Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ศธ.เล็งนำร่องหลักสูตรพื้นฐานใหม่ชั้น’ ป.1, 4- ม.1, 4′ 3 พันโรงเรียนปี’ 57

11 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการปาฐกถาเรื่อง “พลิกโฉมการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน หลากหลายเส้นทางสู่การปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21” ที่โรงแรมแกรนด์มิราเคิล กรุงเทพฯ ว่าการพัฒนาผู้เรียนที่แท้จริง สำคัญที่ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง จึงจะเกิดความรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่จากการสอนของครูอาจารย์เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งจากงานวิจัยเรื่องการวัดความคงอยู่ของความรู้และความจำของตัวบุคคลต่อการเรียนและสอน สหรัฐอเมริกา พบว่า หากครูสอนด้วยการให้ผู้เรียนจดบันทึกเพียงอย่างเดียว ผู้เรียนจะคงความรู้ และจำได้เพียง 5% หากผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างเป็นลำดับ โดยเฉพาะให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนตำราเอง จะเพิ่มเป็น 10% หากใช้สื่อเทคโนโลยีช่วย กระตุ้นความน่าสนใจการเรียนการสอน จะเพิ่มเป็น 20% หากเรียนผ่านการสาธิตเป็นประจำ โดยเฉพาะผ่านการเห็นของจริง อย่างการเรียนแพทย์ หรือสาขาวิทยาศาสตร์ ต่างๆ จะเพิ่มเป็น 30% หากผู้เรียนได้พูด หรือแสดงออกสิ่งที่เข้าใจในชั้นเรียน และได้ลงมือปฏิบัติ จะเพิ่มเป็น 75% หากผู้เรียนได้ถ่ายทอด หรือไปสอนผู้อื่น จะเพิ่มเป็น 90% และหากผู้เรียนได้ทำโครงงาน หรือวิจัยกับสิ่งที่ศึกษาด้วยตัวเอง จะเพิ่มมากกว่านี้อีก ดังนั้น การเรียนรู้ด้วย ตัวเองเป็นการเรียนรู้ที่ยั่งยืนกว่ารูปแบบ อื่น

“การศึกษาไทยขณะนี้ กำลังทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ ซึ่งเดินหน้าไปกว่า 80% ในหลักสูตรใหม่จะใส่เนื้อหาความรู้ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของสมอง ดังนั้น ตั้งแต่ระดับประถม มัธยมต้น จะเป็นเนื้อหาแบบบูรณาการ อย่างชั้น ป.1-2 จะเน้นเรียน 3 วิชาหลัก คือคณิตศาสตร์ ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ และวิชาอื่นๆ จะเป็นวิชาบูรณาการ ส่วนมัธยมปลายค่อยแตก แขนงเป็นรายวิชาเยอะขึ้น เพราะมีความเฉพาะมากขึ้น แต่จะปรับลดชั่วโมงในห้องเรียน มาเปลี่ยนเป็นการเรียนนอกห้องเรียนผ่านกิจกรรมโครงงาน-ชมรมแทน คาดว่าหลักสูตรใหม่จะเริ่มใช้ในโรงเรียนนำร่อง ตั้งแต่ปีการศึกษา 2557 โดยมอบให้มหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนเครือข่าย มากๆ ประมาณ 30 มหาวิทยาลัย นำร่อง เป็นกลุ่มแรก ตั้งเป้าว่าจะมีโรงเรียนในเครือข่ายฯ รวมประมาณ 3,000 แห่งนำร่อง ในระดับชั้น ป.1, ป.4, ม.1 และ ม.4 ก่อน” นายภาวิชกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32979&Key=hotnews

 

ทบทวนเปิด-ปิดเทอมรับอาเซียน สพฐ.พร้อมปรับเวลา-ห่วงเลื่อนมากกระทบเด็ก

10 มิถุนายน 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงการประชุมปรับเวลาเปิด-ปิดภาคเรียนของสถานศึกษาในสังกัด ศธ. มีมติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กลับไปทบทวนรายละเอียดการเปิด-ปิดภาคเรียนของโรงเรียนระดับการศึกษาพื้นฐาน พร้อมเสนอทำประชาพิจารณ์อีกครั้ง หลังจาก สพฐ.กำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ วันที่ 10 มิ.ย. ขณะที่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กำหนดให้มหาวิทยาลัยสมาชิก เปิด-ปิดภาคเรียนตามปฏิทินอาเซียน คือ ระหว่างกลางเดือนส.ค.-ก.ย. ส่งผลให้ช่วงเวลาการเปิดภาคเรียนของทั้ง 2 ระดับห่างกันถึง 2 เดือน ว่า สพฐ.ทำประชาพิจารณ์ไปรอบหนึ่งแล้ว โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมคือวันที่ 10 มิ.ย. ส่วนจะให้ทำประชาพิจารณ์รอบใหม่หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมาย จึงยังไม่ทราบว่าจะให้พิจารณาใหม่เพิ่มเติมในด้านใด

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่จะให้ สพฐ.ศึกษาข้อมูลการเปิด-ปิดภาคเรียนระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ของชาติสมาชิกอาเซียนและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก สพฐ.ได้ศึกษาข้อมูลพร้อมกับเสนอไปตั้งแต่รอบแรกแล้ว ซึ่งหลังจาก รมว.ศธ.รับฟังข้อคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่าย จึงมีแนวคิดในรอบแรก คือ ไม่อยากให้การเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนกระทบกับนักเรียน ผู้ปกครอง และวิถีชีวิตมากเกินไป ที่สำคัญคือโรงเรียนในชาติสมาชิกก็เปิดปิดภาคเรียนไม่ตรงกันอยู่แล้ว

“จริงๆ แล้วจะปรับอย่างไรก็อยู่ในวิสัยที่ทำ เพียงแต่การเตรียมการจะต่างกัน ถ้าเลื่อนออกไปไม่มากก็คงไม่ต้องปรับอะไร แต่ถ้าสมมติว่าเลื่อนออกไป 1-2 เดือน ก็คงต้องปรับ อย่างเรื่องตารางการสอบก็คงต้องมานั่งไล่กันใหม่เลย เพราะระบบการสอบโอเน็ต เอ็นที แกตแพต พวกนี้มีตารางล็อกอยู่ แต่หากมีคำสั่ง ซึ่งถือเป็นนโยบายให้ทำประชาพิจารณ์ใหม่ สพฐ.ก็จะเร่งทำทันที เพราะตอนนี้ สพฐ.ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้ทุกโรงเรียนเลื่อนไปเปิดภาคเรียนในวันที่ 10 มิ.ย.” นาย ชินภัทรกล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 11 มิ.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32970&Key=hotnews

