ถกปฏิรูปหลักสูตร-ตำรา ป.1-ม.3 หั่นสาระวิชาเหลือ 6 กลุ่ม/ม.ปลายแตกรายวิชามากขึ้น

17 เมษายน 2556

ภาวิช” นัดประชุม คกก.ปฏิรูปหลักสูตรและตำราฯ รอบ 2 วันที่ 20-21 เม.ย.นี้ เผยเตรียมถกลงลึกรายละเอียดหลักสูตรใหม่ที่หั่นเหลือ 6 กลุ่มสาระเฉพาะ ป.1-ม.3 ว่าจะกำหนดน้ำหนักแต่ละกลุ่มและชั่วโมงเรียนอย่างไร ส่วน ม.ปลายจะแตกกลุ่มสาระให้เป็นรายวิชามากขึ้น ตั้งเป้านำร่องใช้หลักสูตรใหม่ ปีการศึกษา 2556 นี้ ใน รร.สาธิตและ รร.ชั้นนำของ สพฐ. หากสำเร็จค่อยประกาศใช้ทั่วประเทศ

ศ.พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยความคืบหน้าการปฏิรูปหลักสูตรฯ ว่า เบื้องต้นเราได้กำหนดหลัก สูตรใหม่ให้มี 6 กลุ่มสาระ ได้แก่ 1.ภาษาและ วัฒนธรรม (Language and Culture) 2.วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) 3.การดำรงชีวิตและโลกของงาน (Work Life) 4.ทักษะสื่อและการสื่อสาร (Media Skill and Communication) 5.สังคมและมนุษยศาสตร์ (Society and Humanity) และ 6.อาเซียน ภูมิภาคและโลก (Asean Region and World) จากปัจจุบันที่แบ่งเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ซึ่งขณะนี้ก็กำลังลงในรายละเอียดแต่ละกลุ่มสาระแล้ว ซึ่งน่าจะชัดเจนขึ้นหลังจากประชุมคณะกรรมการฯ ชุดที่ตนเป็นประธาน ในวันที่ 20-21 เม.ย.นี้

ประธานฯ กล่าวอีกว่า ซึ่งขอบเขตการประชุมดังกล่าว ได้แก่ การออกแบบภาพกว้างการเรียนตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่จะแบ่งเป็น 6 กลุ่มสาระ จะมีรายละเอียดอะไรบ้าง ทั้งกำหนดน้ำหนักกลุ่มต้องมีสัดส่วนเท่าไหร่ แล้วกำหนดเป็นรายชั่วโมงเรียน เป็นต้น ทั้งนี้ จะมีบางกลุ่มสาระเมื่อถึงระดับชั้น ม.ปลาย ก็ต้องแตกเป็นรายวิชา อย่างกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ช่วงประถมศึกษากับ ม.ต้น หรือ 9 ปีแรกอาจเรียกอย่างนี้ แต่เมื่อถึง ม.ปลาย หรือ 3 ปีหลังก็ต้องแตกเป็นรายวิชา เช่น วิชาฟิสิกส์ วิชาเคมี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การออกแบบหลักสูตรครั้งนี้ก็มีโจทย์ท้าทายหลายอย่าง ทั้งกรณีหลักสูตรจะช่วยให้นักเรียนทำอะไรได้บ้าง สำหรับกลุ่มนักเรียนที่ประสงค์เรียนแค่ ม.6 ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรให้นักเรียนกลุ่มนี้แทนที่จะเรียนถึงแค่ ม.6 ก็ให้ไปเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) แทน เพราะที่สุดแล้วก็จะมีลู่ทางการทำงานที่ดีกว่าการจบ ม.6 แน่นอน หรือหากจะต่อยอดการศึกษาก็ยังสามารถเรียนถึงประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และเรียนต่อระดับปริญญาตรีสายปฏิบัติการของสถาบันการอาชีวศึกษาได้อีก ฉะนั้นนอกจากเราจะปรับเรื่องระบบการศึกษา ก็ต้องปรับระบบแนะแนวใหม่ด้วย เพื่อจะสามารถกระจายคนเรียนสายอาชีพมากขึ้นได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลักสูตรใหม่จะออกแบบมารองรับกับการใช้แท็บเล็ตที่รัฐบาลเตรียมขยายแจกในหลายชั้นเรียนอย่างไร ศ.พิเศษภาวิชกล่าวว่า เรื่องนี้เราต้องออกแบบการใช้แท็บเล็ตให้เข้ากับหลักสูตรใหม่มากกว่า ซึ่งหัวใจสำคัญคือเนื้อหาที่ปรากฏในแท็บเล็ตที่ต้องเปิดกว้างและเสรีในการจัดทำ และต้องไม่ใช่การที่ภาครัฐจ้างภาคเอกชนจัดทำแล้วอัดเนื้อหาเข้าไปอย่างเดียว เพราะหากทำอย่างนี้ เมื่อเวลาผ่านไปเนื้อหาเหล่านั้นก็จะล้าสมัย อย่างไรก็ตาม การจัดทำเนื้อหาที่ดีควรเปิดตลาดให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ เพราะภาคเอกชนจะแข่งขันกับเนื้อหาอีเลิร์นนิงที่ทันสมัยอยู่ตลอด มิฉะนั้นก็จะขายไม่ได้

“คงเป็นวิธีที่ผิดหากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะไปจ้างบริษัทเอกชนมาทำเนื้อหาอีเลิร์นนิง ฉะนั้นต้องใช้วิธีใหม่ ซึ่งแนวคิดนี้จะรวมไปถึงการจัดทำตำรา ตามโครงการตำราแห่งชาติของรัฐบาลด้วย อย่างไรก็ตาม การที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยังจัดทำเนื้อหาอีเลิร์นนิงเพื่อบรรจุในแท็บเล็ตเอง ก็เป็นวิธีที่ใช้ในระยะเริ่มต้นได้ เพื่อไม่ให้แท็บเล็ตเป็นเครื่องเปล่า แต่ในระยะยาวต้องมีการเปิดเสรีการจัดทำเนื้อหา” ศ.พิเศษภาวิชกล่าว

