Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สพฐ.เล็งเลิกซื้อรถตู้ สางปมโรงเรียนเล็ก

8 กรกฎาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กลับไปพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กใหม่ โดยเฉพาะในส่วนที่ขอแป ญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 ในส่วนของการจัดซื้อรถตู้เพื่อแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 1,000 คัน คันละ 1.2 ล้านบาท เป็นวงเงินกว่า 1.2 พันล้านบาท โดยให้พิจารณาว่าสามารถใช้พาหนะอื่นหรือวิธีการอื่นๆ แทนการจัดซื้อรถตู้ได้หรือไม่ ว่า การจัดซื้อรถตู้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งนาย จาตุรนต์ตั้งโจทย์ให้ สพฐ.ไปทบทวนใหม่ว่ามีแนวทางแก้ปัญหารูปแบบอื่นอีกหรือไม่ เช่น โรงเรียนดีประจำตำบล ซึ่งเป็นโรงเรียนศูนย์กลางการศึกษา ก็น่าจะใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ โดย สพฐ.จะกลับไปดูให้รอบคอบเพื่อให้มีทางเลือกที่ชัดเจนและจะรับฟังความเห็นของคณะกรรมการเครือข่ายการศึกษาทางเลือกโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนของชุมชนด้วย

“สพฐ.จะรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และดูประเด็นของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2557 และอนุกรรมาธิการด้านการศึกษาก่อนว่าจะเน้นประเด็นใด ซึ่งข้อเสนอที่ว่าจะให้ใช้พาหนะอื่น หรือจัดทำคูปองเป็นค่าพาหนะ ก็เป็นแนวทางแก้ปัญหาหนึ่งที่ทาง กมธ.วิสามัญฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ ส่วนที่ว่าจะยังเสนอของบประมาณเพื่อจัดซื้อรถตู้ต่อหรือไม่นั้น ขอหารือให้ได้แนวทางที่ชัดเจนก่อน จึงจะสรุปทางเลือกทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง” นายชินภัทรกล่าว และว่า คาดว่าจะสรุปแนวทางที่ชัดเจนได้ภายในสัปดาห์นี้ ทันต่อการยื่นขอแปรญัตติงบประมาณเพิ่มแน่นอน เพราะการแปรญัตติต้องทำภายหลังการพิจารณาของ กมธ.วิสามัญฯ เรียบร้อยแล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33279&Key=hotnews

รวมพลังลูกเสือ-เนตรนารีไทยรำลึกวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ

8 กรกฎาคม 2556

จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับพิธีปฏิญาณตน และสวนสนามเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 1 กรกฎาคมเพื่อน้อมรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ผู้พระราชทานกำเนิดลูกเสือไทย และถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระประมุขคณะลูกเสือแห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ลูกเสือ เนตรนารี มีระเบียบวินัย คุณธรรม จริยธรรม สร้างจิตสำนึกในความเสียสละบำเพ็ญประโยชน์ และช่วยเหลือสังคม โดยในปี 2556 นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จแทนพระองค์เป็นประธานในพิธีปฏิญาณตน และสวนสนาม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ร่วมกับสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ จัดขึ้น ณ ลานพระราชวังดุสิต โดยมีนายพงศ์เทพเทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. นายศุภกรวงศ์ปราชญ์ เลขาธิการสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ พร้อมด้วยลูกเสือ เนตรนารี บุคลากรทางการลูกเสือ กว่า 5,000 คน เข้าร่วมพิธีปฏิญาณตน และสวนสนาม ในการนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี ได้ประทานพระโอวาท และประทานเหรียญลูกเสือสรรเสริญ ประจำปี 2556 ชั้นที่ 3 แก่นายสมพงษ์ แจ่มจำรัสผู้อำนวยการลูกเสือโรงเรียนบ้านหนองซ่อมตะเคียนงาม สำนักงานลูกเสือเขตพื้นที่การศึกษา นครราชสีมา เขต 4 โดยได้กระทำความดีความชอบ โดยช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในรถบรรทุกที่พลิกคว่ำ และนายปิยะพงษ์ ฉิมธง เจ้าหน้าที่ลูกเสือประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ กระทำความดีความชอบ โดยช่วยเหลือผู้มีอาการโรคลมชักให้รอดพ้นจากอันตราย สำหรับการจัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติ ประจำปี 2556 นั้น นอกจากจะจัดให้มีพิธีปฏิญาณตน และสวนสนามอย่างยิ่งใหญ่แล้ว ยังได้จัดให้มีพิธีมอบนโยบายการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมเยาวชนโดยกระบวนการลูกเสือที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมมอบหนังสือสำคัญการแต่งตั้ง “ผู้ตรวจการลูกเสือประจำสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ”ให้แก่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด ผอ.สำนักงานศึกษาธิการภาคผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา และ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด กว่า 360 คน

