ครูเอกชนขาดแคลนหนักพบสอบติดครูผู้ช่วยจำนวนมาก

9 เมษายน 2556

กรุงเทพฯ : ครู ร.ร.เอกชนขาดแคลนหลังแห่สอบครูผู้ช่วยจำนวนมาก กช. สั่งทำแผนสำรองหาครูใหม่ทดแทนครูที่ลาออก นายกสภาการศึกษาเอกชนวอนจัดสอบให้เสร็จในเดือน เม.ย.

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายอยากให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วยแบบทั่วไปให้เร็วขึ้น โดยอาจต้องเลื่อนการเปิดรับสมัครเป็นปลายเดือนเมษายนก่อนเปิดสอบในเดือนพฤษภาคม คาดว่าสืบเนื่องจากปัญหาทุจริตสอบบรรจุครูผู้ช่วยกรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว 12

อย่างไรก็ตาม หากเปิดสอบเดือนพฤษภาคมจริง เมื่อ สพฐ. ประกาศผลและเรียกบรรจุโรงเรียนเอกชนคงเปิดเทอมไปแล้ว ปัญหาคือ ที่ผ่านมามีครูโรงเรียนเอกชนจำนวนมากไปสมัครสอบบรรจุ โดยร้อยละ 20-30 จะสอบบรรจุได้ในอันดับต้นๆ ฉะนั้นเมื่อถูกเรียกบรรจุโรงเรียนเอกชนจะหาครูใหม่มาสอนทดแทนไม่ทัน

ทั้งนี้ เบื้องต้นจึงหารือกับโรงเรียนเอกชนต่างๆเพื่อวางแผนรับมือ โดยให้โรงเรียนจัดทำแผนหาครูสำรองไว้ หากมีครูที่สอบได้ลาออกเพื่อไปบรรจุจะได้มีครูใหม่มาทดแทนได้ทันที
ด้านนางจิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ นายกสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรงเรียนเอกชนไม่ขัดข้องที่ สพฐ. จัดสอบครูผู้ช่วย แต่ควรจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือนเมษายนหรือต้นเดือนพฤษภาคม และควรประกาศผลให้ทราบไม่เกินวันที่ 5 พฤษภาคม เพื่อให้โรงเรียนเอกชนเตรียม หาครูใหม่หากมีครูลาออกไป ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาครูเอกชนลาออกกลางคันได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32410&Key=hotnews

หนุนเลิกเกณฑ์ครูผู้ช่วยเหตุพิเศษ คืนอำนาจ’เขตพื้นที่ฯ’จัดสอบเอง

9 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 8 เมษายน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีชมรมคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การ ศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรียกร้องให้คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ยกเลิกหลักเกณฑ์การสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 และหลักเกณฑ์ ว14 ที่กำหนดให้ส่วนกลางดำเนินการออกข้อสอบและตรวจสอบคะแนนเองว่า เดิมอำนาจการจัดสอบเป็นของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาอยู่แล้ว ดังนั้น ควรยกเลิกหลักเกณฑ์ ว12 เพื่อคืนอำนาจให้ เขตพื้นที่ฯตามเดิม แต่ต้องขึ้นกับการพิจารณาของที่ประชุม ก.ค.ศ. ส่วนกรณี ว14 ได้ให้อำนาจเขตพื้นที่ฯไปดำเนินการแล้วในการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปีการศึกษา 2556

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ในการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีทั่วไป ประจำปีการศึกษา 2556 ที่คาดว่าจะรับสมัครและสอบในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ มีมติ ก.ค.ศ.อยู่แล้วให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯดำเนินการเอง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คงแค่เข้าไปช่วยกำกับติดตามดูแลความเรียบร้อยเท่านั้น และหากมีปัญหาทุจริต แต่ละเขตพื้นที่ฯต้องรับผิดชอบเอง ส่วนเรื่องที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯเรียกร้องให้ สพฐ.ส่งกระดาษคำตอบในการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมาไปให้ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณายกเลิกผลการสอบนั้น ขอให้แต่ละเขตพื้นที่ฯทำเรื่องขอมายัง สพฐ. จากนั้นจะสำเนากระดาษคำตอบส่งไปให้ ซึ่งขณะนี้มีบาง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯได้ขอมาและ สพฐ.ได้จัดส่งไปให้แล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32409&Key=hotnews

เด็กออกกลางคันลดลง

9 เมษายน 2556

สอศ.ฟุ้งเด็กออกกลางคันลดลง

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) กล่าวถึงนโยบายลดปัญหานักเรียน นักศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ออกกลางคัน ว่าปีการศึกษา 2554 มีเด็กออกกลางคันประมาณ 16% ของเด็กทั้งหมดกว่า 4 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นระดับปวช.

ดังนั้น สอศ.จึงจัดสนับสนุนงบประมาณเกือบ 100 ล้านบาท ให้สถานศึกษาไปแก้ไขปัญหา โดยให้วิทยาลัยที่มีเด็กออกกลางคัน 50 แห่ง ไปทำแผนแก้ไขปัญหา ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมผู้บริหารวิทยาลัยสังกัด สอศ. หารือถึงผลการทำงานที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่จะออกกลางคันในช่วงภาคเรียนที่ 1 ของชั้นปีที่ 1 มากที่สุด และสาขาเกษตรกรรมมีปัญหามากสุด เนื่องจากเด็กไม่ได้ต้องการเรียนแต่แรก ขณะที่สาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม สาขาพาณิชยกรรม สาขาช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า และช่างอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีปัญหาเลย

“แม้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าสามารถลดปัญหาได้กี่เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าปัญหาเด็กออกกลางคันในปีการศึกษา 2556 นี้จะลดลง เนื่องจากเราค้นพบระบบการดูแลช่วยเหลือ ป้องกันเด็กกลุ่มเสี่ยงออกกลางคันแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาทะเลาะวิวาท เพศสัมพันธ์ ยาเสพติด ได้เป็นอย่างดี ที่ประชุมผู้บริหารวิทยาลัยสังกัด สอศ. จึงตกลงกันว่าจะพัฒนาระบบและนำไปใช้ในทุกวิทยาลัย” เลขาธิการ กอศ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32408&Key=hotnews

แนะนร.แอดมิชชันตรวจเว็บ สกอ.

9 เมษายน 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – สอท.ย้ำตรวจข้อมูลแอดมิชชันให้เข้าใจก่อนสมัคร 11-21 เม.ย.นี้ เผยแก้ไขข้อมูลการรับหลักสูตรนิเทศฯ นอกที่ตั้ง มศก.แล้ว “สมคิด” ฝาก นร.ข้องใจหลักสูตรของมหา’ลัยใดตรวจสอบได้เว็บไซต์ สกอ.