ที่ปรึกษา รมว.ศธ.กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่นั้น คิดว่าน่าจะเริ่มทดลองใช้ได้ในปีการศึกษา 2556 นี้ โดยเฉพาะกับโรงเรียนชั้นนำ เช่น โรงเรียนสาธิตของบางมหาวิทยาลัย โรงเรียนอัตราการแข่งขันสูงบางแห่งของ สพฐ. เป็นต้น จนเวลาผ่านไป ซึ่งก็อาจใช้เวลาหลายปีที่หลักสูตรใหม่ใช้ได้ประสบผล ก็ค่อยทยอยปรับใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศต่อไป อย่างไรก็ดี มองว่าหลักสูตรก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การศึกษาประสบผลสำเร็จ และเป็นเหมือนพิมพ์เขียวที่คอยกำหนดทิศทาง ถึงแม้คนที่มาขับเคลื่อนจะทำเป็นหรือไม่เป็นบ้าง ก็ยังเดินอยู่ในแนวทาง แต่หลักสูตรก็ยังเป็นองค์ประกอบหนึ่ง เพราะที่สุดแล้วทั้งตัวครูและระบบการศึกษาต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้าง ศธ. ที่ต้องรองรับและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เราถึงจะไปสู่ความสำเร็จได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32432&Key=hotnews

ลุ้นบอร์ดอาชีวะผ่านหลักสูตรปริญญาตรี

17 เมษายน 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากการประชุมบอร์ด กอศ. ที่มีนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล เป็นประธาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้พิจารณาหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี/สายปฏิบัติการของสถาบันการอาชีวศึกษา ซึ่งมี 35 วิทยาลัย ใน 8 สถาบันฯ เสนอขออนุมัติมา 17 หลักสูตร อาทิ เทคโนโลยีไฟฟ้า เทคโนโลยีแม่พิมพ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีก่อสร้าง เทคโนโลยีการผลิตสัตว์ ช่างทองหลวง และการท่องเที่ยว เป็นต้น โดยทุกหลักสูตรผ่านการพิจารณามาจากสภาสถาบันการอาชีวศึกษาต่าง ๆ แล้ว ซึ่งบอร์ด กอศ.ได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง และยังไม่อนุมัติหลักสูตรทั้งหมด โดยมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ร่วมกับ สถาบันการอาชีวศึกษา จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถพิจารณาหลักสูตรได้ครบถ้วนสมบูรณ์

“ข้อมูลที่บอร์ด กอศ.ต้องการเพิ่มเติม คือ วิเคราะห์ความสอดคล้องหลักสูตรกับมาตรฐานที่ กอศ.กำหนด , ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรมีความแตกต่างกับหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)อย่างไร, มีความแตกต่างกับหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ จัดอยู่อย่างไร ในฐานะเป็นเทคโนโลยีสายปฏิบัติการ และ มาตรฐานการจัดทวิภาคีต้องเป็นไปตามกำกระทรวง ความร่วมมือการจัดทวิภาคีระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และทำให้เกิดความมั่นใจว่าจะมีความร่วมมือกันต่อเนื่องหลายปี เป็นต้น ทั้งนี้ให้นำเสนอบอร์ด กอศ.อีกครั้งในวันที่ 2 พ.ค.นี้”เลขาธิการ กอศ.กล่าวและว่า สอศ.จะเร่งประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับสถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 19 แห่ง เพื่อวิเคราะห์หลักสูตรและจัดทำแนวปฏิบัติการนำหลักสูตรไปใช้ในปีการศึกษา 2556 ทั้งในส่วนของ 8 สถาบันที่ได้เสนอหลักสูตรให้บอร์ด กอศ.พิจารณา และ อีก 11 สถาบันที่ยังไม่ได้เสนอ โดยทั้งหมดจะแล้วเสร็จทันการประชุมบอร์ด กอศ.วันที่ 2 พ.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด สอศ.หลายแห่ง ให้ความเห็นว่า ขณะนี้เดือนเม.ย.กำลังจะผ่านไป แต่บอร์ดกอศ.ยังไม่อนุมัติหลักสูตรปริญญาตรีของสถาบันการอาชีวศึกษาเลยแม้แต่หลักสูตรเดียวถึงแม้ในวันที่ 2 พ.ค.ที่จะมีการประชุมบอร์ด กอศ.และจะมีการพิจารณาอนุมัติหลักสูตรก็ถือว่าล่าช้าไปแล้ว เพราะโดยหลักการเมื่อถึงเดือนพ.ค.เด็กน่าจะต้องทราบแล้วว่าจะเรียนต่อที่ไหน แต่สำหรับสถาบันการอาชีวศึกษาหากมีการอนุมัติหลักสูตรในเดือน พ.ค.ก็เท่ากับกำลังจะเริ่มต้นกระบวนการรับนักศึกษา ทั้งที่กระบวนการต่าง ๆ รวมถึงการรับนักศึกษาควรดำเนินการให้เสร็จสิ้นอย่างช้าที่สุดก็เดือน เม.ย.แต่ก็มีการดึงเรื่องกันจนทำให้เกิดความล่าช้าอย่างมาก โดยเฉพาะการแต่งตั้งนายกสภาสถาบันการอาชีวศึกษาที่มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรก

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32431&Key=hotnews

จี้ครูประจำชั้นร่วมแก้ยาเสพติด

17 เมษายน 2556

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษาว่า เรื่องนี้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดูแลเด็กกลุ่มเสี่ยง ซึ่งที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหายาเสพติดส่วนใหญ่จะเป็นการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ยังไม่มีผู้รับผิดชอบดูแลเด็กและเยาวชนที่ติดยาเสพติดหรือนำไปบำบัดอย่างครบวงจร จึงต้องเร่งหามาตรการดูแลเรื่องนี้ โดยครูประจำชั้นต้องเป็นส่วนหนึ่งที่จะมารับผิดชอบดูแลลูกศิษย์ของตนเอง เพราะครูจะเป็นผู้ที่ทราบปัญหาของเด็กแต่ละคนเป็นอย่างดี แต่ที่ผ่านมาครูหลายคนพยายามไม่สนใจ ไม่รับผิดชอบ ดังนั้นต่อไปนี้ตนขอให้บทบาทการนำเด็กที่ติดยาเสพติดไปบำบัดเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของครูประจำชั้น เพราะครูจะรู้อยู่แล้วว่าลูกศิษย์ของตนเองคนไหนที่เป็นเด็กกลุ่มเสี่ยง หรือถ้าครูรู้แต่ไม่นำพาจะแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างไร ปัญหาก็จะถูกสะสมอย่างไม่จบสิ้น