นอกจากนี้ยังมีพิธีลงนามความร่วมมือ และปักธงพันธสัญญา “ร่วมสร้างสรรค์สังคมด้วยอุดมการณ์ของลูกเสือ” พร้อมทั้งมีการมอบโล่เกียรติคุณให้แก่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกและผู้ได้รับรางวัลจากสำนักงานลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ขณะเดียวกันในกิจกรรมครั้งนี้ยังได้จัดให้มีพิธีมอบสายบีดสี่ท่อนให้แก่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และพิธีรับมอบธงชนะเลิศการประกวดระเบียบแถวระดับจังหวัดประจำปี 2556 ด้วยทั้งนี้การดำเนินกิจการลูกเสือของสำนักงานลูกเสือแห่งชาติได้มีการดำเนินงานต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปด้วยความราบรื่น บรรลุวัตถุประสงค์ของคณะลูกเสือแห่งชาติ นโยบายของสภาลูกเสือไทย นโยบายของ ศธ. และธรรมนูญของลูกเสือโลก
โดยในรอบปีที่ผ่านมา สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานในสังกัดและหน่วยงานในกำกับของ ศธ. รวมถึงหน่วยงานที่มีพันธสัญญาความร่วมมือในการสร้างสรรค์สังคมด้วยอุดมการณ์ลูกเสือ กำหนดจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อเยาวชนเพื่อฝึกทักษะความมีระเบียบวินัยต่อตนเอง และสังคม รวมถึงส่งเสริมความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับคณะลูกเสือนานาชาติ อันเป็นแนวทางพัฒนากิจการลูกเสือที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนกิจการลูกเสือ ทั้งด้านการบริหาร การพัฒนาลูกเสือ การพัฒนาบุคลากรทางการลูกเสือ วิชาการ และการต่างประเทศ

กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาคณะลูกเสือแห่งชาติในปีนี้ คงจะเป็นแรงผลักดันให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเดินหน้าขับเคลื่อนกิจการลูกเสือไทยให้มีความก้าวหน้า เพื่อที่จะพัฒนาเยาวชนไทยให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป.

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33278&Key=hotnews

อาชีวะเร่งปั้นเด็กเก่งเกษตรเตรียมผุดหลักสูตรระดับปริญญาตรีปั๊มยอดนักศึกษา-เพิ่มขีดแข่งขันประเทศ.

5 กรกฎาคม 2556

อาชีวะเร่งสร้างเด็ก ป.ตรีสายเกษตร ตั้งเป้าเก่งทั้งปฏิบัติและภาษาหวังอัพเกรดคุณภาพรับเออีซี   นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่าขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กำลังหาแนวทางดึงเด็กให้เข้ามาเรียนสายอาชีวะเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังมีสัดส่วนเด็กต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะในวิทยาลัยเกษตรที่ได้รับความสนใจน้อย จึงมีแนวคิดที่จะเปิดสอนหลักสูตรอาชีวศึกษาเกษตรในระดับปริญญาตรีรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยที่ต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางเกษตร รวมทั้งเรื่องภาษาเพื่อให้พร้อมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

ทั้งนี้ การเปิดสอนอาชีวศึกษาเกษตรระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการหรือสายเทคโนโลยีนั้น สถาบันอาชีวศึกษาเกษตรทั้งหลายต้องกำหนดเป้าหมายที่จะให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นชัดเจน โดยบูรณาการทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน รวมทั้งให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเด็กมากที่สุด

“ต่อไปการเปิดรับสมัครนักเรียนระดับปริญญาตรีในวิทยาลัยอาชีวะเกษตร จะไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นเรื่องคุณภาพแทนเพื่อให้รับประกันได้ว่าเมื่อนักศึกษาเรียนจบแล้วมีคุณภาพ และมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาดแรงงาน” นายชัยพฤกษ์ กล่าว

นอกจากนี้ นักศึกษายังต้องเน้นความร่วมมือระบบทวิภาคีกับสถานประกอบการอย่างน้อย 50% เพื่อให้เด็กได้มีประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการจริงได้เรียนเทคโนโลยีจริง ทำให้รู้จักบูรณาการทฤษฎีที่เรียนมากับการทำงานจริง ทำให้เด็กสามารถคิดและวิเคราะห์เป็น

สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติรุ่นแรกของวิทยาลัยอาชีวะเกษตรจะต้องฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการต่างประเทศด้วย เพื่อให้ได้ภาษาอังกฤษ โดยจะดึงนักศึกษาที่จบระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ที่มีผลการเรียนดีเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและเก่งเฉพาะทาง ซึ่งจะยกระดับคุณภาพภาคเกษตรของไทยให้พร้อมแข่งขันในเวทีโลก

ที่ผ่านมาได้มีการวิเคราะห์ตัวแปรทางสังคม พบว่าประชากรส่วนใหญ่ 41% อยู่ภาคบริการ รองลงมาเป็นภาคเกษตร 38%คิดเป็น 14.7 ล้านคน ซึ่งสังคมคาดหวังว่าภาคการเกษตรจะเป็นตัวขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสังคม หลักสูตรด้านการเกษตรจึงต้องเรียนเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของเกษตรกรในอนาคต

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33268&Key=hotnews

‘อาชีวะ’ เร่งผลิตกำลังคนรองรับโครงการ 2.2 ล้านล้าน

5 กรกฎาคม 2556

เสาวนีย์ นิ่มปานพยุงวงศ์
รัฐบาลได้เตรียมจัดทำโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาทเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศกำลังต้องการกำลังคนอย่างมหาศาล ทำให้หน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)ต้องเร่งปรับแผนการผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกว่า 10 สาย ทั้งระบบรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่และถนนเชื่อมต่อเครือข่ายการขนส่งระบบราง ซึ่งเน้นแรงงานทุกระดับในสายงานก่อสร้าง

โดย นายชัยพฤกษ์เสรีรักษ์เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา บอกว่า ประเทศไทยในภาวะที่ต้องเร่งพัฒนากำลังคนอย่างมาก โดยเฉพาะกำลังก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้รับมอบหมายในเรื่องของการเตรียมกำลังคน กำลังแรงงานให้พร้อมรับกับโครงการเงินกู้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้ามคมนาคมขนส่งของประเทศวงเงิน 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะเดินหน้าโครงการก่อสร้างขนส่งระบบราง ซึ่งแผนดำเนินงาน ได้มีศาสตราจารย์พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานคณะทำงาน โดยได้ทำการศึกษาความต้องการออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ 1.ศึกษาความเร่งด่วนเฉพาะความต้องการกำลังคนตามโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม และ2.ศึกษาความต้องการกำลังคนในภาพรวมทั่วประเทศจากกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และบริการ

