สอศ. – ซูกิชิเปิดพาณิชย์ทวิฯ ปั้นบุคลากรรุกธุรกิจอาหาร AEC

29 พฤษภาคม 2556

ดร.อกนิษฐ์ คลังแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่าสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อร่วมกันจัดการศึกษาระบบทวิภาคีกับบริษัทซูกิชิอินเตอร์กรุ๊ปจำกัดโดยรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.สาขาพาณิชยกรรม) จากสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ 7 แห่งได้แก่ว.พณิชยการบางนา ว.พณิชยการธนบุรี ว.พณิชยการเชตุพน ว.พณิชยการอินทราชัย ว.อาชีวศึกษาเอี่ยมละออ ว.อาชีวศึกษาธนบุรี ว.เทคนิคธัญบุรี เข้าร่วมฝึกปฏิบัติงานในธุรกิจบริการด้านอาหารซึ่งมีตำแหน่งรองรับการฝึกปฏิบัติงานครบวงจรอาทิงานด้านบัญชีและการเงินการตลาดจัดซื้อคลังสินค้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ฝ่ายบุคคลและการบริการด้านอาหารซึ่งบริษัทซูกิชิอินเตอร์กรุ๊ปจำกัดเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอาหารมากว่า12 ปีมีเทคโนโลยีการบริหารจัดการที่ทันสมัยมีร้านบริการอาหารสาขาในเครือกว่า 80 แห่งและเตรียมขยายสาขาไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนอาทิพม่าเวียดนามและจีนโดยมีศูนย์ฝึกอบรมของบริษัทฯรองรับการพัฒนาคุณภาพบุคลากรตามหลักมาตรฐานสากล

นายนพดล จิรวราพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูกิชิ อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการฝึกนักศึกษาเพื่อให้ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในการทำงานควบคู่กับการเรียนในห้องเรียนซึ่งนอกจากจะเน้นการฝึกงานในสายอาชีพแล้วจะมีการเสริมด้านความรับผิดชอบการปรับตัวให้เข้ากับระบบงานการทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วยนอกจากนี้จะได้รับทุนการศึกษาจากบริษัทคนละ 2,500 บาทต่อภาคเรียนพร้อมทั้งสวัสดิการต่างๆเหมือนเป็นพนักงานเช่นเบี้ยเลี้ยงรายวันโบนัสประจำปีค่าล่วงเวลาเงินรางวัลจากการขายฯลฯและมีงานรองรับทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษาอีกด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32843&Key=hotnews

ศธ.ส่ง ‘สลค.’ ประเมินย้าย ‘ชินภัทร’ ช่วงสอบวินัย-เหตุเกิดทุจริตครูผช.

29 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยถึงกรณีนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบแบบแผนทางราชการ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง จากกรณีปัญหาทุจริตการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมาว่า โดยหลักการถ้ามีการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการคนใดแล้ว จะต้องขยับออกจากตำแหน่งก่อน เพื่อไม่ให้การสอบสวนเป็นไปแบบลูบหน้าปะจมูก เพราะความเกรงใจ หรือมีการใช้อำนาจหน้าที่ขัดขวางการสอบสวน โดยเฉพาะถ้าผู้ที่ถูกสอบเป็นเบอร์ 1 ของหน่วยงาน ยิ่งควรต้องขยับออกจากตำแหน่งก่อน และการขยับออกไปก็เป็นการย้ายไปช่วยราชการในตำแหน่งเทียบเท่าเดิม แต่หากสอบสวนออกมาไม่ผิด ก็สามารถย้ายกลับได้

“ผมได้หารือเรื่องดังกล่าวกับนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. แล้ว นายพงศ์เทพบอกให้ไปดูรายละเอียดให้รัดกุม และเสนอเรื่องมา ผมจึงได้ขอให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ช่วยดูรายละเอียด โดยให้ประเมินว่า ถ้าให้ชินภัทรอยู่ในตำแหน่งต่อจะขัดขวางการสอบสวนหรือไม่ แต่ถ้าให้ความร่วมมือดีก็อาจไม่จำเป็นต้องย้ายออก แต่ผมทราบมาว่าทางฝ่ายชินภัทรมีการตั้ง วอร์รูมเตรียมข้อมูลสู้อยู่ที่อาคารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ชั้น 4 ซึ่งคงต้องให้คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง ประเมินด้วยว่า จะเป็นการขัดขวางการสอบสวนหรือไม่” นายเสริมศักดิ์กล่าว