“โรงเรียนที่ให้ความร่วมมือนำนักเรียนไปบำบัดรักษาต้องปกปิดข้อมูลด้วย และเมื่อเด็กได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติก็ให้รับกลับเข้ามาเรียนตามเดิม และคอยติดตามพฤติกรรม ซึ่งหากทุกคนให้ความร่วมมือเชื่อว่าจะแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะเด็กเหล่านี้บางคนเป็นเด็กดีแต่บางครั้งอาจเกิดความผิดพลาด รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งเราต้องให้โอกาสเด็กเหล่านี้ด้วย มิฉะนั้นจะเป็นปัญหาสังคมลุกลามมากขึ้นไปอีก โดยผมคิดว่าจะมีรางวัลให้แก่ครูที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กที่ติดยาเสพติดแล้วทำให้เด็กกลับมาเป็นคนดีได้ และอาจจะให้เลื่อนวิทยฐานะด้วย” นายเสริมศักดิ์กล่าวและว่า ต่อไปครูจะปัดความรับผิดชอบว่า การดูแลแก้ปัญหายาเสพติดไม่ใช่หน้าที่ไม่ได้ หากตนไปสุ่มตรวจตามโรงเรียนแล้วพบว่ามีเด็กติดยาแต่ไม่ได้รับการบำบัดผู้บริหารโรงเรียนนั้นก็ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะการแก้ไขปัญหานี้จะประสบความสำเร็จได้ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32430&Key=hotnews

ก.ค.ศ. อนุมัติ ‘ผอ.-ครู’ เชี่ยวชาญ 15 ราย

15 เมษายน 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งทำการแทน ก.ค.ศ. โดยมีนายพลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง เป็นประธาน ได้มีมติอนุมัติทั้งหมด จำนวน 30 ราย ได้แก่ อนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญ จำนวน 15 ราย จำแนกเป็นผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ 6 ราย และครูเชี่ยวชาญ 9 ราย และอนุมัติให้เลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ จำนวน 15 ราย จำแนกเป็น รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ 1 ราย และครูชำนาญการพิเศษ 14 ราย

นางรัตนากล่าวต่อว่า โดยวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ จำนวน 9 ราย ได้แก่ น.ส.สุภาพร ลาภจิตร สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จังหวัดสุรินทร์  นายชัช หะซาเล็ม อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 นาย ฤทธิรณ โพนสูงเนิน ร.ร.พระซองสามัคคี วิทยา สพม. เขต 22  นางยุเวช ทองนวม ร.ร.บ้านดงเย็น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) กำแพงเพชร เขต 2 นางสุวารี พงศ์ธีระวรรณ ร.ร.สุราษฎร์พิทยา สพม. เขต 11 น.ส.นภากูล ธาตุ ร.ร.บ้านช้างคับ สพป. กำแพงเพชร เขต 2 นายเฉลิมพร พงศ์ธีระวรรณ ร.ร.สุราษฎร์พิทยา สพม. เขต 11 นายไพบูลย์ กฤษณจักราวัฒน์ ร.ร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 สพม. เขต 2 นายสัมพันธ์ สัจจะเดช ร.ร.พิษณุโลกพิทยาคม สพม. เขต 39

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อว่า วิทยฐานะผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ จำนวน 6 ราย ได้แก่ นางอุดมภรณ์ อินทร์แก้ว ร.ร.บ้านนาแสน สพป. สงขลา เขต 2 นายกิตติศักดิ์ พันธุ์โอภาส ศูนย์ กศน. อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย นายชูชาติ ปรีชาจารย์ ศูนย์ กศน. อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร นายวิทยา คชสิทธิ์ ศูนย์ กศน. อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา ว่าที่ร้อยตรีเอกพจน์ เกษมกุลทรัพย์ ศูนย์ กศน. อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ นางนงเยาว์ กัลยาลักษณ์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย, วิทยฐานะรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายสำราญ สีปวน วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ

นางรัตนากล่าวด้วยว่า วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ จำนวน 14 ราย ได้แก่ นางนาถฤดี แซ่ตัน ร.ร.สตรีระนอง สพม. เขต 14 นางสาวสุจิรา มุสิกะเจริญ ร.ร.วัดรัตนวราราม สพป. พัทลุง เขต 2 นายพฤติพงษ์ วงศ์วรรณา วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี นางกาญจนา ไมตรีจิตร ร.ร.วัดหินลาด สพป. พิษณุโลก เขต 3 นายสมยศ โคตรบรม ร.ร.โนนสูงศรีธานี สพม. เขต 31 นายจันทร์พยัพ สีลาพุทธา ร.ร.ศึกษาสงเคราะห์เพชรบูรณ์ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ นางขวัญใจ สิงห์ทอง ร.ร.ชุมชนวัดขันเงิน สพป.ชุมพร นางวราภรณ์ โสภักดี ร.ร.ชุมชนบ้านเสิงสาง สพป. นครราชสีมา เขต 3 น.ส.ศุภมาศ คงคาช่วย ร.ร.บ้านโพหวาย สพป.สุราษฎร์ธานี เขต 1 นายสมชาย สุขกรม ร.ร.ชุมชนบ้านเขาหลวง สพป.ชุมพร เขต 2 นางผ่องศรี สิตบุศย์ ร.ร.คุระบุรี สพป.พังงา นายนิคม กาญจนาพงศ์ ร.ร.สิชลคุณาธารวิทยา สพม. เขต 12 นายอนุชา แก้วมั่น ร.ร.ชุมชน 3 บ้านเนินกุ่ม (ประชานุกูล) สพป.พิษณุโลก เขต 2 น.ส.จตุรพร มาลารัตน์ ร.ร.ราชวินิตบางเขน สพม. เขต 2

“ก.ค.ศ. ยังได้อนุมัติให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชำนาญการพิเศษ จำนวน 4 ราย คือ นายแสวง ศิริพัฒน์ สพป.กาฬสินธุ์ เขต 2 นายเสนาะ แก้วมุกดา สพป.บุรีรัมย์ เขต 3 นายสำเริง บุญโต สพม. เขต 33 น.ส.มณีวรรณ สุทธิกาปลูก สพป. เชียงใหม่ เขต 2” นางรัตนากล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32428&Key=hotnews

‘ราชสีมาวิทยาลัย’ โชว์ผลสัมฤทธิ์วิชาการเด็กสอบเข้าเรียนแพทย์สูงสุดในประวัติศาสตร์

