Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ห่วงลอกการบ้านผ่านสื่อออนไลน์ นักวิชาการแนะปรับวิธีสอนเด็ก-เพิ่มกิจกรรม

3 กรกฎาคม 2556

นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) กล่าวถึงผลวิจัยของ Child Watch เรื่องวงจรชีวิต “เด็กไทย 1 วันทำอะไรบ้าง” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า เด็กไทย 1 ใน 3 ถูกสื่อโซเชี่ยลมีเดียดึงเวลาไปจากครอบครัว กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เสียเวลาตั้งแต่ตื่นนอน 6-8 ช.ม. ไปกับสื่อออนไลน์ ขณะที่อีก 40 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อโรค “ขาลีบ ก้นใหญ่ มือยาว ปากจู๋ หูเล็ก” โดยขาลีบและก้นใหญ่ เพราะไม่ค่อยได้เดิน ไม่ออกกำลังกาย เนื่องจากวันๆ เอาแต่นั่งเล่นมือถือ ส่วนมือยาว เพราะใช้นิ้วอย่างหนักกับการสไลด์หน้าจอและกด แมสเสจ ขณะที่ปากจู๋ เพราะไม่ค่อยได้พูดเอาแต่แชต และหูเล็ก เพราะมีไว้เสียบหูฟังอย่างเดียว

ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวต่อว่า ดังนั้น ครอบครัวจึงจำเป็นต้องชิงพื้นที่สื่อออนไลน์ ด้วยการหากิจกรรมทำร่วมกันกับลูกหลาน ขณะที่โรงเรียนเองจำเป็นต้องเป็นแรงหนุนสำคัญในการสร้างกิจกรรมทางเลือกที่หลากหลายให้ลูกศิษย์ โดยเฉพาะการเรียนการสอนต้องปรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่เด็กอยากเรียน เด็กจึงจะมีฉันทะในการเรียนรู้ และรักที่จะลงมือทำเอง ไม่ใช่เรียนลัดด้วยการลอกการบ้านลอกข้อสอบ ไม่เช่นนั้นต่อไปประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศตัดแปะ หรือ Copy and Paste กล่าวคือ ปฏิบัติตามคำสั่งได้อย่างเดียวเพราะคิดไม่เป็น ฉะนั้นหากทุกฝ่ายช่วยกัน ปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากสื่อออนไลน์ เช่น ปัญหาการลอกการบ้านเพื่อนผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบไฮเทค ลอกการบ้านผ่านไลน์ ผ่านสื่อโซเชี่ยลมีเดีย ส่งผลให้เด็กเรียนได้แต่ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีองค์ความรู้ หรือเด็กสมาธิสั้น ซึ่งหากแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ การโดดเรียนก็จะลดลงตามได้

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 ก.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33237&Key=hotnews

ไฟเขียว อ.ก.ค.ศ.เขตฯ คัด ‘ผอ.พรีเมียม’ ยื่นย้ายรอบใหม่ ส.ค.ดู ‘คุณวุฒิ-ผลงาน’

3 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในส่วนของสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ หรือโรงเรียนพรีเมียม ตามมติของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญ เกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคลที่เห็นว่าตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ว9/2554 ก.ค.ศ.ได้กำหนดให้มีการย้ายไปดำรงตำแหน่งในสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษฯ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองการย้าย ให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาเกี่ยวข้องพิจารณา แต่เนื่องจากการพิจารณาย้ายผู้บริหารสถานศึกษา อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ สามารถพิจารณาย้ายภายในเขตพื้นที่ฯ ต่างเขตพื้นที่ฯ และต่างสังกัดได้ในคราวเดียวกัน เพราะทำให้การสรรหาบุคคลดำเนินการได้อย่างคล่องตัว จึงอาจไม่จำเป็นต้องกำหนดสถานศึกษาที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ
“เมื่อไม่มีกลุ่มโรงเรียนพรีเมียม ก็ไม่ต้องมีการกลั่นกรองอีก ซึ่งรอบใหม่ที่จะให้ยื่นย้ายระหว่างวันที่ 1-15 สิงหาคมนี้ จะต้องใช้หลักเกณฑ์ตามที่ ก.ค.ศ.เห็นชอบ คือให้เรื่องนี้เป็นอำนาจการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ และไม่ต้องมีการกลั่นกรองจากส่วนกลาง จากนี้ไปเป็นหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ที่จะต้องดูคุณวุฒิ ประสบการณ์ และผลงาน ในการคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสม จะเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา” นายชินภัทรกล่าว

นางจำนงค์ แจ่มจันทร์วงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา กล่าวว่า เห็นด้วยกับมติของที่ประชุม ก.ค.ศ.ที่จะให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ เป็นผู้พิจารณาโยกย้ายในส่วนของโรงเรียนพรีเมียมเอง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กำหนดให้การบริหารงานบุคคลเป็นอำนาจของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ อยู่แล้ว ซึ่งการดำเนินการของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ได้ดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ มีการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ และทุกอย่างต้องโปร่งใส ฉะนั้น จึงไม่น่าจะกังวล และคิดว่าจะต้องพิจารณาคนที่มีคุณสมบัติ และคัดคนที่มีความสามารถเข้ามา อย่างไรก็ตาม คิดว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ คงไม่ทำอะไรที่ประมาท หรือไม่รอบคอบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33236&Key=hotnews

79 มหา’ลัยมึนเจอสำนักงบฯ เบี้ยว ไม่ตั้งจ่ายคืน งด.’พนักงาน’ 1.1 หมื่น ล.ปี’ 58 วอน’จาตุรนต์’ช่วย-หวั่นกระทบขวัญพนง.