ด้านนายชินภัทรกล่าวว่า ตนยังไม่ได้รับหนังสือเชิญจากคณะกรรมการสอบสวนฯให้ไปชี้แจง แต่ขณะนี้ตนมีข้อมูลพร้อมจะชี้แจงแล้ว ส่วนจะอุทธรณ์คำสั่งถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงหรือไม่นั้น ยังบอกไม่ได้

–มติชน ฉบับวันที่ 30 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32842&Key=hotnews

สพฐ.เร่งสรุป ‘ยุบ – ไม่ยุบ’ ร.ร.เล็ก

29 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ได้รับข้อมูลจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) 182 เขตพื้นที่ฯครบแล้ว และกำลังวิเคราะห์ข้อมูลทำเป็นเอกสารข้อมูลสำหรับการประชุมคณะกรรมการภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ข้อมูลเบื้องต้นที่ สพฐ.ได้รับมา มีหลายเขตพื้นที่ฯแสดงความเห็นว่ากรณีการยุบรวม หรือ ยุบเลิก จะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยการรับส่งนักเรียน ดังนั้น สพฐ.จึงได้เตรียมตั้งงบประมาณสำหรับจัดสรรรถยนต์ หรือรถตู้ 1,000 คัน แบ่งเป็นปีงบฯ 2557 จำนวน 150 คัน และปีงบฯ 2558 จำนวน 850 คัน โดย สพฐ.จะวิเคราะห์ตามหลักเกณฑ์เพื่อดูว่าโรงเรียนใดบ้างของแต่ละเขตพื้นที่ฯ ที่มีแผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กชัดเจนที่สุด และใช้รถยนต์มาเป็นปัจจัยในการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ จะประมวลผลเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32840&Key=hotnews

รับน้องใหม่…ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์

รับน้องใหม่…ด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ .. ! http://bit.ly/12KoMUr

รับน้อง รักน้อง .. ต้องจัดเต็ม
นึกถึงบรรยากาศรับน้องเข้าฐาน .. 18 ด่านมนุษย์ทองคำ
แต่ละฐานก็ช่างคิดกันจริง .. โชคดีมีรุ่นพี่ช่วยหาม
ยาลม ยาดม ยาหม่องพร้อม เป็นอีกภาพสะท้อน
จากงานเขียน อ.อัญ พบในกรุงเทพธุรกิจ

จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ “รุ่นพี่ยุคใหม่” จะพัฒนาระบบโซตัสใหม่ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์และดูแลรุ่นน้องเสมือนครอบครัวภายใต้รั้วสถาบันเดียวกัน

อัญญาวีร์ อุนสวัสดิ์อาภา
อัญญาวีร์ อุนสวัสดิ์อาภา

คุมเข้ม! อาชีวะรับน้อง“ พงศ์เทพ ” สั่ง สอศ.กำชับวิทยาลัยทุกแห่งจัดกิจกรรมตามมาตรการ ส่วนตามสถาบันอุดมศึกษาสั่งห้ามรับน้องนอกสถานที่ ห้ามมีของมึนเมา ห้ามละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและทางเพศ เน้นกิจกรรมสร้างสรรค์ ย้ำผู้บริหารและครูดูแลใกล้ชิด พร้อมเปิดสายด่วน 1156 ให้แจ้งเหตุตลอด 24 ชม.
ข้อความที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ในช่วงเดือนพฤษภาคมได้สะท้อนถึงนโยบายและการเตรียมความพร้อมในเทศกาลรับน้องที่กำลังจะมาถึง โดยกระทรวงศึกษาธิการ (สธ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีคำสั่งยังสถานศึกษาทุกระดับ ทุกสังกัดทั่วประเทศโดยมีใจความสำคัญว่า ห้ามรุ่นพี่และสถาบันการศึกษาจัดกิจกรรมรับน้องนอกสถานศึกษาโดยเด็ดขาด หากมีการจัดกิจกรรมรับน้องจะต้องอยู่ในการดูแลรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารและครู นอกจากนี้การรับน้องควรมีลักษณะสร้างสรรค์ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมและไม่ขัดต่อระเบียบของสถาบันการศึกษาและประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงามของสังคม รวมทั้งเคารพเสรีภาพส่วนบุคคลและห้ามล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลทั้งทางร่างกายและจิตใจ