15 เมษายน 2556

ประเมธ เพราะพินิจ/มนัส กบขุนทด  “โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย” ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2442 รวมระยะเวลากว่า 115 ปี ถือเป็นโรงเรียนชายขนาดใหญ่ของ จ.นครราชสีมาที่มีลูกศิษย์มากมาย เติบโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีหน้าที่การงานหลากหลายสาขาอาชีพ สร้างบทบาทสำคัญพัฒนาบ้านเมือง สังคม และประเทศชาติ เป็นผลสัมฤทธิ์จากการปลูกฝังด้านวิชาการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ นักเรียนมีความขยันบากบั่นอดทนและมีระเบียบวินัย ดังสมญานามของโรงเรียนที่ว่า “ลูกแสดขาว มี มานะ-วินัย”

หลายปีที่ผ่านมาสังคมของประเทศมีปัญหาขาดแคลน “แพทย์” อันเป็นวิชาชีพชั้นสูง ที่ถือว่า “เรียนยาก” สำหรับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะชั้น ม.6 ที่ต้องสอบเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา-มหาวิทยาลัย สาขาสุดหินที่เด็กนักเรียนน้อยคนนักจะสอบเข้าได้ นั่นก็คือคณะแพทย์ แต่เป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มใจสำหรับเด็กนักเรียนของราชสีมาวิทยาลัย ที่ปีการศึกษา 2555 มีเด็ก ม.6 สอบเข้าเรียนคณะแพทย์ได้จำนวนมากเป็นประวัติศาสตร์ของโรงเรียน สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง นายอุทัย หวังอ้อมกลาง ผอ.รร.ราชสีมาวิทยาลัย เผยว่า ที่ผ่านมาเด็กนักเรียนโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย มีชื่อเสียงมานานในเรื่องการสอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษามาโดยตลอด เช่นเดียวกับปีนี้ที่มีนักเรียนสอบเข้าเรียนต่อได้มากขึ้น เป็นผลมาจากการจัดการเรียนการสอนที่เน้นคุณภาพวิชาการมากขึ้น โดยโรงเรียนได้เปิดการเรียนการสอนเสริม 3 โครงการในช่วงนอกเวลาเรียนปกติ เพื่อเติมเต็มในรายวิชาหลัก ๆ รวมทั้งการสร้างแบบทดสอบเฉพาะของทางโรงเรียน ซึ่งจะอิงข้อสอบโอเน็ต

จัดเป็นหลักสูตรใหม่ในการเรียนการสอนและทดสอบในทุกภาคเรียน ส่วนการเรียนการสอนในชั้นเรียน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กเรียนดี เรียนเก่ง ครูผู้สอนก็พยายามนำความรู้ต่าง ๆ รอบตัวที่เป็นปัจจุบันมาให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ เป็นการสอนเสริมในชั่วโมงเรียน มีครูผู้สอนคอยช่วยเหลือนักเรียน รวมทั้งระบบเพื่อนช่วยเพื่อน ทั้งด้านความประพฤติและวิชาการ ให้นักเรียนได้รับความรู้และประสบการณ์จากหลาย ๆ ด้าน ระบบการดูแลนักเรียนให้เด็กไม่หนีเรียน ไม่ขาด ไม่สาย ให้เด็กเข้าชั้นเรียน เมื่อเข้าเรียนก็จะได้รับความรู้ มีทักษะเข้มแข็งทางวิชาการและเรียนรู้ชีวิต ครูก็ทำหน้าที่ “พ่อแม่คนที่ 2” คอยดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ไม่เพียงแค่นั้นยังต้องมีเครือข่ายผู้ปกครอง “พ่อแม่คนที่ 1” ถือว่ามี “ลูกคนเดียวกัน” ก็ประสานความร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนแก่ลูก ๆ และรายงานพฤติกรรม ถ้าหากพบว่าเด็กมีปัญหาการเรียนหรือพฤติกรรม ก็พูดคุยกับผู้ปกครองเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา ซึ่งทั้งครูและผู้ปกครองได้ร่วมมือกันอย่างดีมาโดยตลอด ผอ.ราชสีมาวิทยาลัย กล่าวว่า จากผลสัมฤทธิ์ของระบบการเรียนการสอนของ รร.ราชสีมาวิทยาลัย สะท้อนชัดเจนในปี 2555 ซึ่งมีเด็กนักเรียนชั้น ม.6 สามารถสอบโควตาและระบบรับตรงเข้า คณะแพทย์ ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ รวม 61 คน ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์โรงเรียน โดยสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งมีนักเรียนสอบเข้าเรียนแพทย์ได้เพียง 30 คน ขณะเดียวกันในจำนวน 61 คนดังกล่าว มีนักเรียนอีก 6 คน ที่สามารถสอบเข้าโควตาคณะแพทย์ได้ทั้ง 3 มหาวิทยาลัย

คือ แพทย์ ม.มหิดล ม.ขอนแก่น และ ม.เทคโนโลยีสุรนารี จากผลสำเร็จทางวิชาการ ทำให้ รร. ราชสีมาวิทยาลัย ถูกจัดลำดับโดยกระทรวงศึกษาธิการให้อยู่ในลำดับ 31 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศที่มีผลงานดีเด่น ซึ่งปีนี้ก็ตั้งเป้าหมายลำดับจะถูกขยับขึ้นไปอีก เป็นเป้าหมายที่โรงเรียนต้องไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ เหล่านี้สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ด้านวิชาการของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี หลังจากได้จัดให้มีการเรียนการสอนแบบเข้มข้น ระบบช่วยเหลือนักเรียน ระบบการสอนเสริมนอกชั้นเรียน และโครงการพิเศษต่าง ๆ ช่วยให้เด็กได้มีพัฒนาการการเรียนรู้ที่ดีขึ้น เด็กเรียนเก่งขึ้น และที่สำคัญเด็กเก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเติบโตไปพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรมดีงาม จนในที่สุดพวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32427&Key=hotnews

