Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ครูไทยมีหนี้เฉลี่ยคนละล้านบาท ศธ.ไฟเขียวเงินกู้ช่วยรายละ 2 แสน

28 มิถุนายน 2556

ครูทั่วประเทศมีหนี้เฉลี่ยคนละ 1 ล้านบาท รวมกว่า 4 แสนล้านบาท ศธ.ไฟเขียวงบ 500 ล้านบาท ให้ครูกู้คนละ 200,000 บาท กำหนดโควตา 2,500 คน ย้ำครูที่ได้สิทธิกู้ต้องเป็นลูกหนี้ชั้นดี

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ครั้งที่ 1/2556 ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบและอนุมัติปล่อยกู้โดยใช้งบประมาณรายจ่ายเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ในวงเงินกว่า 548 ล้านบาท โดยในส่วนนี้เป็นวงเงินให้ครูกู้ จำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถกู้ได้ 2,500 คน คนละ 200,000 บาท ทั้งนี้ กองทุนนี้เป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ดังนั้นผู้ที่จะกู้ต้องมีหนี้อยู่ก่อนที่จะขอกู้ไม่ใช่ไม่มีหนี้เลยแต่มาขอกู้
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณารายละเอียดจะมีคณะอนุกรรมการกองทุนหมุนเวียนฯประจำเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้พิจารณา เพราะจะทราบว่าหนี้ไหนจำเป็นและสำคัญที่จะอนุมัติให้กู้ นอกจากนี้ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียน โดยเพิ่มเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามา เพื่อช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงของการปล่อยสินเชื่อ

ด้าน นายสุบรรณ ไชยศิริโชติ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า สำหรับการปล่อยกู้ให้กับข้าราชการครูฯจะมีวงเงินสูงสุดรายละ 2 แสนบาท อัตราดอกเบี้ย MLR-1 โดยการปล่อยกู้ให้เพื่อบรรเท่าช่วยเหลือครูที่มีหนี้สินให้สามารถจ่ายหนี้สินได้ซึ่งเงินจำนวน 2 แสนบาทจะจ่ายให้กับเจ้าหนี้ของครูไม่ได้โอนเงินดังกล่าวไปให้ครู แต่ครูต้องมาผ่อนชำระกับ ธ.ก.ส.แทน ส่วนคุณสมบัติของผู้มีสิทธิกู้ยืม อาทิ เป็นข้าราชการครูไม่น้อยกว่า 5 ปี มีเงินเดือนคงเหลือสุทธิไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของเงินเดือน เป็นผู้ที่เคยได้รับอนุมัติให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ไม่เป็นผู้ที่อยู่ในระหว่างถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ไม่เป็นผู้ที่ถูกฟ้องร้องคดีล้มละลาย เป็นต้น

สำหรับสถานการณ์หนี้สินครูในปัจจุบันจากข้อมูลการสำรวจหนี้สินครูล่าสุด ปี 2555 พบว่าครูทั่วประเทศประมาณ 4 แสนกว่าราย มีหนี้สินเฉลี่ยรายละ 1 ล้านบาท รวมมีหนี้สินประมาณ 4 แสนกว่าล้านบาท แต่เมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินของครูส่วนใหญ่แล้วมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน แต่อาจจะมีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีหนี้วิกฤตประมาณ 2,000 กว่าราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมาก

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33186&Key=hotnews

ครูผู้ช่วยคดีเก่า! พบพิรุธใน 5 วิชาเอกคะแนนสูงผิดปกติ 204 ราย

28 มิถุนายน 2556

ก.ค.ศ.เผยสั่งเพิกถอนกลุ่มส่อทุจริตสอบครูผู้ช่วยแล้ว 42 ราย เหลืออีก 65 ราย เร่งเขตพื้นที่ฯ ยังไม่ได้ดำเนินการรายงานผล ขณะที่ เลขาธิการ ก.ค.ศ.เผยได้รับข้อมูลจาก สพฐ.พบมีผู้ทำคะแนนสูงกว่าปกติใน 5 วิชาเอก อีก 204 ราย ส่งข้อมูลให้ จุฬาฯ วิเคราะห์แล้ว ขณะที่ผู้ถูกเพิกถอน 60 ราย ขอยื่นอุทธรณ์แล้วรอตรวจสอบข้อมูลต่อไป

