มข. ส่งครูมืออาชีพอีสานบรรจุ พ.ค. สังกัด สพฐ.

3 เมษายน 2556

ผศ.ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) กล่าวในการปัจฉิมนิเทศนิสิตนักศึกษาโครงการครูมืออาชีพ รุ่นปีการศึกษา 2554 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จัดทำขึ้นว่า โครงการครูมืออาชีพ เพื่อผลิตครูที่มีความรู้ทางวิชาการ เชี่ยวชาญทางวิชาชีพและมีอุดมการณ์ มุ่งหวังดึงดูดคนดี คนเก่ง เข้าศึกษาวิชาชีพครู ด้วยหลักสูตรและกระบวนการที่เน้นการฝึกปฏิบัติและการฝึกอบรม สร้างเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ และสร้างเครือข่ายครูอันนำไปสู่การพัฒนาการศึกษาของชาติ โดยนิสิตนักศึกษาของโครงการ เมื่อจบการศึกษาจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการครู

ทั้งนี้ สกอ.คัดเลือกสถาบันอุดมศึกษาทุกภูมิภาคที่เชี่ยวชาญและมีศักยภาพเป็นสถาบันฝ่ายผลิตครู ซึ่งคณะศึกษาศาสตร์ มข. ได้รับเลือกเป็น 1 ในแกนหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ได้รับทุนโครงการ 617 คน เป็นรุ่น พ.ศ.2554 ที่สำเร็จการศึกษาในเดือนมี.ค. 2556 พร้อมที่จะบรรจุเข้ารับราชการครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในเดือนพ.ค.นี้

โครงการครูมืออาชีพ เดิมชื่อโครงการผลิตครูพันธุ์ใหม่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเปลี่ยนชื่อเมื่อเดือนพ.ค. 2555 โดยในรุ่นปีการศึกษา 2554 ซึ่งเป็นรุ่นแรก มีผู้ร่วมโครงการทั้งสิ้น 1,483 คน และนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มข. ได้รับทุนครั้งนี้จำนวน 150 คน

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 4 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32349&Key=hotnews

เปิดแนวคิดโยกครูสายสามัญสอนอาชีวะ

3 เมษายน 2556

โพสต์ทูเดย์ “พงศ์เทพ” ปิ๊งไอเดียถ่ายโอนครูสายสามัญไปวิทยาลัยอาชีวะ รับนโยบายเพิ่มสัดส่วนเด็กเรียนสายอาชีพ

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ทั่วประเทศว่า ได้มอบให้ สอศ.ไปหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อวางแผนถ่ายโอนครูจากโรงเรียนสายสามัญมายังวิทยาลัยอาชีวศึกษา เพื่อรองรับนโยบายปรับสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีพเพิ่มเป็น 50%ภายในปี 2559 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 36%

อย่างไรก็ดี เมื่อมีการปรับสัดส่วนเพิ่มผู้เรียนสายอาชีพ และลดผู้เรียนสายสามัญแล้ว สถานศึกษาสายสามัญย่อมต้องมีผู้เรียนลดลง โรงเรียนจะอยู่ในภาวะครูเกิน ขณะที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาจะอยู่ในภาวะครูไม่เพียงพอแทน

“ปัจจุบันวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่งอยู่ในภาวะเด็กล้นมือ ลำบากที่จะรับนักเรียนเพิ่มขึ้นอีก เพราะมีข้อจำกัดต่างๆ โดยเฉพาะข้อจำกัดด้านครู แต่ทั้งนี้ไม่อยากให้เน้นแก้ปัญหาขาดครูด้วยการรับครูใหม่ เพราะค่าใช้จ่ายสูงถึงหัวละ30 ล้านบาท แต่ให้ใช้วิธีรับโอนครูจากโรงเรียนสายสามัญน่าจะดีกว่า” นายพงศ์เทพ กล่าว

นอกจากนั้น ได้สั่งการให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาทุกแห่งปรับระบบการผลิตนักศึกษาใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการในภาคอุตสาหกรรม บริการและภาคเกษตรในพื้นที่ เช่น จ.ชลบุรี ฉะเชิงเทราเป็นฐานของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์วิทยาลัยที่อยู่ในแถบนั้นก็จะต้องมีความเชี่ยวชาญด้านนี้

