สำรวจผู้เรียนครู 5 ปี ทั้งเกิน-ทั้งขาด’ไม่สมดุล’

10 มิถุนายน 2556

ผศ.ดร.สุรวาท ทองบุ
ประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.)

จากการสำรวจจำนวนผู้เรียนในสถาบันผลิตครู จากมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม มหาวิทยาลัยเปิด มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยเอกชน สถาบันการพลศึกษา และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2556 พบว่า มีผู้เรียนในสาขาวิชาต่างๆ ในชั้นปีที่ 1-5 ที่จะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2556-2560
ตามลำดับ จากมากไปหาน้อยดังนี้
1) พลศึกษา สุขศึกษา 54,542 คน
2) การปฐมวัย 27,136 คน
3) ภาษาอังกฤษ 24,748 คน
4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 22,884 คน
5) คณิตศาสตร์ 22,656 คน
6) ภาษาไทย 20,537 คน
7) วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทั่วไป 17,847 คน
8) คอมพิวเตอร์ศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา 17,562 คน
9) การประถมศึกษา 8,119 คน
10) ดนตรี 4,180 คน
11) ชีววิทยา 4,024 คน
12) ศิลปศึกษา ทัศนศิลป์ จิตรกรรม 3,899 คน
13) นาฏศิลป์ (ไทย สากล) นาฏยดุริยางคศาสตร์ 3,810 คน
14) เคมี 2,917 คน
15) ฟิสิกส์ 2,813 คน
16) ภาษาจีน 2,229 คน
17) วิศวกรรมอุตสาหกรรม 2,203 คน
18) การศึกษา 2,025 คน
19) การศึกษาพิเศษ 1,834 คน
20) วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม 1,668 คน
21) วิศวกรรมเครื่องกล 1,594 คน
22) วิศวกรรมไฟฟ้า 1,283 คน
23) เกษตรกรรม เกษตรศาสตร์ สิ่งแวดล้อม 1,225 คน
24) วิศวกรรมโยธา 1,166 คน
25) จิตวิทยา 1,116 คน
26) คหกรรมศาสตร์ 980 คน
27) ธุรกิจศึกษา บริหารธุรกิจ 705 คน
28) อุตสาหกรรม 688 คน
29) ครุศาสตร์วิศวกรรม 410 คน
30) ภาษาญี่ปุ่น 337 คน
31) การวัด การวิจัย การประเมินผลการศึกษา 332 คน
32) เทคโนโลยีอุตสาหกรรมศึกษา 295 คน
33) ครุศาสตร์สภาพแวดล้อมภายใน 284 คน
34) ครุศาสตร์การออกแบบ 283 คน
35) การศึกษานอกระบบ 282 คน
36) สถาปัตยกรรม 248 คน
37) การสอนวิทยาศาสตร์ทั่วไป 169 คน
38) บรรณารักษ์ศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ 158 คน
39) วิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์ 156 คน
40) ภาษาฝรั่งเศส 120 คน
41) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 33 คน
42) การบริหารการศึกษา 13 คน
43) อิสลามศึกษา 12 คน

รวมผู้เรียนจะสำเร็จการศึกษาในทุกสาขา แต่ละปี ดังนี้ ปีการศึกษา 2556 จำนวน 29,844 คน ปีการศึกษา 2557 จำนวน 40,437 คน ปีการศึกษา 2558 จำนวน 56,382 คน ปีการศึกษา 2559 จำนวน 71,530 คน ปีการศึกษา 2560 จำนวน 61,329 คน ทั้งนี้ จนถึงปีการศึกษา 2560 หรืออีก 5 ปี จะมีผู้สำเร็จรวมทั้งสิ้น 259,522 คน

จากที่ สกอ. โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. เป็นประธานการประชุมอธิการบดีและคณบดีในสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู 5 ปี เพื่อวางแผนการ ผลิตครู และมีการเสนอผลการสำรวจ ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2556 พบว่ามีจำนวนผู้เรียนเกินความต้องการของหน่วยงานผู้ใช้ครูมากในบางสาขาวิชา และคาดว่าจะขาดแคลนในหลายสาขาวิชา และมีมติให้สถาบันฝ่ายผลิตพิจารณาทบทวนแผนการผลิตนั้น

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2556 สภาคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) ได้ทำการสำรวจ ปรากฏว่าสาขาวิชาที่มีผู้เรียนเกินความต้องการมีจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ และสาขาที่คาดว่าจะขาดแคลนก็ยังคงมีผู้เรียนน้อยตามเดิม และจำนวนภาพรวมเพิ่มขึ้นกว่า 20,000 คน คือ 259,522 คน จากเดิมที่พบจากการสำรวจครั้งก่อนประมาณ 240,000 คน ในขณะที่ข้อมูลครูจะเกษียณอายุราชการประมาณ 100,000 คน แต่เชื่อว่าจะได้อัตราแทนเพียง 20,000 คน หรือร้อยละ 20 เท่านั้น