วานนี้ (27 มิ.ย.) นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้หารือเกี่ยวกับกรณีการเพิกถอนการบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย ที่เข้าข่ายทุจริตจำนวน 344 ราย ใน 119 เขตพื้นที่ฯ ซึ่ง ก.ค.ศ.มีมติให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งตามมาตรา 53 ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสั่งเพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งดำเนินการเพิกถอนนั้น ซึ่งขณะนี้มีเขตพื้นที่ฯ รายงานว่ามีการดำเนินการเพียง 42 เขตพื้นที่ฯ และใน 42 เขตพื้นที่ฯ นั้นมีผู้เข้าข่ายการทุจริตสอบทั้งหมด 131 ราย ในจำนวนนี้ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการครูแล้ว 107 ราย ใน 38 เขตพื้นที่ฯ ซึ่งทางสถานศึกษาผู้มีอำนาจได้ทำการเพิกถอนแล้ว 42 ราย ใน 22 เขตพื้นที่ ฯ เหลือที่ยังไม่สั่งเพิกถอนอีก 65 รายใน 19 เขตพื้นที่ฯ เพราะฉะนั้น ก.ค.ศ.จึงเร่งรัดให้เขตพื้นที่ฯที่ยังไม่ได้เพิกถอนการบรรจุแต่งตั้งรายงานผลการดำเนินการเข้ามา รวมทั้งเร่งรัดให้อีก 77 เขตพื้นที่ฯที่ยังไม่ได้รายงานผลรีบรายงานเข้ามาด้วย

นอกจากนี้ มีข้อมูลเบื้องต้นพบว่า คนที่ไม่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งบางส่วนปฏิบัติหน้าที่เป็น ครูผู้ช่วย 24 ราย พนักงานราชการ 5 ราย ครูอัตราจ้าง 7 ราย และไม่สามารถระบุข้อมูลได้ 12 ราย ซึ่งในกลุ่มนี้ ก.ค.ศ.ไม่สามารถตามไปดำเนินการกับต้นสังกัดได้เนื่องจากคนกลุ่มนี้สถานศึกษาเป็นจัดจ้างเอง จึงไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพราะฉะนั้นต้องให้สถานศึกษา หรือต้นสังกัดไปพิจารณาเองหากเข้าข่ายการทุจริตสอบนั้น จะทำให้คนกลุ่มนี้ขาดคุณสมบัติตามเกณฑ์หรือระเบียบที่มีอยู่หรือไม่

ด้าน นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ส่งผลการตรวจสอบคะแนนใน 5 วิชาเอกมาเพิ่มเติมพบว่ามีผู้เข้าสอบครูผู้ช่วย จำนวน 204 ราย ซึ่งพบว่าทำคะแนนได้สูงเกือบเต็มใน 5 วิชาเอกดังกล่าว แต่กลับทำข้อสอบผิดในข้อซ้ำๆ กัน ซึ่งเข้าข่ายว่ามีพิรุธ จึงรายงานให้ ก.ค.ศ.ทราบว่าในเบื้องต้น โดยขณะนี้ สพฐ.ได้ขอให้ทางจุฬาลงกรณ์วิทยาลัยวิเคราะห์ผลคะแนนดังกล่าว เพื่อหาข้อเท็จจริงต่อไป ทั้งนี้ในจำนวน 204 รายนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าซ้ำซ้อนกับรายชื่อใน 344 คนหรือไม่

นางรัตนา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ที่ถูกยกเลิกการบรรจุแต่งตั้งไปแล้ว จำนวน 60 รายในกลุ่ม 344 รายนั้นได้ยื่นเรื่องอุทธรณ์มา ก.ค.ศ.ซึ่ง ก.ค.ศ.จะต้องมาพิจารณาในรายละเอียดก่อนว่า ผู้อุทธรณ์ยื่นมาในเรื่องใดบ้าง ขณะเดียวกันจะขอให้เขตพื้นที่การศึกษาฯ ส่งข้อมูลคนเหล่านี้กลับมายังก.ค.ศ.เพื่อประกอบการพิจารณาจากนั้นจะสรุปเรื่อง และนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะคณะอนุ ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ ต่อไป