นายพงศ์เทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีดังกล่าวจะช่วยให้วิทยาลัยปรับการเรียนการสอนให้ผลิตคนที่มีฝีมือตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ สามารถส่งเด็กไปฝึกงานได้ในระหว่างเรียน เมื่อเรียนจบแล้วผู้เรียนจะได้สามารถเริ่มทำงานได้ทันทีตั้งแต่วันแรก ไม่ต้องไปให้สถานประกอบการฝึกงานเพิ่มเติมให้เป็นปีเหมือนในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน วิทยาลัยเองก็จะได้ประโยชน์ เพราะเครื่องมือเครื่องจักรหลายชิ้นมีราคาแพง เช่น เครื่องกำเนิดไฟราคาเป็นพันล้านบาท วิทยาลัยส่วนใหญ่จึงไม่สามารถที่จะซื้อเครื่องมือเหล่านั้นมาให้เด็กฝึกปฏิบัติได้ แต่ถ้าไปสร้างความร่วมมือกับสถานประกอบการแล้ว นักศึกษาอาชีวะจะได้เรียนรู้กับเครื่องมือเครื่องจักรของจริง

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32346&Key=hotnews

สทศ.ชี้ภาพรวมจุดอ่อนวิชาหลักเร่งขยับโอเน็ต

3 เมษายน 2556

รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สทศ. แถลงข่าวผลการจัดการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งชาติ หรือโอเน็ต ปีการศึกษา 2555 ว่า ภาพรวมคะแนนสอบโอเน็ต ป.6 ม.3 และ ม.6 ดีขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้คะแนนเฉลี่ย 5 วิชาหลัก ได้ร้อยละ 50 ในปี 2561 ก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้มีการใช้คะแนนโอเน็ตเป็นส่วนหนึ่งของการจบแต่ละช่วงชั้น จึงอยากให้ทุกฝ่ายนำผลสอบโอเน็ต ไปใช้ ไม่ใช่มองแค่คะแนนเฉลี่ยที่ต่ำกว่าร้อยละ 50 เท่านั้น เพราะเป้าหมายของการสอบโอเน็ต คือ การนำโอเน็ตไปปรับปรุงคุณภาพสถานศึกษาให้ นักเรียนรุ่นหน้าได้คะแนนโอเน็ตดีขึ้นกว่ารุ่นนี้

ผอ.สทศ. กล่าวต่อว่า จากการประมวลผลภาพรวมโอเน็ตระดับประเทศ ระดับ ม. 6 สำหรับวิชาหลัก 5 วิชา พบว่า วิชาภาษาไทย นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ดีที่สุดคือการอ่าน ส่วนที่ต้องเร่งขับเคลื่อน เพื่อยกระดับคะแนนโอเน็ตภาษาไทยคือ การเขียน สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ผลสัมฤทธิ์ที่ดีสุดคือภูมิศาสตร์ ที่ต้องขับเคลื่อนมากขึ้นคือ ประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ผลสัมฤทธิ์ที่ดีสุดคือภาษาเพื่อการสื่อสาร ที่ต้องขับเคลื่อนคือ ด้านภาษาและวัฒนธรรม คณิตศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ที่ดีสุดคือ พีชคณิต ที่ต้องปรับปรุงมากขึ้นคือ การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ ผลสัมฤทธิ์ที่ดีที่สุดคือธรรมชาติของวิทย์และเทคโนฯ ส่วนที่ต้องขับเคลื่อนมากขึ้นคือพลังงาน.

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32347&Key=hotnews

คอลัมน์: กศน.เพื่อนเรียนรู้: หลักสูตรธรรมศึกษา ผู้ช่วยพยาบาลและการศึกษาตลอดชีวิต

3 เมษายน 2556

edusiamrath@gmail.com
เมื่อเร็วๆ นี้ นายชาญวิทย์ ทับสุพรรณ รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็นประธานการมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา หลักสูตรธรรมศึกษา ผู้ช่วยพยาบาล และการศึกษาตลอดชีวิตวิชาอาชีพ ของสำนักงาน กศน. ณ วัดอรุณราชวราราม โดยมีพระเทพมงคลรังษี เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ตัวแทนจากสถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย-ผู้ช่วยทูตฝ่ายการศึกษา นายวอลเตอร์ สโตว์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ เจดับเบิลยูเอส ซิกส์ตี และนายวิลเลียม วิลลาฟรังโก ผู้ดูแลมูลนิธิเวอร์จิเนียร์ บี ทูลมิน ร่วมให้โอวาทและมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา

นายชาญวิทย์กล่าวภายหลังว่า สำนักงาน กศน.เล็งเห็นถึงความสำคัญและสนับสนุนการศึกษาของผู้พลาดโอกาสให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง จึงได้ดำเนินการร่วมกับวัดอรุณราชวรารามจัดตั้งศูนย์การเรียนชุมชนศูนย์ปฏิบัติธรรมและบำเพ็ญกุศลนานาชาติ วัดอรุณราชวราราม ขึ้นเมื่อวันที่ 9 ต.ค.49 เพื่อให้ผู้ที่พลาดโอกาสได้รับการศึกษาตลอดชีวิต พัฒนาทักษะชีวิตและจิตใจในหลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิตวิชาชีพ และการปฏิบัติธรรมสมาธิ รวมทั้งการระดมทุนจากผู้มีจิตศรัทธาในต่างประเทศ สนับสนุนการศึกษาการเรียนวิชาผู้ช่วยพยาบาลร่วมกับโรงพยาบาลธนบุรี 2 สำหรับในปีการศึกษา 2555 ศูนย์การเรียนฯ ได้กำหนดให้มีพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรต่างๆ โดยมีพระเทพมงคลรังษี เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ตัวแทนจากสถานทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย-ผู้ช่วยทูตฝ่ายการศึกษา ร่วมให้โอวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาด้วย

“หลักสูตรวิชาผู้ช่วยพยาบาล มีระยะเวลาเรียน 1 ปี โดยประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลธนบุรี 2 เมื่อจบการศึกษานักศึกษาสามารถเข้าทำงานที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอื่นๆ ได้ตามความประสงค์ รวมทั้งจัดการศึกษาต่อเนื่องหลักสูตรระยะสั้นวิชาเสริมทักษะชีวิต แก่ผู้ที่สนใจทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศอาทิ วิชาคอมพิวเตอร์ แกะสลักสบู่ และผลไม้ รำไทย ดนตรีไทย ซึ่งมีเยาวชนสนใจมาเรียนเป็นจำนวนมาก และสามารถนำไปต่อยอดเพื่อเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับสูงต่อไป” รองเลขาธิการ กศน.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32344&Key=hotnews

ศธ. จับมือเครือข่ายต่อสู้ยาเสพติด

3 เมษายน 2556

นายศุภกร วงศ์ปราชญ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ทุกกระทรวงดำเนินการป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติดนั้น ในส่วนของ ศธ.ทางคณะอนุกรรมการบริหารแผนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด ซึ่งมีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. เป็นประธาน ได้กำหนดแนวนโยบายในการป้องกันยาเสพติดให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะ ศธ.จะทำลำพังฝ่ายเดียวไม่ได้ เช่น ร่วมกับศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) สร้างวิทยากรแกนนำ อาทิ วิทยากรจากตำรวจ ทหาร หรือครูพระ ที่จะเข้าไปให้ความรู้ในสถานศึกษาต่าง ๆ ควบคู่กับครูอาจารย์ที่ทำหน้าที่ให้ความรู้เป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งวิทยากรแกนนำจะมีเทคนิคการนำเสนอที่แตกต่างเป็นที่น่าสนใจของเด็ก

รองปลัด ศธ. กล่าวอีกว่า ศธ.ยังจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สร้างความเข้มแข็งให้สถานศึกษา โดยสนับสนุนการจัดกิจกรรมที่นำไปสู่การเป็นโรงเรียนต้นแบบต่อต้านและป้องกันปัญหายาเสพติด โดย ป.ป.ส. จะสนับสนุนงบประมาณให้ 3,675 โรงเรียน โรงเรียนละ 7,000 บาท เพื่อจัดกิจกรรม นอก จากนี้ ศธ.ยังจะคัดเลือกสถานศึกษาต้นแบบในแต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อมอบรางวัลให้เป็นขวัญและกำลังใจในการทำ ความดีด้วย

“จากข้อมูลของ ป.ป.ส.พบว่าแนวโน้มกลุ่มเยาวชนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มอาชีวศึกษาจะมากกว่าสายสามัญ ส่วนกลุ่มอายุที่น่าเป็นห่วงคือม.ปลาย และ ปวช. ทาง ศธ.จึงต้องเร่งจัดหาวิทยากรเข้าไปให้ความรู้เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม รวมทั้งยังจะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำรวจพื้นที่เสี่ยงทั้งแหล่งสถานบันเทิง และอบายมุขที่อยู่ใกล้สถานศึกษา แม้แต่หอพักที่อาจใช้เป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน เพื่อหามาตรการในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป” นายศุภกร กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32345&Key=hotnews