สกสค. : ก้าวแรก “ครอบครัวครู…เราดูแล”

10 มิถุนายน 2556

ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 8 แล้วในการเข้ามาบริหารสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา(สกสค.)ของ”นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. คนปัจจุบัน ที่ได้เข้ามาผลักดันนโยบายต่างๆ มากมาย ดังนั้นในโอกาสพิเศษนี้จึงขอเปิดใจถึงนโยบายที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังนี้

“ก่อนมารับตำแหน่งเลขาธิการ สกสค. มีงานที่ยังคั่งค้างอยู่และได้เกิดปัญหาขึ้นแล้วจนส่งผลมาจนถึงปัจจุบันทำให้ต้องมีการสะสาง โดยเฉพาะ โครงการการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ที่ได้มีการเสนอข่าวสารที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปมาก เพื่อตรวจสอบงานก่อสร้างดังกล่าวให้เป็นไปโดยสุจริต และโปร่งใส สกสค.จึงขอความร่วมมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้า ร่วมตรวจสอบการดำเนินการ และได้มีผลสรุปการตรวจสอบโครงการว่าไม่พบการทุจริตในทุกขั้นตอน ตามหนังสือยืนยันจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ มายังสกสค.สองฉบับ และวันนี้ได้แก้ปัญหาด้วยการตั้งคณะทำงานเพิ่ม 3 ชุดเพื่อดำเนินการบริหารโครงการนี้ต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งงานจะสำเร็จตามที่คณะกรรมการชุดเดิมได้วางนโยบายไว้

“ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 นับถึงวันนี้ก็ผ่านมามากกว่า 6เดือนแล้ว มีการดำเนินการพัฒนางานประจำ ควบคู่ไปกับการกำหนดนโยบายเพื่อการเสริมสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง การจัดสวัสดิการที่ยั่งยืน มั่นคง การยกย่องเชิดชูเกียรติครูและบุคลากรทางการศึกษา การส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดสวัสดิการและการส่งเสริมองค์การค้าให้ผลิตสื่อ อุปกรณ์การศึกษาที่มีคุณภาพ โดยเน้นให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สภา ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ได้กำหนดภารกิจให้กับองค์กรนี้เป็นผู้ดำเนินการจัดสวัสดิการและสวัสดิภาพที่ดีและมีคุณภาพให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกคน” มติชน 10 มิ.ย. 56 MCMUS0606POR.PDf saleสุ awปองานที่จะต้องทำต่อไปข้างหน้าจะเป็นเรื่องของการดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาใน 2 ด้าน ได้แก่

1.ด้านเศรษฐกิจจะทบทวนข้อตกลงหรือMOUกับธนาคารออมสินในการปล่อยสินเชื่อเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เป็นสมาชิกอยู่กับสกสค. ซึ่งขณะนี้นโยบายภาครัฐด้านการเงินการธนาคารก็ได้ลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่สกสค.ต้องเข้ามาผลักดันในส่วนนี้ โดยได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทบทวนข้อตกลงกับทางธนาคารออมสินแล้ว และคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางที่จะช่วยเหลือสมาชิกในภาวะที่มีความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจ ภาวะที่หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์สูงสุดในการกู้เงิน

2. ปรับปรุงระบบจ่ายเงินค่าสงเคราะห์สมาชิกการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) และการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา ในกรณีที่คู่สมรสถึงแก่กรรม(ช.พ.ส.)ที่เสียชีวิตให้รวดเร็วขึ้นโดยต้องจ่ายภายใน 30 วันหลังมีการประกาศรายชื่อผู้เสียชีวิตในแต่ละเดือน ซึ่งเดิมได้กำหนดให้จ่ายเงินภายใน 90 วันหรือมากกว่านั้น โดยนโยบายนี้ได้ประกาศออกไปแล้วและจะเริ่มดำเนินการในเดือนมิถุนายนนี้ เป็นต้นไป

3. การดูแลข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ เช่น พื้นที่เสี่ยงภัย พื้นที่กันดาร พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สกสค.ได้ทำโครงการช่วยเหลือให้มีความรวดเร็วและถึงมือผู้ได้รับผลกระทบ รวมทั้งการดูแลการศึกษาบุตรของข้าราชการครูและบุคลากรฯกลุ่มนี้ที่เสียชีวิตหรือประสบภัยให้ได้เรียนจนถึงระดับปริญญาตรี และในอนาคตหากบุตรของครูและบุคลากรฯ เรียนจบและประสงค์จะทำงานในหน่วยงานของสกสค.จะให้รับเข้าทำงานเป็นกรณีพิเศษ

4. การส่งเสริมการยกย่องเชิดชูเกียรติ ส่งเสริมเรื่องคุณธรรมจริยธรรมของครู ผู้บริหาร บุคลากรทางการศึกษา เช่น การนำครูไปทัศนศึกษาสถานที่ตามรอยพระพุทธเจ้า ณ ประเทศอินเดีย การสรรหาครูผู้มีคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อการยกย่องเชิดชูเกียรติ
สิ่งที่จะผลักดันทำในอนาคต คือการลดค่าใช้จ่ายในภาคครัวเรือนของข้าราชการครูฯ ทุกสังกัด จะมีการจำหน่ายสินค้าในราคาสวัสดิการที่สำนักงานสกสค.จังหวัด เป็นสวัสดิการภายในหน่วยงานโดยให้สมาชิกที่เป็นครูถือบัตรเครดิต ที่มีวงเงินครัวเรือนละ 20,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิต เช่น การซื้อข้าวสาร น้ำมันพืช เป็นต้น โดยจะประสานกระทรวงพาณิชย์ และองค์การตลาดเพื่อการเกษตร(อตก.) เพื่อหาสินค้าคุณภาพราคาไม่แพงมากนักมาจำหน่ายแก่สมาชิก แนวทางดังกล่าวนอกจากจะสนองนโยบายรัฐบาลในการลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนยังเป็นการช่วยเหลือครอบครัวครูในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

ในเรื่องของสุขภาพของข้าราชการครูฯ ทางสกสค.มีแนวคิดการจัดตั้งโรงพยาบาลภูมิภาคขึ้น จะนำร่องก่อนในภาคกลาง และขณะนี้ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาแล้ว โดยการตั้งโรงพยาบาลของสกสค.มีเป้าหมายเพื่อดูแลผู้สูงอายุที่เป็นข้าราชการครูฯด้วยราคาที่ไม่แพงเป็นราคาสวัสดิการ และยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามารับบริการได้ด้วย