3 กรกฎาคม 2556

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายเงินปรับเพิ่มคุณวุฒิให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 ให้แก่พนักงานฯ 54,801 คน จากมหาวิทยาลัยรัฐ 79 แห่ง โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,792,432,440 บาท ทั้งนี้ ในปีงบฯ 2556 ขอให้มหาวิทยาลัยใช้งบฯเหลือจ่ายของมหาวิทยาลัยเบิกจ่ายไปก่อน โดยสำนักงบประมาณจะตั้งงบฯคืนให้ในปี 2558 นั้น ขณะนี้มีมหาวิทยาลัยบางแห่งได้ทยอยจ่ายเงินให้กับพนักงานฯไปบ้างแล้ว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงบประมาณได้เชิญมหาวิทยาลัยไปชี้แจงว่ามีปัญหาติดขัดเรื่องระเบียบบางข้อ ดังนั้น ในปี 2558 อาจไม่สามารถตั้งงบฯ คืนให้มหาวิทยาลัยในส่วนที่จ่ายไปแล้วได้ แต่จะตั้งงบฯ ให้ในปีถัดไป ทำให้มหาวิทยาลัยไม่กล้าควักเงินรายได้ของตนเองจ่ายให้กับพนักงานฯ เพราะอาจกระทบกับงบฯที่ใช้ในการพัฒนามหาวิทยาลัยในส่วนอื่นๆ

นพ.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้รวมตัวกัน และทำหนังสือถึงสำนักงบประมาณ ขอให้ทบทวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง เพราะเงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่เงินน้อยๆ และพนักงานมหาวิทยาลัยถือเป็นข้าราชการประเภทหนึ่งที่เมื่อข้าราชการได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องใด พนักงานฯ ก็ควรจะได้รับด้วยเช่นกัน

“ผมอยากให้นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้ความเป็นธรรมกับพนักงานฯด้วย เพราะเมื่อ ครม.มีมติไปแล้ว แต่กลับไม่อนุมัติงบฯให้ และมหาวิทยาลัยก็ไม่มีเงินจ่าย ซึ่งในส่วนของ มศว เอง เดิม เตรียมงบฯส่วนหนึ่งไว้สำหรับจ่ายให้พนักงานฯแล้ว แต่ก็ต้องชะลอไว้ก่อน เพื่อรอดูท่าทีของสำนักงบประมาณก่อนว่าจะเป็นอย่างไร หากไม่ได้จริงๆ เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจในการทำงานของพนักงานฯ อย่างมาก”  นพ.เฉลิมชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงบฯที่ใช้เบิกจ่ายปีงบฯ 2555 จำนวน 3,014,836,290 บาท ปีงบฯ 2556 จำนวน 4,260,969,010 บาท และปีงบฯ 2557 จำนวน 4,516,627,140 บาท จัดสรรให้กับพนักงานฯในกลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) 10,688 คน งบฯ 2,648,751,120 บาท มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) 4,263 คน งบฯ 1,062,998,880 บาท มหาวิทยาลัยส่วนราชการ 19,410 คน งบฯ 5,013,891,610 บาท และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ 20,440 คน งบฯ 3,102,790,830 บาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33235&Key=hotnews

 

ผุดคู่มือขอวีซ่าครูชาวต่างชาติ

3 กรกฎาคม 2556

นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการจ้างครูชาวต่างชาติเพื่อเข้ามาสอนในสถานศึกษาของประเทศไทย พบว่า ในการจ้างครูชาวต่างชาติทั้งในสถานศึกษาของรัฐและเอกชน ไม่มีคู่มือที่ชัดเจนให้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง สถานศึกษาแต่ละแห่ง จึงอยู่ในลักษณะต่างคนต่างทำโดยไม่มีมาตรฐานในการปฏิบัติ อีกทั้งไม่สะดวกและล่าช้าอย่างมาก ดังนั้น ศธ.จะกำหนดแนวทางคู่มือการจ้างครูต่างชาติอย่างชัดเจน นับแต่กำหนดรายละเอียดในการจ้างครู ติดต่อผู้ที่จะมาเป็นครู ทำสัญญาจ้าง การขอใบอนุญาตทำงาน การติดต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อขอทำวีซ่า การควบคุมดูแลการสอนในสถานศึกษา