โดยสรุป สถาบันฝ่ายผลิตครู ไม่สามารถลดจำนวนและเพิ่มจำนวนให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ อาจเป็นเพราะมี การกำหนดแผนการรับและประกาศรับสมัครไปแล้ว ทั้งระบบรับตรงและแอด มิสชั่นส์กลาง

สำหรับข้อแนะนำที่ ส.ค.ศ.ท.เคยหารือกันไว้คือ
1) ลดหรืองดรับผู้เรียนในสาขาวิชาที่ เกินความต้องการ โดยเฉพาะ 8 สาขา วิชา เพิ่มจำนวนผู้เรียนในสาขาวิชาที่ขาดแคลน กรณีสถาบันฝ่ายผลิตมีความพร้อม ในปีต่อไป
2) โอนย้ายผู้เรียนไปในสาขาวิชาที่เกินไปเรียนในสาขาวิชาขาดแคลน ตามความพร้อมของสถาบันฝ่ายผลิต ตามความสามารถ และตามความสมัครใจของผู้เรียน
3) สนับสนุนให้บัณฑิตเรียนเพิ่มในสาขาวิชาที่ขาดแคลน อีกสาขาหนึ่ง (ปริญญาเดียวกันสาขาที่สอง)
4) เปิดโอกาสให้สถาบันฝ่ายผลิต เทียบโอนหรือโอนย้ายนักศึกษาหรือรับบัณฑิตปริญญาอื่น เข้าเรียนในสาขาวิชาที่มีความขาดแคลน หรือเข้าเรียนในระดับปริญญาโท ทางการสอน
การแก้ปัญหากรณีสาขาวิชาที่มีการผลิตเกิน (หากยังคงจำนวนเท่าเดิม)
1) พัฒนาทักษะความสามารถพิเศษ เพื่อสร้างโอกาส และตรงตามความต้องการผู้จ้างงานอื่นนอกจากการเป็นครู
2) พัฒนาทักษะภาษาเพื่อให้สามารถสอนในโรงเรียนนานาชาติ หรือในประเทศอื่น ทั้งในอาเซียนและนานาชาติ เช่น ทักษะภาษาอังกฤษหรือภาษาอาเซียน
3) จัดให้มีการเรียนปริญญาอื่นควบคู่ไปด้วย
ส่วนตัวเห็นว่าสาขาวิชาที่มีผู้เรียนเกินความต้องการ คือสาขาวิชาที่มีผู้เรียนมากกว่า 10,000 คน ส่วนสาขาวิชาที่คาดว่าจะขาดแคลน คือ สาขาวิชาที่มีผู้เรียนไม่เกิน 5,000 คน สำหรับสาขาวิชาที่น่าเป็นห่วงคือ สาขาวิชาด้านพลศึกษา สุขศึกษา ส่วนสาขาวิชาภาษาอังกฤษและคอมพิวเตอร์อาจหางานอื่นทำได้ สำหรับคณิตศาสตร์อาจไปทดแทนที่อัตราที่ขาดแคลนอยู่เดิมแล้ว อาจจะเกินไม่มากนัก
ส่วนสาขาที่จะขาดแคลนและจะเป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ ได้แก่ สาขาวิชาเคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ รวมทั้งสาขาวิชาด้านภาษาโดยเฉพาะภาษาอาเซียน พบว่าไม่มีการผลิต ควรต้องพิจารณาขยายการผลิต

ปัญหาการผลิตนี้ เป็นเพราะกระทรวงศึกษาธิการไม่มีข้อมูลความต้องการที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน ที่สำคัญประเทศไทยมีการยุบกรมการฝึกหัดครู จึงไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบแผน
การผลิต จึงต่างคนต่างผลิต ในขณะที่ ส.ค.ศ.ท.เป็นเพียงองค์กรที่ตั้งขึ้นมา นอกเหนือกฎหมายกำหนด ขาดอำนาจ สั่งการหรือตัดสินใจใดๆ หน่วยงานที่เกี่ยวกับครูมีมากแต่ไม่มีหน่วยงานใดทำหน้า ที่นี้และขาดความเป็นเอกภาพ นอกจากนี้ คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีความเข้มแข็งมาอย่างยาวนาน ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐเดิม มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ เปิดรับตามความพร้อมที่มีอยู่ ทำให้เกินและขาดในบางสาขาวิชาไม่สอดคล้องกับความต้องการ

จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ถือว่าเป็นปัญหาเชิงปริมาณซึ่งจะส่งผลในเชิงคุณภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดบ้าง โดยเฉพาะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าไม่ถือว่าเรื่องการผลิตครูนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนในประเทศนี้จะขาดคุณภาพ ไม่มีทางปรองดอง ไม่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ แต่ฝ่ายการเมืองคงชอบเพราะคนขาดคุณภาพแล้วปกครองง่าย (ยากจน เหลื่อมล้ำ ประชานิยม ซื้อเสียงได้อำนาจต่อไป)

และขอวิงวอนคณบดีและอธิการบดี การพิจารณาจำนวนรับเข้าเรียนเพื่อหวังเป้าหมายทางงบประมาณ โดยไม่ห่วงใยลูกศิษย์และความเป็นวิชาชีพชั้นสูงด้วย ตกงานถูกดูแคลนแล้วมันจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงได้อย่างไร

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32963&Key=hotnews

 

เสนอตั้งอนุก.ค.ศ.สพฐ.เคลียร์ปัญหาแต่งตั้ง-โยกย้ายผอ.ร.ร.พรีเมียม

10 มิถุนายน 2556

บอร์ด กพฐ.เสนอตั้ง อนุ ก.ค.ศ.สพฐ. ขึ้นเคลียร์ปัญหาตั้งผู้บริหารกลุ่ม ร.ร.พรีเมียม หวังแก้ปัญหาระยะยาว ส่วนระยะสั้นเสนอโยน อนุ ก.ค.ศ.วิสามัญฯ พิจารณาหลักเกณฑ์โยกย้ายข้ามเขต และกำหนดจำนวน ร.ร.ที่เหมาะสม เหตุบอร์ดมองว่าจำนวนมากเกินไป

นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กพฐ. เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารโรงเรียนในกลุ่มพรีเมียมสคูล จำนวน 111 โรง ซึ่งประกอบด้วยโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ 56 โรง และโรงเรียนคุณภาพพิเศษ 55 โรง ซึ่งหลังจากนี้จะเตรียมส่งต่อไปยังคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาเพื่อพิจารณาแต่งตั้งต่อไป นอกจากนี้ บอร์ด กพฐ.ได้ทบทวนเรื่องการพิจารณากลั่นกรองโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารกลุ่มดังกล่าวด้วย เนื่องจากอำนาจการแต่งตั้งผอ.โรงเรียน เป็นของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ แต่เพราะกรณีโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม ก.ค.ศ.ได้กำหนดให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พิจารณาการกลั่นกรองก่อนเพื่อให้ได้คนมีฝีมือและมีคุณภาพไปบริหารโรงเรียน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม แต่เพราะยังมีปัญหาในหลายขั้นตอน เพราะฉะนั้น บอร์ด กพฐ.จึงมีมติมอบหมายให้กรรมการท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมการในคณะ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับนโยบายและระบบบริหารงานบุคคล ไปหารือใน อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯชุดดังกล่าวว่า การดำเนินการโยกย้ายและแต่งตั้งผู้บริหารกลุ่มชพรีเมียมสูคลนั้นจะยังคงดำเนินการตามระบบวิธีการเดิม หรือจะเปลี่ยนแปลง

ด้าน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ.ได้นำเสนอผลการประมวลผลดีผลเสียกรณีมีการกลั่นกรองการคัดเลือก ผอ.โรงเรียน ในกลุ่มพรีเมียมสคูล จากส่วนกลางต่อที่บอร์ด กพฐ. ซึ่งได้มีมติให้ สพฐ.ดำเนินการแก้ปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นที่ต้องดำเนินการทันที คือให้ สพฐ.ส่งมอบผลการประมวลดังกล่าวให้ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญฯ นำไปพิจารณาใน 2 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นแรก ให้ทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายเพื่อให้เกิดการเลื่อนไหลหรือย้ายข้ามเขตได้เพื่อให้ได้ผู้บริหารที่มีคุณภาพประสบการณ์เหมาะสมที่สุด และประเด็นที่สอง เพื่อให้พิจารณาว่าจำนวนรายชื่อโรงเรียนกลุ่มคุณภาพพิเศษ จำนวนที่เหมาะสมควรมีเท่าไร หรือที่มีอยู่ในปัจจุบันมากเกินไปหรือไม่ เนื่องจากระยะแรกที่ สพฐ.ดำเนินการนั้นมีเพียง 16 โรงแต่ปัจจุบันในปีที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 56 โรง ซึ่งที่ประชุมบางส่วนใหญ่มองว่าจำนวนมากเกินไป