นอกจากนี้จะหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาดูแลครูที่ประสบหนี้สินวิกฤติ หรืออยู่ระหว่างการฟ้องร้อง ที่มีอยู่ประมาณ 2,000 คน ทางสกสค.กำลังประสานกับสถาบันการเงินให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อไป เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในหนี้สิน และที่สำคัญทำให้เพื่อนครูเหล่านี้มีพื้นที่ที่จะยืนอยู่ในสังคมได้
ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของผมที่จะมุ่งมั่นทำงาน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเพื่อนครู ผู้บริหารและบุคลากรทางการศึกษา ทุกคน
www.otep.go.th โทร. 0 2282 3831

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32969&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี กคศ. : การมอบหมายผู้แทน ก.ค.ศ. กำกับดูแล การดำเนินการสอบแข่งขัน ตำแหน่งครูผู้ช่วย ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2556

10 มิถุนายน 2556

ตามที่ ก.ค.ศ.มีมติกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย และกำหนดให้ดำเนินการสอบแข่งขัน ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ.2556 ในวันที่ 22-24 มิถุนายน 2556 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ประธาน ก.ค.ศ. ได้ลงนามในประกาศคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เรื่อง มอบหมายอนุกรรมการผู้แทน ก.ค.ศ. และอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการบริหารงานบุคคล ปฏิบัติราชการ ประกาศ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2556

สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้จัดประชุมผู้แทน ก.ค.ศ. ใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ.ตั้งในส่วนราชการ ที่ดำเนินการสอบแข่งขันดังกล่าว ในวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน 2556 ณ โรงแรมปรินซ์พาเลซ กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินการสอบ โดยให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ.ส่วนราชการ ดำเนินการให้การสอบแข่งขันเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยยึดถือระบบคุณธรรม ความเสมอภาค ความโปร่งใส และตรวจสอบได้ เพื่อให้ได้ครูดี ครูเก่ง มาสู่วิชาชีพครู ซึ่งเป็นวิชาชีพชั้นสูง เหมือนในอดีตที่สังคมไทยให้ความเคารพและนับถือครูมาโดยตลอด ที่สำคัญอย่างยิ่งสังคมมุ่งหวังที่จะให้การสอบครั้งนี้บริสุทธิ์ ยุติธรรม

จากนั้น รองศาสตราจารย์ ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ใน ก.ค.ศ. ได้เป็นวิทยากรมอบแนวทางการกำกับ ติดตาม ดูแล การดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้เป็นไปตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ และรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอรายงานต่อ ก.ค.ศ. ซึ่งครั้งนี้หน่วยสอบใดที่จัดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นแบบอย่างที่ดี จะใช้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานในการเป็นต้นแบบการดำเนินการสอบสำหรับหน่วยสอบที่จะสอบในอนาคตซึ่งเข้าลักษณะการจัดการความรู้เกี่ยวกับการดำเนินการสอบ

ช่วงท้าย เลขาธิการ ก.ค.ศ. (ดร.รัตนา ศรีเหรัญ) ได้อธิบายหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขัน พร้อมร่วมตอบคำถามในประเด็นต่างๆ และสำนักงาน ก.ค.ศ. จะได้มีหนังสือส่งผู้แทน ก.ค.ศ.ไปดูแลการสอบ ในระหว่างดำเนินการสอบ ณ หน่วยสอบต่อไป

ทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ และเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่จะให้การสอบแข่งขันเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว เพื่อได้ครูดี ครูเก่ง มีคุณธรรม ให้กับเยาวชนไทย ต่อไป

ศรีชัย พรประชาธรรม
ผู้อำนวยการภารกิจนโยบายและระบบบริหารงานบุคคล

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32968&Key=hotnews

สรุปผลสอบ ‘ศศิธารา’ สัปดาห์นี้ ก่อนให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งหลักฐานแย้ง

10 มิถุนายน 2556

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) และนายภูมิพิชญ์ วโรดมรุจิรานนท์ ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ รักษาการตำแหน่งที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กรณีเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์อาชีวศึกษา โครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 : ไทยเข้มแข็ง 2555 สูญหาย และส่อว่าจะเกิดความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์โครงการดังกล่าว เปิดเผยว่า ตามที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แต่ ก.พ.ค.ไม่รับเรื่องไว้พิจารณา และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้สั่งการให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยฯเร่งดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็วนั้น ขณะนี้การดำเนินการสอบสวนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว คาดว่าภายสัปดาห์นี้จะส่งสรุปข้อกล่าวหา พร้อมพยานหลักฐาน หรือ สว.3 ให้ผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาส่งหลักฐานโต้แย้งกลับมาให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยฯพิจารณา

“ขณะนี้การดำเนินการสอบสวนวินัยฯเป็นการสอบสวนในส่วนของผู้กล่าวหาพร้อมพยานหลักฐาน ซึ่งใกล้เสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังบอกไม่ได้ว่าผลการสอบสวนจะชี้ไปในทิศทางใด เพราะยังไม่ได้สอบสวนผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้โต้แย้ง และชี้แจงในส่วนที่ถูกกล่าวหาก่อน ทั้งนี้ ในวันที่ 11 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการสอบสวนวินัยฯจะพิจารณาเอกสารชิ้นล่าสุดที่ สอศ.ส่งมาให้ หลังจากนั้นน่าจะสรุปผลการสอบสวนในส่วนของผู้กล่าวหาได้” นายอภิชาติกล่าว

นายอภิชาติ กล่าวว่า กรณีที่นายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยร้ายแรงนายศุภชัย สมัปปิโต อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) และผู้เกี่ยวข้อง กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้มูลเรื่องการทุจริตในการเบิกจ่ายเงินโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ มมส.วงเงิน 88 ล้านบาท มีพฤติการณ์ไม่ชอบด้วยระเบียบ กฎหมาย หรือมีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงิน หรือทรัพย์สินของราชการ และกรณีร้องเรียนกล่าวหาการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษอธิการบดี โดยใช้เงินรายได้ ให้แก่นายศุภชัย โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หรือกฎหมายกำหนด ล่าสุด นายพิษณุเปิดเผยผลจากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่าการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนาฯ มีขบวนการทุจริตแน่นอน เพราะการดำเนินการทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ โดยผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการทุจริต มีตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ไปจนถึงผู้บริหารนั้น ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะนายพิษณุยังไม่ได้ส่งสรุปผลการสอบสวนมาให้พิจารณา

“การสอบสวนชุดนายพิษณุ ถือเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลว่ากรณีดังกล่าวจะถึงขั้นต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจของผมในการพิจารณา และแม้ผู้ถูกกล่าวหาจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งอธิการบดี กระบวนการสอบสวนก็สามารถดำเนินการต่อไปได้ เพราะถือว่ายังเป็นข้าราชการ ส่วนจะสามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละมหาวิทยาลัย เพราะบางแห่งไม่ได้ระบุไว้ว่าหากอยู่ระหว่างกระบวนการสอบสวน ไม่สามารถดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้” นายอภิชาติกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32967&Key=hotnews

ระดับ’หัวหน้า’เขตพท.ทั่วปท.เตรียมเฮ! ก.ค.ศ.ชงขยับขึ้น’ชำนาญการพิเศษ’ได้ ลุ้นศาลชี้ขาดเกณฑ์หา’ผอ.สพม.’ 27 มิ.ย.