“ที่ผ่านมาเราไม่สามารถผลิตแรงงานได้พอเพียงกับความต้องการ ผลิตเท่าไร่ก็ไม่พอ แต่ก็บอกได้เลยว่าไม่เคยมีเด็กอาชีวะที่เรียนจบไปแล้วแต่ตกงาน ไม่ว่าจะสายช่าง สายอุตสาหกรรม สายพาณิชกรรม ซึ่งเราพยายามดึกเด็กนักเรียนเข้ามาเรียนในสายอาชีพ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ซึ่งขณะนี้ก็ยังมีอุปสรรคในเรื่องของเด็กเข้ามาเรียนในสายอาชีวะน้อยลงกว่าเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ที่ 37% และสายสามัญที่ 64 % โดยเราได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2559 ต้องดึกเด็กเข้ามาเรียนในสายอาชีพให้ได้ 40% เป็นอย่างน้อยและภายใน 5 ปีต้องได้เพิ่มเป็น 50% แต่ในปีนี้สัดส่วนก็ยังเท่าเดิม แสดงว่าคนก็ยังสนใจสายอาชีพเท่าเดิม ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มีความต้องการกำลังคนจำนวน ในส่วนนี้ก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ทางอาชีวศึกษาไปปรับแผนว่าทำอย่างไรจะเร่งผลิตกำลังคนได้ตามที่ต้องการและมีคุณภาพ” นายชัยพฤกษ์ กล่าว

ในแนวทางที่การศึกษาความจำเป็นเร่งด่วนได้เชิญเอกชนในกลุ่มของอุตสาหกรรมก่อสร้างมาร่วมให้ข้อมูลประกอบการวิเคราะห์ความต้องการในแต่ละงาน แต่ละระดับ โดยทางอาชีวศึกษาก็ได้รับการสนับสนุนจาก ดร.โอฬาร ไชยประวัต ประธานผู้แทนการค้าไทยและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำการวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯได้ทำการศึกษาไว้เดิม โดยพบว่าความต้องการกำลังคนในทุกระดับของภาพรวมตลาดแรงงานในระยะ 6 ปีนับตั้งแต่เริ่มโครงการจนแล้วเสร็จมีความต้องการแรงงานสูงถึง 280,000 คน

โดยแบ่งสัดส่วนแรงงานที่จบทางประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ซึ่งเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เทียบเท่าอนุปริญญามีความต้องการ 110,000 คน จาก 280,000 คน ซึ่งที่ผ่านมาอาชีวศึกษาผลิตคนออกไปเท่าไร่ก็ยังไม่พอ จึงต้องมีการปรับแผนการดำเนินงานต่างๆ เพื่อดึงเข้ามามาเรียนในสายอาชีพมากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าปี 2556 จะต้องผลิตกำลังคนได้ 28,825 คน ปีที่ 2 จำนวน 86,475 คน และปีที่ 3 จำนวน 115,300 คนเป็นตัวสะสมไปเรื่อยๆ
“การดำเนินงานในส่วนของอาชีวศึกษาจะใช้ 3 แนวทาง โดยมุ่งตรงต่อความต้องการกำลังคนใน 3 กลุ่มคือกลุ่มงานระบบรถไฟฟ้า กลุ่มงานระบบรางและคมนาคมทางถนน ซึ่งอาชีพหลักก็คือช่างก่อสร้างต่างๆ และมีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งแนวทางที่ 1 จะให้เด็กที่เรียนสาขาตรงอยู่แล้ว เช่นสาขาก่อสร้างสาขาช่างยนต์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องมาเรียนเสริมในส่วนที่อาชีพนั้นๆ ต้องการ เมื่อเรียนจบออกไปก็สามารถทำงานได้ทันที แต่สายอาชีพนี้มีคนเรียนน้อยมาก ทั้งๆ ที่ตลาดแรงงานมีความต้องการมาก แต่กลับมีเด็กมาเรียนน้อง” นายชัยพฤกษ์ กล่าว

ส่วนแนวทางที่ 2 จะแนะแนวให้ความรู้กับนักศึกษาที่เรียนอยู่ในสาขาอื่น เช่นสาขาไฟฟ้า สาขาอิเล็กทรอนิกส์ สาขาสถาปัตยกรรม มาเรียนรู้เพิ่มเติม ในวิชาที่สายอาชีพนั้นๆ ต้องการ เพื่อเด็กมาเรียนในสาขาที่มีความต้องการมากขึ้นหรือ เรียนเพิ่มเติมในบางวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่สามารถทำงานได้เหมือนกัน และแนวทางที่ 3 เราพบว่าแรงงานในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในภาคของการผลิตและการเกษตรประมาณ 79% รวมๆ กว่า 30 ล้านคน ซึ่งกำลังแรงงานกลุ่มนี้ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา แต่จะทำงานเป็นฤดูกาลตามฤดูกาลผลิต

ดังนั้น ในส่วนนี้ก็จะมีการเพิ่มทักษะช่างฝีมือกับคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะคนที่มีพื้นฐานการก่อสร้างอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่มีพื้นฐานเลยก็ต้องฝึกอบรมสามารถเปลี่ยนอาชีพได้ ซึ่งใน 3 วิธีนี้สามารถผลิตแรงงานได้พอเพียง เชื่อว่าใน 3 แนวทางนี้จะตอบสนองความต้องการแรงงานในช่วงที่เร่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการต่างๆ ได้