ส่วนระยะยาว ที่ประชุมเสนอให้มีการตั้งกำหนด อ.ก.ค.ศ.สพฐ. ขึ้นเพื่อที่หากเกิดกรณีที่การพิจารณาจาก สพฐ.ไม่สอดคล้องกับการพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ก็ให้นำเสนอปัญหาเหล่านั้นมาสู่การพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ.สพฐ. และให้ถือว่าการประชุมและมติของ อ.ก.ค.ศ. สพฐ.เป็นข้อยุติ แต่เนื่องจากเวลานี้ในระบบบริหารงานบุคคลนั้นไม่ได้มี อ.ก.ค.ศ. สพฐ. ทำให้เวลาเกิดปัญหาขัดแย้งจึงต้องเสนอปัญหาไปยังบอร์ด ก.ค.ศ.ชุดใหญ่เท่านั้น

กรุงเทพฯ–10 มิ.ย.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32962&Key=hotnews

อธิการบดี ฉายภาพของ ม.เนชั่น ใน สยามสาระพา

ntu president
ntu president

คลิ๊ปรายการสยามสาระพา
ตอน เปิดโลกการศึกษากับ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเนชั่น
ออกอากาศวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ทาง Nation Channel
ดำเนินรายการโดยคุณวรรณศิริ ศิริวรรณ

ในรายการได้พบกับ ผศ.ดร.พงษ์อินทร์ รักอริยะธรรม
ให้ความมั่นใจกับนักเรียนที่จะเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเนชั่น

Nation University in Siamsarapa episode 5

http://www.youtube.com/watch?v=wjoCQwsjkM0


พบใน ! http://blog.nation.ac.th/?p=2698

การตรวจสอบ และการทวนสอบ (itinlife401)

 

system audit
system audit

พบคำว่า การทวนสอบในแบบฟอร์ม มคอ.3 หมวดที่ 7 การประเมินและปรับปรุงการดำเนินการของรายวิชา หัวข้อที่ 4 ใน กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ที่ทุกวิชาต้องจัดทำก่อนดำเนินการสอน และหัวข้อนี้เป็นแผนที่ต้องดำเนินการในการจัดการเรียนการสอนตามมาตรฐาน เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จก็จะต้องจัดทำ มคอ.5 ที่เป็นรายงานผลการดำเนินการของรายวิชา เรื่องนี้สอดรับกับการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของระบบงาน ซึ่งจำแนกได้ 2 ส่วนคือ การตรวจสอบ (Verification) และการยืนยันความถูกต้อง (Validation)

การพิจารณางาน (Work) สามารถวิเคราะห์ได้หลายรูปแบบ และมีทฤษฎีให้เลือกใช้มากมาย การทำงานให้สำเร็จมักประกอบด้วยระบบและกลไก เมื่องานเสร็จแล้วก็สามารถดำเนินการตรวจสอบ และยืนยันความถูกต้องได้ หากจะแยกความต่างของ verification และ validation ก็อาจแยกที่ประเด็นการตรวจสอบว่า การพบผลการดำเนินการตามที่เขียนไว้ในแผน ทั้งแผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการและตัวบ่งชี้ของแผน เป็นไปตามกิจกรรม/โครงการ ระยะเวลา กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ หากดำเนินการครบทุกรายการที่ตรวจสอบก็เรียกว่าผ่านการ verification โดยกิจกรรมนี้มักเป็นงานที่ดำเนินการโดยพนักงานเป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่างานมีคุณภาพตามที่กำหนด

ส่วน Validation คือ การตรวจสอบว่ามีการสร้างระบบที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ตั้งแต่ก่อนสร้างระบบ ระหว่างสร้าง การใช้ระบบ การเลือกวิธีตรวจสอบ การนำผลการตรวจสอบไปใช้ และการเชื่อมโยงผลของงานเข้ากับผลการตรวจสอบว่ามีความสมเหตุสมผล ก็จะเป็นผลว่าระบบงานนั้นมีความถูกต้องเพียงใด การทวนสอบก็จะรวมความหมายทั้งการตรวจสอบ และการตรวจความถูกต้องว่าข้อสอบ กิจกรรมการเรียนการสอน หลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ มีที่มาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งผู้ประกอบการ ชุมชน ผู้ปกครอง นักศึกษา อาจารย์ และสถาบัน ว่ามีความครบถ้วน และเชื่อมโยงกันอย่างถูกต้อง ซึ่งผลการตรวจสอบก็จะนำไปใช้ปรับปรุงนโยบาย แผนกิจกรรม/โครงการ ทั้งในชั้นและนอกชั้น และแนวทางจัดการเรียนทั้งระดับสูงสุดไปถึงแต่ละวิชากันต่อไป

http://audit.obec.go.th/

http://www.npc-se.co.th/pdf/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C%20Rev%200.pdf

http://km.bus.ubu.ac.th/?p=831

12 มี.ค.56 สุขวิทย์ โสภาพล ได้แบ่งปันผ่าน blog ของ ubu.ac.th ว่า การทวนสอบ หมายถึง ดำเนินการหาหลักฐานด้วยวิธีการใด ๆ เช่น การสังเกต การตรวจสอบ การประเมิน การสัมภาษณ์ เป็นต้น เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่กำหนดขึ้นนั้น ได้มีการดำเนินการ และบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือไม่ โดยทั่วไปการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ของนักศึกษาในรายวิชา