ชวนครูทั่วประเทศประกวดแผนการสอนชิงเงินล้าน

15 เมษายน 2556

สำนักพิมพ์ วพ. ชวนครูทั่วประเทศ ประกวดแผนการสอนชิงเงินล้าน

นางสาวทิพย์วัลย์ เดชะมาก ผู้จัดการโครงการจัดการประกวดแผนการสอนและสื่อ การเรียนรู้ยอดนิยม ครั้งที่ 1หรือ Teacher Talent Award Season 1 :TTAward สำนักพิมพ์ วัฒนาพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำนักพิมพ์วัฒนาพาณิชย์ จำกัด ร่วมกับศูนย์สร้างสรรค์ครูมืออาชีพ และเครือข่ายสมาคมพัฒนาวิชาชีพครูแห่งประเทศไทย จัดกิจกรรม “ประกวดแผนการสอนและสื่อการเรียนรู้” ครั้งที่ 1 (Teacher Talent Award Season 1 :TTAward) โดยเปิดโอกาสให้ครูผู้สอนทั่วประเทศส่งแผนการสอนและสื่อการเรียนรู้ในสายสามัญจำนวน 88 รายวิชา ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ถึงมัธยมศึกษาปีที่6 เข้าร่วมประกวด โดยส่งแผนการสอนใบงาน และนำเสนอบทเรียนในรูปแบบ PowerPoint ทางเว็บไซต์ www.tta.in.th หรือ ส่งเป็น CDมายังตู้ปณ. 197 ปณจ.ราชดำเนิน เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 กำหนดเปิดรับผลงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 20 เมษายน 2556

สำหรับแผนการสอนที่ได้รับรางวัลจะมาจากการโหวตของผู้เข้าเยี่ยมชมแผนการสอนที่ถูกใจ โดยผู้ส่งแผนฯสามารถกดโหวตให้กับแผนการสอนของตนเองได้ ซึ่งผู้ส่งแผนการสอนและผู้ร่วมโหวตจะต้องลงทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิ์ที่เว็บไซต์ www.tta.in.th กำหนดปิดผลการโหวตในวันที่ 29 เมษายน 2556 และประกาศผลโหวตในวันที่ 2 พฤษภาคม 2556 แผนการสอน ที่ได้รับการโหวตสูงสุดในแต่ละ 88 กลุ่มสาระ จะได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตรทุกรางวัล ส่วนรางวัลชนะเลิศสำหรับแผนการสอนที่ได้รับการโหวตสูงสุดของทุกกลุ่มจะได้รับเงินรางวัลอีก 120,000 บาท รวมมูลค่า 1 ล้านบาท ส่วนผู้กดโหวตจะ ได้รับรางวัลรวม 1 ล้านบาท (โปรดตรวจสอบเงื่อนไขการรับรางวัล) ซึ่งครูที่สนใจส่งผลงาน เข้าร่วมประกวดสามารถสอบถามรายละเอียดโครงการได้ที่โทร.02-222-1016 ต่อ 134 หรือโทร.081-840-3385(คุณทิพย์วัลย์) หรือที่อีเมลล์ tta@wpp.co.th

นางสาวทิพย์วัลย์ กล่าวว่ากิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของการสรรค์สร้างและสนับสนุนการพัฒนาแผนการสอนและสื่อการเรียนรู้ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการยกระดับมาตรฐานการศึกษาที่สอดรับกับเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษา อีกทั้งยังเป็น การเตรียมความพร้อมด้านระบบการศึกษาที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอีกทางหนึ่งด้วย

–มติชน ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32426&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: วินัยข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา

15 เมษายน 2556

ประสาน ยินดีชัย ผอ.ภารกิจเสริมสร้างและมาตรฐานวินัย

ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับการรายงานสถานการณ์การพนันของข้าราชการไทยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่ามีข้าราชการในจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านและมีบ่อนกาสิโนได้ข้ามไปเล่นการพนัน และในจำนวนนั้นก็มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาด้วย จากการรายงานพบว่ามีการเดินทางเข้าไปเล่นการพนันในบ่อนประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ทางด่านพรมแดน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จนเกิดปัญหาหนี้สิน ครอบครัวแตกแยก ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก

อันอาจนำมาสู่การพิจารณาลงโทษทางวินัยถึงขั้นถูกถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ไม่มีสิทธิสอนหนังสืออีก วันนี้จึงนำความรู้เกี่ยวกับความผิดทางวินัย กรณีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาติดการพนัน มานำเสนอให้รับทราบและเป็นข้อเตือนใจสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 94 กำหนดบทลงโทษเกี่ยวกับการที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เล่นการพนันเป็นอาจิณไว้ ว่า “ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องรักษาชื่อเสียงของตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมีให้เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำการใดๆ อันได้ชื่อว่าประพฤติชั่ว…..
“ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เสพยาเสพติดหรือสนับสนุนให้ผู้อื่นเสพยาเสพติด เล่นการพนันเป็นอาจิณ หรือกระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เรียนหรือนักศึกษา ไม่ว่าจะอยู่ในความดูแลรับผิดชอบ ของตนเองหรือไม่ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง”

จากบทบัญญัติในมาตรา 94 ที่เกี่ยวกับการเล่นการพนัน ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าหากข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใด เล่นการพนันเป็นอาจิณ นอกจากจะเป็นการไม่รักษาเกียรติยศชื่อเสียงของตนและไม่รักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนเอง แล้วยังเข้าข่ายเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งระดับโทษของความผิดวินัยกรณีนี้มีอยู่สองสถานคือ ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการเท่านั้น

จึงขอย้ำเตือนมายังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกท่าน ขออย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนันใดๆ เพราะไม่เพียงแต่จะหมดอนาคตทางหน้าที่การงานการประกอบอาชีพแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาหนี้สิน ครอบครัวแตกแยก ชีวิตไม่มีความสุข และอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ได้อีก

–มติชน ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32425&Key=hotnews

กรรมการ ‘อ.ก.ค.ศ.’ สารภาพ พัวพันทุจริตสอบครูผู้ช่วย

15 เมษายน 2556

ทุจริตสอบครูผู้ช่วย พบเกลือเป็นหนอน กรรมการ อ.ก.ค.ศ.เอี่ยวโกง รับสารภาพทำหน้าที่นายหน้าหาลูกค้า พร้อมจัดติว ข้อสอบให้ผู้จ่ายเงิน ระบุข้อสอบรั่วคนส่วนกลางมอบให้