“ส่วนระยะยาวการผลิตคนของอาชีวศึกษาจะต้องพัฒนาศักยภาพสูงขึ้น โดยมีการปรับหลักสูตรและเนื้อหาวิชาต่างๆ ให้เหมาะกับงานที่จะทำ และเป็นปีแรกที่ปรับมีการเรียนการสอนถึงปริญญาตรีในบางสาขา เช่นสาขาที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เพราะความต้องการของตลาดแรงงานมีมากกว่าวุฒิ ปวช.ปวส. แต่ผู้ที่เรียนในระบบอุดมศึกษา ที่เรียนจบปริญญาตรีไม่มาทำงาน จึงมีความจำเป็นต้องผลิตคนโดยการเพิ่มวุฒิสูงขึ้นในสายอาชีพ และในอนาคตหลักสูตรต่างๆ จะมีเนื้อหาเฉพาะมากขึ้น เช่น ถ้าเป็นอาชีพก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าอาจจะต้องเรียนเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับระบบไฟฟ้า ระบบรางควบคู่ไป เรียนช่างยนต์ ช่างเชื่อม และอาชีพช่างก่อสร้างก็ต้องเรียนสามารถสร้างถนนได้ ไม่ใช่ก่อสร้างบ้าน หรือสร้างตึกได้เท่านั้น แต่ต้องเรียนสำหรับสร้างถนนโดยเฉพาะ ก็จะมีการออกแบบวิชาเฉพาะ และเพื่อให้มั่นใจว่าจบไปแล้วสามารถทำงานได้ทันที ก็จะต้องออกแบบการเรียนการสอนให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงโดยการส่งไปฝึกงานกับมืออาชีพได้เรียนรู้จากการทำงานจริง และยังได้เงินสนับสนุนเป็นค่าตอบแทนด้วย”นายชัยพฤกษ์กล่าว

นอกจากเร่งพัฒนาไปที่เป้าหมายแล้ว ในส่วนของบุคลากรที่จะทำงานขับเคลื่อนอย่างสถาบันการศึกษาของอาชีวศึกษาในทุกพื้นที่ ก็ต้องปรับแผนการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานเช่นกัน เช่น การพัฒนาครูใสอดคล้องกับเทคโนโลยีการก่อสร้างรถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ การจัดเตรียมครูฝึกในสถานประกอบการสามารถกำกับดูแลการเรียนและการฝึกงานทวิภาคีแบบเต็มเวลาในสถานประกอบการได้ และเพิ่มปริมาณครูเพียงพอต่อภาระงาน พร้อมกับการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นเร่งด่วนและจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะกิจบริเวณ Site งาน หรือสถานศึกษาที่ใกล้เคียงกับโครงการ และจัดตั้งสถานศึกษาเฉพาะทางด้านขนส่งเพื่อผลิตกำลังคนต่อเนื่องระยะยาว

“ต้องยอมรับว่าค่านิยมของเด็กยุคใหม่ต่อการเรียนสายอาชีพยังมีไม่มาก เพราะยังมีทัศนคติเดิมๆ ในเรื่องของการเรียนสายอาชีพ ที่ต้องเป็นพวกใช้แรงงาน ต้องทำงานนักและภาพลบของเด็กอาชีวศึกษาที่ออกสู่สื่อต่างๆ ดังนั้น การจะปรับทัศนคติของผู้ปกครองก็เป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กับ การเดินหน้าปรับหลักสูตรเนื้อหา ปรับวิธีการเรียนการสอนแล้ว ก็ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงภาพลักษณ์ใหม่ของอาชีวศึกษาและทิศทางของความต้องการแรงงาน ที่ยืนยันได้ว่าสายอาชีวศึกษาไม่มีทางตกงานแน่นอน แถมยังเป็นที่ต้องการอีกมาก แต่เราต้องเพิ่มศักยภาพสูงขึ้น ทั้งในแง่ของทฤษฎีและการปฏิบัติที่เน้นทำงานได้จริง และทำงานได้เทียบเท่ากับผู้ที่เรียนสายสามัญ ซึ่งคนของสายอาชีพจะได้เปรียบต้องที่เน้นการปฏิบัติ สามารถทำงานได้ทันที” นายชัยพฤกษ์ กล่าว

‘ใช้ 3 แนวทาง โดยมุ่งตรงต่อความต้องการกำลังคนใน 3 กลุ่มผลิตคนให้เพียงพอ’

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33269&Key=hotnews

‘จาตุรนต์’ หวัง ศธ.ทำงานเชื่อมโยงกระตุ้นเด็กคิดต่อยอดจากการใช้เน็ต

5 กรกฎาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ได้รับฟังรายงานความคืบหน้า ข้อเสนอแนะ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานเรื่องต่างๆ ของสำนักงานปลัด ศธ. และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยพบว่าแต่ละหน่วยงานมีการนำนโยบายของรัฐบาลในด้านการศึกษามาจำแนกแยกแยะ พัฒนาเป็นแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างดีและมีความชัดเจนในหลายเรื่อง เพื่อให้สามารถนำนโยบายเดินไปสู่เป้าหมายได้เป็น ผลสำเร็จ แต่ในส่วนของการนำไปปฏิบัตินั้นเนื่องจาก ศธ.มีหลายหน่วยงานมีผู้บริหารกำกับดูแลหน่วยงานตนเอง ซึ่งไม่มีตัวกลางคอยประสานงานเชื่อมโยง อย่างไรก็ตามตนอยากให้ทุกหน่วยงานมีการประสานและเชื่อมโยงกันเพื่อให้การทำงานเดินไปในทิศทางเดียวกัน

นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า ตนได้เสนอประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งทำโดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ การพัฒนาครู การทดสอบ การวัดผล และการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ซึ่งจะต้องมีการนำไปอิงกับการจัดอันดับในการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศ อีกทั้งจะต้องมีการพัฒนาระบบประเมินของไทยให้ดี และมีมาตรฐานมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นจากนี้ทุกหน่วยงานจะต้องช่วยคิดทบทวนว่าจะทำงานให้มีความเชื่อมโยงกันได้อย่างไร เพื่อให้การศึกษาได้รับการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะในการทดสอบทางการศึกษาที่สถาบันการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ดำเนินการนั้นควรจะต้องเชื่อมโยงกับเนื้อหาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อที่เมื่อการวัดประเมินผลออกมาผลสัมฤทธิ์ที่ได้จะได้สะท้อนตามจริง ไม่ใช่คะแนนเด็กออกมาต่ำเพราะข้อสอบยากเกินไป หรือถ้าเด็กทำคะแนนได้สูงเพราะได้ไปเรียนรู้นอกห้องเรียนมาแล้ว ดังนั้นต้องมีมาตรฐานกลางในการทดสอบและเชื่อมโยงตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงอุดมศึกษา ขณะเดียวกันผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนจะต้องเชื่อมโยงกับการประเมินวิทยฐานะของครูด้วย
“ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับเด็กมาก จึงต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ไม่ใช่จะนำมาใช้เพียงให้เด็กค้นหาคำตอบ แล้วนำมาตัดแปะส่งครูเท่านั้น แต่จะต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์ สามารถอธิบายได้ว่าสิ่งที่ไปค้นหาคำตอบมานั้นจะเชื่องโยงไปสู่เรื่องต่างๆ ได้ การจัดหาเนื้อหาที่จะมาบรรจุอยู่ในคอมพิวเตอร์พกพาด้วยว่าจะต้องทำให้มีมาตรฐาน โดยคัดเลือกเนื้อหาที่สามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่จะเอาเนื้อหาอะไรใส่ให้เด็กก็ได้”

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33272&Key=hotnews

ก.ค.ศ.ไฟเขียวแก้เกณฑ์ย้ายผู้บริหาร ร.ร.

5 กรกฎาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในส่วนของสถานศึกษา ที่มีวัตถุประสงค์พิเศษและสถานศึกษาคุณภาพพิเศษหรือโรงเรียนพรีเมียมตามมติของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญ เกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคลที่เห็นว่า ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ว9/2554 ก.ค.ศ.ได้กำหนดให้มีการย้ายไปดำรงตำแหน่งในสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษฯ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองการย้ายให้ คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาเกี่ยวข้องพิจารณา แต่เนื่องจากการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษาอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ สามารถพิจารณาย้ายภายในเขตพื้นที่การศึกษา ต่างเขตพื้นที่การศึกษา และต่างสังกัดได้ในคราวเดียวกัน และทำให้การสรรหาบุคลากรมาดำเนินการได้อย่างคล่องตัว จึงอาจไม่จำเป็นต้องกำหนดสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และสถานศึกษา คุณภาพพิเศษ

“เมื่อไม่มีกลุ่มโรงเรียนพรีเมียมก็ไม่ต้องมีการ กลั่นกรองอีก ซึ่งรอบใหม่ที่จะให้ยื่นย้ายระหว่างวันที่ 1-15 สิงหาคมนี้จะต้องใช้หลักเกณฑ์ตามที่ ก.ค.ศ.เห็นชอบ คือ ให้เรื่องนี้เป็นอำนาจการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และไม่ต้องมีการกลั่นกรองจากส่วนกลาง” เลขาธิการกพฐ. กล่าวและว่า จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ที่จะต้องดูคุณวุฒิ ประสบการณ์ และผลงานอย่างไรในการคัดเลือกผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33270&Key=hotnews

ชี้เด็กลดอีก 10 ปี มียุบมหา’ลัย

5 กรกฎาคม 2556

จากการเสวนาเรื่องมหาวิทยาลัยไทยจะเป็น World Class Universities ได้อย่างไร จัดโดยมูลนิธิและสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยวิสคอนซินประเทศไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน อดีต รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีบุคคลบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับการจัดอันดับมหาวิทยาลัยระดับโลก เพราะหลักเกณฑ์บางเรื่องอาจไม่ชัดเจน แต่เป็นเรื่องที่ท้าทาย ทั้งนี้ ส่วนตัวตนเห็นว่าไทยควรพัฒนามหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก คาดว่าคงไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะมหาวิทยาลัยหลายแห่งได้อันดับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ควรทำคือ การยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย รัฐต้องสนับสนุนทรัพยากรให้แก่มหาวิทยาลัยอย่างเพียงพอ ขณะที่ตัวป้อนเข้าสู่มหาวิทยาลัยก็ต้องมีคุณภาพ แต่ขณะนี้โครงสร้างประชากรของไทยเปลี่ยนไป จำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยลง เราพยายามยุบโรงเรียนขนาดเล็ก คาดว่าอีก 10 ปี เราคงต้องมีนโยบายยุบมหาวิทยาลัย เพราะคนเรียนน้อยลง

