Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ศธ.ยันไม่ประกาศค่าบำรุงในราชกิจจาฯ

10 กรกฎาคม 2556

ASTV ผู้จัดการรายวัน – ศธ. ยันไม่ต้องนำประกาศค่าบำรุงการศึกษา ลงในราชกิจจานุเบกษา ตามที่มีผู้ร้องกรรมการสิทธิ์ “จาตุรนต์” ชี้กฤษฎีกาตีความไม่จำเป็นต้องประกาศเพราะไม่ได้บังคับทุกแห่งต้องทำตาม

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. ได้หารือกรณีที่ผู้ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เกี่ยวกับประกาศกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เรื่องการเก็บบำรุงการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนเรื่องสิทธิเสรีภาพทางการศึกษา โดยระบุว่าประกาศฉบับดังกล่าวยังไม่ได้ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา และขอให้ศธ. ดำเนินการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้มีมีผลบังคับใช้ให้เรียบร้อย ขณะเดียวกัน ยังมีการเรียกเก็บเงินในหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ อาทิ หลักสูตร English Program (EP)และ Mini EP เป็นต้น ทำให้ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอยากขอให้ ศธ.จัดหลักสูตรพิเศษเหล่านี้ ไปรวมกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อไม่ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม

“ในเรื่องนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตีความประกาศฉบับดังกล่าวและมีความเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพราะไม่ได้เป็นการบังคับให้สถานศึกษาทุกแห่งต้องเก็บค่าบำรุงการศึกษา แต่ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่ง ศธ. ก็ยืนยันตามความเห็นของกฤษฎีกาและครม.ก็รับทราบตามนั้น ตีความ เพราะเห็นว่าประกาศดังกล่าวไม่ใช่การบังคับทั่วไป แต่เป็นแนวปฏิบัติให้สถานศึกษาในสังกัดดำเนินการ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาก่อน ส่วนกรณีที่ให้รวมหลักสูตรพิเศษต่างๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อไม่ให้ผู้ปกครองต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มนั้น ศธ.จะรับไปดูรายละเอียดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่โดยจะดูไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากที่สุด” นายจาตุรนต์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33311&Key=hotnews

โฮมสคูลแก้ยุบร.ร.เล็ก 2 เดือน เสนอรัฐมนตรี

10 กรกฎาคม 2556

โพสต์ทูเดย์ ศธ. ดันการเรียนโฮมสคูลแก้ปัญหายุบโรงเรียน
นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้วิเคราะห์ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการศึกษาโดยบุคคล ครอบครัว หรือการเรียนโฮมสคูลแล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางแก้ปัญหายุบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก โดยจะนำข้อมูลทั้งหมดชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมการเครือข่ายการศึกษาทางเลือกในวันที่ 16 ก.ค.นี้
นายชินภัทร กล่าวว่า การจัดซื้อรถตู้เพื่อใช้รับ-ส่งนักเรียนไปเรียนรวมกันก็ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางแก้ปัญหาแม้ว่า รมว.ศึกษาธิการ จะเสนอให้ไปทบทวนถึงความเหมาะสมอีกครั้งอย่างไรก็ตาม คาดว่าใน 2 เดือน จะสามารถเสนอแนวทางให้ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กได้

ด้านผู้ใหญ่บ้านพร้อมผู้ปกครองนักเรียน ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ยื่นหนังสือต่อนายสุพจน์ เจียมใจ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 เรียกร้องให้เปิดโรงเรียนบ้านเขากระโดงภายหลังถูกยุบรวม เนื่องจากโรงเรียนที่ย้ายไปเรียนร่วมกันมีระยะทางไกล แม้จะมีรถรับ-ส่ง แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม จึงอยากให้บุตรหลานมาเรียนที่เดิม

ทั้งนี้ นายสุพจน์รับปากว่าจะนำเรื่องไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ไม่รับปากว่าจะเปิดโรงเรียนเดิมให้เรียนได้หรือไม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33310&Key=hotnews