จากกรณีที่คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ เริ่มทยอยแจ้งผลการพิจารณาการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ครั้งที่ผ่านมา กลับไปยังคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) หลังมีมติให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯพิจารณา หลังพบขบวนการทุจริตสอบ และมีผู้ที่สอบบรรจุได้คะแนนสูงผิดปกติประมาณ 500 ราย โดย อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯหลายเขตพบว่าผู้ที่สอบบรรจุได้มีแนวโน้มทุจริตสอบครูผู้ช่วยจริง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน จึงต้องขอกระดาษ คำตอบจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และผลสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพิ่มเติมก่อนมีมตินั้น

เมื่อวันที่ 13 เมษายน นายอดิศร เนาวนนท์ ประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) นครราชสีมา เขต 7 ในฐานะประธานชมรม อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขต สพป.นครราชสีมา เขต 7 ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สอบบรรจุครูผู้ช่วยได้คะแนนสูงผิดปกติจำนวน 6 คน มาสอบสวน โดยผู้ที่สอบบรรจุครูผู้ช่วยกลุ่มดังกล่าวระบุว่า สาเหตุที่ได้คะแนนสูงเป็นเพราะอ่านหนังสือหนักมา แต่เมื่อไปดูผลการเรียนในระดับปริญญาตรีแล้ว คนกลุ่มนี้มีผลการเรียนเฉลี่ยเพียง 2 กว่าๆ เท่านั้น ซึ่งเมื่อนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์แล้ว ทำให้เชื่อได้ว่าการสอบครูผู้ช่วยครั้งที่เท่านั้น ซึ่งเมื่อนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์แล้ว ทำให้เชื่อได้ว่าการสอบครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมาของ สพป.นครราชสีมา เขต 7 ส่อไปในทางทุจริตแน่นอน

นายอดิศรกล่าวอีกว่า แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจในเรื่องนี้ ที่ประชุม อ.ก.ค.ศ.เขต สพป.นครราชสีมา เขต 7 จึงมีมติให้ขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก สพฐ.และดีเอสไอเพิ่มเติม เพื่อจะนำไปพิจารณาในครั้งต่อไป นอกจากนี้จะแจ้งไปยัง ก.ค.ศ.เพื่อขอขยายเวลาสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้

นายอดิศรกล่าวว่า ที่ประชุม อ.ก.ค.ศ. เขต สพป.นครราชสีมา เขต 7 ยังได้พูดคุยแบบเปิดอกกับกรรมการคนหนึ่งใน อ.ก.ค.ศ.เขต สพป.นครราชสีมา เขต 7 ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นกรรมการ เนื่องจากข้อมูลที่ได้มาระบุว่ากรรมการคนดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการจัดหาคนไปสมัครสอบบรรจุครูผู้ช่วย และจัดติวให้กับผู้ที่จ่ายเงินเพื่อแลกกับการสอบบรรจุได้ ซึ่งกรรมการคนดังกล่าวก็ยอมรับว่าได้ทำจริง แต่เป็นการจัดหาคนที่ต้องการสอบบรรจุครูผู้ช่วยจาก สพป.ขอนแก่น เขต 3 มาสอบที่ สพป.นครราชสีมา เขต 2 โดยได้รับคำแนะนำจากคนรู้จักคนหนึ่งให้หาคนมาสอบ
“ส่วนข้อสอบครูผู้ช่วยที่ได้มานั้น กรรมการคนเดียวกันนี้บอกว่า ได้มาจากบุคคลใน สพฐ.โดยทั้งหมดนี้ทาง อ.ก.ค.ศ.เขต สพป.นครราชสีมา เขต 7 จะทำบันทึกเป็นข้อมูลแจ้งให้ สพฐ.ทราบต่อไป” นายอดิศรกล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 15 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32424&Key=hotnews

สพฐ.วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนโอเน็ต ม.6 ร.ร.ห่างไกลเก่งกว่า ร.ร.ในเมืองแต่ภาพรวมคะแนนเพิ่ม

15 เมษายน 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ. )ได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือ โอเน็ตระดับชั้น ม.6 ของนักเรียนในสังกัด โดยเปรียบเทียบคะแนนโอเน็ตระหว่างปี 2554 และ 2555 เพื่อดูพัฒนาในการจัดการเรียนการสอนและพบว่า ในภาพรวมคะแนนดีขึ้น 6 วิชา จากทั้งหมด 8 วิชา โดยวิชาที่คะแนนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ วิชาภาษาไทย เพิ่มขึ้น 5.56% วิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้น 5.37 ศิลปะ 4.33 สังคมศึกษา เพิ่มขึ้น 3.07 ส่วนอีก 2 คะแนนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย คือ วิชาภาษาอังกฤษ เพิ่มขึ้น 0.37 และคณิตศาสตร์ 0.09 สำหรับวิชาที่คะแนนลดลง ได้แก่ วิชาสุขศึกษา ลดลง 0.88 และการงานและอาชีพ ลดลง 3.01 อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมเฉลี่ยทุกวิชา คะแนนเพิ่มขึ้น 1.86

“สพฐ.ยังได้วิเคราะห์เจาะลึกโดยแยกคะแนนโอเน็ตตามขนาดของโรงเรียน คือ ร.ร.ขนาดใหญ่พิเศษ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก พบว่า คะแนนเฉลี่ยนลดหลั่นไปตามขนาดของโรงเรียน และยังได้เปรียบเทียบคะแนนโอเน็ตระหว่าง ร.ร.ในเมืองและในชนบท พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า คะแนนเฉลี่ยของ ร.ร.ในชนบททคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าในเมือง ซึ่ง สพฐ.จะได้มอบให้สำนักทดสอบทางการศึกษาของ สพฐ.ไปวิจัยเชิงลึกเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้คะแนนโอเน็ตของ ร.ร.ในชนบทสูงว่า ร.ร.ในเมือง” นายชินภัทร กล่าว

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม สพฐ.จะได้วิจัยผลการสอบโอเน็ตอย่างละเอียดเพื่อนำมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในแต่ละวิชาด้วย โดยเลือกดูว่า หัวข้อการเรียนรู้ใดที่ นร.ทำสอบไม่ค่อยได้ เช่น วิชาภาษาไทยพบว่า นักเรียนมีปัญหาในเรื่องหลักใช้ภาษา วรรณคดีและวรรณกรรม วิชาคณิตศาสตร์ มีปัญหาพีชคณิต สพฐ.ก็จะเข้าปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในหัวข้อนั้นๆ ด้วยการจัดทำคู่มือการเรียนการสอน พัฒนาสื่อ พัฒนาครู ให้มีเทคนิคการสอนหัวข้อเหล่านี้ดียิ่งขึ้น สำหรับผลวิจัยคะแนนโอเน็ตต่ำ จะนำย้อนกลับมาที่การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ จะเป็นข้อมูลที่ สพฐ.ใช้ในการวางแผนพัฒนาแบบเจาะลึก ทั้งการพัฒนาครู พัฒาการจัดการเรียนการสอน โดย สพฐ.จะไม่ปูพรมทำเหมือนสมัยก่อน แต่จะเลือกเน้นพัฒนาในหัวข้อการเรียนรู้ที่มีปัญหา

