจากนี้ต้องพัฒนาให้มหาวิทยาลัยไทยติดอันดับโลกมากขึ้น เพราะปัจจุบันการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกขององค์กรนานาชาติ พบว่าในกลุ่ม 351-400 มีมหาวิทยาลัยไทยติดอันดับเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นต้องมาดูว่ามหาวิทยาลัยที่เหลือมีคุณภาพในการจัดการเรียนการสอนและผลิตบัณฑิตอย่างไร ซึ่งขณะนี้คำตอบในเรื่องนี้ยังไม่มีใครรู้

6.ส่งเสริมให้เอกชนและทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัด และสนับสนุนการศึกษามากขึ้น โดยรัฐจะเข้าไปกำกับควบคุมเท่าที่จำเป็น เพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐาน 7.เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มอายุ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส และพิการ ขณะเดียวกันจะต้องใช้กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคตหรือ กรอ. เป็นกลไกในการพัฒนาคุณภาพเพื่อเพิ่มโอกาสและผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และ 8.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม อัตลักษณ์ตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัย การสร้างขวัญกำลังใจให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา

ทั้งนี้ เพื่อให้นโยบายบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้กำหนด 5 กลไกขับเคลื่อน ประกอบด้วย

1.เร่งจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

2.จัดตั้งสถาบันวิจัยหลักสูตร และพัฒนาการเรียนการสอน รวมถึงการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมการเรียนการสอน

3.สร้างความเข้มแข็งของกลไกวัดผล ตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล

4.เร่งรัดให้มีพระราชบัญญัติอุดมศึกษา เพื่อประกันความเป็นอิสระ และความรับผิดชอบต่อสังคม และ

5.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ และใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ยังได้กำหนด 2 แนวทางบริหาร ประกอบด้วย 1.ตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงาน เพื่อขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่างๆ โดยระดมภาคส่วนต่างๆ มาร่วมขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมเริ่มต้นจากคณะกรรมการเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์จากการทดสอบ PISA และ 2.จัดประชุมปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ เพื่อการระดมความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนตามนโยบาย

นายจาตุรนต์กล่าวทิ้งท้ายว่าสำหรับเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในวง การศึกษานั้น เรื่องนี้ถือเป็นนโยบายใหญ่ และสำคัญอย่างมากของรัฐบาล ซึ่งกำชับให้การทำงานในทุกองค์กรหลัก ศธ. ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงาน หรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ทุกเรื่องจะต้องมีความสุจริตโปร่งใสและเป็นธรรม ส่วนกรณีการทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน ศธ. นั้น จะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาผู้ทุจริตมาลงโทษให้ได้

“ผมขอเน้นย้ำว่า หากมีใครมาแอบอ้างชื่อไปเพื่อกระทำการใดๆ โดยมิชอบให้แจ้งมาที่ผมได้ทันที เพราะผมไม่มีนโยบายมอบให้ใครไปปฏิบัติหน้าที่แทนส่วนกรอบเวลาของการแก้ปัญหาทุจริตต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะแล้วเสร็จได้เมื่อไหร่นั้นการทำงานทุกอย่างต้องยึดหลักความถูกต้องรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมประกอบกัน ทั้งนี้เรื่องการตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตนั้น เป็นเรื่องที่จะใช้นโยบายหรือไปกำหนดรายละเอียดมากเกินไปไม่ได้เพราะจะมองว่าฝ่ายการเมืองเข้าไปยุ่งเกินไปแต่ยืนยันว่าเรื่องการทุจริตต่างๆ จะไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูแน่นอน” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33340&Key=hotnews

DSI ส่งหนังสือตอบกลับ สกสค. ระบุหอพักครูเชียงใหม่ไม่ทุจริต

11 กรกฎาคม 2556

นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยกรณีโครงการการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) ว่า ที่ผ่านมาได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการก่อสร้างหอพักดังกล่าว ซึ่ง สกสค. ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจจึงได้ประสานให้องค์กรที่น่าเชื่อถืออย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เข้ามาตรวจสอบถึง 2 ครั้ง และเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2556 ดีเอสไอก็ได้ทำหนังสือ ยธ. 0843.2/142 มาถึง สกสค. โดยระบุว่า ไม่พบการทุจริตในทุกขั้นตอนของการทำงาน และให้เร่งดำเนินงานต่อไปได้ ซึ่งขณะนี้ สกสค.ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างต่อไปแล้ว

“จริง ๆ แล้วเงินที่ สกสค. นำมาสร้างหอพักฯเป็นรายได้ของสำนักงาน สกสค. ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ใช้ได้ ไม่ใช่เงินสมาชิก แต่เป็นเงินรายได้ของสำนักงาน ซึ่งเป็นการทำตามวัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ที่ระบุให้ สกสค.หารายได้และให้นำรายได้ไปดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของครู ซึ่งก็คือการจัดสวัสดิการ โดยไม่ต้องนำเงินรายได้ส่งแผ่นดิน และไม่รบกวนงบประมาณแผ่นดิน และ สกสค.ก็ทำทุกขั้นตอนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญได้มีการรายงานความก้าวหน้าต่อรมว.ศึกษาธิการมาตลอด และล่าสุดก็ได้ไปรายงานนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2556 แล้ว” นายสมศักดิ์กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33329&Key=hotnews