มีกลยุทธ์ดังต่อไปนี้
1. การตรวจสอบการให้คะแนนจากกระดาษคำตอบข้อสอบและงานที่ได้รับมอบหมาย
2. การตรวจสอบการประเมินหลักสูตรโดยนักศึกษาและผู้สำเร็จการศึกษา
3. การตรวจสอบภาควิชาหรือสาขาวิชาและหลักสูตรโดยบุคคลภายนอก
4. การรายงานเกี่ยวกับทักษะของบัณฑิตโดยผู้ใช้บัณฑิต

 

กมธ.ศึกษาฯ จี้สพฐ.กระจายอำนาจ ทำหน้าที่ส่งเสริมแทนจัดการศึกษา

7 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่โรงแรมปริ๊น พาเลซ มหานาค นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ทิศทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต”  มีผู้บริหารสถานศึกษา นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา 150 คนเข้าร่วม จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานต้องพลิกโฉมการศึกษาไทยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยให้ดำเนินการตามนโยบายของนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่ต้องการให้นำรูปแบบการจัดการศึกษาของแต่ละพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จ ไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนลดเนื้อหาลง แต่เพิ่มการคิดวิเคราะห์ของเด็กให้มากขึ้น รวมถึง ส่งเสริมเรื่องคุณธรรมจริยธรรมให้มีการปฏิบัติอย่างชัดเจน เนื่องจากมีตัวชี้วัดว่าปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และพฤติกรรมความรุนแรงของเด็กกลับเพิ่มมากขึ้น จากนี้จะพิจารณาด้วยว่าการปฏิรูปการศึกษา ต้องดูความสำเร็จจากตัวชี้วัดทางสังคมด้วย

“เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอว่าควรกระจายภาระการจัดการศึกษาให้สมดุลมากขึ้น ทั้ง สพฐ. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) และท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ของ สพฐ.จากหน่วยงานที่จัดการศึกษาเอง เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริม และพัฒนาการ เป็นต้นแบบของการจัดการศึกษา อีกทั้ง ควรพัฒนาอบรมครู คิดระบบของการพัฒนาครูในเชิงสมรรถนะที่ความก้าวหน้าต้องควบคู่ไปกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก เพราะจะเห็นว่าปัจจุบันครูก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ผลการเรียนของเด็กกลับย่ำอยู่กับที่” นายชินภัทรกล่าว

นายอมรวิชช์ นาครทรรพ์ คณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) กล่าวว่า รูปแบบการใช้ชีวิตของเด็กไทยเปลี่ยนไปมาก อยู่ในภาวะที่ต้องการความรักความใส่ใจจากครูมากขึ้น แต่ระบบการศึกษาไทยทำให้ครูมีเวลาให้เด็กน้อยลง เพราะยุ่งกับภาระงานที่ไม่ใช่เรื่องการสอน ทำให้เด็กขาดที่พึ่ง และออกไปเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆ ทั้งที่ยังขาดทักษะชีวิต จึงต้องทำให้การเรียนรู้ของเด็กมีเสน่ห์เท่าทันโลกภายนอกให้ได้ ไม่เช่นนั้นเด็กจะเรียนด้วยระบบที่เรียนแบบไม่รู้ หรือเรียนแบบคัดลอกข้อมูลมาแปะงานส่ง จึงถึงเวลาที่โจทย์การศึกษาต้องถูกยกระดับ ไม่ควรปล่อยให้การศึกษาไทยเหมือนกบอยู่ในหม้อน้ำร้อน เพราะถ้าผลิตคนออกมาทั้งระบบ เป็นคนที่ไม่รู้ มีแต่ใบปริญญา ไม่มีปัญญา ประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32955&Key=hotnews

ครู 2 พันถูกฟ้องเหตุหนี้วิกฤต เล็งคุยแบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ 5% ช่วย สกสค.ชี้ 4 แสนแม่พิมพ์มีหนี้กว่าแสนล้าน