ด้าน รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) กล่าวว่า สำหรับคะแนนเฉลี่ยของโอเน็ต ชั้น ม.6 ในภาพรวมแยกตามสาระทั้งในระดับประเทศและตามขนาดโรงเรียน ใน 5 วิชาหลัก ดังนี้

วิชาภาษาไทย โรงเรียนขนาดเล็ก มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการอ่านสูงที่สุด 47.41% รองลงมาคือ การฟัง การดู และการพูด 39.23% ตามด้วยการเขียน 34.68% วรรณคดีและวรรณกรรม 29.55% และ หลักการใช้ภาษา 29.03% โรงเรียนขนาดกลาง การอ่านสูงสุด 50.73% รองลงมาคือ การฟัง การดู และการพูด 43.32% ตามด้วยการเขียน 37.50% หลักการใช้ภาษา 32.09% และวรรณคดีและวรรณกรรม 32.06% โรงเรียนขนาดใหญ่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน การอ่านสูงที่สุด 54.73% รองลงมาคือ การฟัง การดู และการพูด 48.41% ตามด้วยการเขียน 40.90% หลักการใช้ภาษา 35.93% และวรรณคดีและวรรณกรรม 35.37% และโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ การอ่านสูงสุด 61.48% รองลงมาคือ การฟัง การดู และการพูด 57.89% ตามด้วยการเขียน 47.35% หลักการใช้ภาษา 44.00% และวรรณคดีและวรรณกรรม 42.33%

สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนขนาดเล็ก มีผลสำเร็จทางการเรียนในเรื่อง หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคมสูงสุด 37.30% รองลงมา ภูมิศาสตร์ 37.16% เศรษฐศาสตร์ 36.77% ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 27.48% และประวัติศาสตร์ 22.06% โรงเรียนขนาดกลาง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์สูงสุด 39.04% รองลงมา เศรษฐศาสตร์ 38.85% หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม 38.50% ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 27.25 และประวัติศาสตร์ 22.67% โรงเรียนขนาดใหญ่ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์สูงสุด 41.41% รองลงมา เศรษฐศาสตร์ 40.70% หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม 40.02% ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 29.41 และประวัติศาสตร์ 23.76% โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์สูงสุด 45.30% รองลงมา เศรษฐศาสตร์ 44.59% หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม 43.16% ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 33.23% และประวัติศาสตร์ 27.09%

ภาษาอังกฤษ โรงเรียนขนาดเล็ก มีผลสัมฤทธิ์เรื่องภาษาและการสื่อสารสูงสุด 21.78% รองลงมาภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 19.23% ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก 18.90% และภาษาและวัฒนธรรม 9.80% โรงเรียนขนาดกลาง ภาษาและการสื่อสารสูงสุด 22.59% รองมาภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 19.63% ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก 19.31% และภาษาและวัฒนธรรม 11.05% โรงเรียนขนาดใหญ่ ภาษาและการสื่อสารสูงสุด 24.24% ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก 20.65% รองลงมาภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 20.60% และภาษาและวัฒนธรรม 12.93% โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ภาษาและการสื่อสารสูงสุด 31.12% ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก 26.41% รองลงมาภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น 24.41% และภาษาและวัฒนธรรม 17.92%

วิชาคณิตศาสตร์ โรงเรียนขนาดเล็ก สูงสุดการวัด 18.16% พีชคณิต 18.06% จำนวนและการดำเนินการ 17.62% การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น 15.53% โรงเรียนขนาดกลาง สูงสุดพีชคณิต 19.64% รองมาจำนวนและการดำเนินการ 18.99% การวัด 18.72% การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น 16.67% โรงเรียนขนาดใหญ่ สูงสุดพีชคณิต 22.04% รองลงมาจำนวนและการดำเนินการ 20.98% การวัด 19.57% การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น 17.72% โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ สูงสุดพีชคณิต 28.82% รองลงมาจำนวนและการดำเนินการ 27.50% การวัด 22.37% การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น 21.07%

วิชาวิทยาศาสตร์ โรงเรียนขนาดเล็ก สูงสุด ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 38.02% รองมาธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 37.21% กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก 33.46% โรงเรียนขนาดกลาง สูงสุดธรรม ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 39.34% ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 39.29% กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก 36.12% โรงเรียนขนาดใหญ่ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 41.63% ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 40.63% กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก 38.85% โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 46.35% รองลงมา กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก 43.80% และชีวิตกับสิ่งแวดล้อม 43.32%

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32423&Key=hotnews

วัยรุ่นไทย กับ ภาษา…??

15 เมษายน 2556

“บ่องตง จุงเบย ฝุดๆ” 3 คำ ที่กำลังได้รับความนิยมของชาวอินเตอร์เน็ต ความเหมาะสมของภาษาที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม วัยุร่น มทร.ธัญบุรี คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ไปฟังความคิดเห็นของพวกเขากันเลย

นายโสภณ สาทรสัมฤทธิ์ผล เล่าว่า ในฐานะที่เป็นครูสอนภาษาไทย ไม่อยากให้เรียกว่า “ภาษาวิบัติ” ให้ใช้คำว่า “ภาษาอุบัติ” เนื่องจากเป็นการอุบัติขึ้นมาใหม่ มีวิวัฒนาการขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมีเทคโนโลยีเข้ามา คนไทยนิยมพูดกันสั้นๆ ยกตัวอย่างการเรียกชื่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ เป็น วิศว รวมไปถึงรับคำภาษาต่างชาติเข้ามา เช่น เวอร์ แปลว่ามาก มาจากคำว่า โอเวอร์ สำหรับวัยรุ่นที่นิยมวิวัฒนาการภาษาแปลกใหม่ขึ้นมา “บ่องตง” มาจากการพิมพ์ระบบในคีย์บอร์ด เกิดเป็นคำมักง่ายของภาษาไทย กลายเป็นคำพูดติดปาก แต่พูดไม่ชัดทำให้เขียนถูกต้อง ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นกระแสจนกลายเป็นแฟชั่น แฟชั่นในเรื่องของภาษา ซึ่งมีการเกิด นำมาใช้ แล้วก็จบลง เช่น คำว่าชิมิ ซึ่งตอนนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว ภาษาแปลกใหม่เกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่ว่าผู้ใหญ่จะยอมรับได้มากน้อยเพียงใด “วัยรุ่นควรใช้ให้ถูกกาลเทศะ” ระวังในการนำมาเขียน ไม่ว่าจะเขียนในการสอบ หรือการเขียนโครงการต่างๆ