10 มิถุนายน 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำกรอบอัตรากำลังของบุคลากรทางการศึกษาอื่น 38ค (2) ประมาณ 10,000 กว่าคน ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ว่า ยังอยู่ในขั้นตอนของการตรวจสอบรายละเอียด และความถูกต้องเหมาะสมของกรอบอัตรากำลังดังกล่าวใน สพป.และ สพม.ซึ่งจะต้องดูเส้นทางความก้าวหน้าของบุคลากรกลุ่มนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าใครอยู่ในระดับไหนก็ได้เท่าเดิม ฉะนั้น จะต้องดูในรายละเอียดทั้งหมด อย่างตำแหน่งหัวหน้าประชาสัมพันธ์ที่มีประมาณ 150 กว่าเขตพื้นที่ฯ ที่ยังไม่สามารถปรับเป็นชำนาญการพิเศษได้ เพราะปริมาณงานยังไม่เพียงพอกับหลักเกณฑ์ที่กำหนด ดังนั้น จะเสนอให้ได้ชำนาญการพิเศษทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้มีการเรียกร้องมาหลายปี นอกจากนี้ ในกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นระดับหัวหน้า แต่ยังไม่สามารถปรับเป็นชำนาญการพิเศษได้ ก็จะพิจารณาปรับให้ด้วยเช่นเดียวกันเพื่อความก้าวหน้า

นางรัตนา กล่าวต่อว่า ส่วนการรอฟังคำพิพากษาของศาลปกครองพิษณุโลกในวันที่ 27 มิถุนายน จากกรณีที่กลุ่มรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ได้ยื่นฟ้องศาลปกครองพิษณุโลกในปี 2553 ให้เพิกถอนประกาศคณะกรรมการสรรหา ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สพม.เนื่องจากกลุ่มรองผู้อำนวยการ สพป.ไม่มีสิทธิสมัครสอบคัดเลือก เนื่องจากในขณะนั้น ก.ค.ศ.ได้กำหนดคุณสมบัติว่าผู้สมัครสอบคัดเลือกที่มีประสบการณ์ใน สพป.ควรต้องสมัครใน สพป.จะสมัครคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการ สพม. ไม่ได้นั้น ทาง ก.ค.ศ.ยังทำอะไรไม่ได้ ต้องรอคำพิพากษาก่อน

“ถ้าศาลมีคำพิพากษาเห็นตามกลุ่มที่ยื่นฟ้อง ทาง ก.ค.ศ.จะต้องมาแก้คุณสมบัติมาตรฐานตำแหน่งก่อน แต่หากมีคำพิพากษาว่าคุณสมบัติที่ ก.ค.ศ.กำหนดถูกต้องแล้ว ทาง ก.ค.ศ.จะใช้ตัวมาตรฐานเดิม แต่อาจจะต้องปรับวิธีการสรรหาว่าจะใช้วิธีการสอบอย่างเดียว หรือจะรับคนมีประสบการณ์โดยไม่ต้องสอบ และกำหนดสัดส่วนของ 2 กลุ่มนี้ รวมทั้ง จะต้องขึ้นบัญชีหรือไม่ โดยการสรรหาจะต้องแยกเป็นผู้อำนวยการ สพป.และผู้อำนวยการ สพม.เช่นเดิม” นางรัตนากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32966&Key=hotnews

กศน.เลย-อุดรปลื้มชาวบ้านเรียนม.6 จบ 8 เดือนทะลุเป้า

10 มิถุนายน 2556

นายบุญโชค พลดาหาญ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จังหวัดเลย เปิดเผยว่า สำนักงาน กศน.จังหวัดเลย ได้จัดโครงการยกระดับการศึกษาประชาชนจบชั้น ม.6 ใน 8 เดือน อย่างมีคุณภาพ โดยให้ประชาชนนำความรู้และประสบการณ์มาเทียบระดับการศึกษา เพื่อให้ได้รับวุฒิ ม.6 ซึ่งตามนโยบายสำนักงาน กศน.ได้ตั้งเป้าหมายในปีการศึกษา 2556 จะส่งเสริมให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 150,000 คน โดยในส่วนของสำนักงาน กศน.จังหวัดเลย มียอดประชาชนเข้าร่วมโครงการใน 14 อำเภอรวมทั้งหมด 1,879 คน จากจำนวนที่ได้รับมอบหมาย 1,620 คน ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ได้รับมอบหมาย 259 คน

“การที่จังหวัดเลย มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ให้ความสำคัญสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยมีนโยบายให้ผู้นำชุมชนผู้นำท้องถิ่นทุกตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิ ม.6 จึงเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยให้มีผู้เข้าร่วมโครงการเกินเป้าหมาย เพราะอย่างน้อยก็มีกำนันกว่า 300 คน ผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1,000 คนเข้าร่วมโครงการ” นายบุญโชค กล่าว

ด้านว่าที่ ร.ต.สมปอง วิมาโร ผอ.สำนักงาน กศน.จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่าในส่วนจังหวัดอุดรธานี นั้นต้องถือว่า นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันและเชิญชวนบุคลากรข้าราชการ และประชาชนที่มีอาชีพมั่นคงให้เข้าโครงการโดยจัดรายการสายตรงผู้ว่าฯ และเชิญสำนักงาน กศน. ไปให้ข้อมูลเชิญชวนประชาชนมาเรียน เพื่อการต่อยอดความรู้และยังเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอุดรธานี ในอนาคตอีกด้วย
“กศน.จังหวัดอุดรธานี ได้รับเป้าหมายที่จะต้องเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมโครงการ ให้ได้ทั้งหมดประมาณ 2,900 คน ซึ่งขณะนี้สามารถทำได้ถึงร้อยละ 80-90% แล้ว อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราต้องการเน้นคุณภาพของผู้ที่จะเข้าโครงการ โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งอายุ ความมั่นคงของอาชีพและความรู้พื้นฐาน เช่น ภาษาอังกฤษจะต้องได้คำศัพท์พื้นฐานอย่างน้อย300 คำ เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์จริง และเรียนต่อระดับที่สูงขึ้นได้” ว่าที่ ร.ต.สมปอง กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32965&Key=hotnews

‘เสริมศักดิ์’ ส่ง 47 ชื่อ ส่อโกงสอบ ‘ครูผู้ช่วย’ ให้ ‘ดีเอสไอ-ก.ค.ศ.’