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33185&Key=hotnews

สพฐ.กำชับโรงเรียนเข้มระบบดูแลนักเรียน

28 มิถุนายน 2556

สพฐ.กำชับโรงเรียนเพิ่มความใส่ใจระบบดูแลนักเรียนเพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ย้ำถ้าเด็กอยู่ในโรงเรียนต้องอยู่ในสายตาครูทุกอิริยาบถ ชี้สอนเพศศึกษาควรเริ่มตั้งแต่ระดับประถม โดยวิทยากรที่เชี่ยวชาญ หวั่นเป็นดาบสองคมให้ทั้งความรู้และอาจเป็นการชี้แนะให้เด็กอยากลองก็ได้
วานนี้(27มิ.ย.)ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงกรณีครูโรงเรียนนครพนมวิทยาคมเปิดเผยปัญหาสังคมหลังพบเด็กหญิงวัยเพียง 10 ขวบตั้งครรภ์และคลอดลูกก่อนวัยอันควรว่า เรื่องนี้จะต้องเน้นระบบการดูแลนักเรียนให้มีความเข้มข้น เพราะจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีนักเรียนผู้ชายเล่นกันจนนำไปสู่การทำร้ายร่างกายและเสียชีวิต ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนยังมีช่องว่างเรื่องระบบดูแลนักเรียนอยู่ ซึ่งเด็กระดับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาหากโรงเรียนปล่อยให้ไปทำกิจกรรมกันเองโดยที่ไม่อยู่ในสายตาของครูก็อาจเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ได้ ดังนั้นแนวปฎิบัติเรื่องระบบการดูแลนักเรียนจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดดชอบของโรงเรียนที่จะดูแลเฝ้าระวังนักเรียนทุกอิริยาบถเมื่อเด็กยังอยู่ในโรงเรียน

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมโครงการ “นครพนมวัยใสห่วงใยสุขภาพ”ของโรงเรียนนครพนมวิทยาคม จ.นครพนม ได้เปิดเผยปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องการท้องก่อนวัยอันควรนั้น ก็ต้องยอมรับเมื่อทำโครงการลักษณะนี้ขึ้นคงจะปกปิดข้อมูลไม่ได้ เพราะเมื่อพบปัญหาก็จะต้องได้รีบหาทางแก้ไขอย่างถูกต้อง ซึ่งการพยายามแก้ไขปัญหาเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วแต่วิธีการนำเสนอจะต้องดูว่าอะไรเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด อย่างไรก็ตามโครงการดังกล่าวที่โรงเรียนจัดขึ้นร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ถือเป็นโครงการที่ดีที่พยาพยามดูแลคุณภาพชีวิต ร่างกาย จิตใจ และความประพฤติของคนในสังคม เพื่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะมิติด้านการศึกษา ดังนั้นโครงการใดก็ตามที่สสส.ดำเนินการ ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เห็นด้วยและพร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

“ครูจะต้องดูแลนักเรียนให้อยู่ในสายตาตลอดเวลาขณะที่ยังอยู่ในโรงเรียน และต้องทำให้เกิดเป็นบรรทัดฐานในการปฎิบัติงานของครูอย่างจริงจังด้วย เพราะในโรงเรียนบางแห่งจะมีมุมอับลับตาคน เมื่อเลิกเรียนแล้วโรงเรียนนจะต้องกำหนดแนวปฎิบัติให้เด็กลงมาอยู่ในพื้นที่ควบคุมดูแลของครูอย่างเคร่งครัด” เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาตนอยากให้เริ่มการให้ความรู้ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา แต่จะต้องอาศัยวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญเน้นการให้ความรู้ด้านวิชาการ เพราะเรื่องนี้เหมือนดาบสองคมระหว่างการให้ความรู้และการชี้แนะให้เกิดความอยากลองแต่ทั้งนี้ครูแลผู้บริหารจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่นักเรียนด้วย โดยจากนี้ไปจะไม่ใช่ครูเพียงคนเดียวที่เรียนรู้ด้านศีลธรรมแต่เป็นหน้าที่ของครูทุกคน และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นครูทุกคนจะต้องร่วมรับผิดชอบ” ดร.ชินภัทร กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33184&Key=hotnews

สพฐ.ยันงบจัดซื้อรถตู้ยังไม่ถูกแขวน

28 มิถุนายน 2556

สพฐ.ยันงบจัดซื้อรถตู้ 1,000 คันยังไม่ถูกแขวน “พงศ์เทพ”ยันราคาสูงเกินไป พร้อมมีเสียงข้างมากจาก กมธ.วิสามัญฯ

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ได้แขวนเรื่องการพิจารณางบประมาณเพื่อจัดซื้อรถตู้ขนาด 12 ที่นั่ง จำนวน 1,000 คัน ในราคา 2,343,724,000 บาทเฉลี่ยคันละ 2 ล้านบาทของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ออกไปและมองว่าราคาสูงเกินไป พร้อมมีเสียงข้างมากจาก กมธ.วิสามัญฯ ต้องการให้ปรับเปลี่ยนจากรถตู้ 12 ที่นั่ง มาเป็นรถบัสแทน เนื่องจากสามารถจุนักเรียนได้มากกว่า 30 คนขึ้นไป