“ตั้ม” นายชาติชาย บุญตอม นักศึกษาชั้นปีที่ 3 (หลักสูตรต่อเนื่อง) สาขาวิชาอิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคมโทรคมนาคม เล่าว่า “ภาษาวิบัติ” ประเด็นที่ถกเถียงกันมานาน โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นช่วงเพียงเวลาหนึ่ง ที่คนใช้ภาษาอยากเปลี่ยนรสชาติของการใช้ภาษา หรือเป็นการเล่นกับคำให้ดูแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร แต่ในทางสังคมคนรุ่นหลังมีความเป็นห่วงลูกหลานจะใช้ภาษาผิดๆ ถูกๆ เด็กสมัยนี้จึงถูกมองว่า ใช้ภาษาวิบัติ “มองว่ามันเป็นวิวัฒนาการของการใช้ภาษาลองผิดลองถูก” แต่ในหน่วยงานราชการภาษายังมีแบบแผน คอยขัดเกลาภาษาอยู่ ทุกสิ่งเป็นไปตามยุคสมัย ตอนเรียนอยู่มัธยม ตอนนั้นคำว่า “จ๊าบ” การแสดงถึงอาการฮิตมาก ตอนนี้หายไปแล้ว กลับมาศัพท์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น “แอ๊บเวอร์” ซึ่งคำเหล่านี้อีกไม่กี่ปีคงหายไปจากสังคมไทย และถูกมองว่าเป็นคำโบราณ และถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่พูดจาแบบ “ท่านขุน”

“ฟิว” นายปริวรรต เส็งพ่วง นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิทย์อาหาร คณะเทคโนโลยีการเกษตร เล่าว่า ภาษาเด็กวัยรุ่นที่ใช้กันในโลกออนไลน์ เป็นคำที่แผลงมาจากคำพูดที่ใช้กันบ่อยๆ ซึ่งคำพวกนี้นำมาพูดในกลุ่มเพื่อนๆ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าหากนำไปพิมพ์หรือพูดด้วยเรื่องที่สำคัญ ทำไมภาษาพวกนี้ถึงได้รับความนิยม เนื่องจากนิสัยของวัยรุ่นต้องการการยอมรับ ทันสมัย ทันเหตุการณ์ ซึ่งทุกวันนี้ เด็กไทยนิยมพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อยู่กับสังคมออนไลน์ มากกว่าสังคมปัจจุบัน จึงมีคำแปลกแผลงออกมา “ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การที่จะพิมพ์อะไรหรือพูดอะไร ต้องดูกาลเทศะเป็นอันดับต้นๆ”

“ปาร์ตี้” น.ส.สิริมา แจ้งใจ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาการท่องเที่ยว คณะศิลปกรรมศาสตร์ เล่าว่า ภาษาวิบัติเริ่มมาจากสังคมออนไลน์ จนเป็นสาเหตุของคำพูดติดปาก ไม่เห็นด้วยกับการใช้ภาษาที่ปิดไปจากเดิม เพราะว่าทำให้เสียงหรือความหมายผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้การสื่อสารในปัจจุบันไม่มีประสิทธิภาพ ควรจะใช้คำที่ถูกต้อง จนติดเป็นนิสัย อ่านเข้าใจง่าย อยากให้วัยรุ่น ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เพื่อดำรงรักษาภาษาไทยให้อยู่คู่กับสังคมไทย แต่สังคมทุกวันนี้ “ความแปลกจะทำให้ได้รับความสนใจ” ซึ่งเป็นนิสัยส่วนใหญ่ของวัยรุ่นไทย

“ทิยา” น.ส.กิติยา ละลายทุกข์ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาสถิติประยุกต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เล่าว่า ภาษาใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น เกิดขึ้นมาแล้วก็หายไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถห้ามได้ เพราะการสื่อสารของคนในปัจจุบัน สะดวกขึ้น อาศัยความสะดวกเป็นช่องทางในการพูดคุย พูดคุยผ่าน facebook หรือโปรแกรมบนโทรศัพท์มือถือ มือพิมพ์ พิมพ์ไปพิมพ์มา กลายเป็นคำใหม่ ภาษาไทยเป็นภาษาที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของชาติ หากคนในชาติใช้ภาษาวิบัติ ชาวต่างชาติได้ยินคงแปลกใจ

“โอลีฟ” น.ส.อโรชา บุญตะหล้า นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาการโรงแรม คณะศิลปศาสตร์ เล่าว่า ทำไมภาษาวิบัติจึงเป็นที่นิยม เนื่องจากพิมพ์ง่าย ดูเป็นภาษาพูดมากกว่า และที่สำคัญดูน่ารัก แต่ไม่เห็นด้วยที่นำมาใช้ในโลกออนไลน์ เพราะว่า ดูไม่เหมาะสม อาจติดเป็นนิสัย เช่น เวลาเรียนเขียนรายงาน หรือเอกสารสำคัญ อาจเผลอเขียนภาษาเหล่านั้นลงไป เพราะว่า เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นกับตนเอง ตอนนี้ตนเองพยายามที่จะไม่ใช้ภาษาดังกล่าว จะพยายามใช้ภาษาที่ถูกต้อง

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับภาษาไทยทุกวันนี้ จะมีภาษาแปลกๆ เกิดขึ้น แต่ยังไรก็ตาม ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติไทย ภาษาพ่อภาษาแม่ ที่สืบทอดสื่อสารถ่ายทอดต่อกันมาช้านาน ทุกคนในสังคมควรภูมิใจและใช้ให้ถูกต้อง ถูกกาลเทศะ

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32422&Key=hotnews