10 มิถุนายน 2556

‘เสริมศักดิ์’ พร้อมจัดส่ง 47 รายชื่อส่อทุจริตครูผู้ช่วย ให้ดีเอสไอ-ก.ค.ศ. ลุยสั่งการให้ออกจากราชการเพิ่ม ประธาน อ.ก.ค.ศ.บุรีรัมย์ เขต 1 พร้อมอ้าแขนรับผู้ทุจริตสอบแต่ชิงลาออกก่อน

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยกรณีที่นายชอบ ลีชอ อดีตผู้ตรวจราชการ ศธ.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการหนังสือพิมพ์มติชนรายวันวิเคราะห์ข้อมูลการสอบครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 เมื่อเดือนมกราคม 2556 ได้นำเสนอผลการวิเคราะห์คะแนนกลุ่มที่สอบครูผู้ช่วยที่ผ่านมา ที่ได้คะแนนรวม 80-90% จำนวน 104 ราย ที่ทำข้อสอบในข้อ 34 ผิด โดยเลือกคำตอบข้อ ก เช่นเดียวกับกลุ่ม 344 คน พบว่ามีกลุ่มน่าสงสัยปานกลาง 30 กว่าคน และกลุ่มที่ระดับความน่าสงสัยเหมือนกับ 344 ราย จำนวน 47 คน ที่ค่อนข้างชัดเจนในการทุจริตว่า ได้รับข้อมูลดังกล่าวแล้ว และกำลังดูข้อมูลว่าจะมีประโยชน์ในด้านคดีอย่างไรบ้าง โดยจะต้องส่งข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือส่วนงานที่เกี่ยวข้องไหนบ้าง ในส่วนของ 47 รายที่วิเคราะห์แล้วค่อนข้างชัดเจนว่าทุจริต จะต้องใช้กระบวนการเดียวกับ 344 ราย คือส่งข้อมูลให้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และดีเอสไอ เพื่อแจ้งไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา ให้ดำเนินการเช่นเดียวกัน 344 ราย

นายเสริมศักดิ์กล่าวต่อว่า กรณีครูผู้ช่วยในกลุ่ม 344 ราย ได้รับการบรรจุแต่งตั้งไปแล้ว แต่ได้ชิงลาออกก่อนที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะมีมติสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนดำเนินการให้ออก และมีบางหน่วยงานของ ศธ.จะรับคนกลุ่มนี้เข้าไปทำงานต่อนั้น ได้มอบให้ ก.ค.ศ.ไปศึกษาในข้อกฎหมายว่าการลาออกก่อนจะมีการดำเนินการสอบวินัยและคดีอาญา จะมีผลในเรื่องของการเสื่อมเสีย การทุจริต ด่างพร้อยในการรับราชการหรือไม่ จะได้แจ้งให้ส่วนราชการทุกหน่วยงานของ ศธ.ได้รับทราบเป็นแนวปฏิบัติกันต่อไป

“ส่วนการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุเป็นครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปี 2556 ที่จะสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายนนี้ นอกจากผมได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้ประสานไปยังสถานีตำรวจภูธรทุกแห่ง ส่งสายสืบหาข่าวว่ามีกระบวนการทุจริตสอบบรรจุครูผู้ช่วยในพื้นที่ใดหรือไม่ รวมทั้งการขอสนับสนุนเครื่องตรวจวัสดุต้องห้ามในการสอบ พร้อมทั้งการตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือในสนามสอบแล้ว ยังได้ประสานเพื่อขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เปิดสอบ แจ้งไปยังปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ให้ช่วยกันสอดส่องด้วยว่ามีข่าวการทุจริตหรือไม่ รวมถึงได้ให้นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. มอบผู้ตรวจราชการออกตรวจเยี่ยมเขตพื้นที่ฯ 79 เขต ที่เปิดสอบคราวนี้ด้วย” นายเสริมศักดิ์กล่าว
นายพิสิษฐ์ ชดกิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 3 กล่าวถึงความคืบหน้าจัดสอบบรรจุครูผู้ช่วยทั่วไป ในวันที่ 22-24 มิถุนายน ว่า สพป.นครราชสีมา เขต 3 ได้เตรียมสนามสอบไว้ 3 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิต, โรงเรียนปักธงชัยชุณหวัณวิทยาคาร และโรงเรียนบ้านเมืองปักสามัคคี มีผู้มีสิทธิสอบทั้งหมด 2,745 คน ใน 7 สาขาวิชาเอก ได้เตรียมมาตรการป้องกันการทุจริตสอบอย่างเข้มงวด ตั้งแต่เดินเข้ามาในสนามสอบ การตรวจเอกสาร การเฝ้าจับตาดูพฤติกรรม แปลกๆ รวมทั้งประสานรถดักจับสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ มั่นใจว่าจะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้นซ้ำอีกแน่นอน

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ในฐานะประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 กล่าวว่า กรณีที่ดีเอสไอส่งรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายทุจริต 344 คน มาให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายนั้น ในส่วนของ สพป.บุรีรัมย์ เขต 1 ได้รับข้อมูลจากดีเอสไอว่ามีผู้ที่ทำคะแนนสูงผิดปกติ 4 ราย ในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ที่ตอบข้อ 34 ผิด จำนวน 3 ราย แต่มีผู้ที่สอบบรรจุได้แค่ 2 รายเท่านั้น ดังนั้น จะนำทั้ง 2 ราย ที่ได้รับการบรรจุเข้าที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ บุรีรัมย์ เขต 1 เพื่อพิจารณาสัปดาห์หน้า แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครชิงลาออก อย่างไรก็ตาม หากชิงลาออกก็มีสิทธิไปบรรจุเข้ารับราชการที่สังกัดอื่น
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ถือว่าคนเหล่านี้มีความด่างพร้อยทางศีลธรรมจริยธรรม สามารถรับราชการได้อีกหรือ นายประเสริฐกล่าวว่า แม้จะมีปัญหาด่างพร้อยทางศีลธรรมจริยธรรมก็จริง แต่เนื่องจากยังไม่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยใดๆ เพราะชิงลาออกก่อน จึงไม่มีประวัติ ดังนั้น จึงสามารถไปบรรจุรับราชการที่สังกัดอื่นได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้ามีครูผู้ช่วยที่ส่อทุจริต และชิงลาออกมาสมัครเป็นครูที่ กศน.ทาง กศน.จะรับเข้าทำงานหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า รับสมัครได้ตามปกติ เพราะถือว่าไม่มีประวัติถูกสอบทางวินัย
นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวถึงความคืบหน้าในการดูแลการจัดสอบครูผู้ช่วยทั่วไป จัดสอบระหว่างวันที่ 22-24 มิถุนายน ว่า ก.ค.ศ.จะจัดส่งคณะทำงานจำนวน 80 คน ลงไปดูแลติดตามเกี่ยวกับการสอบครูผู้ช่วยทุกประเด็น ไม่ใช่เฉพาะประเด็นการทุจริตสอบเท่านั้น จะมีเครื่องมือให้ผู้แทนทั้ง 80 คน สำหรับจัดเก็บข้อมูล แต่ละคนจะลงไปดูแลคนละเขตพื้นที่ฯ หรือส่วนราชการที่จัดสอบ ซึ่งมีทั้งหมด 80 แห่ง จำแนกเป็น 78 เขตพื้นที่ฯ และ 2 ส่วนราชการ ได้แก่ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ (สศศ.) และวิทยาลัยชุมชน (วชช.) โดยคณะทำงานจะเริ่มเดินทางล่วงหน้าลงไปสังเกตการณ์และเก็บข้อมูลตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน และกลับขึ้นมาในวันที่ 25 มิถุนายน ก่อนจะรายงานผลต่อ ก.ค.ศ.