วานนี้ (8 เม.ย.56) นางศศิธร อหิงสโก ผู้จัดการสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สอท. อยู่ระหว่างเปิดขายระเบียบการรับสมัครคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา หรือแอดมิชชันกลางปีการศึกษา 2556 ซึ่งทุกอย่างเรียบร้อยดี และจะเปิดรับสมัครวันที่ 11-21 เม.ย. ดังนั้น ขอฝากนักเรียนทุกคนก่อนที่จะสมัครแอดมิชชันขอให้อ่านหนังสือระเบียบการคัดเลือกฯให้เข้าใจก่อนที่จะสมัคร เพื่อจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ส่วนกรณีของมหาวิทยาลัยศิลปากร (มศก.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) แจ้งว่าผลการตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้ง ณ ศูนย์การศึกษา อาคาร กสม.โทรคมนาคม ในหลักสูตรนิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารไม่ผ่านนั้น ที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้งมาที่ สอท.แล้วว่า ขอปรับจำนวนการรับสมัครนักศึกษาของหลักสูตรนิเทศศาสตร์นอกสถานที่ตั้ง ณ ศูนย์การศึกษา อาคาร กสท. โทรคมนาคม บางรัก จาก 370 คน เหลือ 180 คน และนักศึกษาทั้งหมดจะต้องไปเรียนที่ วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรีด้วย และ สอท.ได้แก้ไขข้อมูลทั้งหมดแล้ว และแจ้งไว้ในเว็บไซต์การรับสมัครแอดมิชชันด้วย ดังนั้น ไม่ต้องกังวลว่านักเรียนจะไม่ทราบข้อมูลเรื่องนี้

ด้าน ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กล่าวถึงกรณีที่มหาวิทยาลัยบางแห่งเปิดรับนิสิตนักศึกษาในบางหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับสภาวิชาชีพ ก่อนที่สภาวิชาชีพจะรับรองหลักสูตรว่า โดยหลักการแล้วสภามหาวิทยาลัยมีอำนาจในการอนุมัติเปิดรับนิสิตนักศึกษาได้เลย โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องให้สภาวิชาชีพรับทราบหลักสูตรก็ได้ แต่โดยปกติมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะพยายามที่จะดำเนินการขอรับรองหลักสูตรทั้งจาก สกอ.และสภาวิชาชีพให้เรียบร้อย ก่อนที่จะรับนิสิตนักศึกษา ทั้งนี้ เพื่อไม่ต้องการให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ฝากนักเรียนทุกคนก่อนที่จะสมัครและเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยใดขอให้ตรวจสอบข้อมูลของมหาวิทยาลัย นั้นๆก่อน เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหา โดยตรวจสอบข้อมูลได้ที่ สำนักมาตรฐานและประเมินผลอุดมศึกษา สกอ. เว็บไซต์ www.mua.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32407&Key=hotnews

‘ไฟเขียว’ครู 9 พัน เยียวยาวิทยฐานะ ก.ค.ศ.ให้ยื่นขอประเมิน 1-20 เม.ย.

9 เมษายน 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่าหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการ ก.ค.ศ.เมื่อเร็วๆ นี้ได้อนุมัติหลักเกณฑ์และวิธีการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเยียวยาให้มีหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชำนาญการพิเศษแล้วนั้น ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศแล้ว โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิเข้ารับการพัฒนา อาทิ เป็นผู้ผ่านการพัฒนาตามหลักสูตรการพัฒนาให้ข้าราชการครูฯ เพื่อให้มีและเลื่อนวิทยฐานะ ตามหนังสือ สำนักงาน ก.ค.ศ.ที่ ศธ. 0206.4/0164-0169 ลงวันที่ 23 มกราคม 2552 แต่เสนอผลงานทางวิชาการแล้วไม่ผ่านการประเมินให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะชำนาญการพิเศษ และปัจจุบันต้องดำรงตำแหน่งและปฏิบัติงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตำแหน่งและวิทยฐานะตามที่ได้ขอรับการประเมินไว้เดิม เป็นต้น

เลขาธิการ ก.ค.ศ. กล่าวต่อว่า การพัฒนาและการประเมินนั้นจะแบ่งเป็นการพัฒนาตามหลักสูตรที่ ก.ค.ศ.กำหนด 200 คะแนน การพัฒนาการปฏิบัติงานในหน้าที่ 100 คะแนน การประเมินผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ 100 คะแนน และการประเมินผลงานทางวิชาการ 100 คะแนน ซึ่งผู้ที่จะผ่านการประเมินต้องได้คะแนนเฉลี่ยรวมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 หรือ 350 คะแนน ทั้งนี้หากผู้รับการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาไม่อนุมัติโดยไม่ให้มีการปรับปรุงอีก โดยผู้ที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์และมีความประสงค์ขอรับการพัฒนา ให้ยื่นคำร้องต่อผู้บังคับบัญชาชั้นต้นและส่งถึงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ภายในวันที่ 1-20 เมษายนนี้ และให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติและดำเนินการพัฒนาภายในช่วงวันที่ 21 เมษายน ถึง 10 พฤษภาคมนี้

“ผู้ที่ไม่ผ่านการประเมินมีอยู่ประมาณ 9,000 คนในทุกสายการปฏิบัติงาน เช่น สายผู้สอน ศึกษานิเทศก์ เป็นต้น ซึ่งคนกลุ่มนี้เคยได้รับการประเมินในระบบอีเทรนนิ่งส์มาแล้วหลังจากไม่ผ่านการประเมินในครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ผ่านการประเมินอีกจึงทำให้ที่ประชุม ก.ค.ศ.ให้โอกาสได้รับการประเมินในครั้งนี้อีกครั้งเป็นรอบสุดท้ายแล้ว หากไม่ผ่านการประเมินก็คงไม่ได้รับการเยียวยาอีก” นางรัตนากล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32406&Key=hotnews

บทเรียนจากการสอบบรรจุครู

9 เมษายน 2556

สมเชาว์ เกษประทุม
ผมได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับการทุจริตในการสอบบรรจุผู้ช่วยครู ที่สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติดำเนินการ จาก น.ส.พ.มติชนคอลัมน์มติชนมติครูบ้าง และคอลัมน์อื่นๆ บ้าง โดยมีการกล่าวย้อนไปถึงการทุจริตในการสอบบรรจุครูที่เคยเกิดขึ้น ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในทำนองว่าเป็นการทุจริตที่คล้ายคลึงกัน และไม่แน่ใจว่าการทุจริตใน 2 ครั้งนี้ ครั้งไหนจะสร้างความเสียหายให้แก่กระทรวงศึกษาธิการมากกว่ากัน