ด้าน ศ.ดร.วิชัย ริ้วตระกูล ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า มหาวิทยาลัยไทยจำเป็นต้องยกระดับให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกแห่ง และในการจะยกระดับเป็นมหา วิทยาลัยระดับโลกได้นั้น เราต้องปฏิวัติระบบสภามหาวิทยาลัย โดยอาศัย ร่าง พ.ร.บ.อุดมศึกษา ที่กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ปลอดจากฝ่ายการเมืองมากที่สุด มีระบบกองทุนอุดมศึกษา มีระบบการดูแลพัฒนาอาจารย์และนักศึกษา ที่สำคัญมีการวางระบบธรรมาภิบาลในการบริหารมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะสภามหาวิทยาลัย นอกจากนี้ควรร่วมมือกับภาคเอกชนในการผลิตกำลังคน ทั้งนี้ การที่จะแก้ไขปัญหามหาวิทยาลัยไทยได้ จะต้องโน้มน้าวให้ รมว.ศึกษาธิการ เห็นด้วยและช่วยผลักดันร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33266&Key=hotnews

สช. ประกวดสุนทรพจน์ ๘ ภาษา อาเซียน

5 กรกฎาคม 2556

ดร.บัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จัดการ

ประกวดสุนทรพจน์ ภายใต้หัวข้อ “พลังเด็กไทยก้าวไกลสู่อาเซียน” เป็นการกระตุ้นให้ผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรียนโรงเรียนเอกชนตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมความพร้อมพัฒนาองค์ความรู้ หลักสูตร กระบวนการเรียนการสอนเพื่อยกระดับศักยภาพรองรับเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเป็นการสร้างเวทีให้กับนักเรียนได้แสดงศักยภาพในมิติด้านองค์ความรู้ ด้านมุมมองความคิดเชิงวิเคราะห์ สร้างสรรค์ ด้านการแสดงออก แบบร้อยเรียงคำพูดผ่านการกล่าวสุนทรพจน์ นำไปสู่การค้นหานักเรียนตัวแทน คนรุ่นใหม่ ที่มีความสามารถโดดเด่นด้านภาษาของโรงเรียนเอกชนทั้งในระดับโรงเรียน ระดับภูมิภาคและระดับประเทศให้สาธารณชนได้รับทราบ

สำหรับการประกวดสุนทรพจน์ ภายใต้หัวข้อ “พลังเด็กไทยก้าวไกลสู่อาเซียน” เป็นการประกวดสุนทรพจน์ ๘ ภาษา ๑๕ ประเภท ประกอบด้วย ภาษาไทย อังกฤษ จีน เวียดนาม ลาว เขมร พม่า และมลายู ของนักเรียนโรงเรียนเอกชนในระบบ (ระดับประถมศึกษา – ปวช.) และนักเรียนโรงเรียนเอกชนนอกระบบ โดยจะมีการจัดประกวดแบ่งออกเป็น ๕ ภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๑๓ – ๑๔ กรกฎาคม 2556 ณ โรงเรียนแม่พระฟาติมา ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก วันที่ ๑๓ – ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการอยุธยา จังหวัดพระนคร- ศรีอยุธยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ ๑๓ – ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ โรงเรียนมหาไถ่ศึกษา จังหวัดขอนแก่น ภาคเหนือ วันที่ ๒๗ – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ และภาคใต้ วันที่ ๒๗ – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยนักเรียนที่เข้าร่วมการประกวดในแต่ละภาษา แต่ละประเภท ที่มีคะแนนตั้งแต่ ๘๐ คะแนนขึ้นไป จะได้รับ (เกียรติบัตรเหรียญทอง) ๗๐ – ๗๙ คะแนน (เกียรติบัตรเหรียญเงิน) ๖๐ – ๖๙ คะแนน (เกียรติบัตรเหรียญทองแดง) ๕๐ – ๕๙ คะแนน (เกียรติบัตรชมเชย) ต่ำกว่า ๕๐ คะแนน (เกียรติบัตรเข้าร่วมประกวด) ทั้งนี้โรงเรียนที่ส่งนักเรียนเข้าร่วมประกวด จะได้รับเกียรติบัตรสนับสนุนการจัดงาน ตลอดจนครูผู้สอนของนักเรียนที่ได้รับเกียรติบัตรเหรียญทองจะได้รับเกียรติบัตรด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33265&Key=hotnews

 

สพฐ.ถกวิชาการครบหนึ่งทศวรรษโชว์สุดยอดผลงาน 5 โซน – ฉีดวัคซีนเจนแซด

4 กรกฎาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดจัดงานสัมมนาวิชาการในโอกาสครบรอบ 1 ทศวรรษ สพฐ.ในวันที่ 8 ก.ค.นี้ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยมีนายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศธ. เดินทางมามอบนโยบายและแนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้การดำเนินการมีความชัดเจนไปในทิศทางเดียวกัน และมีการบรรยายเชิงวิสัยทัศน์ของนักวิชาการ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานในทศวรรษที่ 2 และการอภิปรายใน 2 หัวข้อหลักๆ คือ ปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการให้วัคซีนกับเจเนอเรชั่นแซด เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เติบโตอย่างมีวุฒิภาวะ รู้จักการป้องกันตนเอง ภายในงานยังมีนิทรรศการแบ่งเป็น 5 โซน คือ 1.”ก้าวย่างบนเส้นทางพัฒนา” สรุปพัฒนาการในการดำเนินงานของ สพฐ.ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.)