นางพวงเพ็ชร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีการทำคู่มือการขอต่อวีซ่า โดยกำหนดรายละเอียดในการขอต่อวีซ่าของครูชาวต่างชาติที่สอนในสถานศึกษาอยู่แล้วให้สามารถสอนได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแนะนำให้ความรู้แก่ครูผู้สอนชาวต่างชาติให้ระวังรักษาสิทธิของตนเอง การแนะนำเรื่องเอกสารหลักฐานที่จะนำไปขอต่อวีซ่า ภาคผนวกของคู่มือจะประกอบด้วยหนังสือเวียนแนวปฏิบัติของหน่วยงานหรือส่วนราชการ ต่างๆ เช่น สพฐ. สกอ. สอศ. สช. ตม. เป็นต้น รวมทั้งแบบฟอร์มที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติด้วย ทำให้สถานศึกษาในแต่ละแห่งปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเป็นแนวเดียวกัน

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33234&Key=hotnews

สอศ.ร่วมอียูฝึกอาชีพผู้ลี้ภัย 9 ศูนย์ ถกพม่าปรับหลักสูตรสอดคล้อง-เทียบโอนวุฒิ

3 กรกฎาคม 2556

นายชัยพฤกษ์  เสรีรักษ์  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า นายวิน เมา ตัน รองอธิบดีกรมอาชีวศึกษา ประเทศพม่า พร้อมตัวแทนแอ็คเทค และแอ็ดดร้า ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ฝึกอบรมอาชีพให้ผู้อพยพในศูนย์อพยพ ภายใต้การสนับสนุนของสหภาพยุโรป หรือ อียู ที่ให้ความช่วยเหลือในด้านพื้นฐานการดำรงชีวิต และการอบรมอาชีพให้กับศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยทั้ง 9 ศูนย์ในประเทศไทย ได้เดินทางมาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เพื่อเจรจาความร่วมมือใน 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.พัฒนาฝึกอบรมอาชีพให้กับผู้อพยพในศูนย์อพยพ ซึ่งสอศ.จะจัดอบรมอาชีพให้ตรงกับความต้องการของผู้อพยพ เพื่อให้นำความรู้ไปทำงานในศูนย์อพยพ หรือกลับไปทำงานในประเทศตัวเอง 2.จะร่วมมือพัฒนาการอาชีวศึกษาของทั้ง 2 ประเทศร่วมกัน ทั้งในด้านการพัฒนาครู พัฒนาผู้เรียน ตลอดจนให้เด็กอาชีวะพม่าเข้ามาเรียนในวิทยาลัยของ สอศ.รวมทั้งแลกเปลี่ยนผลงานวิจัย หรือทำงานวิจัยร่วมกัน หรือจัดส่งครูอาชีวะไทยไปสอนอาชีพที่ประเทศพม่า เป็นต้น โดยประเด็นที่ 2 สอศ.จะขอหารือในข้อรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทางกรมอาชีวศึกษาพึงพอใจในความร่วมมือด้านนี้มากๆ

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นสุดท้ายนั้นทางพม่ากังวลว่า ผู้ที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรของ สอศ.ทั้งระยะสั้น 200 ชั่วโมง หรือจนได้รับวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เมื่อกลับไปทำงานในพม่า กลัวว่าพม่าจะไม่รับรองวุฒิเหล่านี้
อย่างไรก็ตามแนวทางการเทียบโอนวุฒิการศึกษาเป็นมาตรฐานสากลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเตรียมนำหลักสูตรพม่ามาเป็นตัวตั้ง เพื่อดูว่าหลักสูตรของ สอศ.สอดรับกันหรือไม่ หากสอดรับก็เทียบโอนได้เลย แต่หากไม่สอดรับทางพม่าก็อาจจะจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ตามวุฒินั้น หรือเติมเต็มระหว่างเรียนที่เมืองไทย ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นนี้คาดว่าจะหารือในรายละเอียดอีกครั้งหลังจากนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33233&Key=hotnews

ครูผู้ช่วยไม่พอบรรจุ…แค่ประกาศผลสอบโคราชเรียกตัวเกลี้ยง

3 กรกฎาคม 2556

‘ชินภัทร’เผย 24 เขตพื้นที่ฯ ‘ใต้-กลาง-เหนือ-อีสาน’ เฉลี่ยสอบครูผู้ช่วยผ่านเกณฑ์แค่ 7% จากผู้เข้าสอบรวม 2.1 หมื่นคน อ้างข้อสอบยาก ในขณะที่ 6 เขตใน 4 จังหวัดอีสานตอนล่างไม่พอบรรจุ

เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยผลการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครู ตำแหน่งครูผู้ช่วย ประจำปี 2556 ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษาที่เปิดสอบ โดยมีอัตราว่างบรรจุรวม 1,070 อัตราว่า ขณะนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ กำลังทยอยประกาศผลการสอบ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้รับรายงานการประกาศผลการสอบแล้ว 24 เขตพื้นที่ฯ ประกอบด้วย โซนภาคใต้ จ.ชุมพร พังงา ระนอง, ภาคกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา, ภาคเหนือ จ.กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ ตาก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.นครราชสีมา และสุรินทร์ เป็นต้น โดยพบว่าจากจำนวนผู้เข้าสอบรวมทั้งสิ้น 21,773 ราย มีผู้ที่สอบผ่านเกณฑ์คัดเลือกคะแนน 60% จำนวน 1,536 ราย หรือคิดเป็น 7.06% ของผู้เข้าสอบทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า จากการวิเคราะห์ในเบื้องต้นพบว่า ข้อสอบที่ใช้ในการสอบแข่งขันครั้งนี้ค่อนข้างยาก ดังนั้น หลังจากนี้จะมีการวิเคราะห์ข้อสอบเพื่อดูระดับความยากง่ายของข้อสอบต่อไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเขตพื้นที่ฯจะมีความกังวลใจเกี่ยวกับการให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้ออกข้อสอบ เนื่องจากประสบการณ์ในอดีตเห็นว่า การให้สถาบันอุดมศึกษาออกข้อสอบส่วนใหญ่จะเป็นข้อสอบที่ยาก และมีผู้สอบผ่านค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาว่าจำนวนผู้สอบผ่านมีมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาว่าจำนวนผู้สอบผ่านมีมากขึ้นหรือน้อยลง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่มีผู้สอบผ่านเกณฑ์คัดเลือกน้อยสะท้อนถึงคุณภาพการศึกษาของนักศึกษาสาขาครูในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำลง หรือไม่ เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า ยังไม่อยากสรุปว่าเป็นเช่นนั้น เพื่อความเป็นธรรมกับนักศึกษาจะต้องมีการวิเคราะห์ข้อสอบก่อนถึงจะสามารถระบุได้ อย่างไรก็ตาม การออกข้อสอบในลักษณะที่นำไปใช้ในการแข่งขันคัดเลือกจะต้องมีบรรทัดฐาน เพื่อคุณภาพของผู้ที่จะเข้ามาเป็นครูด้วย ส่วนกรณีที่อาจจะมีบางเขตพื้นที่ฯมีผู้สอบผ่านน้อยกว่าจำนวนรับบรรจุ จะต้องมีการจัดสอบเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น เรื่องนี้คงต้องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) พิจารณาต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายงานสรุปผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วยใน 24 เขตพื้นที่ฯที่พบว่ามีผู้สอบผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 เพียง 1,536 รายดังกล่าว แบ่งเป็นรายวิชาเอกดังนี้ ภาษาไทย มีผู้เข้าสอบ 927 คน สอบผ่าน 107 คน, ภาษาอังกฤษ มีผู้เข้าสอบ 168 คน สอบผ่าน 58 คน, ภาษาจีน ผู้เข้าสอบ 110 คน สอบผ่าน 9 คน, คณิตศาสตร์ ผู้เข้าสอบ 1,487 คน สอบผ่าน 63 คน, วิทยาศาสตร์ ผู้เข้าสอบ 461 คน สอบผ่าน 96 คน, วิทยาศาสตร์ทั่วไป ผู้เข้าสอบ 485 คน สอบผ่าน 60 คน, ชีววิทยา ผู้เข้าสอบ 452 คน สอบผ่าน 31 คน, ฟิสิกส์ ผู้เข้าสอบ 292 คน สอบผ่าน 24 คน, เคมี ผู้เข้าสอบ 429 คน สอบผ่าน 32 คน

สังคมศึกษา ผู้เข้าสอบ 2,979 คน สอบผ่าน 224 คน, พลศึกษา ผู้เข้าสอบ 1,314 คน, สอบผ่าน 37 คน, นาฏศิลป์ ผู้เข้าสอบ 387 คน สอบผ่าน 21 คน, ดนตรี ผู้เข้าสอบ 240 คน สอบผ่าน 28 คน, ดนตรีไทย ผู้เข้าสอบ 107 คน สอบผ่าน 3 คน, ดนตรีสากล ผู้เข้าสอบ 128 คน สอบผ่าน 14 คน, ศิลปะ ผู้เข้าสอบ 301 คน สอบผ่าน 36 คน, ศิลปศึกษา (ทัศนศิลป์) ผู้เข้าสอบ 64 คน สอบผ่าน 4 คน, คอมพิวเตอร์ ผู้เข้าสอบ 3,228 คน สอบผ่าน 216 คน, อุตสาหกรรมศิลป์ ผู้เข้าสอบ 942 คน สอบผ่าน 149 คน, เกษตรกรรม ผู้เข้าสอบ 513 คน สอบผ่าน 14 คน, คหกรรมทั่วไป ผู้เข้าสอบ 362 คน สอบผ่าน 14 คน, บรรณารักษ์ ผู้เข้าสอบ 116 คน สอบผ่าน 3 คน, การเงิน/บัญชี ผู้เข้าสอบ 717 คน สอบผ่าน 23 คน, จิตวิทยาและการแนะแนว ผู้เข้าสอบ 188 คน สอบผ่าน 27 คน, ประถมศึกษา/การประถมศึกษา ผู้เข้าสอบ 958 คน สอบผ่าน 133 คน และปฐมวัยศึกษา/อนุบาลศึกษา ผู้เข้าสอบ 1,815 คน สอบผ่าน 110 คน