โดยมอบให้อนุ กมธ.ด้านการศึกษาพิจารณาก่อนเข้าสู่ กมธ.ชุดใหญ่ต่อไป ว่า เนื่องจากงบประมาณของ ศธ.เป็นวงเงินจำนวนมากทาง กมธ.จึงได้ตั้งอนุ กมธ.ขึ้นมาเพื่อพิจารณาในเรื่องของงบประมาณส่วนต่าง ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งกรณีตัวเลขงบประมาณในการจัดซื้อรถตู้ 12 ที่นั่งที่เสนอใน กมธ.วิสามัญฯ ยังเป็นจำนวน 2,343,724,000 บาทนั้น เรื่องนี้ทางสำนักงบประมาณได้ชี้แจงและมีการแก้ไขตัวเลขที่ถูกต้อง คือ รถตู้จำนวน 12 ที่นั่ง จำนวน 1,000 คัน ๆ ละ 1.2 ล้านบาท รวมเป็นงบประมาณ1,200 ล้านบาทเศษซึ่งได้แก้ไขตั้งแต่ครั้งเสนอในที่ประชุมรัฐสภารวมทั้งส่งให้ กมธ. ด้วยอย่างไรก็ตาม งบประมาณที่ตั้งในการจัดซื้อรถตู้ 12 ที่ นั่งเครื่องยนต์ดีเซลนั้นมีการกำหนดราคากลางไว้อยู่แล้วเพราะฉะนั้น ทุกกระทรวงที่จะซื้อรถตู้แบบเดียวกันนี้ก็จะต้องตั้งงบประมาณเหมือนกัน ส่วนที่เสนอว่าให้ซื้อรถบัสแทนรถตู้นั้นโดยปกติ กมธ.ไม่สิทธิเปลี่ยนซึ่งการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อแบบอื่นจะต้องเสนอผ่านที่ ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( กพฐ.) กล่าวว่า เรื่องการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก โดยจัดซื้อรถตู้เพื่อการรับส่งนักเรียนซึ่งยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ดังนั้น ทางกมธ.วิสามัญฯ ได้มีมติให้ส่งเรื่องนี้ให้ อนุกมธ.ด้านการศึกษาพิจารณาต่อไป ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของสพฐ.จะต้องจัดเตรียมรายละเอียดและแผนการใช้รถตู้ จำนวน 1,000 คันนำเสนออีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สพฐ.ได้เสนอต่อที่ประชุม กมธ.วิสามัญฯ ว่าผลการสำรวจข้อมูลจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) พบมีโรงเรียนทำแผนในการเคลื่อนย้ายนักเรียนมาเรียนรวมกัน 2,600 แห่ง แสดงว่าเป็นแผนใช้รถตู้ ซึ่งก็มีความเห็นจากที่ประชุมว่าจำเป็นต้องใช้รถตู้เหมือนกันทุกพื้นที่หรือไม่ เพราะในบางพื้นที่อาจจะสามารถใช้รถกระบะซึ่งเหมาะสมกับสภาพของถนนมากกว่า เป็นต้น แต่ในมุมมองของ สพฐ.และเขตพื้นที่ฯ เห็นว่าการมีรถตู้นั้นเน้นความปลอดภัยเป็นหลักโดยยึดตามระเบียบของกรมขนส่งทางบก เช่น ประตูทางขึ้น ที่นั่งเครื่องมืออุปกรณ์ครบ เน้นไม่ได้แต่เรื่องการรับส่งอย่างเดียว ซึ่งเมื่ออนุกมธ.วิสามัญฯ เรียกชี้แจงจะได้นำเสนอแผนการใช้รถต่อไป

“ขณะนี้เรื่องรถตู้ยังไม่ได้มีการบอกว่าแขวนไว้ก่อนแต่อย่างใด มีเพียงแต่มติของ กมธ.วิสามัญฯ ที่ได้มอบให้ สพฐ.ทำแผนการใช้มาเสนอกับทางอนุกมธ.วิสามัญฯ เป็นผู้พิจารณาก่อนนำเสนอให้ทาง กมธ.วิสามัญฯ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งงบประมาณในเรื่องอื่น ๆ ของ สพฐ.ก็ผ่านเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงเรื่องรถตู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมซึ่ง สพฐ.จะทำข้อมูลเพื่อนำไปเสนอทันทีที่ทางอนุกมธ.วิสามัญฯ เรียกไปชี้แจง” นายชินภัทร กล่าว

ที่มา: http://www.bangkokbiznews.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33183&Key=hotnews