รมช.ศธ. สั่ง สกอ.สอบ มหาวิทยาลัยสันติภาพโลก

10 กรกฎาคม 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่าสำหรับกรณีมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก นั้น ในฐานะที่ตนกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว พบว่า ม.สันติภาพโลก เริ่มแรกจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด และต่อมาใช้ชื่อโรงเรียนอนุบาลและมหาวิทยาลัย ซึ่งถือมีความผิดฐานใช้ชื่อมหาวิทยาลัยโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องถูกปรับ 100,000 บาท หากไม่ปลดป้ายมหาวิทยาลัยลงก็จะปรับวันละ 5,000 บาท และหากจะให้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตแก่ผู้ใดนั้น จะต้องเปิดเป็นคณะที่มีการสอนเป็นหลักสูตรด้วย จึงมอบปริญญากิตติมศักดิ์ได้

อย่างไรก็ตาม การที่มหาวิทยาลัยสันติภาพโลกมีการประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์ โดยที่มหาวิทยาลัยไม่ได้จัดตั้งก็ถือเป็นการหลอกลวง โดยจากการวิเคราะห์ทางกฎหมายแล้ว การที่เรียกรับเงินหรือผลประโยชน์ต่างๆก็เข้าข่ายฉ้อโกง ทั้งนี้ วันที่ 10 กรกฎาคม 2556 นี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อาจจะมาสรุปให้ฟังว่าคดีมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

“ผมได้สั่งกำชับให้ทางสกอ.เข้มงวดในการตรวจสอบการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมากขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะให้เปิดสถาบันการศึกษาขึ้นมาฉ้อโกงหลอกลวงประชาชน นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้ง หรือมหาวิทยาลัยเถื่อนก็คงจะต้องตรวจสอบเช่นกัน โดยเร็วๆ นี้ จะประชุมหน่วยงานใน สกอ. และอธิการบดีต่างๆ เพื่อให้ช่วยกันดูแลเรื่องนี้” นายเสริมศักดิ์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33309&Key=hotnews

สกสค.เร่งตั้งธนาคาร-สถานพยาบาล-เงินกู้ ดบ.ต่ำ

10 กรกฎาคม 2556

นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. เปิดเผยจากการที่ตนได้ประชุมสมาชิก ชพค. เจ้าหน้าที่ชพค. และการเงิน สกสค. จังหวัดทั้ง 4 ภูมิภาคคือภาคเหนือที่เชียงใหม่ ภาคใต้ที่สงขลา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อุดรธานี และภาคกลางที่เพชรบุรีเพื่อเร่งรัดการทำทะเบียนสมาชิกให้เป็นปัจจุบันรและแก้ปัญหาการจัดเก็บและนำส่งเงิน ชพค. และชพส. หลังจากนั้น งานทะเบียนสมาชิกของ สกสค.แต่ละจังหวัดก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนสามารถจ่ายเงินสงเคราะห์ครอบครัวสมาชิกที่เสียชีวิตตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดภายใน 30 วัน

ในขณะเดียวกัน ในการประชุมแต่ละภูมิภาคนั้น ได้สอบถามสมาชิกเกี่ยวกับความต้องการสวัสดิการและสวัสดิภาพที่เป็นธรรมแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว จึงนำมาจัดลำดับความต้องการของสมาชิกทั้ง 4 ภูมิภาค เป็นลำดับ9 ข้อ คือ 1. การตั้งธนาคารครู 2. การตั้งโรงพยาบาลครู 3. การตั้งกองทุนพัฒนาชีวิตครู 4.สวัสดิการเพื่อการศึกษาบุตร 5. การยกย่องเชิดชูเกียรติและสวัสดิการเพื่อที่อยู่อาศัย 6. การจัดที่พักครูในส่วนภูมิภาค 7. การจัดสวัสดิการในพื้นที่ปกติ8.สวัสดิการเพื่อการศึกษาดูงาน สวัสดิการผู้สูงอายุและสวัสดิการเพื่อซื้อยานพาหนะ และ 9. การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ ก่อนที่จะนำไปจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกในเวลาต่อมา