รับน้อง รักน้อง ต้องเต็มที่กันหน่อย
รับน้อง รักน้อง ต้องเต็มที่กันหน่อย

เป็นที่น่าสังเกตว่า มาตรการการคุมเข้มเกี่ยวกับการรับน้องดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่มีความพยายามที่จะควบคุมและกำกับดูแลการรับน้องให้อยู่ภายใต้กฎระเบียบมาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจาก “รุ่นพี่” ในหลายสถาบันการศึกษายังคงจัดกิจกรรมการรับน้องทั้งในและนอกสถานที่อย่างต่อเนื่อง และเมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ “น้องใหม่” ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมการรับน้องรุ่นพี่ก็จะกลายสภาพเป็น “ผู้ร้าย” หรือ “พี่ว๊ากจอมโหด” ผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง บ่อยครั้งที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้ขยายวงกว้างจนกลายเป็น “ความขัดแย้ง” หรือ “ความรุนแรง” เนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะประเด็นการรับน้องด้วยระบบโซตัส (SOTUS) ที่มักพูดถึงบ่อยครั้งในช่วงเทศกาลการรับน้อง
จากการศึกษาที่มาของระบบโซตัส (SOTUS) หรือ ระบบว๊าก ในประเทศไทยพบว่า การรับน้องด้วยระบบโซตัสเริ่มเผยแผ่เข้ามาในสังคมไทยครั้งแรกที่โรงเรียนป่าไม้ภาคเหนือ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ หรือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปัจจุบัน ในช่วงปี 2486 ระบบโซตัสถูกนำไปใช้ในการรับน้องมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งกลุ่มคนที่นำเข้าแนวคิดการรับน้องระบบโซตัสมาใช้ในประเทศไทยยุคแรก คือ อาจารย์ที่จบจากวิทยาลัยเกษตรกรรมลอสบานยอส (Los Banos) แห่งฟิลิปปินส์ มหาวิทยาลัยออริกอนสเตต (Oregon State University) และมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) แห่งสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายเพื่อละลายพฤติกรรมและลดทอนความต่างของฐานะ รวมทั้งให้นิสิตใหม่รู้สึกเท่าเทียมและมีความรักสามัคคี ผ่านการกดดันกลั่นแกล้ง เช่น การปีนเสา การคลุกโคลน เป็นต้น ซึ่งระบบโซตัสดังกล่าวได้ถูกผลิตซ้ำและสืบทอดในสังคมไทยเป็นระยะยาวนานกว่า 60 ปี

  • Seniority – การเคารพผู้อาวุโส
  • Order – การปฏิบัติตามระเบียบวินัย
  • Tradition – การปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณี
  • Unity – การเป็นหนึ่งเดียว
  • Spirit – การมีน้ำใจ

อย่างไรก็ดี ระบบโซตัสที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นการรับน้องที่มีลักษณะที่ใช้ความรุนแรงและแปลกพิสดาร เช่น การตะโกนด่าทอรุ่นน้องด้วยถ้อยคำหยาบคาย การบังคับให้กลั้นหายใจใต้น้ำตามเวลาที่กำหนด การให้รุ่นน้องนอนกลิ้งไปบนพื้นหินกรวดกลางแดด การสั่งให้โชว์หรือจับอวัยวะเพศของกันและกัน การบังคับให้กินของแปลก หรือดื่มสุราจนขาดสติ เป็นต้น หากรุ่นน้องคนใดไม่ปฏิบัติตามรุ่นพี่ก็จะใช้อำนาจในการ “ควบคุม” “ข่มขู่” หรือ “ลงโทษ” เพื่อให้รุ่นน้องเกิดความเกรงกลัว หรืออับอายขายหน้า ซึ่งการกระทำของรุ่นพี่ดังกล่าว หากพิจารณาจากมุมมองด้านสิทธิมนุษยชน อาจถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้าน “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” (Right to Human Dignity) และกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ ปี 2550 มาตรา 4 ได้บัญญัติไว้ว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง
การรับน้องในปีนี้ แม้ว่ารุ่นพี่หลายคนยังศรัทธาระบบโซตัสก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หากกิจกรรมดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีเป้าหมายที่จะทำให้น้องใหม่เกิดความ “ประทับใจ” มากกว่า “ความสะใจ” ของรุ่นพี่ เพราะปัญหาที่ผ่านมาของการรับน้องในระบบโซตัสโดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการสืบทอดและผลิตซ้ำ “อำนาจและความรุนแรง” ในสังคม มากกว่าเป้าหมายในเชิงคุณค่าทางจิตใจ เช่น การสร้างความรักและความสามัคคีระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง

จะเป็นไปได้หรือไม่ที่ “รุ่นพี่ยุคใหม่” จะพัฒนาระบบโซตัสใหม่ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์และดูแลรุ่นน้องเสมือนครอบครัวภายใต้รั้วสถาบันเดียวกัน ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ในการรับน้องเช่น พี่ว๊ากที่ทำหน้ารักษากฎระเบียบโดยไม่ใช้ความรุนแรง หรือ รุ่นพี่ที่ทำโทษรุ่นน้องด้วยวิธีการที่สนุก สร้างสรรค์ และสร้างความสัมพันธ์อันดี หากเป็นเช่นนี้มาตรการคุมเข้มของกระทรวงศึกษาธิการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

โดย : อัญญาวีร์ อุนสวัสดิ์อาภา ในกรุงเทพธุรกิจ

! http://blog.nation.ac.th/?p=2682

มูลนิธิการศึกษาทางไกลปลื้ม ร.ร.เล็ก ช่วยแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาได้

28 พฤษภาคม 2556

รศ.นราพร จันทรโอชา รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เปิดเผยว่า มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนการสอนของการศึกษาทางไกลผ่านระบบออนไลน์ไปยังสถานศึกษาจำนวนกว่า 30,000 โรง และในขณะเดียวกัน ก็ได้จัดสรรเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มสำรวจความคิดเห็นยังโรงเรียนที่มีการตอบแบบสอบถาม เพื่อตรวจสอบย้ำอีกครั้ง โดยเบื้องต้นพบว่า มีสถานศึกษาส่งแบบสอบถามกลับจำนวน 9,100 โรง ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนจำนวนน้อยกว่า 120 คน ประมาณ 4,000 โรง ซึ่งพบว่า โรงเรียนขนาดเล็ก มีความพึงพอใจต่อการจัดการศึกษาทางไกลมากถึงมากที่สุด 70% โดยให้เหตุผลว่าการจัดการศึกษาทางไกล สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครู โรงเรียนมีครูสอนไม่ครบชั้น ไม่ตรงสาขาวิชาเอก

นอกจากนี้ ได้ด้านการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ยังพบด้วยว่าการจัดการศึกษาทางไกลยังช่วยให้นักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กมีคะแนนการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ต และการสอบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (NT) สูงกว่ามาตรฐานที่ สพฐ.กำหนด สะท้อนให้เห็นว่า ในโรงเรียนขนาดเล็กที่ประสบปัญหาการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา เมื่อนำระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมเข้าไปช่วยได้ผลที่ดี อย่างไรก็ตาม ยังมีความคิดเห็นในส่วนของโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ยังอยู่ระหว่างการสรุปผลข้อมูล ซึ่งคาดว่าให้เสร็จภายในเดือน พ.ค.นี้

“คิดว่าระบบการจัดการศึกษาทางไกลสามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเรื่องคุณภาพของโรงเรียนขนาดเล็กได้ เพราะดูจากข้อมูลผู้ใช้มีความพึงพอใจมาก เนื่องจากเด็กมีผลการเรียนดีขึ้น และครูมีต้นแบบในการจัดการเรียนการสอน เหมาะกับโรงเรียนที่มีครูไม่พอ ประกอบกับเวลานี้มีข่าวเรื่องการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก ดังนั้นทางมูลนิธิฯ จะรวบรวมข้อมูลนำเสนอต่อ รมว.ศึกษาธิการ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งให้พิจารณานำไปแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กได้” รศ.นราพร กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32830&Key=hotnews