ผมเคยตกอยู่ในฐานะของจำเลยสังคม สมัยมีการทุจริตการสอบที่จังหวัดปราจีนบุรีเกิดขึ้นมาก่อน จึงใคร่ที่จะอธิบายขยายความให้ผู้อ่านได้เข้าใจเพื่อเป็นสาธกอุทาหรณ์แก่ผู้เกี่ยวข้อง และขอแนะนำว่าหากไม่จำเป็นแล้วไซร้อย่าได้มีความคิดที่จะเป็นผู้ดำเนินการสอบอีก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้อน จนอาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครได้ดีจากการเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับการสอบเลย ไม่ว่าจะเป็นการสอบบรรจุครู การสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือแม้แต่การสอบ ONET

ที่ว่าผมตกเป็นจำเลยสังคมนั้นก็เนื่องมาจากช่วงสมัยที่ผมทำงานอยู่ที่สำนักงาน ก.ค. ผมดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองวิชาการบริหารงานบุคคล ซึ่งมีงานการสอบบรรจุครูอยู่ในกองนี้ด้วย
ประกอบกับในห้วงเวลาดังกล่าว มีข่าวการทุจริตการสอบแข่งขันของหน่วยจัดสอบครูทั่วประเทศ ทั้งการสอบของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (รับผิดชอบการสอบบรรจุครูให้กรมสามัญศึกษา) การสอบของ อ.ก.ค.จังหวัดทุกจังหวัด (รับผิดชอบการสอบบรรจุครูของสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ) ในหลายรูปแบบ อาทิ การซื้อขายข้อสอบ การติวข้อสอบ การบอกข้อสอบและบอกคำเฉลยล่วงหน้า การแก้ไขกระดาษคำตอบ การแก้ไข ต 2 ข. (แบบกรอกคะแนน) การช่วยคะแนนสัมภาษณ์ให้สูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าว คณะกรรมการข้าราชการครู (ก.ค.) ซึ่งเป็นองค์การกลางในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู จึงหันมาคิดทบทวนว่าจะหาทางแก้ไขปัญหาการทุจริตดังกล่าวได้อย่างไร
ในที่สุด ก.ค.เปิดกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ.2523 ดูก็พบบทบัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการครู (ก.ค.) มีอำนาจในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู” ซึ่งท้ายมาตรานี้ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมว่า “ในกรณีที่เห็นสมควรอาจมอบหมายให้หน่วยงานทางการศึกษาใด เป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันดังกล่าว ก็ได้”

ดังนั้น ก.ค.จึงไม่รีรอลงมติมอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ผ่านทางกองวิชาการบริหารงานบุคคลซึ่งผมเป็นผู้อำนวยการกองเป็นผู้รับผิดชอบ ตั้งแต่การออกข้อสอบ การพิมพ์ข้อสอบ การประมวลผลการสอบ จนถึงขั้นประกาศผลการสอบและขึ้นบัญชีไว้

ผมได้ปรึกษากับเพื่อนร่วมงานของผมว่า “สู้ไหม” ทุกคนต่างยืนยันว่าสู้ตายจนในที่สุดผลการสอบบรรจุครูครั้งแรกของ ก.ค. เมื่อปี พ.ศ.2524 ก็ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม คณะกรรมการ ก.ค.ทุกคนได้หน้าได้ตาเสมอหน้ากัน ส่วนพวกผมก็รู้สึกเฉยๆ ครับ เพราะงานการสอบนั้นพวกเราส่วนมากอดตาหลับขับตานอนกันขนาดไหน ไม่มีใครรู้สักกี่คน ยิ่งการประมวลผลการสอบสำหรับผู้เข้าสอบประมาณ 250,000 คน ค่อนข้างยุ่งยากและใช้เวลาค่อนข้างมาก
พอถึงปีถัดมา ก.ค.เห็นฝีมือของพวกผมแล้วก็ไม่รีรอมอบให้สำนักงาน ก.ค. เป็นผู้ดำเนินการทันที ในที่สุดกระบวนการสอบบรรจุครู ปี พ.ศ.2525 ก็ดำเนินการไปตามครรลองที่เคยปฏิบัติแต่รัดกุมยิ่งขึ้นอีกหลายเท่าเพราะมีผู้เข้าสอบเกือบ 300,000 คน

จะมาปรากฏผลถึงกับสะดุ้งสุดตัวก็ต่อเมื่อ มีกลุ่มผู้สอบที่ อ.ก.ค.จังหวัดปราจีนบุรีรับสมัครจำนวน 50 คน ได้คะแนนเรียงลำดับจากเลขที่ 1 ถึงเลขที่ 50 โดยที่ไม่มีผู้สอบของจังหวัดใดมาคั่นกลางไว้เลยแม้แต่คนเดียว!

ทุกคนจึงสงสัยว่า ผู้เข้าสอบแข่งขันที่จังหวัดปราจีนบุรีเก่งกล้าสามารถถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ผู้เขียนจึงไปดูคะแนนที่สอบได้แต่ละวิชาก็ปรากฏว่า ได้คะแนนค่อนข้างมากเกือบเต็ม 100 คะแนนก็มี
ในวันรุ่งขึ้น น.ส.พ.แทบทุกฉบับก็ลงข่าวในทำนองเดียวกันว่าต้องมีข้อสอบรั่ว ณ จุดใดจุดหนึ่งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะมี น.ส.พ.หัวสีแดงฉบับหนึ่งลงข่าวชัดเจนว่า ข้อสอบต้องรั่วที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ก.ค.

ส่วนตัวผมมีความมั่นใจ 100% ว่า “ไม่ใช่ ไม่จริง เพราะเพื่อนร่วมงานของผมซึ่งผมคัดเลือกมากับมือไม่ชั่วร้ายดังที่มีผู้กล่าวหา”

ก่อนที่จะนำเสนอ ก.ค.ให้ยกเลิกผลการสอบทั้งประเทศไม่เฉพาะที่ปราจีนบุรี ผมและคณะจากสำนักงาน ก.ค. ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวง ได้ขออนุญาตจาก ก.ค.เพื่อไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ปราจีนบุรี โดยที่ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะไปทำไป

ผมได้ไปพบกับผู้เข้าสอบที่ได้คะแนนยอดเยี่ยมเกือบทุกคนว่าขอให้ลองทำข้อสอบที่สอบไปเมื่อ 10 กว่าวันก่อน เชื่อไหมครับไม่มีผู้ใดได้คะแนนถึงร้อยละ 65 เลยแม้แต่วิชาเดียว!
ถ้าเช่นนั้น ข้อสอบรั่ว ณ จุดใด ต่อไปนี้คือคำตอบ…
ตามแนวทางการสอบสวนทางวินัยและตามแนวทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจซึ่งได้ทำคู่ขนานกันไป และจากคำตัดสินของศาลอาญาและศาลแพ่งได้ข้อยุติว่า
“ข้อสอบได้ถูกเปิดซองขึ้นที่จังหวัดนครนายก โดยผู้เดินทางมารับข้อสอบคนหนึ่ง หวังที่จะได้ข้อสอบไปช่วยเหลือแก่คนที่ตนรัก หลังจากนั้นได้มีขบวนการติวข้อสอบ ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายกและปราจีนบุรี ต่อมามีการซื้อขายข้อสอบในอัตราฉบับละ 2,000-3,000 บาท เหมือนการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล”