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ขณะนี้ตนได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาข้อมูลและความเป็นไปได้ในการนำความต้องการของสมาชิกไปสู่การปฏิบัติโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสรุปผลโครงการ ชพค. 1-6 เพื่อศึกษาผลประกอบกระแสหมุนเวียนสินเชื่อ ในการจัดตั้งธนาคาร หรือกองทุนครู และการสำรวจพื้นที่ของเอกชนที่แจ้งความจำนงในการบริจาคที่ดินในกรุงเทพฯ ให้ สกสค. จำนวน 30 ไร่ พร้อมทั้งวางแผนการก่อสร้างสถานพยาบาลในการรับคนไข้เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคที่ดิน โดยคำนึงถึงคุณภาพและมาตรฐานสถานพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขเป็นสำคัญ
สำหรับการหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำไม่เกินร้อยละ 5 บาทต่อปี เพื่อให้ครูได้กู้ยืมเงินกำลังอยู่ในระหว่างการประสานงานกับสถาบันการเงิน โดยจะให้การช่วยเหลือสมาชิก 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ได้จากการสำรวจของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตครูพบว่ามีครูถูกฟ้องร้องคดีกรณีมีหนี้สินถึงขั้นวิกฤต ราว 2,000 คน กลุ่มสอง คือ ครูที่มีคุณธรรม จริยธรรม แต่มีฐานะยากจน หากต้องการที่จะนำเงินไปพัฒนาคุณภาพชีวิต ก็จะส่งเสริมการดำเนินชีวิตโดยให้กู้จำนวน2,000 คน นายสมศักดิ์ กล่าวในที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33308&Key=hotnews

สพฐ.ตั้งทีมสางปมโรงเรียนเล็ก

10 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนของชุมชน ว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตั้งคณะทำงาน เพื่อวิเคราะห์ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษาโดยบุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชนวิชาชีพ การจัดการศึกษาโดยสถานประกอบการตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษา แห่งชาติ จากนี้การแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนของชุมชน จะมีข้อเสนอให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พิจารณา

นายชินภัทรกล่าวต่อว่า กรณีที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ให้ทบทวนการจัดซื้อรถตู้ให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กนั้น เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก และการจัดซื้อรถตู้ไม่ใช่วิธีการเดียวในการบริหารจัดการที่ดีที่สุดของทุกพื้นที่ นายจาตุรนต์ได้มอบแนวทางมาแล้วว่า ขอให้ สพฐ.ทบทวนโดยตั้งโจทย์ใหม่ และควรแสวงหาแนวทางว่า จุดมุ่งหมายของการแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กคืออะไร วิธีการแก้ปัญหาจะมีแนวทางเลือกอะไรบ้าง และควรจะรับฟังข้อเสนอแนะจากองค์กรเอกชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากพื้นที่

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33307&Key=hotnews

ผนึกกำลัง 3 ชาติ ร่วมปั้นคนอาชีวะ

9 กรกฎาคม 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนพร้อมด้วยผู้บริหารวิทยาลัยสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ที่อยู่บริเวณชายแดนลุ่มน้ำโขง ได้เดินทางไปหารือสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับ ดร.กาว เวียด ยู๋ง รองอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศึกษาแห่งเมืองวิง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และ นายหนูพัน อุตสา หัวหน้ากรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาและกีฬา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อร่วมพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษารองรับการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน โดยผลหารือมีข้อสรุปว่าทั้ง 3 ประเทศ จะร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรและผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา โดยจะมีการแลกเปลี่ยนครู อาจารย์และนักศึกษาระหว่างกัน พัฒนางานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์
เลขาธิการกอศ. กล่าวว่า นอกจากนี้ตนได้เสนอให้ทั้ง 3 ประเทศร่วมกันจัดการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐาน มีทักษะเป็นที่ยอมรับ โดยให้การรับรองวุฒิการศึกษาร่วมกัน เป็นการจัดการอาชีวศึกษาแบบไตรภาคี ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)ในสาขาที่ทุกประเทศเห็นว่ามีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศซึ่งจะนำร่องในสาขาที่ทั้ง 3 ประเทศต้องการ โดยแต่ละประเทศจะคัดเลือกเด็กที่จบ ม.6 หรือ ปวช.ประเทศละ 10 คน รวม 30 คนมาเรียนในระบบไตรภาคี ซึ่งบางเทอมเรียนที่ไทย บางเทอมเรียนที่เวียดนาม หรือ สปป.ลาว เพื่อให้มีทักษะภาษา วิชาชีพและการปฏิบัติงาน เมื่อเรียนจบแล้วสามารถไปทำงานต่างประเทศได้ ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะทำงานโดยมีตัวแทนของทั้ง 3 ประเทศเพื่อร่วมกันคัดเลือกสาขานำร่องต่อไป