นางรัตนากล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการสั่งให้ผู้เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วย ว12 ออกจากราชการตามหนังสือของดีเอสไอ และมติ ก.ค.ศ.จำนวน 344 ราย จาก 119 เขตพื้นที่ฯ นั้น จนถึงขณะนี้มีเขตพื้นที่ฯรายงานมายังสำนักงาน ก.ค.ศ.น้อยมาก มีเพียงแค่ 5 เขต เท่านั้น โดยมีกรณีที่ลาออกก่อนที่หนังสือของสำนักงาน ก.ค.ศ.ไปถึงเขตพื้นที่ฯ 2 ราย จาก 2 เขตพื้นที่ฯ ตนได้ข่าวว่าเป็นการลาออกเพื่อไปบรรจุรับราชการในบัญชีสอบแข่งขัน เป็นคนละบัญชีกับบัญชีสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย ว12 โดยสำนักงาน ก.ค.ศ.จะต้องตรวจสอบก่อนว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ หากจริงต้องไปดูว่าผู้ลาออก 2 รายดังกล่าวทุจริตการสอบครูผู้ช่วย ว12 ครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าทุจริต โดยหลักการต้องถือว่าขาดคุณสมบัติ และต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการต่อไป
“นอกจากนี้ มี 2 เขตพื้นที่ฯที่รายงานเข้ามาว่าได้สั่งการให้ผู้ที่มีรายชื่อตามหนังสือดีเอสไอ และ ก.ค.ศ.ออกจากราชการ และอีก 1 เขตพื้นที่ฯ รายงานว่าอยู่ในขั้นตอนเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการให้ครูที่เข้าข่ายทุจริตออกจากราชการ ทั้งนี้ หลังจากที่เขตพื้นที่ฯรายงานข้อมูลเข้ามามากแล้ว สำนักงาน ก.ค.ศ.ถึงจะรวบรวมนำเสนอที่ประชุม ก.ค.ศ.พิจารณาต่อไป” นางรัตนากล่าว

ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ผศ.ดร.อดิศร เนาวนนท์ ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 7 เปิดเผยกรณีดีเอสไอเรียกตัวผู้ที่สอบบรรจุครูผู้ช่วยของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ได้ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา จำนวน 51 ราย มาสอบปากคำระหว่างวันที่ 4-7 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่า ทราบว่ามีการนำข้อสอบชุดเดียวกันกับที่สอบในวันที่ 13 มกราคม 2556 สุ่มมาให้พยานทั้งหมดทดลองทำ 20 ข้อ แต่ละคนทำข้อสอบได้เพียง 8-9 ข้อเท่านั้น แม้ไม่สามารถวัดผลการทุจริตสอบได้ 100% ผู้ให้ปากคำอาจอ้างว่าอาจจะลืมไปแล้ว แต่เห็นว่าระยะเวลาในการเตรียมตัวสอบมานานหลายเดือน หากเป็นข้อสอบที่เคยผ่านตาเพียงไม่กี่เดือน ก็ไม่ควรทำข้อสอบเดิมได้คะแนนน้อยกว่าครึ่ง ต้องถามไปที่ดีเอสไอด้วยว่าข้อสอบที่นำมาให้ทำใหม่นั้น เป็นข้อสอบประเภทใด เช่น ประเภทใช้ความจำ ประเภทคิดวิเคราะห์ หรือประเภทวัดกระบวนการ หากเป็นประเภทความจำก็อาจลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่หากเป็นประเภทคิดวิเคราะห์ ต่อให้ทำใหม่กี่รอบก็จะสามารถคิดวิเคราะห์ได้เหมือนเดิมทุกครั้ง
“เรื่องนี้จะเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการจับผิดคนโกงสอบได้ ต่อจากนี้ไป เชื่อว่าทางดีเอสไอจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากจากพยานที่ให้ความร่วมมือ จะสาวไปถึงตัวการใหญ่ได้หรือไม่นั้นไม่ค่อยมั่นใจนัก เพราะได้ข่าวว่าจะมีการตัดตอนให้คนผิดมาอยู่ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมพิวเตอร์ที่พิมพ์ และผลิตข้อสอบ แล้วส่งมาให้ผู้อำนวยการโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้กระจายเฉลยข้อสอบออกไป ในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะการพิมพ์หรือผลิตข้อสอบ ไม่ได้อยู่ที่ จ.นครราชสีมา มั่นใจได้ว่าข้อสอบต้องหลุดมาจากผู้ใหญ่ระดับกระทรวงแน่นอน” ผศ.ดร.อดิศรกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32964&Key=hotnews

สำรวจผู้เรียนครู 5 ปี ทั้งเกิน-ทั้งขาด’ไม่สมดุล’

10 มิถุนายน 2556

ผศ.ดร.สุรวาท ทองบุ
ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.)