7 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยความคืบหน้าในการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มาปล่อยกู้ให้กับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีหนี้สินวิกฤตตามแนวคิดของนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าขณะนี้สำนักงาน สกสค.กำลังประสานกับสถาบันการเงินเพื่อหาอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ร้อยละ 5 มาปล่อยกู้ให้กับข้าราชการครูฯที่หนี้สินวิกฤต อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง ที่มีประมาณ 2,000 คน เพื่อให้ข้าราชการครูฯเหล่านี้อยู่ได้ เพราะบางคนอาจไม่มีเงินพอเหลือจ่ายหนี้สิน โดยการหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำดังกล่าว เมื่อได้รายละเอียด และข้อสรุปแล้ว จะต้องนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.อนุมัติเห็นชอบต่อไป

“นอกจากนี้ สกสค.จะทบทวนข้อตกลง หรือ MOU กับธนาคารออมสินในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้กับข้าราชการครูฯ ที่เป็นสมาชิกอยู่กับ สกสค.โดยได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาทบทวนข้อตกลงกับทางธนาคารออมสินแล้ว และคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางที่จะช่วยเหลือสมาชิกในภาวะที่มีความผันผวนทางด้านเศรษฐกิจ และภาวะที่หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์สูงสุดในการกู้เงิน” นายสมศักดิ์กล่าว

“ภาพรวมมีครูประมาณ 3-4 แสนคน ที่ไปกู้สินเชื่อ และยังมีหนี้ที่ต้องชำระอยู่ประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท ถึงแม้จะเป็นมูลค่าที่มาก แต่ว่าข้าราชการครูฯ ส่วนใหญ่ก็ยังสามารถผ่อนชำระได้ ไม่ได้เป็นหนี้เสีย และหากรวมทรัพย์สินของครูแล้ว คิดว่าน่าจะมากกว่าสินเชื่อที่ไปกู้มา ส่วนครู 2,000 ราย ที่มีหนี้สินวิกฤตนั้น สกสค.ยังไม่สามารถประเมินได้ว่ามีหนี้สินอยู่เท่าไร” นายสมศักดิ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32954&Key=hotnews

สหกิจศึกษาไทยก้าวสู่อาเซียนพลัส

7 มิถุนายน 2556

ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 56 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ร่วมกับสมาคมสหกิจศึกษาไทยและ 9 เครือข่ายของสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ได้จัดงาน “วันสหกิจศึกษาไทย” ครั้งที่ 5 พ.ศ.2556 ภายใต้แนวคิด”สหกิจศึกษาไทย กลไกสู่การพัฒนาประชาคมอาเซียนพลัส” โดยมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการพร้อมด้วย นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.)  และนายวิจิตร ศรีสอ้าน นายกสมาคมสหกิจศึกษา ร่วมเยี่ยมชมนิทรรศการ

นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการสหกิจศึกษานานาชาติ นั้นเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการจัดการศึกษาที่ สกอ.รับผิดชอบร่วมกับภาคอุตสาหกรรมและเครือข่ายมหาวิทยาลัย ที่จะพัฒนานิสิตนักศึกษาให้มีความรู้ ทักษะในการปฏิบัติงาน เพื่อนำไปสู่การผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพทั้งวิชาการและการปฏิบัติ เป็นการเตรียมพร้อมบุคลากรของประเทศ ที่ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นจึงอยากฝากนิสิต นักศึกษาที่เข้าร่วมในโครงการ ขอให้ตั้งใจเรียน และเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานในสถานประกอบการอย่างเต็มที่

นายวิจิตร กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะนำเสนอกิจกรรมทางวิชาการต่างๆ การมอบรางวัลสหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ 11 รางวัลและเสวนาจากนักวิชาการระดับนานาชาติแล้ว ยังเป็นการแสดงให้บัณฑิตไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการเข้าร่วมสหกิจศึกษา ที่จะทำให้พวกเขาได้ความรู้ มีทักษะในการทำงาน และพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32953&Key=hotnews