สกศ.ชงแผนงานการศึกษา

28 พฤษภาคม 2556

น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า ในการประชุมสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมรายงานภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินงาน ได้แก่ การติดตามผลการประชุม เพื่อเตรียมนำเ สนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และกำหนดการปฏิบัติงาน ยุทธศาสตร์การศึกษาปี 2556-2558 กรอบและแนวทางการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ตามนโยบายของรัฐบาล ปี’55-58 รายงานการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ตามนโยบายปี’ 55 กรอบและทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของประเทศปี’ 55-58 จัดทำคู่มือประกอบ และจัดประชุมคณะอนุกรรมการนโยบาย นำผลสรุปมาเสนอต่อ รมว.ศธ.ลงนาม

เลขาธิการ สกศ.กล่าวต่อว่า สกศ.ยังมีภารกิจสำคัญคือ การจัดการประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศประจำปี’ 56 เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย”  วันที่ 23-25 มิ.ย. โดยจะมีเรื่องความก้าวหน้าในการวิจัย การประชุมร่วมกับบริติช เคาซิล กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ นโยบายการศึกษากับยูเนสโก และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศกลุ่มยุโรป (โออีซีดี) คือ 1.OverallEducationSystem
2.Teaching Policy
3.Curriculum
4.Measures of Achievement
5.Mobile Learning

การศึกษาเพื่อปวงชน และ Global Monitoring Report การศึกษาต้องมาก่อน การพัฒนาผลการ สอบพิซ่า แผนการพัฒนาครู และการนำเสนออนาคตการศึกษา เป็นต้น

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32829&Key=hotnews

 

ผุดหลักสูตรชำนาญเฉพาะทาง 14 วท. สอศ.เทิดพระเกียรติในหลวง-ชูคุณภาพมีงานทำ

28 พฤษภาคม 2556

นายชัยพฤกษ์  เสรีรักษ์  เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการจัดตั้งศูนย์ความชำนาญเฉพาะทางเทิดพระเกียรติ เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในสถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นตามวาระที่มีการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 14 แห่ง ว่า หลังจากที่ได้เข้าหารือกับ ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ถึงการเตรียมการให้ทั้ง 14 วิทยาลัยจัดหลักสูตรที่เป็นศาสตร์ที่พระองค์ทรงสนพระทัย และแต่ละแห่งมีความถนัดไปก่อนหน้านี้ ขณะนี้ สอศ.จัดตั้งศูนย์ความชำนาญเฉพาะทางขึ้น พร้อมเปิดการเรียนการสอนในปี 2556 แล้ว วิทยาลัยละ 1 ห้องเรียน 20 คน ประกอบด้วย กาญจนาภิเษกวิทยาลัยช่างทองหลวง เปิดศูนย์วิชาช่างทอง วิทยาลัยการอาชีพ (วก.) กาญจนาภิเษกหนองจอก งานไฟฟ้ากำลังคน

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า วิทยาลัยเทคนิค (วท.) กาญจนาภิเษกเชียงราย เทคนิคคอมพิวเตอร์ วท.กาญจนาภิเษกปัตตานี พลังงานทดแทน วท.กาญจนาภิเษกมหานคร เชื่อมโลหะ วท.กาญจนาภิเษกสมุทรปราการ พลังงานทดแทน วท.กาญจนาภิเษกอุดรธานี ช่างไฟฟ้ากำลัง วท.จุฬาภรณ์ ช่างไฟฟ้า วิทยาลัยการอาชีพ (วก.) นวมินทราชูทิศ โทรคมนาคม วก.นวมินทราชินีมุกดาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ วก.นวมินทราชินีแม่ฮ่องสอน ก่อสร้าง วก.วังไกลกังวล เทคโนโลยีระบบภาพและเสียง วิทยาลัยเทคโน โลยีและการจัดการ (วทก.) วังไกลกังวล การโรงแรม และวิทยาลัยประมง (วป.) ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

“นอกจากเทิดพระเกียรติในหลวงแล้ว การจัดตั้งศูนย์ความชำนาญเฉพาะฯ เพื่อพัฒนาอาชีพเหล่านี้ ซึ่งยังถือว่าขาดแคลนมาก ให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของตลาดแรงงาน โดยเด็กที่เรียนวิชาเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาจนมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะขณะที่เรียนแต่ละศูนย์จะมีบริษัทชั้นนำในด้านต่างๆ คอยประกบเป็นพี่เลี้ยงในรูปแบบทวิภาค เมื่อจบออกมาก็มีงานรองรับทันที” นายชัยพฤกษ์กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 29 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32828&Key=hotnews