ส่วนผู้ทุจริตในการสอบได้แก่ผู้แทนข้าราชการครูใน อ.ก.ค.จังหวัดปราจีนบุรี ร่วมกับผู้บริหารในจังหวัดนั้นเอง

จนบัดนี้ผู้กระทำทุจริตบางคนได้รับโทษบ้าง ไม่ได้รับโทษบ้างตามสำนวนการสอบสวนที่ไปถึงและไปไม่ถึง มีบางคนที่หนีคุกไปตายในประเทศใกล้เคียง และบางคนยังมีชีวิตอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี
ผมขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ทำการซื้อขายข้อสอบทุกท่านในกลุ่ม 50 คนหรือมากกว่า เพราะทุกคนไม่ได้รับโทษใดๆ เลยแม้แต่น้อยทั้งทางแพ่งและอาญา

ผิดกับพวกผมที่รับงานของ ก.ค.มาทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่กลับมาถูกตั้งกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรงจากกระทรวงศึกษาธิการ และถูกสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง รวมทั้งบางคนถูกฟ้องคดีอาญาด้วย
กว่าพวกผมจะเป็นผู้เป็นคนและมีคนเชื่อใจเหมือนเดิมก็ต้องใช้เวลาอีกนานนับสิบๆ ปี จนคดีถึงที่สุดแล้ว

ขณะนี้พวกผมไม่มีอะไรที่จะโกรธเคืองต่อผู้ที่ก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ก่อนนอนทุกคืน ผมจะแผ่เมตตาในทำนองว่า “ขออย่าได้จองเวรต่อกันและกันเลยทั้งชาตินี้และชาติหน้า”
คราวนี้ขอย้อนไปดูเรื่องการสอบบรรจุครูผู้ช่วยที่กำลังเป็นข่าวอื้อฉาวอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการขณะนี้ว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระทำ คำตอบง่ายๆ ก็คือผู้ดำเนินการจัดสอบและผู้ที่มอบอำนาจให้มีการสอบครั้งนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าการสอบบรรจุครูผู้ช่วยเป็นอำนาจของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ภายหลังเมื่อมีความไม่ชอบมาพากลแล้วจะยกเรื่องทั้งหมดไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาตัดสินใจว่าจะยกเลิกผลการสอบ หรือจะประกาศผลขึ้นบัญชีผู้ที่สอบแข่งขันได้ไว้ ถือว่าเป็นการโยนเผือกร้อนไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาโดยแท้ และ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่จะกลายเป็นจำเลยที่ 1 ทันที

ผมโชคดีครับที่คงไม่อยู่ในข่ายที่จะถูกฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่งเหมือนการสอบครั้งก่อน ทั้งนี้เพราะผมได้ขอลาออกจากประธาน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษาได้ทันเวลาพอดี!

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32404&Key=hotnews

เด็กกินอิ่ม เราเกือบ…ยิ้มได้

9 เมษายน 2556

สุทธิลักษณ์ สมิตะสิริ และประภา คงปัญญา หน่วยส่งเสริมโภชนาการและสุขภาวะ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

ปัญหางบประมาณ หรือโอกาสทบทวนการพัฒนา
“You are what you eat” คุณเป็นอย่างที่คุณรับประทาน เป็นคำพูดที่ผู้สนใจสุขภาพ อาหารและโภชนาการคุ้นเคยกันดี ถ้าเราจะช่วยกันมองให้ไกล แล้วกล่าวว่า อนาคตประเทศไทยเป็นอย่างที่เด็กไทยรับประทาน แล้วช่วยกันสังเกตเด็กๆ ในครอบครัวและชุมชนที่ใกล้ชิด อนาคตของเราน่าจะเป็นอย่างไร

ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่ใจดีที่เห็นความสำคัญของคุณภาพอาหารเด็กในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากกระทรวงศึกษาธิการขอให้กระทรวงมหาดไทยปรับเพิ่มงบอาหารกลางวัน การอนุมัติแผนยุทธศาสตร์กองทุนเพื่ออาหารกลางวันในปีงบประมาณ 2556-2559 เป็นเงินกว่า 3,000 ล้านบาท การรายงานผลวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มีข้อเสนอให้เพิ่มงบประมาณจาก 13 บาทต่อคนต่อวันเป็น 15-20 บาทต่อคนต่อวันเพื่อให้สามารถจัดเมนูอาหารตามหลักโภชนาการได้ทุกวัน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ พัฒนาเด็กไทยสูงสมส่วน-สมองดีของกระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎรผลักดันการปรับเพิ่มงบประมาณ นอกจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยังออกมา รณรงค์ทางหน้าหนังสือพิมพ์ขอบริจาคเงินเข้ากองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันฯอีกด้วย
ประเทศไทยลงทุนกับอาหารเด็กในโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนปี พ.ศ.2535 กิจกรรมโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนขึ้นกับนโยบายรัฐบาลแต่ละรัฐบาลและไม่ต่อเนื่อง แต่ก็มีความพยายามทดลองดำเนินการหลายรูปแบบอย่างน่าชื่นชมทั้งในบริบทเมืองและชนบท จนกระทั่งรัฐบาลนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ริเริ่มก่อตั้งกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2535 เป็นต้นมา โดยกำหนดนโยบายให้เป็น กองทุนที่สามารถพัฒนากิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ต่อมาประเทศไทยเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างวิกฤต ทำให้นโยบายดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการให้เป็นจริงตามวัตถุประสงค์ได้ นั่นคือ กิจกรรมนี้ไม่อาจดำเนินการโดยไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเป็นประจำทุกปีงบประมาณ อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็ทำให้กระทรวงศึกษาธิการมีกองทุนที่สามารถใช้จ่ายในการพัฒนาอาหารเด็กในโรงเรียนอยู่ถึง 6,000 ล้านบาทในปัจจุบัน (ครบในปีงบประมาณ พ.ศ.2543)

นับเป็นความโชคดีที่ผู้บริหารระดับสูงของประเทศไทยให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และจัดสรรงบประมาณประจำปีสนับสนุนกิจกรรมนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยแต่เดิมสนับสนุนเพียงร้อยละ 30 ของนักเรียนประถมศึกษา