ดร.กาว เวียด ยู๋ง กล่าวว่า มหาวิทยาลัยยินดีร่วมมือกับไทย และ สปป.ลาวในการพัฒนาอาจารย์ นักศึกษา งานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์และจัดการอาชีวศึกษาแบบไตรภาคี ซึ่งสาขาที่ต้องการดำเนินการ ได้แก่ สาขาช่างกลโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไฟฟ้าโรงงาน โทรคมนาคม เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายต้องการพัฒนากำลังคนในสาขาเหล่านี้ หลังจากนี้ตนจะไปหารือกับอธิการบดีและคณบดีคณะต่าง ๆ เพื่อกำหนดสาขานำร่องจัดการอาชีวศึกษาแบบไตรภาคีต่อไป.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33299&Key=hotnews

บ้านหลังที่สองของเด็กชายขอบ ‘ร.ร.บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา’

9 กรกฎาคม 2556

ทีมข่าวการศึกษา

โรงเรียนบ้านแม่สลิดหลวงวิทยา ตั้งอยู่ที่อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เป็นโรงเรียนชายแดนติดกับประเทศสหภาพพม่า ตั้งอยู่แนวเทือกเขาถนนธงชัยโดยมีแม่น้ำเมยไหลคั่นเขตแดนไทยกับพม่า อาจารย์สุเชษฐ์ รัตนเสถียร ผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ร.ร.) บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา เล่าว่า นอกจากจะดูแลโรงเรียนบ้านแม่สลิดหลวงวิทยาแล้ว ยังต้องรับผิดชอบห้องเรียนสาขาอีก 7 แห่งในเขตบริการ โดยมีนักเรียนรวมกันประมาณ 1,100 คนส่วนใหญ่เกือบ 100% เป็นกะเหรี่ยง เด็กๆ บางส่วนยังไม่รู้ภาษาไทย จึงได้จ้างคนในท้องถิ่นเป็นครูพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือครู โดยเฉพาะครูบรรจุใหม่ที่มาจากต่างพื้นที่ เพื่อสร้างความเข้าใจในการสอนและสื่อสารกับเด็กๆ

โรงเรียนให้ความสำคัญกับการสอนเรื่องวินัยและสุขอนามัยเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การใช้ในครอบครัวที่ผ่านมาพบว่าเมื่อเด็กๆ กลับถึงบ้านแล้วมักไม่ได้ทบทวนบทเรียนเพราะบ้านไม่มีไฟฟ้า ฐานะยากจน โรงเรียนพยายามช่วยเหลือโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มีหนังสือ อาหาร รองเท้าให้ พ่อแม่ในพื้นที่ชายแดนจึงนำลูกมาเข้าเรียนที่นี่เพราะได้ทั้งความรู้และประหยัด โรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเด็กๆ เยาวชนชายขอบในพื้นที่แห่งนี้ มีทั้งที่พักให้นักเรียนที่ไม่สามารถเดินทางไปกลับได้พักอยู่ประจำ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ชั้นอนุบาล มีโครงการอาหารกลางวัน ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ครบครัน