ศธ.สานต่อ อาเซียนสัญจรปี 2 “รู้จักเขา พัฒนาเรา” สื่อสารได้ในเขตแดนใหม่

11 กรกฎาคม 2556

ปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ซึ่งลงนามที่ ที่พระราชวังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย กำหนดให้มีการก่อตั้ง สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาคและเสริมสร้างสันติภาคในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อันจะนำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง และการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรม คุณภาพชีวิตของประชากรในแต่ละประเทศบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน

ผ่านไป 48 ปี ประชาคมอาเซียน กำลังจะถือกำเนิดขึ้น โดยมีประเทศสมาชิกเพิ่มเป็น 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ไทย บรูไน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย กินพื้นที่ราว 4,435,570 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 590 ล้านคน ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ของประเทศสมาชิกรวมกันคิดเป็นมูลค่าราว 1.8 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นลำดับที่ 9 ของโลก

มิเพียงเท่านั้น ยักษ์ใหญ่ในเอเชียอีก 3 ประเทศ คือ จีน เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ยังขอเข้าร่วมเป็น อาเซียน + 3 ส่งผลให้สถานะของอาเซียนทวีความยิ่งใหญ่ขึ้น รวมแล้วทั้ง 13 ประเทศ มีประชากรกว่า 2,000 ล้านคน หรือหนึ่งในสามของประชากรโลก ขณะที่ตัวเลขรวม GDP มีมูลค่าถึง 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณร้อยละ 16 ของจีดีพีโลก อย่างไรก็ตาม ในอนาคต กำลังจะเกิด อาเซียน + 6 รวมพันธมิตรอีก 3 ประเทศ เข้ามาด้วย คือ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เข้ามาด้วย ประชากรรวมของอาเซียนทั้ง 16 ประเทศ จะพุ่งขึ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของประชากรโลก

เมื่ออาเซียน กำลังเติบโตขึ้นทุกวัน พร้อมกันความหลากหลายที่เพิ่มมากตามในฐานะที่เป็นประเทศหนึ่งในเขตแดนใหม่นี้ พลเมืองอาเซียนทุกคนรวมทั้งคนไทยจำเป็นต้อง ทำความรู้จัก กับประชาคมอาเซียนให้ถ่องแท้ ก่อนที่ประชาคมอาเซียนจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2558 สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จึงร่วมกับบริษัทเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) และนิตยสารเนชั่นจูเนียร์จึงได้จัดโครงการ “มหกรรมอาเซียนสัญจร 4 ภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2556” ขึ้นเป็นการสัญจรต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากที่เคยจัดโครงการนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2555 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชน ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้บริหารในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงประชาชนทั่วไป เข้าสู่ประชาคมอาเซียน อย่างมีประสิทธิภาพ

มหกรรมอาเซียนสัญจรปี 2556 จะเริ่ม ออกสตาร์ทที่ภาคกลาง ระหว่างวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ก่อนจะสัญจรไปตามภูมิภาคต่างๆ เริ่มจากภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม ภาคใต้วันที่ 22-24 สิงหาคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือวันที่ 5-7 กันยายน และมาปิดท้ายโครงการที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 28 กันยายน

ภายใน งานมหกรรมอาเซียนสัญจร มีกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียน ครู และผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม ความพร้อมที่คนไทยเสียเปรียบสุด คือ ทักษะภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเป็นภาษากลาง ของประชาคมอาเซียน ขณะเดียวกัน หน้าที่ในการเตรียมความพร้อมด้านภาษา พัฒนาทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษนั้น ถือเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะฉะนั้น กิจกรรมหลักในมหกรรมอาเซียนสัญจรครั้งนี้ จะเน้นการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษผ่านกิจกรรมการแข่งขัน 4 รายการใหญ่ คือ การแข่งขันสะกดคำภาษาอังกฤษชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย, การแข่งขันสะกดคำภาษาอังกฤษชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นล การแข่งขันพูดภาษาอังกฤษในที่ชุมชน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา ปี 1-2 และการแข่งขันการเขียนเรียงความ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

นอกจากกิจกรรมการแข่งขันภาษาอังกฤษแล้ว ภายในมหกรรมอาเซียนสัญจร ยังมี สถานีให้ความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนด้วย (ASEAN Pavillion) ทั้งหมด 4 สถานี
1.สถานี Knowing ASEAN: นำเสนอเรื่องราวของ 10 ประเทศในอาเซียน พร้อมสิ่งที่โดดเด่น วิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ
2.สถานี Food Pavillion: นำเสนอวัฒนธรรมของประเทศอาเซียนผ่านเมนูอาหารของแต่ละประเทศ
3.สถานี 7+1 in AEC: ให้ข้อมูลการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือและบริการวิชาชีพใน 7 สาขาอาชีพและ 1 งานบริการได้แก่ วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี ช่างสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล และการบริการท่องเที่ยว
4.สถานี Do you know AC?: เรียนรู้เรื่องอาเซียนและประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่ประชาคมการเมือง และความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจและประชาสังคมและวัฒนธรรม

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33330&Key=hotnews