จากการสำรวจจำนวนผู้เรียนในสถาบันผลิตครู จากมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม มหาวิทยาลัยเปิด มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยเอกชน สถาบันการพลศึกษา และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2556 พบว่า มีผู้เรียนในสาขาวิชาต่างๆ ในชั้นปีที่ 1-5 ที่จะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2556-2560
ตามลำดับ จากมากไปหาน้อยดังนี้
1) พลศึกษา สุขศึกษา 54,542 คน
2) การปฐมวัย 27,136 คน
3) ภาษาอังกฤษ 24,748 คน
4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 22,884 คน
5) คณิตศาสตร์ 22,656 คน
6) ภาษาไทย 20,537 คน
7) วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป 17,847 คน
8) คอมพิวเตอร์ศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา 17,562 คน
9) การประถมศึกษา 8,119 คน
10) ดนตรี 4,180 คน
11) ชีววิทยา 4,024 คน
12) ศิลปศึกษา ทัศนศิลป์ จิตรกรรม 3,899 คน
13) นาฏศิลป์ (ไทย สากล) นาฏยดุริยางคศาสตร์ 3,810 คน
14) เคมี 2,917 คน
15) ฟิสิกส์ 2,813 คน
16) ภาษาจีน 2,229 คน
17) วิศวกรรมอุตสาหกรรม 2,203 คน
18) การศึกษา 2,025 คน
19) การศึกษาพิเศษ 1,834 คน
20) วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม 1,668 คน
21) วิศวกรรมเครื่องกล 1,594 คน
22) วิศวกรรมไฟฟ้า 1,283 คน
23) เกษตรกรรม เกษตรศาสตร์ สิ่งแวดล้อม 1,225 คน
24) วิศวกรรมโยธา 1,166 คน
25) จิตวิทยา 1,116 คน
26) คหกรรมศาสตร์ 980 คน
27) ธุรกิจศึกษา บริหารธุรกิจ 705 คน
28) อุตสาหกรรม 688 คน
29) ครุศาสตร์วิศวกรรม 410 คน
30) ภาษาญี่ปุ่น 337 คน
31) การวัด การวิจัย การประเมินผลการศึกษา 332 คน
32) เทคโนโลยีอุตสาหกรรมศึกษา 295 คน
33) ครุศาสตร์สภาพแวดล้อมภายใน 284 คน
34) ครุศาสตร์การออกแบบ 283 คน
35) การศึกษานอกระบบ 282 คน
36) สถาปัตยกรรม 248 คน
37) การสอนวิทยาศาสตร์ทั่วไป 169 คน
38) บรรณารักษ์ศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ 158 คน
39) วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ 156 คน
40) ภาษาฝรั่งเศส 120 คน
41) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 33 คน
42) การบริหารการศึกษา 13 คน
43) อิสลามศึกษา 12 คน

รวมผู้เรียนจะสำเร็จการศึกษาในทุกสาขา แต่ละปี ดังนี้ ปีการศึกษา 2556 จำนวน 29,844 คน ปีการศึกษา 2557 จำนวน 40,437 คน ปีการศึกษา 2558 จำนวน 56,382 คน ปีการศึกษา 2559 จำนวน 71,530 คน ปีการศึกษา 2560 จำนวน 61,329 คน ทั้งนี้ จนถึงปีการศึกษา 2560 หรืออีก 5 ปี จะมีผู้สำเร็จรวมทั้งสิ้น 259,522 คน

จากที่ สกอ. โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. เป็นประธานการประชุมอธิการบดีและคณบดีในสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู 5 ปี เพื่อวางแผนการ ผลิตครู และมีการเสนอผลการสำรวจ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2556 พบว่ามีจำนวนผู้เรียนเกินความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครูมากในบางสาขาวิชา และคาดว่าจะขาดแคลนในหลายสาขาวิชา และมีมติให้สถาบันฝ่ายผลิตพิจารณาทบทวนแผนการผลิตนั้น

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2556 สภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) ได้ทำการสำรวจ ปรากฏว่าสาขาวิชาที่มีผู้เรียนเกินความต้องการมีจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ และสาขาที่คาดว่าจะขาดแคลนก็ยังคงมีผู้เรียนน้อยตามเดิม และจำนวนภาพรวมเพิ่มขึ้นกว่า 20,000 คน คือ 259,522 คน จากเดิมที่พบจากการสำรวจครั้งก่อนประมาณ 240,000 คน ในขณะที่ข้อมูลครูจะเกษียณอายุราชการประมาณ 100,000 คน แต่เชื่อว่าจะได้อัตราแทนเพียง 20,000 คน หรือร้อยละ 20 เท่านั้น

โดยสรุป สถาบันฝ่ายผลิตครู ไม่สามารถลดจำนวนและเพิ่มจำนวนให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ อาจเป็นเพราะมี การกำหนดแผนการรับและประกาศรับสมัครไปแล้ว ทั้งระบบรับตรงและแอด มิสชั่นส์กลาง

สำหรับข้อแนะนำที่ ส.ค.ศ.ท.เคยหารือกันไว้คือ
1) ลดหรืองดรับผู้เรียนในสาขาวิชาที่ เกินความต้องการ โดยเฉพาะ 8 สาขา วิชา เพิ่มจำนวนผู้เรียนในสาขาวิชาที่ขาดแคลน กรณีสถาบันฝ่ายผลิตมีความพร้อม ในปีต่อไป
2) โอนย้ายผู้เรียนไปในสาขาวิชาที่เกินไปเรียนในสาขาวิชาขาดแคลน ตามความพร้อมของสถาบันฝ่ายผลิต ตามความสามารถ และตามความสมัครใจของผู้เรียน
3) สนับสนุนให้บัณฑิตเรียนเพิ่มในสาขาวิชาที่ขาดแคลน อีกสาขาหนึ่ง (ปริญญาเดียวกันสาขาที่สอง)
4) เปิดโอกาสให้สถาบันฝ่ายผลิต เทียบโอนหรือโอนย้ายนักศึกษาหรือรับบัณฑิตปริญญาอื่น เข้าเรียนในสาขาวิชาที่มีความขาดแคลน หรือเข้าเรียนในระดับปริญญาโท ทางการสอน
การแก้ปัญหากรณีสาขาวิชาที่มีการผลิตเกิน (หากยังคงจำนวนเท่าเดิม)
1) พัฒนาทักษะความสามารถพิเศษ เพื่อสร้างโอกาส และตรงตามความต้องการผู้จ้างงานอื่นนอกจากการเป็นครู
2) พัฒนาทักษะภาษาเพื่อให้สามารถสอนในโรงเรียนนานาชาติ หรือในประเทศอื่น ทั้งในอาเซียนและนานาชาติ เช่น ทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาอาเซียน
3) จัดให้มีการเรียนปริญญาอื่นควบคู่ไปด้วย
ส่วนตัวเห็นว่าสาขาวิชาที่มีผู้เรียนเกินความต้องการ คือสาขาวิชาที่มีผู้เรียนมากกว่า 10,000 คน ส่วนสาขาวิชาที่คาดว่าจะขาดแคลน คือ สาขาวิชาที่มีผู้เรียนไม่เกิน 5,000 คน สำหรับสาขาวิชาที่น่าเป็นห่วงคือ สาขาวิชาด้านพลศึกษา สุขศึกษา ส่วนสาขาวิชาภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์อาจหางานอื่นทำได้ สำหรับคณิตศาสตร์อาจไปทดแทนที่อัตราที่ขาดแคลนอยู่เดิมแล้ว อาจจะเกินไม่มากนัก
ส่วนสาขาที่จะขาดแคลนและจะเป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ ได้แก่ สาขาวิชาเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ รวมทั้งสาขาวิชาด้านภาษาโดยเฉพาะภาษาอาเซียน พบว่าไม่มีการผลิต ควรต้องพิจารณาขยายการผลิต