จนกระทั่งวันที่ 19 ตุลาคม 2542 รัฐบาลนายกฯ ชวน หลีกภัย มีมติให้นักเรียนทุกคนได้อิ่มทุกวันที่ไปโรงเรียน และปัจจุบันรัฐสนับสนุนอาหารกลางวันเด็กทุกคนเป็นเงิน 13 บาทต่อวันตามนโยบายของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปีงบประมาณ พ.ศ.2554 ประเทศไทยลงทุนกับอาหารเด็กในโรงเรียนเป็นเงิน 15,252.96 ล้านบาท หากรวมการลงทุนเรื่องนมโรงเรียนที่แยกบริหารจัดการอีก 11,040.88 ล้านบาท รวมการลงทุนเพื่ออาหารเด็กในโรงเรียนทั้งสิ้น 26,293.84 ล้านบาท และหากรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินการตามข้อเสนอจากผลการวิจัยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยจัดสรรงบประมาณที่ 15-20 บาทต่อคน การลงทุนเฉพาะอาหารกลางวันในโรงเรียนไม่รวมนมในโรงเรียนน่าจะตกราว 17,600-23,500 ล้านบาทต่อปี ในปีงบประมาณ พ.ศ.2557

แล้วทำไมเราจึงยังยิ้มไม่ได้

เมื่อ 19 ปีมาแล้วในวันที่ 21 กรกฎาคม 2537 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ความว่า “…การที่นักเรียนปฏิบัติตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน นอกจากจะได้ผลโดยตรง คือให้อิ่มท้องก็จะทำให้เด็กๆ เจริญเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและสติปัญญา สามารถศึกษาเล่าเรียน และสร้างสรรค์ความเจริญมั่นคงให้แก่ตนเองและประเทศชาติต่อไปได้

“ผลดีอีกประการหนึ่งของโครงการนี้ ที่หลายคนอาจ มองไม่เห็น ก็คือเป็นการฝึกฝนให้เด็กนักเรียนได้ปฏิบัติและเรียนรู้วิชาการต่างๆ อย่างกว้างขวาง ทั้งด้านการเกษตร การชลประทาน และโภชนาการ รวมทั้งให้รู้จักพึ่งตนเอง รู้จักทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่ยิ่งในภายภาคหน้า นอกจากนี้ครู และผู้ปกครองก็จะเกิดความรู้ ความคิด ที่นำไปปรับใช้ให้บังเกิดผลดีแก่การประกอบอาชีพของตน และเมื่อผู้อื่นได้เห็น ก็จะนำไปปฏิบัติตาม ผลจากการปฏิบัติตามตัวอย่าง ก็จะยิ่งก่อเกื้อประโยชน์ขยายออกไปทั่วทั้งชุมชน นักวิชาการผู้ปฏิบัติงานพัฒนาตามโครงการต่างๆ ไม่ควรจะละเลยมองข้ามความสำคัญของกิจกรรมแม้เล็กน้อย หากจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ลึกซึ้งรอบคอบ และละเอียดถี่ถ้วน ให้ทราบว่า ผลที่เกิดขึ้นจากโครงการนั้นจะมีขอบเขตต่อเนื่องกว้างไกลเพียงใด จักได้สามารถวางแผนงานให้สอดคล้องต้องกันทุกส่วนทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดผลเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชนส่วนรวมให้ได้มากที่สุด…”

จะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญเรื่องอาหารและการทำเกษตรเพื่ออาหารกลางวันที่กระบวนการเรียนรู้และการพัฒนา ซึ่งจากวันนั้นจนถึงวันนี้มีโรงเรียนจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินการสืบสานพระราชดำริ อาทิ โครงการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา ภายใต้การสนับสนุนของสำนักกิจการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ที่ครอบคลุมเกือบ 10,000 สถานศึกษาทั่วประเทศ โครงการอาหารกลางวันแบบยั่งยืนโดยความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกว่า 1,000 โรงเรียน โครงการหนูรักผักสีเขียวที่ดำเนินการโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียนของมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบทสนับสนุนโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์อีกกว่า 400 โรงเรียน โครงการพัฒนาเด็กไทยให้เต็มศักยภาพด้วยอาหารและโภชนาการ ของวุฒิอาสาธนาคารสมองกลุ่มสุขภาพ ที่สนับสนุนโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคาดว่าน่าจะมีอีกมากมายที่เกิดจากศักยภาพของโรงเรียน ชุมชนท้องถิ่นเองและจากการสนับสนุนของภาคเอกชนที่คาดว่าไม่น้อยทีเดียว
กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยควรสำรวจให้เห็นภาพการพัฒนาที่แท้จริง หากการดำเนินการเหล่านี้ประสบผลสำเร็จน่าจะนำไปสู่การพัฒนาตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยการปลูกฝังแนวคิดให้กับคนไทยรุ่นต่อไป ซึ่งนับเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แต่การที่ผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายกำลังห่วงใยว่างบประมาณที่รัฐสนับสนุนโครงการอาหารกลางวันไม่เพียงพอจะส่งผลทำให้อาหารเด็กในโรงเรียนมีคุณภาพทางโภชนาการต่ำ จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้กระทบต่อการพัฒนาเด็กไทยให้เต็มศักยภาพ แม้เป็นความห่วงใยอนาคตของชาติที่น่าชื่นชม แต่ในอีกแง่หนึ่งสถานการณ์ดังกล่าวนี้อาจจะเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นว่าการบริหารจัดการการพัฒนาโดยรวมของโครงการนี้ยังไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดการพัฒนาที่มีพลังกว้างขวางพอและยังไม่สามารถยกระดับให้เป็นการพัฒนาแบบพอเพียงและพึ่งตนเองได้
จากสงเคราะห์เป็นพัฒนา
การที่รัฐลงทุนกับเด็กเป็นวิสัยทัศน์ที่น่ายกย่อง แต่การให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการอย่างบูรณาการเพื่อให้เกิดผลตามเป้าประสงค์ก็เป็นความจำเป็นเช่นกัน เพราะหากไม่ระมัดระวังอาจจะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ เพราะมีโครงการส่งเสริมโภชนาการเด็กในประเทศอื่นที่ถูกประเมินว่าเป็นการลงทุนที่ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาโภชนาการและสุขภาพตามที่ตั้งไว้แต่ก็ต้องดำเนินต่อไป เป็นเพียงการลงทุนสูญเปล่าที่ให้เพียงความรู้สึกดีๆ เท่านั้น

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวถึงการพัฒนาการศึกษาโดยให้แนวคิดที่นักการศึกษาควรพิจารณาว่า “การศึกษาเริ่มต้น เมื่อคนกินเป็นอยู่เป็น” แต่ในปัจจุบันยังมีผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ครู/อาจารย์ ผู้ปกครอง จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถหรือไม่ให้ความสำคัญต่อการบูรณาการชีวิตกับการศึกษา หลายคนยังเห็นว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหารกลางวันทำให้เสียเวลาเรียน เมื่อมีงบประมาณอาหารกลางวันมากขึ้นสถานศึกษาหลายแห่งงดกระบวนการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องหันไปว่าจ้างคนทำอาหาร เพื่อให้ครูอาจารย์และนักเรียนมีเวลาให้กับ “การเรียนการสอนมากขึ้น” การพัฒนาความคิด ทัศนคติ จึงเป็นเรื่องสำคัญแต่มักถูกละเลย นโยบายการศึกษารวมทั้งมาตรการการติดตามและประเมินผลที่สะท้อนความเอาจริงเอาจังในการขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ดังพระบรมราโชวาทที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญมากเพราะงบประมาณไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของการพัฒนา

ในประเทศสหรัฐอเมริกาภริยาประธานาธิบดี มิสซิส มิเชล โอบามา ได้ออกมาเป็นผู้นำในการรณรงค์เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีของเด็กอเมริกันอย่างจริงจัง เธอดำเนินการรณรงค์ด้วยการปลูกผักสวนครัวในทำเนียบขาวร่วมกับเด็กนักเรียนอาสาสมัครหลายร้อยคน รับเป็นประธานคณะกรรมการโครงการที่ให้ความสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในการแก้ปัญหาร่วมกันและมีการจัดโครงสร้างการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนสังคม ความก้าวหน้าของโครงการนี้รายงานตรงต่อประธานาธิบดี (www.letsmove.gov) นอกจากนั้นการเข้ามาร่วมรณรงค์ของเชฟชื่อดังที่เคยสร้างความฮือฮาจากการสร้างความตระหนักผ่านรายการโทรทัศน์ของเขาถึงคุณภาพอาหารกลางวันในโรงเรียนที่ต่ำมากในประเทศอังกฤษอย่างเจมี่ โอลิเวอร์ ที่กำลังรณรงค์หาทุนเพื่อส่งเสริมการให้การศึกษาเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก็เป็นแบบอย่างที่น่าสนใจ (www.jamieoliver.com)
ประเทศไทยควรให้ความสำคัญไม่ใช่เฉพาะตัวอาหารเท่านั้น แต่ควรตั้งโจทย์เพิ่ม “ทำอย่างไรเด็กไทยจึงจะกินเป็น พึ่งตนเองได้” กองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนฯ และกองทุนสร้างเสริมสุขภาพน่าจะรวมพลังกันประสานให้สังคมไทยในทุกระดับเกิดความตระหนักในความสำคัญและสามารถจัดกระบวนการขับเคลื่อนทางปัญญาให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามาร่วมกันดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์และมีการจัดการที่ดีจนประสบความสำเร็จในระดับประเทศได้ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเด็กไทยรู้จักพึ่งตนเองในเรื่องอาหารการกิน เด็กๆ มีความรู้ในการทำการเกษตรเพื่อการบริโภค และเด็กของเราเข้าใจอาหาร คุณค่าอาหาร และสามารถทำอาหารรับประทานได้ดี และที่สำคัญเป็นคนมีสุนทรียภาพด้านอาหารการกิน
สังคมไทยทำเรื่องนี้ให้สำเร็จร่วมกันได้
เมื่อปี พ.ศ.2545 จังหวัดศรีสะเกษภายใต้การนำของภาครัฐและประชาสังคมร่วมกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษพัฒนาอาหารกลางวันในโรงเรียนเต็มพื้นที่ทั้งจังหวัด ภายใต้การสนับสนุนของหลายฝ่ายรวมทั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หลังจากดำเนินการไป 5 ปีสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนจนสามารถลดปัญหาโภชนาการจากร้อยละ 16 เหลือเพียงร้อยละ 6 เท่านั้น (ข้อมูลสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ) และมีบทเรียนความสำเร็จให้สามารถศึกษาเรียนรู้ขึ้นในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง บทสรุปที่สำคัญของโครงการนี้อยู่ที่การสร้างความตระหนัก ความสามารถในการรวมพลังและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายเพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นและโรงเรียนสามารถดำเนินการพัฒนาอาหารเด็กอย่างสร้างสรรค์ไปได้พร้อมๆ กัน ในระยะต่อมาจนถึงปัจจุบันยังดำเนินการต่อเนื่องโดยเน้นการจัดอาหารกลางวันตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศูนย์ศรีสะเกษศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ โทร.04-5643-6006)
ยี่สิบห้าปีที่แล้ว เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 60 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายฝ่ายได้ร่วมกันรณรงค์ “ฉลอง 60 พรรษามหาราชา เด็กประถมศึกษา ไม่หิวโหย” ซึ่งนับจากนั้นการพัฒนาได้มีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ในปี พ.ศ.2558 ที่จะถึงนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งทรงมีพระเมตตาต่อเด็กไทยและทรงดำเนินงานการพัฒนาโภชนาการในโรงเรียนเป็นแบบอย่างมาอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 จะมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการน่าจะเป็น แกนนำในการสานพลังสังคมไทยทุกภาคส่วนก่อให้เกิดความสำเร็จอย่างอภิวัฒน์ ถวายเป็นพระราชกุศลต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าโภชนาการ และเมื่อถึงปี พ.ศ.2559 ซึ่งจะเป็นปีที่ 50 ของการดำเนินโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนของประเทศไทย เราอาจจะมีรูปธรรมความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจได้ หากทุกฝ่ายจะช่วยกันดำเนินการอย่างจริงจังเสียแต่วันนี้
เมื่อนั้นเราอาจยิ้มได้อย่างภาคภูมิ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32401&Key=hotnews

 

ต้องปฏิรูปหลักสูตรเพื่อยกคุณภาพการศึกษา

9 เมษายน 2556

ในศตวรรษที่ 21 ถือเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเด็กและเยาวชนยุคนี้เกือบทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงเด็กไทยล้วนมีทักษะและความสามารถในการเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว ทั้งคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือหลากหลายยี่ห้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งติดต่อการสื่อสารบนเครือข่ายสังคมออนไลน์

แต่เมื่อหันกลับมามองคุณภาพการศึกษาของไทยที่มีการสวนกระแสกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ถ้าทบทวนดูผลการจัดอันดับการศึกษาของไทยจะเห็นได้ว่าอยู่ในอันดับที่ไม่น่าพึงพอใจมากนัก มีทั้งอันดับต่ำกว่าเดิม ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การจัดอันดับประเทศที่มีพัฒนาการศึกษาทางการศึกษาของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการจัดอันดับการศึกษาเพียร์สันของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2555 พบว่าประเทศไทยอยู่อันดับที่ 37 จาก 40 ประเทศ โดยการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่อันดับ 8 ของอาเซียนตามหลังฟิลิปปินส์และกัมพูชา ส่วนการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ในลำดับ 6 ของอาเซียนตามหลังเวียดนาม