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) การบริหารสถานศึกษาต่างๆ และ ร.ร.นิติบุคคล
เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า 2. “ก้าวกล้าพัฒนาคน” ซึ่งเป็นภารกิจหลักของ สพฐ.ในการจัดสรรโอกาสให้แก่เด็กทุกกลุ่ม ไม่ว่าเด็กด้อยโอกาส พิการ  3. “ก้าวล้ำผู้นำวิชาการ” ซึ่งแสดงการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เป็นโรงเรียนมาตรฐานสากล  4. “ก้าวมั่นด้วยประกันคุณภาพ” เน้นระบบการประกันคุณภาพภายใน และการบริหารจัดการ ร.ร.ที่หลากหลายและสอดคล้องกับบริบทของ ร.ร.แต่ละกลุ่ม ได้แก่ ร.ร.ดีประจำตำบล ร.ร.ในฝัน ร.ร.มาตรฐานสากล และ ร.ร.ขนาดเล็กที่ต้องบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วม และ  5. “ก้าวไกลสู่ศตวรรษใหม่ไอซีที” ที่เน้นในเรื่องเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่ใช้แท็บเล็ต อินเตอร์เน็ต การเรียนการสอนทางไกลโดยระบบดีแอลทีวี จากไกลกังวล และ OBEC Channel

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33255&Key=hotnews

คัดครู ผช.สระบุรี ไม่มีคนสอบผ่าน!

4 กรกฎาคม 2556

‘เลขาฯ ก.ค.ศ.’ เผยมีครู ผช.ที่ถูกปลดจากปัญหาส่อทุจริตการสอบครั้งที่ผ่านมายื่นอุทธรณ์แล้ว 77 ราย

ความคืบหน้ากรณีผลการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2556 ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ มีอัตราว่างบรรจุรวม 1,070 อัตรา ซึ่งจากรายงานข้อมูลผลการสอบของ 24 เขตพื้นที่ฯ มีจำนวนผู้เข้าสอบรวม 21,773 คน ปรากฏว่ามีผู้สอบผ่านเกณฑ์คัดเลือกคะแนน 60% จำนวนเพียง 1,536 ราย หรือคิดเป็น 7.06% ถือเป็นจำนวนที่น้อยมากเป็นประวัติการณ์ โดยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ว่าอาจเป็นเพราะสถาบันอุดมศึกษาที่ออกข้อสอบค่อนข้างยากนั้น

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) กล่าวว่า ในภาพรวมจะต้องวิเคราะห์รายละเอียดให้ชัดเจนว่าผู้เข้าสอบทำคะแนนต่ำในหมวดใด ซึ่งหากเป็นวิชาเอก ก็อาจเป็นไปได้ว่ามหาวิทยาลัยออกข้อสอบยากเกินหลักสูตรที่บัณฑิตสาขาครูเรียนมา เพราะในคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์จะสอนเฉพาะเรื่องที่นักศึกษาจำเป็นต้องนำไปใช้ในการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ขณะเดียวกันก็อาจเป็นเพราะมหาวิทยาลัยเร่งรีบทำข้อสอบเกินไป จนทำให้ข้อสอบไม่ได้มาตรฐาน ขาดการจำแนกความยากง่าย และอาจไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองข้อสอบจากคณะกรรมการกลั่นกรองข้อสอบ ซึ่งตามปกติจะต้องมีอย่างน้อย 5 คน หรืออาจจะเป็นข้อบกพร่องที่เกิดจากตัวผู้เข้าสอบเองที่ไม่ติดตามสถานการณ์รายวัน รวมถึงความเคลื่อนไหวทางวิชาการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนโยบายการศึกษา และข้อกฎหมายต่างๆ
“ขณะนี้คงยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าการที่ผู้เข้าสอบทำคะแนนได้น้อยเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะต้องวิเคราะห์ให้มีความชัดเจน เพื่อหาสาเหตุและปรับปรุงแก้ไขต่อไป” นายสุรวาทกล่าว

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สพฐ.ยังไม่ได้รับรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการสอบครูผู้ช่วยจากเขตพื้นที่การศึกษาที่เหลือ

นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 3 กล่าวว่า จากผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้พบว่าผลคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ โดยเฉพาะสาขาวิชาเอกคณิตศาสตร์ไม่มีผู้สอบผ่านเกณฑ์คัดเลือกแม้แต่รายเดียว ขณะเดียวกันภาพรวมส่วนใหญ่ทำข้อสอบในบางวิชาได้น้อย เช่น คะแนนเต็ม 75 คะแนน เฉลี่ยทำได้เพียง 30-35 คะแนน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ตนยังไม่เห็นข้อสอบ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าข้อสอบเป็นอย่างไร แต่จากการสอบถามผู้เข้าสอบจะบอก เหมือนๆ กันว่าให้เวลาทำข้อสอบค่อนข้างน้อย และข้อสอบยากมาก ซึ่งการสอบครั้งนี้ได้ว่าจ้าง มรภ.นครราชสีมา ดำเนินการทั้งหมด และหลังจากนี้ทางคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ) เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 จะนำข้อสอบมาประมวลวิเคราะห์หาเหตุผลเพื่อนำมาเป็นบทเรียนในการสอบครั้งต่อๆ ไป