ปธ.คุรุสภาจี้ทำแผนผลิตครู 5 ปี จัดสอบร่วม-คัดเด็กเก่งเข้าเรียน

28 พฤษภาคม 2556

นายไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานคณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยว่า จากการประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าผลการศึกษาทุกประเทศที่ประสบความสำเร็จในการศึกษาสูง ไม่ว่าจะเป็นฟินแลนด์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับครู และคัดคนเก่งเป็นครูทั้งสิ้น แต่ไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการคัดครูอย่างจริงจัง ในฐานะที่คณะครุศาสตร์ฯเป็นสถาบัน ผลิตครูและเป็นสถาบันเริ่มต้นที่จะสร้างครู

จึงฝากประเด็นให้ดำเนินการ 4 เรื่อง คือ

1.ผลิตครูให้มีความพอดี หรือใกล้เคียงกับจำนวนที่ต้องการ โดยคุรุสภา และหน่วยงานใช้ครูจะประมาณการความต้องการครูให้คณะต่างๆ พิจารณา ซึ่งขณะนี้คณะครุศาสตร์ฯผลิตครูเกินความต้องการมาก ฉะนั้นควรทำแผนผลิตครูร่วมกับคุรุสภาเป็นแผน 5 ปีข้างหน้า

2.ไม่ให้เปิดรับผู้เรียนก่อนที่แผนดังกล่าวจะได้การรับรองจากคุรุสภา เพราะถ้าคุรุสภาไม่รับรอง บัณฑิตที่จบก็จะไม่ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” ประธานคณะกรรมการคุรุสภากล่าว

นายไพฑูรย์กล่าวต่อว่า

3.ขอให้คัดคนเก่งเข้ามาเป็นครูด้วยการจัดสอบคัดเลือกคนที่จะเข้าเป็นครูในทุกกลุ่มสถาบัน โดยอาจจัดเป็นข้อสอบร่วมกัน หรือต่างคนต่างสอบ แต่มีเป้าหมายเพื่อคัดคนเก่งเข้ามาในอาชีพ ไม่ใช่ใครสมัครก็รับหมดอย่างที่เป็นอยู่ในบางแห่ง และ

4.อยากให้สถาบันผลิตครูปรับการเรียนรู้ให้ทันสมัย โดยเฉพาะด้านการสอนให้เด็กรู้จักสร้างความรู้ขึ้นได้ด้วยตนเอง มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และแก้ปัญหา รวมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้กับสังคมได้ นอกจากนี้อยากจะฝากกับคณะครุศาสตร์ฯ จัดบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมให้เป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ในแนวใหม่ ด้วยการทำเป็นตัวอย่างให้กับผู้เรียน ในการจัดสภาพการเรียนรู้ด้วยตัวเอง การพัฒนาความรับผิดชอบ และการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตให้กับผู้เรียนด้วย

–มติชน ฉบับวันที่ 29 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32827&Key=hotnews

สกสค.สนองซอฟต์โลนแก้หนี้ครูตั้งกองทุนหมุนเวียน 2 หมื่นชีวิต

28 พฤษภาคม 2556

ตามที่นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีแนวคิดที่จะให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) หาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือซอฟต์โลน มาซื้อหนี้ครูที่เป็นหนี้เสียเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ให้มีหนี้อยู่ที่เดียว โดยจะลดดอกเบี้ยให้อยู่ที่ประมาณร้อยละ5 จากขณะนี้ที่สูงประมาณร้อยละ7-8 โดยแนวทางดังกล่าวนี้ จะให้เฉพาะกลุ่มครูที่มีหนี้เสียจริงๆ คือเป็นครูที่มีหนี้วิกฤติขั้นรุนแรง เช่น โดนฟ้องเรื่องบัตรเครดิต ถูกอายัดทรัพย์นั้น ล่าสุด นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. กล่าวว่าในเชิงนโยบาย ครูกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลช่วยเหลือเท่าที่สำรวจจะมีประมาณ 20,000 คน ซึ่งเข้าขั้นไอซียูฉะนั้นหากนโยบายนี้ทำได้จริงจะสามารถช่วยเหลือครูได้มาก แต่ถ้าจะทำก็ต้องมีความชัดเจนและปรับพฤติกรรม โดยจัดอบรมหลักสูตรคุณธรรม จริยธรรม และควบคุมค่าใช้จ่ายในครัวเรือน สร้างวินัยการเงิน เพื่อประโยชน์แก่ตัวครูและครอบครัว