ส่วนผลประเมิน PISA ที่มีการสุ่มเพื่อประเมินนักเรียนชั้น ม.3 ต้องการสำรวจว่าเยาวชนที่อยู่ในวัยจบการศึกษาภาคบังคับ มีศักยภาพที่จะใช้ความรู้และทักษะที่เรียนไปในชีวิตจริงในอนาคตได้ดีเพียงใด ซึ่งไม่ได้ประเมินความรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน แต่เน้นประเมินความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ประเทศไทยเข้าร่วมโครงการ PISA ตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 โดยมีการประเมินทุก 3 ปี ซึ่งการประเมินแต่ละครั้งจะให้ความสำคัญกับวิชาที่แตกต่างกัน แต่ให้น้ำหนักด้านใดด้านหนึ่งเป็นหลัก และอีก 2 วิชาเป็นรอง พบว่า นักเรียนไทยกลุ่มอายุ 15 ปี มีผลการประเมินต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนานาชาติ ต่อเนื่องถึง 4 ครั้ง

และเนื่องจากผลการสอบ PISA ได้ถูกนำไปใช้เป็นเกณฑ์หนึ่งในการจัดลำดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ทำให้นานาชาติมองว่าไทยยังเป็นประเทศด้อยคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

จากผลการประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ National Test (NT) ระดับชั้น ป.3 ปีการศึกษา 2555 ที่จัดสอบโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่าคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งในทุกด้าน คือ ด้านภาษา คะแนนเฉลี่ย 42.94 ด้านการคำนวณ คะแนนเฉลี่ย 37.45 ส่วนด้านเหตุผล คะแนนเฉลี่ย 45.92 ส่วนผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2555 ของนักเรียนชั้น ม.6 จัดสอบโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) มีผู้เข้าสอบประมาณ 400,000 คน โดยมีคะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งเกือบทุกวิชาเช่นกัน คือ ภาษาไทย 47.19 คะแนน สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 36.27 คะแนน ภาษาอังกฤษ 22.13 คะแนน คณิตศาสตร์ 22.73 คะแนน วิทยาศาสตร์ 33.10 คะแนน สุขศึกษาและพลศึกษา 53.70 คะแนน ศิลปะ 32.73 คะแนน การงานอาชีพและเทคโนโลยี 45.76 คะแนน

จากผลการจัดอันดับและผลการประเมินต่าง ๆ ทั้งหน่วยงานภายในประเทศและระดับนานาชาติที่ผ่านมาล้วนบ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน เหล่านี้ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงต้นตอของปัญหาที่จำเป็นต้องมีการหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันวิกฤติการศึกษาของประเทศ
รัฐบาลชุดปัจจุบันได้มองเห็นปัญหาการศึกษาไทยที่เรื้อรังมายาวนาน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา มองว่าในอดีตที่ผ่านมาเด็กไทยเรียนมากแต่รู้น้อย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิรูปหลักสูตร ปรับกระบวนการเรียนการสอนที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง โดยให้สอนน้อยแต่เด็กเรียนรู้มาก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นให้การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็กเป็นสำคัญ โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 คณะ คือ คณะที่ 1 กำหนดวิสัยทัศน์การปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีรมว.ศธ.เป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิมาจากทุกภาคส่วนเป็นกรรมการ ส่วนคณะที่ 2 มี ศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ เป็นประธาน และมีคณะกรรมการออกแบบยกร่างหลักสูตร-ตำราเรียนแห่งชาติ

ซึ่งช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการได้มีการประชุมยกร่างหลักสูตรใหม่เพื่อเป็นพิมพ์เขียวโดยกำหนดกรอบเวลาไว้เพียง 6 เดือน โดยมีมติให้ยกเลิก 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรเดิม และยกร่างโครงสร้างใหม่เป็น 6 กลุ่มสาระ คือ ภาษาและวัฒนธรรม (Language and Culture) กลุ่มสาระเรียนรู้ STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกร และคณิตศาสตร์) การดำรงชีวิตและโลกของงาน (Work Life) ทักษะสื่อและการสื่อสาร (Media Skill and Communication) สังคมและมนุษยศาสตร์ (Society and Humanity) และอาเซียน ภูมิภาคและโลก (Asean Region and World) ส่วนเวลาเรียนไม่เกิน 800 ชั่วโมงต่อปี โดยให้เพิ่มกระบวนการเรียนรู้ผ่านโครงงานทุกระดับชั้น เน้นกระบวนการประชาธิปไตยและคุณธรรม จริยธรรมเพิ่มมากขึ้น

หากรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน จริงจัง ต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา มีความตระหนักในบทบาทหน้าที่ที่จะร่วมกันรังสรรค์พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตสามารถเรียนรู้ได้ทุกสถานที่ทุกเวลา สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการนำไปใช้ในชีวิตจริง และพัฒนาต่อยอดสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นได้ โดยทุกหนทุกแห่งคือห้องเรียนที่กว้างใหญ่ และที่สำคัญผู้เรียนทุกคนต้องได้รับการส่งเสริมให้มีศักยภาพที่จะเรียนรู้อย่างหลากหลาย ต่อเนื่อง สนุกสนาน ท้าทาย และเรียนรู้อย่างมั่นใจ เหล่านี้คือหนทางนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยในอนาคต.

ฟาฏินา วงศ์เลขา

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32400&Key=hotnews

สทศ.ของบจ้างนักประเมินมืออาชีพ

9 เมษายน 2556

สทศ.อ้อนของบจ้างนักทดสอบมืออาชีพ พร้อมงบทำวิจัยทางการศึกษา ปูทางการจัดทดสอบคู่ทำงานวิจัย เสนอ ศธ.กำหนดเป็นนโยบาย ระบุเตรียมจัดประชุมการทดสอบนานาชาติวันที่ 3-5 ก.ย.นี้ เล็งชวนประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกแลกเปลี่ยนระบบทดสอบกัน สร้างความร่วมมือระบบประเมินระดับชาติกลุ่มประเทศอาเซียน

ศ.กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (บอร์ด สทศ.) กล่าวแถลงข่าวเป้าหมายการดำเนินงานของบอร์ด สทศ.ในระยะเวลา 2 ปีข้างหน้า ก่อนที่จะหมดวาระว่า ที่ผ่านมามีคำถามว่าการทดสอบหรือประเมินสถานศึกษาแล้วได้มีการเสนออะไรที่เป็นนโยบายให้ ศธ.พิจารณาบ้าง ยอมรับว่าถึงแม้ สทศ.จะได้งบมาทำการจัดทดสอบ แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนคนและงบเพื่อมาออกข้อสอบเลย ยกตัวอย่างสถาบันทดสอบของประเทศเกาหลีใต้ มีนักทดสอบ 150-200 คน ทำหน้าที่ออกข้อสอบเป็นประจำ แต่ของเราไม่มีงบ ไม่มีนักวิชาการด้านนี้ ขณะเดียวกัน เราไม่เคยได้รับงบเพื่อมาทำการทดสอบควบคู่กับงานวิจัยทางการศึกษาเลย เราจึงไม่เคยทำวิจัยทางการศึกษาที่เป็นชิ้นเป็นอัน ฉะนั้นการจะทดสอบแล้วจะเสนอเป็นนโยบายทางการศึกษาเลยจึงเป็นไปได้ยาก