เทคนิคดอนเมืองใช้ค่ายคุณธรรมกล่อมเกลาจิตใจ-ลดความรุนแรง-ปัญหาตีกัน

7 มิถุนายน 2556

นายเพิ่มสิน เฉยศิริ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง เปิดเผยว่า จากการที่วิทยาลัยได้ร่วมจัดกิจกรรมค่ายคุณธรรม จริยธรรม กับกรมการศาสนา (ศน.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในการเสริมสร้างให้นักศึกษาได้ใช้หลักธรรมกล่อมเกลาจิตใจ เพื่อลดความรุนแรง และลดปัญหาการตีกัน เมื่อปีที่ผ่านมานั้น พบว่า ค่ายดังกล่าวทำให้นักศึกษามีพฤติกรรมที่ดีขึ้น รู้จักการช่วยเหลือ ผู้อื่น และความรุนแรงต่างๆ ลดลง ดังนั้น ในปี 2556 ช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ทางวิทยาลัยจะได้นำนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ไปเข้าค่ายคุณธรรม จริยธรรม ภายใต้โครงการอบรมคุณธรรมนักเรียนใหม่ ประจำปีการศึกษา 2556 ระหว่างวันที่ 5-7 มิ.ย. ณ ศูนย์เยาวชนนครราชสีมา โดยมีพระวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถมากล่อมเกลาจิตใจนักศึกษา พร้อมกับมีการอบรมครูในการเฝ้าระวังนักเรียน นักศึกษา และเสริมสร้างความรู้การเข้าถึงจิตใจเด็กในการป้องกันปัญหาการตีกันด้วย

นายเพิ่มสิน กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการการป้องกันปัญหาการตีกัน ทางวิทยาลัยได้มีระบบการตรวจเช็กนักเรียนในช่วงเช้า โดยเฉพาะการเข้าแถวหน้าเสาธง ว่าห้องไหน นักเรียนคนใดขาด หรือไม่มา แล้วที่ไม่มามีสาเหตุใด ซึ่งจะช่วยป้องกันเด็กได้ในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกัน วิทยาลัยได้ประสานผู้ปกครอง ประชาชนในพื้นที่ ในการช่วยกันเฝ้าระวังการเกิดความรุนแรงหรือตีกันระหว่างเด็กต่างสถาบัน ช่วยแจ้งข้อมูลต่างๆ มายังวิทยาลัยด้วย นอกจากนี้ ตนยังอยากให้วิทยาลัยเทคนิค หรือโรงเรียนเทคนิคต่างๆ ใช้แนวทางดังกล่าวในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ความรุนแรง เชื่อว่า หากแต่ละแห่งมีมาตรการป้องกัน หรือสามารถตรวจสอบได้ว่า นักศึกษาของตนเองอยู่ที่ใด ก็จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้

“เราต้องนำหลักคุณธรรม จริยธรรม มาพัฒนาจิตใจเด็ก โดยเฉพาะนักศึกษาปี 1 เชื่อว่า นักเรียนอาชีวะมีพัฒนาการที่ดีได้ อย่ามองว่าเป็นกลุ่มหัวรุนแรงเพียงอย่างเดียว ส่วนทัศนคติ ต้องไปตีกันเพื่อแสดงให้รุ่นพี่เห็นว่าเก่งนั้น ผมได้ให้ครูอบรมเด็ก รวมทั้งป้องกันกิจกรรมรับน้อง ไม่ให้รุ่นพี่ปลูกฝังความรุนแรงให้แก่รุ่นน้อง และไม่ให้รุ่นพี่ที่เรียนไม่จบเข้ามาร่วมกิจกรรม” ผอ.วิทยาลัยเทคนิคดอนเมืองกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32952&Key=hotnews

ปฐมวัย ฐานรากแห่งการพัฒนาประเทศ

7 มิถุนายน 2556

เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ประเทศจะพัฒนาในอนาคต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชากรตัวน้อยทุกคนด้วยตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าว ในงาน “สานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่”  ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ จึงได้ระดมผู้รู้ผู้เกี่ยวข้องมาร่วมกันถก เรื่อง   “สานพลังสร้างปฐมวัยให้มีคุณภาพ”  โดย พญ.พรรณพิมล วิปุลากร ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล รักษาการรองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การสร้างคุณภาพเด็กควรเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ปัจจุบันมีเพียง5-10% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แม้หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่คลอดที่สถานพยาบาล ยังต้องเผชิญ 2 ปัญหาสำคัญคือ

1.ทารกแรกคลอดน้ำหนักตัวน้อย ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่ากำลังเป็นภาระทางสุขภาพที่สำคัญในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็มีเด็กน้ำหนักเกินมากขึ้นเรื่อยๆ

2.การเติบโตเรียนรู้ ปลอดโรค ปลอดภัยของเด็ก ซึ่งไทยมีความก้าวหน้าด้านวัคซีน แต่ยังมีเด็กด้อยโอกาสที่เข้าไม่ถึง เมื่อคลอดปลอดภัยแล้ว ก็เตรียมพร้อมเข้าสู่การดูแลของสถานเลี้ยงเด็ก ก่อนเข้าสู่รั้วโรงเรียน เพราะพ่อแม่ยุคใหม่ต้องทำงานนอกบ้าน หน้าที่ในการดูแลบุตรหลานจึงถูกส่งต่อไปยังครูพี่เลี้ยง