เลขาธิการ สกสค. กล่าวต่อว่าขณะนี้กำลังจะตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ และดูว่ากลุ่มเป้าหมายควรเป็นใครบ้าง รวมถึงแนวทางในการดูแล เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการ สกสค. อย่างไรก็ตาม มองว่ากลุ่มเป้าหมายแรกควรเน้นคนที่บริหารการเงินผิดพลาดก่อน โดยจะต้องมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อช่วยให้ถูกคน ส่วนแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ก็ต้องศึกษาความเป็นไปได้เช่นกัน

“ผมตั้งใจว่าจะไม่ให้เป็นภาระรัฐบาล อาจจะหาเงินมาตั้งเป็นกองทุนให้ครูกู้หมุนเวียนลักษณะกองทุนหมู่บ้านเพราะเป็นปัญหาที่ครูก่อเองก็ต้องแก้เองผมอยากให้เป็นสวัสดิการที่เน้นพึ่งพาตนเอง เป็นสวัสดิการของครู ที่คิดโดยครูและเพื่อพวกครู ซึ่งเป็นการช่วยเหลือกันรวมพลังเป็นกลุ่มก้อนของครู” นายสมศักดิ์ กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32825&Key=hotnews

องค์การค้า สกสค.เฮ บอร์ดอนุมัติขึ้นเงินเดือน ครั้งแรกในรอบ 18 ปี

28 พฤษภาคม 2556

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ด สกสค.เมื่อเร็วๆ นี้ มีมติอนุมัติเพิ่มเงินเดือนให้กับพนักงานขององค์การค้า ของ สกสค. ทั้งหมดประมาณ1,600 คน ซึ่งการขึ้นเงินเดือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปี นับตั้งแต่พ.ศ.2537 เป็นต้นมา รวมถึงเป็นการดำเนินการตามข้อตกลงที่องค์การค้าฯมีต่อสหภาพแรงงานองค์การค้าฯ ว่าหากรัฐวิสาหกิจมีการปรับเพิ่มเงินเดือน องค์การค้าฯก็จะต้องปรับเพิ่มให้กับพนักงานด้วยและที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจมีการปรับเพิ่มเงินเดือนไปแล้วถึง 3 รอบ แต่องค์การค้าฯก็ยังไม่เคยเลย เพราะการดำเนินงานที่ผ่านมาประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีภาระหนี้สินประมาณ 3,000 ล้านบาท จึงไม่มีเงินเพิ่มให้พนักงาน

พร้อมระบุว่า หลังจากที่องค์การค้าฯ ปรับรูปแบบการบริหารจัดการโดยมีนโยบายประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น ขณะเดียวกัน ยังทำให้พิมพ์หนังสือเรียนได้เร็ว จนทำให้เป็นปีแรกที่สามารถพิมพ์และจัดส่งหนังสือได้ครบและทันเปิดภาคเรียน โดยไม่มีหนังสือเหลือค้างทำให้ไม่เป็นหนี้เหมือนที่ผ่านมา รวมถึงลดเปอร์เซ็นต์ส่วนลดค่าหนังสือที่ให้กับร้านค้าลงจากเดิม 31% เหลือ 25%ทำให้มีเงินเพิ่มขึ้นจากส่วนต่างอีก 6% เท่ากับว่าถ้าขายหนังสือ 1,000 ล้านบาท องค์การค้าฯจะมีเงินเหลืออีก 60 ล้านบาท
นายสมมาตร มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้าฯ กล่าวว่า การปรับโครงสร้างอัตราเงินเดือนพนักงานเจ้าหน้าที่องค์การค้าฯครั้งนี้ใช้ตารางเปรียบเทียบเดียวกับเงินเดือนของรัฐวิสาหกิจ เท่ากับว่าพนักงานขององค์การค้าฯทุกคน จะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นประมาณ 21% เท่ากับว่าองค์การค้าฯจะต้องเพิ่มเงินเพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนให้กับพนักงานทั้งหมดอีกประมาณเดือนละ 8 ล้านบาทโดยอัตราเงินเดือนใหม่ได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32824&Key=hotnews