เตรียมเด็กสู่อาเซียน สร้าง’ทัศนคติที่ดี’ต่อเพื่อนบ้าน

27 มิถุนายน 2556

อีก 2 ปีกว่าๆ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การรวมตัวเป็น “ประชาคมอาเซียน” ซึ่งสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมมากที่สุด คือ “เตรียมคน”โดยเฉพาะ “เด็กเยาวชน” ให้มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน
คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา จัดงานสัมมนาเรื่อง “ยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมเด็กไทยสู่เวทีอาเซียน” ที่ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ 306-308 ชั้น 3 อาคารรัฐสภา 2 โดยได้ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มาปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ การเตรียมความพร้อมทางการศึกษาของเด็กไทยสู่เวทีอาเซียน

นายพงศ์เทพกล่าวว่า ที่ผ่านมาจากประสบการณ์ของหลายชาติในโลกปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก อาทิ ประเทศสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรอื่นๆ แต่เน้นพัฒนาคนจนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศแนวหน้าของโลก ขณะที่ประเทศไทยต้องยอมรับว่า แม้จะลงทุนเรื่องการศึกษามาก แต่คุณภาพกลับไม่เป็นที่พอใจ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะนโยบายด้านการศึกษาที่ผ่านมาดำเนินมาผิดทาง ซึ่งหากต้องการให้ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ อาจต้องทบทวนว่าอยากได้คนแบบไหนในอนาคตระหว่างคนที่เรียนด้วยการท่องจำหรือการคิดวิเคราะห์

“อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเด็กคือภาษา หากเด็กไม่รู้ภาษาอังกฤษถือว่าเสียเปรียบ นอกจากนี้ การมีภาษาที่ 3 จะยิ่งได้เปรียบในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังต้องกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องของอาเซียนมากขึ้น ทั้งในเชิงวัฒนธรรมและทัศนคติ รวมถึงสร้างคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกประชาธิปไตย ที่ต้องปลูกฝังตั้งแต่เล็กๆ ให้เป็นค่านิยม เพราะหากปล่อยให้เข้าโรงเรียนแล้วมากล่อมเกลา อาจจะช้าเกินไป”

ภายในงานเดียวกันได้มีการอภิปรายเรื่องยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมเด็กไทยสู่เวทีอาเซียนดร.สายสุรี จุติกุล รองประธานคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัย กล่าวว่า ที่ผ่านมานโยบายด้านการพัฒนาเด็กของไทยดีมาก มีเอกสารของแต่ละหน่วยงานชัดเจน แต่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้จริง เห็นได้ชัดว่าปัญหาเด็กไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังเป็นปัญหาเดิมๆ ซึ่งบรรจุในหลายฉบับ ก็แก้ปัญหาไม่ได้สักที

“ทางแก้ไขจึงต้องรู้จักปรับยุทธศาสตร์ต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และต้องเริ่มปรับที่ตัวผู้ใหญ่เอง เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็ก เช่น อยากให้เด็กมีจิตสำนึกด้านประชาธิปไตยและเคารพสิทธิผู้อื่น ก็จำเป็นจะต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างเสียก่อน รวมถึงผลักดันให้เด็กรู้จักเพิ่มคุณค่าให้ตนเองจากภายในด้วย”

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย เลขาธิการมูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก กล่าวว่า การ เตรียมเด็กเข้าสู่อาเซียนจำเป็นต้องสร้างฐานความเป็นไทยในใจเด็ก เพื่อหาตัวตนให้กับเด็ก ปัจจุบันเด็กไทยบางคนยังพูดภาษาไทยได้ไม่ถูกต้อง และไม่รู้จักภูมิปัญญาของไทย จึงต้องเร่งสร้างอัตลักษณ์ให้แก่เด็ก ไม่ว่าจะจับเรื่องใดก็ตามขอให้ชัดเจนในการสร้างตัวตนให้แก่เด็ก รวมทั้งต้องสร้างความเข้าใจเรื่องอาเซียนให้แก่เด็ก ศึกษาภาษาต่างๆ ของประเทศเพื่อนบ้าน มิใช่เพียงภาษาอังกฤษ ง่ายๆ คือ ต้องรู้ฐานวัฒนธรรม รู้ว่าชนชาติใดไม่ชอบอะไรเพื่อจะไม่เป็นการเหยียดชาติอื่นโดยไม่รู้ตัว
“เด็กรุ่นใหม่จำเป็นจะต้องสร้างทัศนคติต่อเพื่อนบ้านในอาเซียนใหม่ เพราะเด็กไทยมีทัศนคติในการเหยียดชาติอื่นๆ สูงมาก มองตนเองว่าอยู่เหนือกว่าทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง เวลาที่จำเป็นจะต้องรวมกลุ่มเพื่อหารือในประเด็นต่างๆ จึงไม่สามารถจับกลุ่มกับผู้อื่นได้”