นายวีระชาติ ทศรัตน์ ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการศึกษานอกระบบและพัฒนากิจกรรมเยาวชน สำนักประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ปัจจุบันมีศูนย์เด็กเล็กในสังกัดกรมฯ รองรับเด็กที่ไม่ได้เข้าสู่สถานเลี้ยงเด็กอื่นๆ 20,000 แห่งทั่วประเทศ ครู 52,000 คน ดูแลเด็กประมาณ 1 ล้านคน เพื่อกระตุ้นพัฒนาเด็ก ให้ได้รับการพัฒนาตามวัย ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม

นางสุกัญญา เวชศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็ก สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชนผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า แต่ละปีมีเด็กคลอดใหม่กว่า 4 ล้านคน เด็ก 1 ล้านคนเข้าศูนย์ดูแลเด็กเล็ก อีก 1 ล้านคนเข้าศูนย์พัฒนาเด็กของรัฐบาล ที่เหลืออีกประมาณ 2 ล้านคนไม่ได้อยู่ในการดูแลของสถานดูแลเด็กสังกัดใดๆ อยู่ในการดูแลของปู่ย่า ตา ยาย การสร้างคุณภาพเด็กปฐมวัยจึงต้องมองให้ครบทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงกับครอบครัว ผู้ปกครองเด็ก และควรมีมาตรฐานกลางศูนย์ดูแลเด็กเพราะปัจจุบันยังเป็นมาตรฐานเฉพาะของแต่ละหน่วยงาน จึงร่วมกับ สสส. พัฒนาการทำงานด้านเด็กเชิงระบบ ให้เด็กเป็นศูนย์กลางตอบสนองความต้องการของเด็กได้ทุกมิติ ทั้งการศึกษา อนามัย สิ่งแวดล้อม

รศ.ดร.อุดมลักษณ์ กุลพิจิตร กรรมการพัฒนาระบบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. กล่าวว่า เพราะการประเมินของ สมศ. ครอบคลุมทั้งด้านผู้บริหาร ด้านครู และด้านผู้เรียน ซึ่งการรับรองและประเมินคุณภาพเป็นการตรวจสอบคุณภาพภายนอก จะช่วยผลักดันให้โรงเรียน รวมถึงสถานดูแลเด็กให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้เด็ก 2 ล้านกว่าคน ที่อยู่ในการดูแลของศูนย์ฯ ต่างๆ ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย เศร้าสลด ทั้งการลืมเด็กไว้ในรถ การทำร้ายร่างกายเด็ก เป็นต้น

เด็กไทยในวันนี้ล้วนมีศักยภาพในตัวเอง ขอเพียงผู้ใหญ่ให้การดูแลและส่งเสริมอย่างเหมาะสมและใส่ใจ เท่านี้ก็ประชากรตัวน้อยๆ ก็พร้อมจะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศให้วัฒนาก้าวหน้าได้แน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32951&Key=hotnews

‘ผอ.สพม.’ ยันไม่ขัด ‘ทรงผม’

7 มิถุนายน 2556

กรณีนักเรียนและผู้ปกครองร้องผ่านสายด่วนการศึกษา 1579 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่ามีสถานศึกษาหลายแห่งไม่ปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความประพฤติ การแต่งกายและแบบทรงผมของนักเรียนและนักศึกษาฉบับใหม่ หลัง ศธ.ทำหนังสือสั่งการถึงหัวหน้าส่วนราชการที่มีสถานศึกษาในสังกัด เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผมนักเรียนนั้น เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายสัจจา ศรีเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) กรุงเทพฯ เขต 2 กล่าวว่า ในส่วนของ สพม. กรุงเทพฯ เขต 2 ทำหนังสือถึงโรงเรียนทุกแห่งในสังกัด สพม.กรุงเทพฯ เขต 2 ให้ปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงฯ แต่ที่ผ่านมามีผู้ปกครองบางรายไม่เข้าใจ และสอบถามมาที่เขตพื้นที่ฯ บ้าง ซึ่งเขตพื้นที่ฯ ก็ได้ชี้แจงทำความเข้าใจแล้ว ขณะนี้ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนใดๆ อีก

“ผมเข้าใจว่าที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว เพื่อไม่เป็นการไปละเมิดสิทธิของเด็ก ตามหลักการประชาธิปไตย ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่เรื่องนี้อยู่ที่มุมมอง เพราะแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผล ทั้งนี้ เชื่อว่าไม่มีโรงเรียนใดไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงเพราะถือเป็นนโยบาย แต่ที่ยังมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้นบ้าง ส่วนหนึ่งอาจเพราะโรงเรียนยังทำความเข้าใจไม่เพียงพอ เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น” นายสัจจากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32950&Key=hotnews