ประธานบอร์ด สทศ.กล่าวอีกว่า หากคาดหวังให้ สทศ.ทำงานอย่างเต็มที่ก็ต้องสนับสนุนเรื่องนักวิชาการอย่างน้อย 10-20 คนต่อปี แล้วในอนาคตค่อยเพิ่มจำนวนต่อไปจนถึงหลักร้อย เพราะเทียบแล้วประเทศไทยมีภาระงานมากมายในการทำการทดสอบ ขณะที่การจะไปพึ่งอาจารย์มหาวิทยาลัยและโรงเรียนสาธิตมาทำข้อสอบเป็นครั้งคราวอย่างที่ทำอยู่คงเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับการทำวิจัยเพื่อการทดสอบ ที่เราจะอาศัยข้อมูลจากการทดสอบอย่างเดียวนั้นเป็นข้อจำกัด เราต้องพิจารณาเทียบเคียงกับประเทศอื่น สทศ.จึงเตรียมจัดประชุมนานาชาติระหว่างวันที่ 3-5 ก.ย.นี้ เรื่องระบบการทดสอบระดับชาติในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในประเทศอาเซียน เพื่อดูระบบการทดสอบแต่ละประเทศว่ามีการบริหารจัดการอย่างไร อย่างไรก็ดี สทศ.คาดหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะสามารถนำมาพิจารณากำหนดทิศทางการทดสอบระดับชาติต่อไปได้ รวมถึงการสร้างความร่วมมือการประเมินระดับชาติในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อไปด้วย

ศ.เกียรติคุณสมหวังกล่าวต่อว่า สิ่งที่ สทศ.จะดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อจากนี้นั้นมี 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การทดสอบตามมาตรฐานผู้เรียนที่เป็นการวัดรอบด้าน หรือวัดตามแนวโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือพิซา ไม่ใช่การวัดเฉพาะเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ซึ่งใน 2 ปีข้างหน้าเราน่าจะได้เริ่มดำเนินการในเรื่องนี้ 2.การทำคลังข้อสอบ ซึ่ง สทศ.ตั้งเป้าทำข้อสอบไปสะสมเป็นหมื่นเป็นแสนข้อ จากนั้นเมื่อถึงการจัดสอบแต่ละครั้ง เราก็สามารถไปคัดเลือกข้อสอบที่ดีมีคุณภาพในคลังข้อสอบมาจัดสอบได้ โดย สทศ.ได้งบปี 2556 มาจัดทำแล้ว คาดว่าน่าจะเริ่มนำร่องคลังข้อสอบให้เป็นรูปธรรมได้ในปีนี้ รวมถึงการนำร่องระบบอีเทสติ้ง และนำร่องการทดสอบตามมาตรฐานการอุดมศึกษา หรือยูเน็ต ในปีนี้ด้วย

“ปัจจุบัน สทศ.วัดผลแบบคิดวิเคราะห์ แต่อิงเนื้อหาสูง เพราะต้องออกข้อสอบตามผลการเรียนรู้ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนด แต่ในอนาคตการวัดผลตามรายวิชาจะเริ่มน้อยลง มาเป็นการวัดความเข้าใจตามทักษะด้านต่างๆ อย่างทักษะชีวิต ทักษะการสื่อสาร แต่คนจะมีทักษะได้ก็ต้องมีความรู้ ทั้งนี้ ต่อไปข้อสอบของ สทศ.จะมีแนวคล้ายๆ กับการสอบพิซา แต่จะเพิ่มเติมบางเรื่องที่พิซาไม่มีคือ การวัดเรื่องความฉลาดทางสุขภาวะ เพื่อให้เด็กรู้จักดูแลสุขภาพตนเอง เราจะได้ไม่ต้องซื้อยาจากต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ในอนาคต ซึ่งอาจไม่กำหนดสอบตายตัวที่ 8 กลุ่มสาระวิชา แต่เป็นการวัดแบบบูรณาการเนื้อหาจนเหลือ 5 รายวิชา ซึ่งเราจะทยอยนำร่องปรับมาตรฐานข้อสอบใหม่แต่ละปี เริ่มจากชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ต่อไป” ศ.กิตติคุณสมหวังกล่าว.

ที่มา: http://www.thaipost.net

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32399&Key=hotnews

สั่ง ร.ร.เอกชนหาครูสำรอง หลังแห่ลาออก

สช.สั่ง ร.ร.เอกชนหาครูสำรองทดแทนครูลาออก เพราะสอบติดครูผู้ช่วย สพฐ.ไม่ให้เป็นปัญหาเหมือนทุกปี ด้าน นายกสมาคมฯ เซ็งหารือระดับผู้ใหญ่ใน ก.ศึกษาฯหลายหนให้จัดสอบและบรรจุเสร็จแต่ต้น พ.ค.แต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแล

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ.มีนโยบายที่อยากให้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เปิดสอบบรรจุครูผู้ช่วยแบบทั่วไปให้เร็วขึ้น อาจต้องเลื่อนการเปิดรับสมัครไปปลายเดือน เม.ย.ก่อนเปิดสอบเดือน พ.ค.คาดว่่าสืบเนืิ่องจากปัญหาทุจริตสอบบรรจุครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 อย่างไรก็ตาม หากเปิดสอบเดือน พ.ค.จริง เมื่อ สพฐ.ประกาศผลและเรียกบรรจุ โรงเรียนเอกชนคงเปิดเทอมไปแล้ว ปัญหาคือที่ผ่านมามีครูโรงเรียนเอกชนจำนวนมากไปสมัครสอบบรรจุ โดยร้อยละ 20-30 จะสอบบรรจุได้ในอันดับต้นๆ ฉะนั้นเมื่อถูกเรียกบรรจุ โรงเรียนเอกชนจะหาครูใหม่มาสอนทดแทนไม่ทัน

ทั้งนี้ เบื้องต้นจึงหารือกับโรงเรียนเอกชนต่างๆ เพื่อวางแผนรับมือ โดยให้โรงเรียนจัดทำแผนหาครูสำรองไว้ หากมีครูที่สอบได้ลาออกเพื่อไปบรรจุ ก็จะได้มีครูใหม่มาทดแทนได้ทันท่วงที

ด้านนางจิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ นายกสมาคมสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรงเรียนเอกชนไม่ขัดข้องที่ สพฐ.จัดสอบครูผู้ช่วย แต่ควรจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือน เม.ย. หรือต้นเดือน พ.ค.และควรประกาศผลให้ทราบไม่เกิน 5 พ.ค.นี้ เพื่อให้โรงเรียนเอกชนได้เตรียมหาครูใหม่หากมีครูลาออกไป ซึ่งที่ผ่านมาได้หารือกับ รมว.ศึกษาธิการ และผู้บริหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาครูเอกชนลาออกกลางคันได้เลย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000042144