ผอ.ร.ร.บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา ยังได้เล่าถึงการทำงานของโรงเรียนว่า ได้รับความร่วมมือจากชุมชนอย่างเข้มแข็งผ่านคณะกรรมการสถานศึกษาของโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา สพฐ. ผู้นำชุมชนและฝ่ายต่างๆ ร่วมกันผลักดันการพัฒนา ก่อเกิดผลดีต่อสาธารณประโยชน์ในท้องถิ่น นอกจากนั้นสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ก็ได้ส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีให้แก่โรงเรียนตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีด้วย
“เมื่อครูได้นำแนวทางการจัดกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางของ สสวท. ไปใช้ในชั้นเรียน พบว่า นักเรียนกล้าแสดงออกมากขึ้น เด็กๆ มีพัฒนาการ และวินัยดีขึ้น สื่ออุปกรณ์ที่ได้รับจาก สสวท. ได้สนับสนุนให้ครูนำไปใช้ในการสอนจริง เกิดประโยชน์ต่อการเรียนของเด็กๆ สำหรับห้องเรียนสาขาทั้ง 7 แห่งในเขตบริการของโรงเรียนนั้น แม้จะมีปัญหาเรื่องจำนวนห้องไม่เพียงพอ แต่ก็พบว่านักเรียนสนุกมากกับการเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ที่ได้ลงมือปฏิบัติ” ผอ.สุเชษฐ์กล่าว

กิจกรรมสนุกกับใบไม้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของกิจกรรมบูรณาการในระดับชั้นอนุบาล ที่ให้เด็กๆ เรียนรู้จากใบไม้ ฝึกการสังเกตและวาดภาพ เรียนรู้เรขาคณิตจากรูปทรงของใบไม้ และคิดค้นเทคโนโลยีการพิมพ์ลายใบไม้บนผ้าด้วยตัวของเขาเอง

ครูโสรดา พลเสน คุณครูชั้นอนุบาล 2 ร.ร.บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา เล่าว่า แต่เดิมนักเรียนไม่ได้ลงมือปฏิบัติ จึงไม่ค่อยสนใจเรียน แต่พอนำเอาแนวการสอนของ สสวท. มาใช้ พบว่านักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครูมากขึ้น กระตือรือร้น กล้าคิด กล้าแสดงออกมากกว่าเดิม ในการเรียนรู้เกี่ยวกับโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ชั้นเรียนเรื่องระบบสุริยะ ของนักเรียนชั้น ป.4

คุณครูมลิวัลย์ ช่างพูด คุณครูชั้น ป.4 ร.ร.บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา ได้จัดกิจกรรมการสร้างแบบจำลองระบบสุริยะ โดยให้นักเรียนสร้างแบบจำลองของระบบสุริยะเพื่ออธิบายลักษณะของระบบสุริยะจากวัสดุที่หาได้ง่าย เช่น ดินน้ำมัน เส้นเชือก ไม้จิ้มฟัน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบขนาดและระบุตำแหน่งของดาวในระบบสุริยะ รวมทั้งมีการนำเสนอผลงานให้คุณครูและเพื่อนๆ ได้เข้าใจ
ถึงแม้ว่าเยาวชนในถิ่นทุรกันดารดูเหมือนมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่เมื่อครูส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กอย่างเหมาะสม ก็ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่บูรณาการกับคณิตศาสตร์และกระบวนการออกแบบเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพทัดเทียมกับเด็กในเมือง ร.ร.บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา อยู่ภายใต้สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก (สปพ. ตาก) เขต 2 โรงเรียนแห่งนี้ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาความรู้เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในลักษณะ Buffer School มีการจัดตั้งศูนย์อาเซียนศึกษาเพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้โดยมีโรงเรียนเครือข่ายในพื้นที่ใกล้เคียงอีก 9 โรงเรียนด้วย สนใจเข้าเยี่ยมชม โทร.0-5556-0109