วันเดียวกัน ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 31 นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ สพม.เขต 31 ได้ติดประกาศผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วยในสังกัด ที่บอร์ดหน้าสำนักงาน โดยเจ้าหน้าที่ สพม.เขต 31 ได้ติดประกาศผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วยในสังกัด ที่บอร์ดหน้าสำนักงาน โดยมีนายชูเกียรติ วิเศษเสนา ผู้อำนวยการ สพม.เขต 31 ร่วมเป็นพยาน ขณะเดียวกันนายวิจิตร ไพรวิจารย์ รองผู้อำนวยการโรงเรียนปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เดินทางมาขอรับหนังสือรับรองผลสอบบรรจุครูผู้ช่วย 2 ราย ที่สอบได้คะแนนอันดับ 1 วิชาเอกสาขาวิชาภาษาจีน และวิชาเอกสาขาวิชาภาษาอังกฤษ เพื่อเรียกตัวเข้าบรรจุเป็นครูผู้ช่วยของโรงเรียนในวันที่ 15 กรกฎาคมนี้
นายชูเกียรติกล่าวว่า สพม.เขต 31 นครราชสีมา ได้เปิดสอบบรรจุจำนวน 9 อัตรา ใน 9 สาขาวิชาเอก โดยจากจำนวนผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 1,380 คน มีผู้สอบผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 รวมจำนวน 120 คน ใน 9 สาขาวิชาเอก คิดเป็นร้อยละ 8.6 ซึ่งจะมีชื่อขึ้นบัญชีผู้สอบได้เป็นเวลา 2 ปี ประกอบด้วย สาขาวิชาเอกภาษาไทย 11 ราย ภาษาอังกฤษ 12 ราย ภาษาจีน 2 ราย คณิตศาสตร์ 2 ราย ชีววิทยา 48 ราย ฟิสิกส์ 6 ราย เคมี 2 ราย สังคมศึกษา 30 ราย และดนตรีศึกษา 7 ราย

“จากจำนวนผู้สอบผ่านเกณฑ์คัดเลือกดังกล่าวถือว่าน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยสถิติการสอบบรรจุครูผู้ช่วยของ สพม.เขต 31 เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้สอบผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 718 ราย ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากข้อสอบที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) นครราชสีมาออกให้ค่อนข้างยากกว่าทุกครั้ง รวมถึงมาตรการควบคุมการสอบเป็นไปอย่างเข้มงวด ถ้าคิดในแง่ดีก็คือการได้ครูที่มีความรู้ความสามารถมาก แต่ในทางกลับกันจะส่งผลทำให้บางรายวิชามีจำนวนครูที่จะเรียกบรรจุไม่เพียงพอกับความต้องการภายในระยะเวลา 2 ปีของการขึ้นบัญชี เช่น วิชาเอกภาษาจีน มีผู้สอบผ่านเพียง 2 ราย และขณะนี้ทางโรงเรียนปากช่องได้เรียกตัวเข้าบรรจุแล้ว 1 ราย และโรงเรียนพิมายวิทยา อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ก็กำลังจะทำหนังสือขอเรียกตัวไปบรรจุอีก 1 ราย ส่งผลให้รายชื่อในบัญชีผู้สอบได้วิชาเอกภาษาจีนหมดแล้ว ดังนั้น หากภายใน 2 ปีนี้มีโรงเรียนในสังกัด สพม.เขต 31 ต้องการเรียกบรรจุครูผู้ช่วยวิชาเอกภาษาจีนอีก ก็จะไม่มีให้แล้ว ส่วนว่าจะขอเรียกบรรจุจากบัญชีรายชื่อของเขตพื้นที่ฯอื่นๆ ก็พบว่าไม่พอบรรจุเช่นกัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องขอเปิดสอบใหม่บางสาขาวิชาเอกในปีหน้า” นายชูเกียรติกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผลการสอบบรรจุครูผู้ช่วยในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งประกอบด้วย จ.นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ มีการจัดสอบทั้งหมด 6 เขตพื้นที่ฯ โดยได้ประกาศผลสอบอย่างเป็นทางการแล้วดังนี้ สพม.เขต 33 สุรินทร์ มีผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 223 ราย สอบผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยสอบทั้งสิ้น 223 ราย สอบผ่านเกณฑ์คะแนนร้อยละ 60 จำนวน 27 ราย, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สุรินทร์ เขต 3 ผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 258 ราย สอบผ่าน 13 ราย, สพม.เขต 32 บุรีรัมย์ ผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 366 ราย สอบผ่าน 21 ราย, สพป.นครราชสีมา เขต 3 ผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 2,749 ราย สอบผ่าน 117 ราย, สพม.เขต 30 ชัยภูมิ ผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 1,743 ราย สอบผ่าน 90 ราย และ สพม.เขต 31 นครราชสีมา ผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 1,380 ราย สอบผ่าน 120 ราย โดยรวมทั้ง 6 เขตพื้นที่ฯใน 4 จังหวัดดังกล่าว มีผู้เข้าสอบรวมทั้งสิ้น 6,725 คน สอบผ่านเพียง 388 คน คิดเป็นร้อยละ 5.77 ซึ่งถือว่ามีผู้สอบผ่านน้อยที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่เคยจัดสอบมาของเขตพื้นที่ฯในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33232&Key=hotnews