เรื่องของอาเซียนไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้นที่สำคัญ หาก “คน” ในอาเซียนก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคนเป็นผู้ขับเคลื่อนให้อาเซียนก้าวไปข้างหน้าได้

–มติชน ฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33177&Key=hotnews

ยันคุรุสภาต้องเลือกผู้แทนเขตฯเอง

27 มิถุนายน 2556

นายประวิทย์ บึงไสย์ เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการคุรุสภามีมติมอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภาไปพิจารณาเสนอให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาซึ่งผู้แทนคุรุสภาใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา โดยให้คุรุสภาเป็นผู้คัดเลือกผู้แทนเองทั้ง 245 เขต เหมือนหลักเกณฑ์ปี 2548 แทนที่จะเป็นหลักเกณฑ์ปี 2553 ที่ให้คุรุสภาเสนอรายชื่อเขตพื้นที่ฯละ 2 คน และเขตพื้นที่ฯเสนออีก 2 คน ให้ ก.ค.ศ. เลือกเพียง 1 คน นั้น ตนมองว่าคุรุสภาก็มีศักดิ์ศรีและสิทธิในฐานะองค์กรที่มีผู้แทนของตัวเองได้ตาม พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ก็กำหนดให้เลขาธิการคุรุสภาเป็นกรรมการโดยตำแหน่งใน ก.ค.ศ. แสดงให้เห็นว่าสถานภาพขององค์กรก็มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน

“ถ้าคิดถึงหลักการกระจายอำนาจ ยิ่งจำเป็นต้องให้คุรุสภาเลือกผู้แทนไปทำหน้าที่ดูแลผู้ประกอบวิชาชีพครูในเขตพื้นที่ฯ แทนคุรุสภา ผมอยากให้มองว่า ในทางกลับกันการกำหนดให้มีผู้แทนหน่วยงานในกรรมการคุรุสภา คุรุสภาก็ไม่ได้เลือกผู้แทนให้หน่วยงานนั้น ๆ ดังนั้นผมหวังว่า ก.ค.ศ.น่าจะเปิดใจกว้างรับฟังข้อคิดเห็นนี้ด้วย” นายประวิทย์ กล่าวและว่า นอกจากนี้ตนขอเร่งรัดให้มี อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 1 และนครราชสีมา เขต 3 ชุดใหม่ ด้วย เพราะชุดเดิมทำหน้าที่แทนมากว่า 3 ปีแล้ว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33176&Key=hotnews

ศธ.จับมือพระดาบสภาคใต้ ประกวดร้องเพลงชิงถ้วยพระราชทานฯ

27 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานแถลงโครงการประกวดขับร้องบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ “คำพ่อสอน” โดยมีนายบัญญัติจันทน์เสนะ เลขาธิการโครงการพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และรองเลขาธิการโครงการพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมผู้บริหารองค์กรหลัก ศธ. เข้าร่วม โดยกระทรวงศึกษาฯ จะร่วมกับโรงเรียนพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดขึ้นระหว่างวันที่16-17ส.ค.นี้

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมากระทรวงศึกษษฯ ได้ส่งเสริมให้สถานศึกษาในสังกัดร่วมน้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำไปปฏิบัติในรูปแบบการเรียนการสอนและกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงได้จัดพิมพ์หนังสือ “คำพ่อสอน” มอบให้กับสถานศึกษา โดยเฉพาะหนังสือประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส “คำพ่อสอน” เล่มเด็กและเยาวชน กระทรวงศึกษาฯได้กำหนดให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลา และส่งมอบให้ห้องสมุดโรงเรียนทุกแห่ง เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า เพราะกระทรวงศึกษาฯตระหนัและเล็งเห็นความสำคัญในการปลูกฝังสร้าง “คน” ให้เป็น ”คนดี คนเก่ง” จึงน้องนำและส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา เยาวชน และคนไทยทุกคนยึดถือพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรมและพร้อมขับเคลื่อน โครงการประกวดขับร้องบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ “คำพ่อสอน” นับเป็นโอกาสอันเป็นมงคลที่คนไทยทุกคนจะได้ร่วมกันแสดงปณิธานในการน้อมนำคำพ่อสอนสู่การประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ด้านนายบัญญัติ กล่าวว่า โรงเรียนพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นจากกระแสพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชหฤทัยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ต่อเยาวชนนอกระบบการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงพระราชทานแนวทางการจัดการศึกษาตามรูปแบบโรงเรียนพระดาบส ให้เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ กำพร้าบิดา มารดา ไม่มีอาชีพและความรู้พื้นฐานที่จะศึกษาต่อในสถานบันการศึกษาขั้นสูง ได้รับการฝึกวิชาชีพ อบรมคุณธรรมศิลธรรมตามศาสนาที่ตนเองนับถือ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ เพื่อให้ศิษย์พระดาบสออกไปประกอบสัมมาชีพ สร้างตนเอง สร้างครอบครัว และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภาพใต้ร่มพระบารมี
นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า โรงเรียนพระดาบสจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี2542เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เยาวชนน้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสไปประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิต และที่ผ่านมาได้จัดพิมพ์หนังสือ “คำพ่อสอน” โดยการประมวลพระบรมราโชวาท และพระราชดำนรัสคำพ่อสอนเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนคำพ่อสอนเกี่ยวกับความสุขในการดำเนินชีวิต และคำพ่อสอนเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงเผยแพร่และร่วมกับหลายภาคส่วนจัดกิจกรรมต่าง ๆ