ศธ.จับมือเครือข่ายต่อสู้ยาเสพติด

3 เมษายน 2556

นายศุภกร วงศ์ปราชญ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ทุกกระทรวงดำเนินการป้องกันและปราบปรามปัญหายาเสพติดนั้น ในส่วนของ ศธ.ทางคณะอนุกรรมการบริหารแผนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด ซึ่งมีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. เป็นประธาน ได้กำหนดแนวนโยบายในการป้องกันยาเสพติดให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะ ศธ.จะทำลำพังฝ่ายเดียวไม่ได้ เช่น ร่วมกับศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) สร้างวิทยากรแกนนำ อาทิ วิทยากรจากตำรวจ ทหาร หรือครูพระ ที่จะเข้าไปให้ความรู้ในสถานศึกษาต่าง ๆ ควบคู่กับครูอาจารย์ที่ทำหน้าที่ให้ความรู้เป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งวิทยากรแกนนำจะมีเทคนิคการนำเสนอที่แตกต่างเป็นที่น่าสนใจของเด็ก

รองปลัด ศธ. กล่าวอีกว่า ศธ.ยังจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) สร้างความเข้มแข็งให้สถานศึกษา โดยสนับสนุนการจัดกิจกรรมที่นำไปสู่การเป็นโรงเรียนต้นแบบต่อต้านและป้องกันปัญหายาเสพติด โดย ป.ป.ส. จะสนับสนุนงบประมาณให้ 3,675 โรงเรียน โรงเรียนละ 7,000 บาท เพื่อจัดกิจกรรม นอก จากนี้ ศธ.ยังจะคัดเลือกสถานศึกษาต้นแบบในแต่ละสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อมอบรางวัลให้เป็นขวัญและกำลังใจในการทำ ความดีด้วย

“จากข้อมูลของ ป.ป.ส.พบว่าแนวโน้มกลุ่มเยาวชนจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มอาชีวศึกษาจะมากกว่าสายสามัญ ส่วนกลุ่มอายุที่น่าเป็นห่วงคือม.ปลาย และ ปวช. ทาง ศธ.จึงต้องเร่งจัดหาวิทยากรเข้าไปให้ความรู้เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม รวมทั้งยังจะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำรวจพื้นที่เสี่ยงทั้งแหล่งสถานบันเทิง และอบายมุขที่อยู่ใกล้สถานศึกษา แม้แต่หอพักที่อาจใช้เป็นแหล่งมั่วสุมของเยาวชน เพื่อหามาตรการในการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป” นายศุภกร กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32345&Key=hotnews

‘พงศ์เทพ’ ป้อนชื่อทุจริตครูใส่มือ อ.ก.ค.ศ. ยันเพียงพอตัดสินใจ ‘ฟัน’ / ‘ดีเอสไอ’ เตรียมแกะรอยควานหาข้อสอบรั่ว

3 เมษายน 2556

ศึกษาธิการ/ดีเอสไอ * “พงศ์เทพ” ชี้เป้ามอบรายชื่อผู้สอบครูผู้ช่วยรายไหนทุจริตให้ อ.ก.ค.ศ.ฟันแล้ว ยันเพียงพอแก่การตัดสินใจ ย้ำ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 อย่าอ้างไม่มีหลักฐานเอาผิด “ภาณุวัฒน์” ถามมีชื่อสอบสองที่ ใครในโลกทำกันอย่างนี้ ไม่ทุจริตหรือ ด้าน “ชินภัทร” หอบหลักฐาน 600 หน้าให้ดีเอสไอสอบ “ธานินทร์” เผยปฐมบทต้องแกะรอยให้ได้ ข้อสอบรั่วยังไง