ค่ายเยาวชนอาเซียนค่ายของผู้นำเยาวชนในอนาคต

3 กรกฎาคม 2556

เมื่อพูดถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community หรือ AC) ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การให้ข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของการเป็นประชาคมอาเซียนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนให้มีความสามารถ ทั้งด้านภาษา ความคิด และมีจิตสาธารณะ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นสมาชิกประชาคมอย่างมีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จึงจัด โครงการฝึกอบรมปฏิบัติการนานาชาติประชาคมอาเซียน ครั้งที่ 2 (The 2nd ASEAN Youth Camp Working Together a Sustainable Future) เพื่อให้เด็กจากประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ได้เข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในการเป็นประชาคมอาเซียน รวมถึงการสร้างเครือข่ายการศึกษาเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เมื่อวันที่ 23–29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ ชลพฤกษ์รีสอร์ท จังหวัดนครนายก

ภาพเด็กจากประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มอาเซียนจำนวน 85 คน ที่ร่วมกันทำกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น สนุกสนานแม้จะมาจากชาติที่หลากหลาย ต่างภาษาต่างวัฒนธรรม แต่ก็สามารถทำงานร่วมกันได้ น.ส.วงเดือน สุวรรณศิริ นักวิชาการศึกษาชำนาญการ สำนักวิชาการและมาตรฐาน สพฐ. ในฐานะผู้อำนวยการค่าย ซึ่งเป็นผู้ออกแบบกิจกรรมโครงการในครั้งนี้ กล่าวว่า โครงการฝึกอบรมปฏิบัติการนานาชาติประชาคมอาเซียน เคยจัดขึ้นแล้ว เมื่อปลายปี 2554

ภายใต้โครงการ “The Thai – ASEAN Camp and Students Exchange Programmer” ซึ่งครั้งนั้นยังไม่ค่อยมีคนรู้และเข้าใจเรื่องของความเป็นอาเซียนเท่าใดนัก จึงเน้นเรื่องสามเสาหลักในการฝึกอบรมคือ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง เป็นประเด็นสำคัญ แต่สำหรับครั้งนี้ ซึ่งเป็นการจัดครั้งที่ 2 ได้เน้นการให้ความสำคัญเรื่องของการทำงานเป็นทีมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้หลักการทำงานโดยผ่านประสบการณ์ในการทำกิจกรรม โดยนำหลักสูตรของการอบรมผู้นำเยาวชนของประเทศอังกฤษมาเป็นแบบอย่างในการทำกิจกรรม

กิจกรรมที่จัดทั้งหมดจะเน้นเรื่องของบันไดแห่งการเรียนรู้ 5 ขั้น เริ่มจากขั้นแรก เรียนรู้ที่จะตั้งคำถามที่ดีและมีประสิทธิภาพ ขั้นที่ 2เรียนรู้ที่จะค้นคว้าหาความรู้ ขั้นที่ 3 เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจในข้อมูลต่าง ๆ ขั้นที่ 4 เรียนรู้ที่จะสื่อสาร แบ่งปันให้คนอื่นได้รู้ในสิ่งที่ตนเรียนรู้มา เพราะการช่วยให้คนอื่นได้รู้เป็นการยกระดับความสามารถหรือศักยภาพอีกระดับหนึ่งของตัวเด็กเอง และ ขั้นที่ 5 เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือสังคม โดยในทุกขั้นบันไดแห่งการเรียนรู้ได้มีการวางเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ให้นักเรียนได้ปฏิบัติได้ทำร่วมกันโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ นอกจากนี้ยังมีการให้ความรู้เรื่องการเมืองและความมั่นคง ซึ่งจะเน้นเรื่องของความเสมอภาค การอยู่ร่วมกันเพื่อให้เกิดสันติภาพและความสงบสุข รวมถึงการแสดงความคิดเห็นและการรับฟังซึ่งกันและกัน แต่เราจะไม่ไปวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์การเมืองว่าแบบไหน วิธีไหนดีที่สุด เพราะแต่ละประเทศในอาเซียน มีลักษณะการปกครองที่ค่อนข้างหลากหลาย
อดีตเยาวชนอาเซียน ปี 2531 น.ส.อ้อยอัจฉรา สายืน อาจารย์จากโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร บอกว่า เห็นด้วยกับการจัดโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนจากประเทศต่าง ๆ ได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้เด็กได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องของภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นการเปิดโลกทัศน์ ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เท่าที่สังเกตต้องยอมรับว่า ถึงแม้ปัจจุบันเด็กไทย
มีความสามารถใกล้เคียงกับเด็กประเทศอื่น ๆ ทั้งเรื่องของการแสดงออก ความคิด ความสามารถ แต่เรื่องการใช้ภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษเด็กไทยเรายังอ่อนกว่าเด็กจากประเทศอื่น ๆ เพราะหลายประเทศใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และที่ต้องยอมรับอีกเรื่องหนึ่งคือ เด็กไทยค่อนข้างขาดทักษะในการคิดชั้นสูง เนื่องจากการจัดการเรียนการสอนของเรามักจะเน้นให้ฟังครูสอนอย่างเดียว แต่ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการคิด วิเคราะห์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้เท่าที่ควร
นายเพชร พูพาม อาจารย์จากโรงเรียนมัธยมสมบูรณ์ มิตรภาพลาว– เวียดนาม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวว่า ลาวยังมีจุดด้อยตรงที่ยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา ดังนั้นรัฐบาลลาวจึงต้องวางหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับประชาคมอาเซียนเข้าสู่โรงเรียน รวมถึงฝึกอบรมครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังสามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ก้าวหน้า ทันสมัยและมีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลให้กับนักเรียนในโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมตอนนี้ เพื่อให้เด็กมีความกระตือรือร้น ใฝ่รู้ร่ำเรียนการศึกษาต่าง ๆ ให้มากขึ้น