นายอดิศร เนาวนนท์ ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ในฐานะนักวิชาการ มรภ.นครราชสีมา กล่าวว่า จากการสอบถามเพื่อนคณาจารย์ใน มรภ.นครราชสีมาที่รับดำเนินการออกข้อสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้ ยืนยันว่าได้ออกข้อสอบตามกรอบในตำราเรียน ทั้งระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และปริญญาตรีต่อเนื่อง โดยไม่ได้นำสิ่งที่พิสดารมาออกข้อสอบแต่อย่างใด ข้อสอบครั้งนี้เป็นแนววิเคราะห์ แต่ผู้เข้าสอบอาจเก็งแนวข้อสอบ ผิดพลาดไปเน้นการท่องจำ จึงทำข้อสอบไม่ค่อยได้ ส่งผลให้ได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์คัดเลือก เพราะฉะนั้น อย่าโยนบาปไปให้มหาวิทยาลัยผู้ออกข้อสอบ แต่ผู้เข้าสอบจะต้องเตรียมตัวให้มากกว่าเดิม ไม่ใช่กำหนดอยู่แต่ในตำราเรียนเท่านั้น ต้องรู้จักวิเคราะห์และเชื่อมโยงให้ได้ เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งประโยชน์จะตกอยู่กับเด็กนักเรียน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สพป.สระบุรี เขต 2 ได้ประกาศผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ปรากฏว่าไม่มีผู้สอบผ่าน 3 กลุ่มสาขา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศิลปะ สร้างความผิดหวังให้กับไม่มีผู้สอบผ่าน 3 กลุ่มสาขา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศิลปะ สร้างความผิดหวังให้กับผู้เข้าสอบเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ น.ส.พลอยประภัส จิระกุลเรืองนนท์ ผู้เข้าสอบกลุ่มวิชาเอกวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับการสอบครั้งนี้มาก เพราะตั้งใจไว้มาก และได้เตรียมตัวมาอย่างดี แต่ข้อสอบยากมาก และให้เวลาทำข้อสอบน้อย อีกทั้งกรรมการคุมสอบยังไม่ให้นำนาฬิกาเข้าห้องสอบด้วย จึงคาดคะเนไม่ได้ว่าใกล้จะหมดเวลาหรือยัง ทั้งนี้ ในกลุ่มวิชาเอกวิทยาศาสตร์มีผู้เข้าสอบ 182 คน แต่สอบไม่ผ่านทั้งหมด เป็นไปได้อย่างไร ไม่ทราบวัดกันที่อะไร ทุกคนทุ่มเทกับการสอบ หลายคนต้องเดินทางมาจากต่างจังหวัดเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรจะวิเคราะห์ผู้ออกข้อสอบด้วย

นายรังสรรค์ เถื่อนนาดี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 25 ขอนแก่น เปิดเผยผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วยในสังกัด 3 สาขาวิชาเอกว่า วิชาเอกคณิตศาสตร์ มีผู้เข้าสอบ 65 คน สอบผ่าน 9 คน วิชาเอกฟิสิกส์ เข้าสอบ 29 คน สอบผ่าน 1 คน ส่วนวิชาเอกดนตรี เข้าสอบ 24 คน แต่สอบไม่ได้เลยสักคน ซึ่งการออกข้อสอบได้ให้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นผู้ออกข้อสอบทั้ง 5 เขตพื้นที่ฯในโซนเขตตรวจราชการที่ 7 ประกอบด้วย สพม.เขต 25 ขอนแก่น, สพม.เขต 20 อุดรธานี, สพป.เลย อุดรธานี และบึงกาฬ

ทางด้านนางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีครูผู้ช่วยที่ถูกปลดออกจากราชการ จากปัญหามีพฤติกรรมส่อเข้าข่ายทุจริตการสอบบรรจุครูผู้ช่วยกรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 เมื่อครั้งที่ผ่านมา จำนวนรวม 77 ราย จาก 36 เขตพื้นที่การศึกษา ได้ยื่นอุทธรณ์ร้องทุกข์มายังสำนักงาน ก.ค.ศ.แล้ว แต่ยังไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ เพราะต้องตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องแจ้งกลับไปยังผู้อำนวยการสถานศึกษา ในฐานะผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารับทราบด้วย

เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวด้วยว่า สำหรับผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วย กรณีทั่วไปในครั้งนี้ ที่หลายเขตพื้นที่ฯมีผู้สอบผ่านเกณฑ์คัดเลือกไม่ครบตามอัตราว่างบรรจุที่เปิดรับนั้น ขึ้นอยู่กับทางเขตพื้นที่ฯจะเสนอมายัง ก.ค.ศ.ว่าต้องการจะเปิดสอบบรรจุใหม่หรือไม่ หากเสนอสอบใหม่จะต้องมีการสำรวจอัตราบรรจุ เพื่อจะได้กำหนดการสอบพร้อมๆ กัน แต่หากไม่ต้องการสอบใหม่ก็สามารถการสำรวจอัตราบรรจุ เพื่อจะได้กำหนดการสอบพร้อมๆ กัน แต่หากไม่ต้องการสอบใหม่ก็สามารถขอใช้บัญชีของเขตพื้นที่ฯอื่นได้

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนทำให้ราชการเสียหาย กรณีมีการทุจริตการสอบบรรจุครูผู้ช่วย ว12 ครั้งที่ผ่านมา เปิดเผยความคืบหน้าว่า คณะกรรมการสอบสวนฯได้สอบปากคำพยานครบทุกปากแล้ว ซึ่งมีไม่มาก และในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ จะนัดประชุมเพื่อสรุปข้อกล่าวหาทั้งหมด และจัดทำบันทึกการแจ้งรับทราบข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาแบบ สว.3 ตามกฎคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ส่งให้ผู้ถูกกล่าวหาคือนายชินภัทรได้รับทราบเพื่อแก้ข้อกล่าวหา หรือส่งพยานหลักฐาน ทั้งเอกสารและพยานบุคคลเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งจะต้องเชิญมา สอบสวนภายใน 45 วัน จากนั้นคณะกรรมการสอบสวนฯจะพิจารณาคำแก้ข้อกล่าวหาว่ารับฟังขึ้นหรือไม่ ก่อนเสนอความเห็นต่อผู้มีอำนาจแต่งตั้งคือรัฐมนตรีว่าการ ศธ.พิจารณาวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้าย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33252&Key=hotnews