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหลายคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา จะส่งเรื่องการพิจารณายกเลิกการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วย กรณีจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ที่มีปัญหาทุจริตมาให้ ก.ค.ศ.พิจารณา ว่าคงไม่มีปัญหา ถ้าคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่ฯ ได้ไปตรวจสอบข้อมูลได้เพียงพอ แต่คิดว่ายังไม่อยากตัดสินใจเอง ทาง ก.ค.ศ.ก็จะตัดสินใจให้ได้ แต่ว่าขณะนี้ข้อมูลคะแนนที่ทางสำนักงาน ก.ค.ศ.ส่งไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ นั้น ไม่ใช่ดูแค่ว่าคะแนนเป็นเช่นไร และส่งเรื่องกลับมาที่ ก.ค.ศเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ศธ.ได้ส่งตัวเป้าไปให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ไปแล้วว่าใครได้คะแนนสูงผิดปกติบ้าง และสามารถเรียกคนเหล่านี้มาสอบได้ หรืออาจจะเรียกคนที่ได้คะแนนสูงมาทำข้อสอบก็ได้ จะได้ดูว่าทำได้อย่างไร และจะดูได้ว่าเก่งจริงหรือไม่เก่ง ซึ่งจะได้เป็นข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ ซึ่งการที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะส่งเรื่องมาให้ ก.ค.ศ.ตัดสินนั้นมีวิธีการที่จะดำเนินการได้อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณี ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ระบุว่ากรณีของนายภานุวัฒน์ ไชยวงค์ ผู้ที่ผ่านการสอบครูผู้ช่วยที่ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 ยังไม่มีข้อมูล หลักฐานที่จะวินิจฉัยได้ว่ามีการทุจริต นายพงศ์เทพกล่าวว่า เรื่องนี้มีข้อมูลต่างๆ ที่สืบสวนออกมาแล้ว ลองคิดดูว่าหากไปสมัครสอบสองที่แล้วทำใบสมัครสอบคัดเลือกหาย คงไม่มีใครที่ไหนในโลกทำ จะเอาใบสมัครคนอื่นไปสอบเพื่ออะไร และกรณีแบบนี้ทราบว่ามีหลายเขตพื้นที่ด้วย
“ผมเชื่อว่าหลาย อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ จะดำเนินการเพื่อที่จะดูว่าผู้ที่สอบบรรจุครูผู้ช่วยได้สอบมาได้ด้วยตนเองหรือไม่ ซึ่งจุดที่สำคัญจะต้องช่วยกันสกัดคนที่ไม่ได้สอบมาด้วยความรู้ความสามารถ แต่อาจจะไปรู้ข้อสอบมา หรือรู้เฉลยมา ซึ่งวิธีการตรวจสอบน่าจะตรวจสอบกันได้ และให้ถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันทำงานและตรวจสอบเรื่องนี้”

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เดินทางเข้าพบนายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามทุจริต กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อให้ปากคำในคดีทุจริตการสอบครู และกล่าวก่อนการเข้าปากคำต่อพนักงานสอบสวนว่า วันนี้ตนได้เตรียมเอกสารและหลักฐานกว่า 600 หน้ามาให้ดีเอสไอ เกี่ยวข้องใน 7 ประเด็น ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสพฐ. อยู่ 4 ประเด็น ประกอบด้วย การกำหนดหลักเกณฑ์ให้ส่วนกลางเป็นผู้ออกข้อสอบแทนเขตพื้นที่การศึกษา, การจัดจ้างบริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นผู้จัดพิมพ์ข้อสอบ, การให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย เป็นผู้จัดส่งข้อสอบไปยังเขตพื้นที่การศึกษา และการเผยแพร่เฉลยคำตอบของข้อสอบ ว่าในส่วน 4 ประเด็นนี้ทาง สพฐ.นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง และมั่นใจในพยานหลักฐานว่าจะสามารถชี้แจงกับพนักงานสอบสวนได้ แต่ในส่วนรายละเอียดนั้นยังไม่ขอเปิดเผย เนื่องจากมีจำนวนมาก

นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดีเอสไอ เปิดเผยก่อนการเข้าสอบปากนายชินภัทรว่า ประเด็นการสอบปากคำในวันนี้มุ่งเน้นไปในเรื่องของหลักเกณฑ์ในการจัดสอบแบบรวมศูนย์ที่ส่วนกลางมีกระบวนการขั้นตอนอย่างไร ซึ่งนายชินภัทร ในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง จะต้องชี้แจงเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ให้ส่วนกลางเป็นผู้รับผิดชอบจัดการสอบ แทนเขตพื้นที่ฯ ไปจัดการสอบเอง และภายหลังกำหนดหลักเกณฑ์การสอบแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการกี่ชุดเข้าไปดูแลรับผิดชอบ ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกข้อสอบ การออกข้อสอบว่าข้อสอบรั่วหรือไม่ การเฉลยข้อสอบรั่วมีหรือไม่ จนกระทั่งการจัดพิมพ์ข้อสอบ ซึ่งหากได้ข้อมูลในส่วนนี้แล้วทางดีเอสไอก็จะทยอยเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำ
ส่วนกรณีดังกล่าวจะโยงไปถึง รมว.ศธ.ด้วยหรือไม่ จะต้องสอบถามนายชินภัทรก่อนว่า รมว.ศธ. ในฐานะประธาน ก.ค.ศ. ได้เข้าไปมีส่วนในการมอบหมายสั่งการและเข้าไปล้วงลูกการสอบครั้งนี้ด้วยหรือไม่