ขณะที่ Noor Hasimah Bte Ahmadi อาจารย์จาก College West ประเทศสิงคโปร์ กล่าวว่า ประเทศสิงคโปร์ยังไม่มีวิชาที่สอนเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน หลังจากเปิดประชาคมอาเซียนแล้วตนก็คาดหวังว่าเด็กจะมีโอกาสในการเรียนหนังสือ มีความเท่าเทียมในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และได้รับความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา มากขึ้นด้วย

ถึงแม้โครงการจะจบลงแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมค่ายร่วมกิจกรรมจะยังคงอยู่ และเชื่อว่าจะมีการสานต่อในอนาคต เชื่อว่าการจัดกิจกรรมลักษณะนี้จะทำให้เด็กมีความกล้าคิด กล้าแสดงออก มีความเป็นผู้นำ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตามอยากฝากว่าถ้าเป็นไปได้กิจกรรมลักษณะนี้น่าจะเปิดกว้างสำหรับเด็กอีกหลายกลุ่มที่อาจจะไม่มีโอกาสบ้าง เพื่อเป็นการพัฒนาเด็กจากหลากหลายกลุ่ม ให้มีโอกาสได้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงบ้างก็น่าจะดี.
สมจิตร์ พูลสุข

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33230&Key=hotnews

อาชีวะทุ่มงบส่งเด็กฝึกงานต่างแดน พัฒนาทักษะ-เทคโนโลยี-เพิ่มยอดเรียนวิชาชีพ

2 กรกฎาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวถึงโครงการความร่วมมือกับอาชีวศึกษาต่างประเทศ ในการจัดส่งนักเรียน นักศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ไปฝึกงานว่า สอศ.ไม่ได้มองศักยภาพนักเรียนนักศึกษาจำกัดอยู่แค่ระดับอาเซียน แต่มองภาพใหญ่ไปถึงระดับโลก ดังนั้น นอกจากการพัฒนาหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านขีดความสามารถที่สูงขึ้น และตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานแล้ว ยังประสานความร่วมมือไปยังอาชีวศึกษาในประเทศต่างๆ เพื่อจัดส่งเด็กอาชีวะไปเรียนรู้ฝึกงานยังประเทศนั้นๆ โดยใช้งบฯทั้งสิ้น 35 ล้านบาท

ทั้งนี้ยังเป็นเรื่องน่ายินดีที่โครงการดังกล่าวมียอดเด็กอาชีวะไปฝึกงานต่างประเทศสูงกว่ากรอบที่กำหนดไว้ คือปีการศึกษา 2556 จัดส่งไปทั้งสิ้น 835 คน จากที่ตั้งเป้าไว้ 500 คน นอกจากเด็กทั้งหมดจะได้รับความรู้ และทักษะการปฏิบัติงานจริงจากสถานประกอบการในต่างประเทศแล้ว ยังได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม ตลอดจนคำศัพท์ทางวิชาการในสาขาวิชาชีพ
เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า เด็กที่เดินทางไปฝึกงานมีระยะเวลาตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน มากสุด คือ อิสราเอล 165 คน นอกนั้นอยู่ระหว่าง 20-100 คน คือ เดนมาร์ก กัมพูชา จีน เยอรมนี ออสเตรเลีย มาเลเซีย บรูไน ญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนาม และพม่า สาขาที่จัดส่งไปฝึกงานมากที่สุด คือ สาขาเกษตร นอกนั้นเป็นธุรกิจเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร การโรงแรม ยานยนต์ การเพาะเลี้ยง แปรรูปสัตว์น้ำ หุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตและบริการ เทคโนโลยีวิทยา ศาสตร์และนวัตกรรม ธุรกิจบริการ อุตสาหกรรมต่อเรือ และวิชาชีพช่าง

นอกจากนี้ ในบางสาขายังจัดส่งครูไปเข้าร่วมกิจกรรมด้วย ระหว่างที่ฝึกงานเด็กจะได้รับเบี้ยเลี้ยงตามอัตราที่ประเทศนั้นๆ กำหนดไว้ โครงการนี้จึงเป็นแรงจูงใจให้เด็กเลือกเรียนสายอาชีวะเพิ่มมากขึ้นได้เป็นอย่างดี