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33302&Key=hotnews

สช.ชงเร่งแก้ระเบียบศธ.รถรับส่ง นร. ล้อมคอกติดสัญญาณเตือนภัย-สกัดปัญหาลืมเด็ก

9 กรกฎาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยความคืบหน้าการเสนอแก้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถนักเรียน พ.ศ.2536 ในด้านความปลอดภัยสำหรับนักเรียนระดับต่ำกว่าชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ลงมา ขณะโดยสารอยู่บนรถรับ-ส่งนักเรียน อาทิ การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณ หรือเซ็นเซอร์ไว้ในรถทุกคัน ว่า เบื้องต้นสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้ทำหนังสือบันทึกในส่วนของ สช.เสนอต่อนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. เพื่อพิจารณาเสนอ รมว.ศธ. ไปแล้ว แต่การแก้ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการนั้น จะต้องแก้ในภาพรวมของกระทรวง ไม่ใช่สช.หรือหน่วยงานใดจะเสนอแก้โดยพลการได้

ส่วนกรณีที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงรอยต่อการเปลี่ยน รมว.ศธ.จากนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา มาเป็นนายจาตุรนต์ ฉายแสงนั้น ขั้นตอนมาตรการเพิ่มความเข้มงวดกรณีรถรับ-ส่งนักเรียน ยังคงดำเนินการต่อไป
“เวลานี้มีหลายมหาวิทยาลัยเสนอตัวเข้ามาช่วยคิดรูปแบบในการที่จะป้องกันการลืมเด็กในรถรับ-ส่งนักเรียน โดยใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ราคาถูกบ้างแพงบ้าง เข้ามาติดภายในตัวรถ หากเปิดสวิตช์แล้วมีการเคลื่อนไหวในรถ ตัวจับสัญญาณหรือเซ็นเซอร์ จะส่งเสียงเตือนออกมานอกตัวรถ ซึ่งกรณีนี้หากยังไม่บรรจุอยู่ในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ก็ถือว่ายังไม่เป็นการบังคับ เราจึงส่งหนังสือไปตามสถานศึกษาในสังกัด เพื่อขอความร่วมมือและแนะนำว่าหากติดอุปกรณ์เสริมที่กล่าวถึงนี้ ชีวิตของเด็กจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หากออกเป็นระเบียบกระทรวงศึกษาธิการแล้ว สถานศึกษาสังกัด ศธ.จะต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยนี้กับรถรับ-ส่งนักเรียนทุกคัน ไม่ว่าจะเป็นรถของโรงเรียน รถที่โรงเรียนจ้างเพื่อรับ-ส่งนักเรียน หรือรถของบุคคลภายนอกที่ประกอบกิจการรับ-ส่งนักเรียน” เลขาธิการ กช.กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 10 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33301&Key=hotnews

ผนึกกำลัง 3 ชาติ ร่วมปั้นคนอาชีวะ

9 กรกฎาคม 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนพร้อมด้วยผู้บริหารวิทยาลัยสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ที่อยู่บริเวณชายแดนลุ่มน้ำโขง ได้เดินทางไปหารือสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับ ดร.กาว เวียด ยู๋ง รองอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีศึกษาแห่งเมืองวิง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และ นายหนูพัน อุตสา หัวหน้ากรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาและกีฬา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อร่วมพัฒนาการจัดการอาชีวศึกษารองรับการเข้าร่วมประชาคมอาเซียน โดยผลหารือมีข้อสรุปว่าทั้ง 3 ประเทศ จะร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรและผลิตกำลังคนด้านอาชีวศึกษา โดยจะมีการแลกเปลี่ยนครู อาจารย์และนักศึกษาระหว่างกัน พัฒนางานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์
เลขาธิการกอศ. กล่าวว่า นอกจากนี้ตนได้เสนอให้ทั้ง 3 ประเทศร่วมกันจัดการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐาน มีทักษะเป็นที่ยอมรับ โดยให้การรับรองวุฒิการศึกษาร่วมกัน เป็นการจัดการอาชีวศึกษาแบบไตรภาคี ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง(ปวส.)ในสาขาที่ทุกประเทศเห็นว่ามีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศซึ่งจะนำร่องในสาขาที่ทั้ง 3 ประเทศต้องการ โดยแต่ละประเทศจะคัดเลือกเด็กที่จบ ม.6 หรือ ปวช.ประเทศละ 10 คน รวม 30 คนมาเรียนในระบบไตรภาคี ซึ่งบางเทอมเรียนที่ไทย บางเทอมเรียนที่เวียดนาม หรือ สปป.ลาว เพื่อให้มีทักษะภาษา วิชาชีพและการปฏิบัติงาน เมื่อเรียนจบแล้วสามารถไปทำงานต่างประเทศได้ ทั้งนี้จะมีการตั้งคณะทำงานโดยมีตัวแทนของทั้ง 3 ประเทศเพื่อร่วมกันคัดเลือกสาขานำร่องต่อไป