นายธานินทร์กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวเชื่อว่าการทุจริตสอบครูทำกันเป็นขบวนการ และเริ่มจากส่วนกลางเป็นหลัก โดยข้อสอบจำนวน 200 ข้อ อาจมีการเฉลยข้อสอบเล็ดลอดออกมาด้วยตั้งแต่ต้น ดังนั้นดีเอสไอจึงเตรียมเชิญนายพิษณุ ฟองศรี อดีตรองคณะบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และนายชอบ ลีชอ อดีตผู้ตรวจราชการ ศธ. มาเป็นที่ปรึกษาในการทำคดี และช่วยวิเคราะห์คะแนนของผู้เข้าสอบทั้งหมดกว่า 9 พันคน ซึ่งมีการบรรจุไปแล้ว 240 คน ว่าผู้ที่ได้คะแนนสูงมันมีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ชี้ได้ว่าใครได้คะแนนมาด้วยความสามารถ และใครทุจริตการสอบครั้งนี้

ภายหลังการให้ปากคำของนายชินภัทร นายธานินทร์ เปิดเผยว่า นายชินภัทรได้ให้ข้อมูลครอบคลุมตามประเด็นที่ซักถามทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาดีเอสไอไม่รู้ว่าในการจัดสอบครั้งนี้มีการตั้งคณะกรรมการชุดใดในการดำเนินการบ้าง หลังจากนี้เมื่อได้ข้อมูลคณะกรรมการชุดต่างๆ แล้วในสัปดาห์หน้าดีเอสไอต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องในส่วนอื่นๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ควบคุมคลังข้อสอบ เจ้าหน้าที่ที่นำข้อมูลออกมาทำข้อสอบ บริษัท จันวาณิชย์ ซีเคียวริตี้ พริ้นติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดพิมพ์ข้อสอบ บริษัท ไปรษณีย์ไทย เข้าให้ปากคำ ตลอดจนต้องลงไปตรวจสอบสถานที่ในการจัดเก็บข้อสอบทุกขบวนการทุกพื้นที่ ว่ามีความรัดกุมในการจัดเก็บแค่ไหน โดยเฉพาะในพื้นที่ว่ามีการตั้งคณะกรรมการดูแลข้อสอบอย่างไร มีจุดใดที่อาจเป็นช่องโหว่ให้สามารถนำไปเฉลยคำตอบได้หรือไม่.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32342&Key=hotnews

สทศ.เปิดคะแนนสูง-ต่ำแกต,แพต 56

3 เมษายน 2556

รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยผลสรุปผลการจัดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ปีการศึกษา 2555 และผลการจัดทดสอบความถนัดทั่วไป หรือแกต และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือแพต ครั้งที่ 2/2556 ว่า ปีนี้ สทศ.ได้ตรวจข้อสอบแกต และ แพตเสร็จเร็ว จึงประกาศผลก่อนกำหนดจากวันที่ 10 เม.ย. เป็น วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนักเรียนที่มีข้อสงสัยในคะแนนโอเน็ต แกตและแพต สามารถยื่นคำร้อง เพื่อขอดูกระดาษคำตอบได้ที่ สทศ. ตั้งแต่วันที่ 3-5 เม.ย. 56 เวลา 09.00-16.30 น. โดยจะเปิดให้ดูกระดาษคำตอบ ในวันที่ 10 เม.ย.นี้

รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับค่าสถิติแกตและแพต มีดังนี้ แกตคะแนนเต็ม 300 คะแนน มีผู้เข้าสอบ 124,601 คน คะแนนเฉลี่ย 297.50 คะแนนต่ำสุด 2.50 คะแนนสูงสุด 297.50 ช่วงคะแนนสูงสุดที่นักเรียนทำคะแนนได้ 150.01-180.00 จำนวน 31,611 คน แกต 1 คะแนนเต็ม 150 คะแนน เข้าสอบ 79,855 คน เฉลี่ย 102.47 ต่ำสุด 0.00 สูงสุด 150.00 ช่วงคะแนน 120.01-150.00 จำนวน 51,473 คน แกต 2 คะแนนเต็ม 150 คะแนน เข้าสอบ 76,411 คน เฉลี่ย 53.63 ต่ำสุด 0.00 สูงสุด 150.00 ช่วงคะแนน 30.01-60.00 จำนวน 77,201 คน แพต คะแนนเต็ม 300 คะแนน แพต 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ เข้าสอบ 79,855 คน เฉลี่ย 44.91 ต่ำสุด 0.00 สูงสุด 295.00 ช่วงคะแนน 30.01-60.00 จำนวน 46,474 คน แพต 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ เข้าสอบ 76,411 คน เฉลี่ย 96.63 ต่ำสุด 18.00 สูงสุด 231.00 ช่วงคะแนน 90.01-120.00 จำนวน 34,843 คน แพต 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ เข้าสอบ 21,545 คน เฉลี่ย 113.75 ต่ำสุด 32.00 สูงสุด 280.00 ช่วงคะแนน 90.01-120.00 จำนวน 8,060 คน แพต 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เข้าสอบ 5,040 คน เฉลี่ย 98.09 ต่ำสุด 6.00 สูงสุด 226.00 ช่วงคะแนน 90.01-120.00 จำนวน 1,718 คน
แพต 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู เข้าสอบ 45,888 คน เฉลี่ย 144.01 ต่ำสุด 40.00 สูงสุด 234.00 ช่วงคะแนน 120.01-150.00 จำนวน 20,069 คน แพต 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ เข้าสอบ 6,334 คน เฉลี่ย 132.87 ต่ำสุด 56.00 สูงสุด 238.00 ช่วงคะแนน 120.01-150.00 จำนวน 2,669 คน แพต 7.1 ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส เข้าสอบ 3,014 คน เฉลี่ย 89.74 ต่ำสุด 30.00 สูงสุด 285.00 ช่วงคะแนน 60.01-90.00 จำนวน 1,812 คน แพต 7.2 ความถนัดทางภาษาเยอรมัน เข้าสอบ 1,437 คน เฉลี่ย 87.39 ต่ำสุด 33.00 สูงสุด 285.00ช่วงคะแนน 60.01-90.00 จำนวน 942 คน แพต 7.3 ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น เข้าสอบ 2,530 คน เฉลี่ย 98.49 ต่ำสุด 27.00 สูงสุด 291.00 ช่วงคะแนน 60.01-90.00 จำนวน 1,359 คน แพต 7.4 ความถนัดทางภาษาจีน เข้าสอบ 4,641 คน เฉลี่ย 85.58 ต่ำสุด 6.00 สูงสุด 285.00 ช่วงคะแนน 60.01-90.00 จำนวน 2,916 คน แพต 7.5 ความถนัดทางภาษาอาหรับ เข้าสอบ 454 คน เฉลี่ย 90.89 ต่ำสุด 39.00 สูงสุด 261.00 ช่วงคะแนน 60.01-90.00 จำนวน 256 คน และแพต 7.6 ความถนัดทางภาษาบาลี เข้าสอบ 2,145 คน เฉลี่ย 90.46 ต่ำสุด 21.00 สูงสุด 207.00 ช่วงคะแนน 60.01-90.00 จำนวน 1,121 คน ทั้งนี้ วิชาที่มีผู้ได้คะแนนเต็มมากที่สุด คือแกต 1 จำนวน 6,383 คน คิดเป็นร้อยละ 5.13 ของผู้เข้าสอบ ขณะที่วิชาที่มีผู้ได้คะแนนต่ำสุดมากที่สุดคือ แกต 1 เช่นกัน คือได้คะแนนเป็น 0 จำนวน 1,004 คน คิดเป็นร้อยละ 0.81 ของผู้เข้าสอบ.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32343&Key=hotnews

ยอดรับแอดมิสชั่นส์ 91 มหาวิทยาลัย 119,520 คน จำหน่ายใบสมัคร 4 – 21 เม.ย.