สำหรับ โครงการประกวดขับร้องบทเพลงเฉลิมพระเกียรติ “คำพ่อสอน” จัดขึ้น ระหว่างวันที่16-17สิงหาคม นี้ ณ สวนประวัติศาสตร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จ.สงลา ซึ่งการประกวดมี3ระดับ คือ1. ระดับนักเรียน ตั้งแต่ชั้นประถมฯ – มัธยมฯ และปวช.2. ระดับอุดมศึกษา ในระดับ ปวช. และปริญญาตรี และ3. ประชาชนทั่วไป โดยทุกระดับสามารถเลือกสมัครได้ทั้งขับร้องเดี่ยวหรือร้องหมู่ และสมัครได้ทางเว็บไซต์คำพ่อสอนhttp://www.kamphorsorn.org/รางวัลชนะเลิศอยู่ระหว่างดำเนินการขอพระราชทานถ้วยรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมรับเงินรางวัลและได้ร่วมแสดงคอนเสิร์ตเพลงเฉลิมพระเกียรติคำพ่อสอนกับศิลปินที่มีชื่อเสียง

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33175&Key=hotnews

เผยเด็กเพศที่ 3 เข้าสู่ กศน.มากขึ้น

27 มิถุนายน 2556

รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะกรรมการตัดสิน สุดยอด กศน. เปิดเผยว่า การแข่งขันรอบคัดเลือกระดับภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีทีม กศน. ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 18 ทีม วันที่ 16 ก.ค.นี้ ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี จากที่ตนดูการแสดงของนักเรียน กศน. มีข้อสังเกตว่า เวทีสุดยอด กศน. เปิดโอกาสให้เด็ก กศน.ซึ่งเป็นเด็กนอกระบบที่ด้อยโอกาส ได้ปลดปล่อยความสามารถที่มีอยู่ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เด็กส่วนใหญ่เข้าใจแนวคิดหลักของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและปัจจุบัน สามารถระเบิดความคิดออกมาเป็นการแสดงที่สร้างสรรค์ บางชุดการแสดงสามารถนำเสนออย่างอลังการ โดยภาพรวมแล้วแสดงให้สังคมได้เห็นว่า เด็ก กศน.เป็นเด็กฉลาด ที่สังคมเคยมองข้าม ที่สำคัญผู้แสดงไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 เป็นเพศที่ 3 สะท้อนว่าเด็กกลุ่มนี้ถูกผลักออกจากระบบโรงเรียนมากขึ้นและเข้าระบบ กศน.มากขึ้น.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33174&Key=hotnews

สอศ.พัฒนาสมรรถนะ ‘ครูอาชีวะลาว’ ติววิชาชีพสำคัญ ศูนย์ฝึก วท. 16 แห่ง-ลุยอาเซียน

27 มิถุนายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) กล่าวว่า ประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) กำลังจะเข้าสู่อาเซียนในปี’58 ซึ่งทางสปป.ลาวเห็นว่า การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องพัฒนากำลังคน โดยเฉพาะการอาชีวศึกษาที่ถือเป็นกำลังหลัก ที่จะทำให้ประเทศเข้าสู่อาเซียนเป็นผลสำเร็จ ทางสปป.ลาวจึงประสานกับไทย โดยความร่วมมือของธนาคารพัฒนาอาเซียน(Asian Development Bank) หรือเอดีบี และทางเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียงจันทน์ โดยจะช่วยพัฒนาอาชีวะของลาวและไทย ซึ่งจะต้องพัฒนาครูอาชีวะให้เข้มแข็ง มีความพร้อม จึงจัดทำโครงการพัฒนาความเข้มแข็งทางอาชีว ศึกษาของลาวขึ้น
โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) หารือกับนายหนูพัน อุตสา อธิบดีกรมอาชีวศึกษาลาว และกำหนดสาขาอาชีพที่เป็นความต้องการเบื้องต้นของสปป.ลาว ว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งปีที่ผ่านมาได้เริ่มใน 4 สาขา แต่ปีนี้ขยายเป็น 13 สาขาอาชีพ เป็นอาชีพที่จำเป็นเฉพาะด้าน เช่น ช่างก่ออิฐ ช่างเฟอร์นิเจอร์ ช่างทำหน้าต่าง เป็นต้น

เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษากล่าวต่อว่า อาชีพดังกล่าวแม้เป็นอาชีพเล็กๆ แต่สามารถทำงานได้จริง มีความจำเป็น และจะพัฒนาครูอาชีวะโดยยึดสมรรถนะเป็นฐาน ซึ่งจะฝึกอบรมครูอาชีวะลาว เน้นฝึกทักษะการทำงานที่ละเอียด นอกจากนี้ จะเน้นการฝึกในสถานประกอบการตามสาขาอาชีพ โดยแนวทางของปีนี้จะรับครูอาชีวะจากสปป.ลาวจำนวน 80 คน แบ่งเป็นรุ่นย่อยๆ 4 รุ่น รุ่นละ 20 คน ใช้เวลาแต่ละรุ่นประมาณ 4-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอาชีพ

โดย สอศ.จัดวิทยาลัย 16 แห่งรับผิดชอบ อาทิ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย วิทยาลัยการอาชีพเวียงเชียงรุ้ง วิทยาลัยเทคนิคเลย เป็นต้น โดยจะส่งครูอาชีวะไทยร่วมอบรม และเป็นวิทยากรด้วย เชื่อว่าโครงการนี้จะพัฒนาครูอาชีวะลาวให้มีทักษะ และจะได้ความสัมพันธ์ครูอาชีวะไทย-ลาว ช่วยยกระดับวิทยาลัยอาชีวะลาว และฝีมือแรงงานของประเทศได้

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33173&Key=hotnews

ค้านยุบรวม’วิทย์-คณิต’ทำพื้นฐานนักเรียนอ่อน

27 มิถุนายน 2556

นักวิชาการหวั่นลดชั่วโมงเรียน-ปรับกลุ่มสาระ สวนทางแนวคิดพัฒนาเด็ก
นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ที่เตรียมปรับเปลี่ยน โดยรวมกลุ่มการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน และลดชั่วโมงเรียนในระดับประถมศึกษาจาก 800 ชั่วโมงต่อปี เหลือ600 ชั่วโมงต่อปี เนื่องจากระดับคุณภาพของเด็กไทยในทั้งสองวิชาอ่อนอยู่แล้วและอาจจะกระทบเป็นวงกว้างในอนาคตโดยแนวคิดดังกล่าวสวนทางกับแนวความคิดที่จะพัฒนาเด็กไทยในด้านนี้ ซึ่งรัฐบาลเคยประกาศก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ แนวคิดการลดชั่วโมงเรียนลง และเพิ่มการเรียนรู้นอกห้องเรียน ศธ.จะต้องระบุให้ชัดเจนว่าการเรียนนอกห้องเรียนคืออะไร เพราะอาจจะเปิดช่องให้โรงเรียนจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนที่ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินเพื่อได้เข้าร่วมกิจกรรมมากขึ้น

นางนวลวรรณ สุนทรภิษัช รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ทั้งสองวิชาไม่ควรจะถูกรวมเป็นกลุ่มสาระเดียว และควรให้ความสำคัญเท่าเทียมกันเพราะถือว่าเป็นรากฐานสำหรับนักเรียนที่จะไปศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ.และประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่าการควบรวมสองหลักสูตร ไม่ได้หมายความว่าให้ความสำคัญกับทั้งสองกลุ่มสาระน้อยลง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าภาพรวมชั่วโมงเรียนจะลดลงทุกกลุ่มสาระเพื่อเปิดโอกาสให้เด็กเกิดการเรียนรู้นอกห้องเรียนมากยิ่งขึ้น

“ในระหว่างการนำร่องหลักสูตรใหม่ จะเปิดช่องให้ทำประชาพิจารณ์ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรพื้นฐานให้ดีขึ้น ก่อนจะปรับใช้ทั่วประเทศ และเตรียมปรับตำราเรียนด้วยเช่นกัน” นายภาวิช กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33172&Key=hotnews