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33225&Key=hotnews

ศธ.เล็งรื้อระบบสายด่วน 1579

2 กรกฎาคม 2556

ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ตนเตรียมจะปรับปรุงศูนย์การเรียนรู้วังจันทรเกษม เพื่อให้เป็นศูนย์พัฒนาภาษาสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สนับสนุนงบประมาณ 20 ล้านบาทและอุปกรณ์สื่อการเรียนรู้ต่างๆ โดยรูปแบบใหม่ของศูนย์ฯ จะเน้นการเป็นห้องเรียนรู้อาเซียน แบ่งพื้นที่การใช้สอยออกเป็นห้องต่าง ๆ รวมถึงมุมพักผ่อน มุมเครื่องดื่ม พร้อมโทรทัศน์ LCD ขนาด 80 นิ้ว และยังมีเครื่องแท็บเล็ตที่บรรจุเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้สืบค้นข้อมูลอีกด้วย นอกจากนี้ตนยังจะปรับปรุงสายด่วน 1579 เพราะที่ผ่านมาระบบการรับส่งข้อมูลข่าวสารยังล่าช้ามาก โดยเรื่องร้องเรียนกว่าจะถึงหน่วยปฏิบัติงานที่รับผิดชอบโดยตรงจะต้องผ่านหลายขั้นตอน ดังนั้นต่อไปจะปรับระบบใหม่โดยคัดเลือกเฉพาะเรื่องร้องเรียนกรณีเกิดความรุนแรง เช่น ไฟไหม้สถานศึกษา หรือนักเรียนทะเลาะวิวาท เพื่อส่งตรงไปยังศูนย์เสมารักษ์ให้ออกปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานอื่นมักจะไปถึงที่เกิดเหตุก่อนศูนย์เสมารักษ์ ซึ่งตนไม่อยากให้เป็นแบบนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องร้องเรียนอื่น ๆ เช่น การรับนักเรียน หรือเรื่องทุจริตก็จะใส่เป็นข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ส่งไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยระบบติดตามด้วยว่าเรื่องร้องเรียนได้รับการแก้ไขปัญหาหรือไม่.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33224&Key=hotnews

ส่งครูไทยบินฟิตภาษา ‘จีน’ สช.เดินหน้านำร่องทันที 100 คนปีนี้ พร้อมรับครูแดนมังกรช่วยสอนนักเรียน

2 กรกฎาคม 2556

โพสต์ทูเดย์ สช.จับมือจีนส่งครูไทยฝึกภาษา พร้อมรับครูจีนมาสอนในโรงเรียนเอกชน แก้ปัญหาขาดบุคลากร

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนเปิดเผยภายหลังหารือกับคณะผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนนานาชาติ (ฮั่นปั้น) ประจำประเทศไทยว่า ในปีนี้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มีโครงการความร่วมมือกับฮั่นปั้นในการส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีน โดย สช.จะส่งครูโรงเรียนเอกชน 100 คน ไปอบรมเรียนการสอนภาษาจีน ที่มหาวิทยาลัยครู

เทียนจิน นอร์มอร์ เมืองเทียนจิน ประเทศจีน และมหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมกรุงปักกิ่ง เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่เสียค่าที่พักค่าอาหาร และค่าเล่าเรียน เนื่องจากสำนักงานฮั่นปั้นจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ฝ่ายไทยจะต้องรับผิดชอบค่าเครื่องบินไป-กลับ

ขณะเดียวกันสำนักงานฮั่นปั้นได้ส่งครูอาสาสมัครจีนมาช่วยสอนภาษาจีนในโรงเรียนเอกชนที่ขาดแคลนครูภาษาจีนโดยปีนี้มีครูอาสาสมัครมาสอนภาษาในโรงเรียนเอกชนของไทยกว่า 600 คน
สำหรับปีหน้าฮั่นปั้นจะเพิ่มจำนวนครูอาสาสมัครสอนภาษาจีนเป็น 700 คน เพื่อช่วยแก้ปัญหาครูภาษาจีนขาดแคลนไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงเรียนเอกชนที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี

“สาเหตุที่มีความต้องการครูภาษาจีนมากขึ้น เนื่องจากประเทศจีนกำลังเติบโตและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภาษาจีนเป็นภาษาสำคัญและใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารอย่างแพร่หลายทั่วโลกขณะที่นักเรียนโรงเรียนเอกชนสนใจเรียนภาษาจีนเพิ่มขึ้นและจำนวนโรงเรียนเอกชนก็มีเพิ่มขึ้น ดังนั้นความต้องการครูสอนภาษาจีนจึงมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย” นายบัณฑิตย์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ครูอาสาสมัครจีนที่เดินทางมาช่วยสอนสามารถอยู่ในประเทศไทยเพียง 1 ปี และต้องเดินทางกลับ เนื่องจากเป็นสัญญารายปี ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนครูสอนภาษาจีนในระยะยาวสช. จึงมีโครงการส่งครูไทยไปอบรมการสอนภาษาจีนอย่างเข้มข้นที่ประเทศจีนเพื่อกลับมาสอนนักเรียนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ครูที่ได้รับทุนอบรมภาษาที่ประเทศจีนจะต้องกลับมาเป็นครูสอนภาษาจีนให้กับโรงเรียนเอกชนอย่างน้อยเป็นเวลา 3 ปี ส่วนคุณสมบัติผู้ขอรับทุนฝึกอบรมจะต้องจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สามารถสื่อสารภาษาจีนขั้นพื้นฐานได้

ปัจจุบันโรงเรียนในสังกัด สช.มีความต้องการครูสอนภาษาจีนปีละประมาณ1,000 คน แต่มีกำลังคนเพียง 600-700 คนเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33223&Key=hotnews