ปัญหาการผลิตนี้ เป็นเพราะกระทรวงศึกษาธิการไม่มีข้อมูลความต้องการที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน ที่สำคัญประเทศไทยมีการยุบกรมการฝึกหัดครู จึงไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบแผน
การผลิต จึงต่างคนต่างผลิต ในขณะที่ ส.ค.ศ.ท.เป็นเพียงองค์กรที่ตั้งขึ้นมา นอกเหนือกฎหมายกำหนด ขาดอำนาจ สั่งการหรือตัดสินใจใดๆ หน่วยงานที่เกี่ยวกับครูมีมากแต่ไม่มีหน่วยงานใดทำหน้า ที่นี้และขาดความเป็นเอกภาพ นอกจากนี้ คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีความเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ เปิดรับตามความพร้อมที่มีอยู่ ทำให้เกินและขาดในบางสาขาวิชาไม่สอดคล้องกับความต้องการ

จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นปัญหาเชิงปริมาณซึ่งจะส่งผลในเชิงคุณภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดบ้าง โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าไม่ถือว่าเรื่องการผลิตครูนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนในประเทศนี้จะขาดคุณภาพ ไม่มีทางปรองดอง ไม่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ แต่ฝ่ายการเมืองคงชอบเพราะคนขาดคุณภาพแล้วปกครองง่าย (ยากจน เหลื่อมล้ำ ประชานิยม ซื้อเสียงได้อำนาจต่อไป)

และขอวิงวอนคณบดีและอธิการบดี การพิจารณาจำนวนรับเข้าเรียนเพื่อหวังเป้าหมายทางงบประมาณ โดยไม่ห่วงใยลูกศิษย์และความเป็นวิชาชีพชั้นสูงด้วย ตกงานถูกดูแคลนแล้วมันจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้อย่างไร

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32963&Key=hotnews

 

เสนอตั้งอนุก.ค.ศ.สพฐ.เคลียร์ปัญหาแต่งตั้ง-โยกย้ายผอ.ร.ร.พรีเมียม

10 มิถุนายน 2556

บอร์ด กพฐ.เสนอตั้ง อนุ ก.ค.ศ.สพฐ. ขึ้นเคลียร์ปัญหาตั้งผู้บริหารกลุ่ม ร.ร.พรีเมียม หวังแก้ปัญหาระยะยาว ส่วนระยะสั้นเสนอโยน อนุ ก.ค.ศ.วิสามัญฯ พิจารณาหลักเกณฑ์โยกย้ายข้ามเขต และกำหนดจำนวน ร.ร.ที่เหมาะสม เหตุบอร์ดมองว่าจำนวนมากเกินไป

นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กพฐ. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มพรีเมียมสคูล จำนวน 111 โรง ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ 56 โรง และโรงเรียนคุณภาพพิเศษ 55 โรง ซึ่งหลังจากนี้จะเตรียมส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไป นอกจากนี้ บอร์ด กพฐ.ได้ทบทวนเรื่องการพิจารณากลั่นกรองโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารกลุ่มดังกล่าวด้วย เนื่องจากอำนาจการแต่งตั้งผอ.โรงเรียน เป็นของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ แต่เพราะกรณีโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม ก.ค.ศ.ได้กำหนดให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พิจารณาการกลั่นกรองก่อนเพื่อให้ได้คนมีฝีมือและมีคุณภาพไปบริหารโรงเรียน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม แต่เพราะยังมีปัญหาในหลายขั้นตอน เพราะฉะนั้น บอร์ด กพฐ.จึงมีมติมอบหมายให้กรรมการท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมการในคณะ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับนโยบายและระบบบริหารงานบุคคล ไปหารือใน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯชุดดังกล่าวว่า การดำเนินการโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารกลุ่มชพรีเมียมสูคลนั้นจะยังคงดำเนินการตามระบบวิธีการเดิม หรือจะเปลี่ยนแปลง

ด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ.ได้นำเสนอผลการประมวลผลดีผลเสียกรณีมีการกลั่นกรองการคัดเลือก ผอ.โรงเรียน ในกลุ่มพรีเมียมสคูล จากส่วนกลางต่อที่บอร์ด กพฐ. ซึ่งได้มีมติให้ สพฐ.ดำเนินการแก้ปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นที่ต้องดำเนินการทันที คือให้ สพฐ.ส่งมอบผลการประมวลดังกล่าวให้ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯ นำไปพิจารณาใน 2 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก ให้ทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายเพื่อให้เกิดการเลื่อนไหลหรือย้ายข้ามเขตได้เพื่อให้ได้ผู้บริหารที่มีคุณภาพประสบการณ์เหมาะสมที่สุด และประเด็นที่สอง เพื่อให้พิจารณาว่าจำนวนรายชื่อโรงเรียนกลุ่มคุณภาพพิเศษ จำนวนที่เหมาะสมควรมีเท่าไร หรือที่มีอยู่ในปัจจุบันมากเกินไปหรือไม่ เนื่องจากระยะแรกที่ สพฐ.ดำเนินการนั้นมีเพียง 16 โรงแต่ปัจจุบันในปีที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 56 โรง ซึ่งที่ประชุมบางส่วนใหญ่มองว่าจำนวนมากเกินไป

ส่วนระยะยาว ที่ประชุมเสนอให้มีการตั้งกำหนด อ.ก.ค.ศ.สพฐ. ขึ้นเพื่อที่หากเกิดกรณีที่การพิจารณาจาก สพฐ.ไม่สอดคล้องกับการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ก็ให้นำเสนอปัญหาเหล่านั้นมาสู่การพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.สพฐ. และให้ถือว่าการประชุมและมติของ อ.ก.ค.ศ. สพฐ.เป็นข้อยุติ แต่เนื่องจากเวลานี้ในระบบบริหารงานบุคคลนั้นไม่ได้มี อ.ก.ค.ศ. สพฐ. ทำให้เวลาเกิดปัญหาขัดแย้งจึงต้องเสนอปัญหาไปยังบอร์ด ก.ค.ศ.ชุดใหญ่เท่านั้น

กรุงเทพฯ–10 มิ.ย.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32962&Key=hotnews