ดร.กาว เวียด ยู๋ง กล่าวว่า มหาวิทยาลัยยินดีร่วมมือกับไทย และ สปป.ลาวในการพัฒนาอาจารย์ นักศึกษา งานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์และจัดการอาชีวศึกษาแบบไตรภาคี ซึ่งสาขาที่ต้องการดำเนินการ ได้แก่ สาขาช่างกลโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ไฟฟ้าโรงงาน โทรคมนาคม เนื่องจากรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายต้องการพัฒนากำลังคนในสาขาเหล่านี้ หลังจากนี้ตนจะไปหารือกับอธิการบดีและคณบดีคณะต่าง ๆ เพื่อกำหนดสาขานำร่องจัดการอาชีวศึกษาแบบไตรภาคีต่อไป.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33299&Key=hotnews

‘จาตุรนต์’แบ่งงาน ‘เสริมศักดิ์’ แล้ว ดูเอง 3 แท่งใหญ่ สป.-สพฐ.-สอศ. จี้กรรมการเร่งสอบ 2 คดีทุจริตโฉ่

9 กรกฎาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ตนได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ สร 466/2556 เรื่อง มอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการสั่งและปฏิบัติราชการแทน โดยได้แบ่งงานให้กับ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เรียบร้อย ซึ่งการมอบหมายงานครั้งนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับสมัยที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี มอบให้นายเสริมศักดิ์ โดยก่อนหน้านี้นายพงศ์เทพ ได้มอบหมายให้นายเสริมศักดิ์ รับผิดชอบหลายหน่วยงานเพราะนายพงศ์เทพ ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีควบ รมว.ศึกษาธิ การ จึงมีภารกิจมากมาย แต่ตนเป็น รมว.ศึกษาธิ การเต็มเวลาและต้องการเน้นงานที่คิดว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน ต้องการการปฏิรูปหรือการผลักดันให้ทันกับความต้องการ เพราะฉะนั้นตนจึงตัดสินใจที่จะดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยมอบอำนาจให้นายเสริมศักดิ์ ดูแล สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ รวมถึงการตอบกระทู้ชี้แจงญัตติการเสนอและชี้แจงกฎหมายด้วย

“ผมคิดว่าการแบ่งงานครั้งนี้จะเป็นผลดี เพราะคำนึงถึงการทำงานของรัฐมนตรีทั้ง 2 คนในภาพรวม ส่วนการดำเนินการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณีทุจริตการสอบครูผู้ช่วย ของ สพฐ. และการสอบสวนวินัยร้ายแรงกรณีการจัดซื้อครุภัณฑ์อาชีวศึกษา ในโครงการตามแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 : ไทยเข้มแข็ง หรือ เอสพี 2 ของ สอศ. ก็ได้เร่งรัดไปยังผู้ที่ทำหน้าที่ในการสอบสวนทั้ง 2 กรณีให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริง เพื่อให้ทางราชการได้รับประโยชน์สูงสุด แต่ในเบื้องต้นนี้ยังไม่ได้เชิญผู้ที่รู้ปัญหามาหารือ อาจจะต้องนัดหารือหลังจากนี้อีกซักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องการทุจริต จะผลักดันให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ไม่ให้มีการลดราวาศอกกับผู้ที่กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงและข้อมูลที่มี ผิดก็ว่าไปตามความผิด” นายจาตุรนต์กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33298&Key=hotnews