3 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) และนายกสมาคมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(สอท.) แถลงข่าวการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษาในระบบกลาง การรับนิสิต นักศึกษา หรือ แอดมิสชั่นส์ประจำปี 2556 ว่า ในปีนี้มีสถาบันอุดมศึกษา 91 แห่งเข้าร่วมรับนักศึกษา

โดยมีให้เลือก 720 คณะ/สาขาวิชา 3,812 รหัสวิชา รับนักศึกษาได้119,520 คน แบ่งเป็น มหาวิทยาลัยที่เป็นสมาชิกของ ทปอ. 24 แห่ง รับ59,658 คน มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) และมหาวิทยาลัยราชมงคล (มทร.)26 แห่ง รับ 20,066 คน สถาบันสมทบ 4 แห่ง รับ 1,726 คน และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 37 แห่ง รับ 38,070 คน

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยในประเทศไทยมีอิสระที่จะเปิดรับนักศึกษาเพิ่มขึ้นได้ตลอด ซึ่งในปีนี้จำนวนรับนักศึกษาก็มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 10,000 คน แม้ว่าจำนวนรับที่เพิ่มขึ้นอาจจะสวนทางกับจำนวนนักศึกษาที่น้อยลงก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่มหาวิทยาลัยรับนักศึกษาเพิ่มขึ้นนั้น อาจเป็นเพราะการเปิดคัดเลือกในระบบรับตรงของมหาวิทยาลัยบางแห่งไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ขยายการศึกษาของตนเองโดยเปิดคณะต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจำนวนรับนักศึกษาจึงเพิ่มขึ้น

พร้อมระบุว่า สำหรับปฏิทินการแอดมิสชั่นส์ปี 2556 มีดังนี้
–  จำหน่ายหนังสือระเบียบการฯ วันที่ 4-21 เม.ย. ศูนย์กรุงเทพมหานคร/ศูนย์ภูมิภาค
–   รับสมัครวันที่ 11-21 เม.ย. ทาง www.cuas.or.th
–   ชำระเงินค่าสมัคร วันที่ 11-23 เมษายน ชำระเงินผ่านธนาคาร หรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ไทย
–   ผู้สมัครตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการสมัคร วันที่ 12-26 เม.ย.ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th
–   ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย วันที่ 9 พ.ค.ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th
–   สอบสัมภาษณ์และตรวจร่างกาย วันที่ 14-16 พ.ค.และมหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาที่สอบได้- –   ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา วันที่ 22 พ.ค. ทางเว็บไซต์ www.cuas.or.th

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สอท.
โทรศัพท์  0-2354-5150-2
โทรสาร 0-2354-5155-6

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32341&Key=hotnews

สมัคร ม.1 เขต 2 กทม.ล้น เร่งเกลี่ยลง ร.ร.คู่พัฒนา

3 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงการรับนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 เขต กทม.ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ประจำปีการศึกษา 2556 ว่า สรุปข้อมูลเบื้องต้นการรับนักเรียนไม่ได้มีปัญหามากเหมือนปีที่ผ่านมา แต่จำนวนนักเรียนจะไปล้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 2 กทม. ซึ่งในปีนี้มียอดสมัครเรียน ม.1 จำนวน 30,447 คน แผนการรับ 22,260 คน แต่เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลผู้สมัครแล้วพบว่ามีการสมัครสอบซ้ำหลายโรงเรียนจำนวน 3,771 คน จึงทำให้มียอดสมัครเข้าเรียนจริง 26,676 คน และเมื่อรวมกับแผนการรับแล้วจึงเหลือนักเรียนที่เกินอยู่ 4,416 คน

นายชินภัทรกล่าวว่า หลังจากการจับสลากนักเรียนในเขตพื้นที่บริการเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา มีนักเรียนที่ยังไม่มีที่เรียนอีกประมาณ 3,000 คน ซึ่งทางเขตพื้นที่การศึกษากำลังประสานและเกลี่ยให้เด็กจำนวนนี้ไปเรียนในโรงเรียนคู่พัฒนา และกลุ่มโรงเรียนสหกิจในสังกัด กทม. โดยคาดว่าน่าจะหาที่เรียนให้เด็กเหล่านี้ได้ทั้งหมด “ภาพรวมการรับนักเรียนชั้น ม.1 ทั่วประเทศปีนี้ มีจำนวนเด็กที่เข้าเรียนน้อยกว่าปี 2555 ส่วนภาพรวมของการรับ ม.4 ยังไม่มีข้อมูลรายงานเข้ามา” นายชินภัทรกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32340&Key=hotnews