ร.ร.ดังปรับลดจำนวนนับ ม.1 ปี 56 กันปัญหารับ ม.4 หวั่นซ้ำรอยบดินทร์

11 มีนาคม 2556

สนองนโยบาย สพฐ. ร.ร.ดังใน กทม.และปริมณฑล ปรับลดจำนวนรับ นร.ม.1 หวั่นซ้ำรอยกรณีบดินทร์ กับปัญหารับ นร.ม.4 ขณะที่ ผอ.สพม.2 กทม.ย้ำผู้ปกครองอย่าทิ้งสิทธิสมัคร ร.ร.ในเขตพื้นที่บริการ ด้าน เลขาฯ สพฐ.จี้เขตพื้นที่วางแผนแก้ปัญหาให้ร.ร.ที่รับม.ปลายน้อยกว่า ม.ต้น ไว้ล่วงหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปีการศึกษา 2556 นี้การรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อชั้น ม.1 และ ม.4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีอัตราแข่งขันสูง จำนวน 200 กว่าแห่งทั่วประเทศ ได้ปรับลดสัดส่วนการรับนักเรียน ม.1 น้อยลงกว่าทุกปี ซึ่งเป็นไปตามคำสั่ง สพฐ.ที่มีนโยบายให้ลดสัดส่วนห้องเรียน ม.ต้น เพิ่มสัดส่วนห้องเรียน ม.ปลาย เพื่อให้โรงเรียนสามารถรับ ม.3 เรียนต่อ ม.4 โรงเรียนเดิมให้มากที่สุด เป็นการให้โอกาสเด็กและลดปัญหาการประท้วงที่เคยเกิดขึ้น ทั้งนี้ สัดส่วนห้องเรียน ม.ต้นและ ม.ปลายจะเพิ่มหรือลดเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับผู้บริหารโรงเรียน ส่วนกลางแค่ให้นโยบายเท่านั้น

โดยเมื่อเปรียบเทียบแผนรับนักเรียน ม.1 ในโรงเรียนอัตราแข่งขันสูงในเขตกทม.และปริมณฑล ระหว่างปีการศึกษา 2555 และ 2556 พบหลายโรงเรียนมีสัดส่วนรับนักเรียนลดลงชัดเจน อาทิ ร.ร.เทพศิรินทร์ รับ 480 คน เหลือเป็น 400 คน, ร.ร.โยธินบูรณะ รับ 533 คน เหลือ 350 คน, ร.ร.สายปัญญาในพระบรมราชินูปถัมภ์ รับ 360 คน เหลือ 300 คน, ร.ร.ศึกษานารี รับ 580 คน เหลือ 500 คน, ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัย 544 คน เหลือ 400 คน, ร.ร.สตรีวิทยา รับ 500 คน เหลือ 350 คน, ร.ร.สตรีวิทยา 2 รับ 790 คน เหลือ 776 คน, ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รับ 786 คน เหลือ 746 คน, ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา รับ 536 คน เหลือ 480 คน, ร.ร.นวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา 2 รับ 580 คน เหลือ 516 คน, ร.ร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)2 รับ 740 คน เหลือ 632 คน และ ร.ร.สารวิทยา รับ 702 คน เหลือ 602 คน อย่างไรก็ตาม มีโรงเรียนบางแห่งปรับเพิ่มหรือคงที่แผนรับนักเรียนชั้น ม.1 ด้วย อาทิ ร.ร.หอวัง รับ 650 คน เพิ่มเป็น 772 คน, ร.ร.สายน้ำผึ้งในพระอุปถัมภ์ฯ รับ 510 คน เพิ่ม 532 คน, ร.ร.นวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า รับ 482 คน เพิ่ม 616 คน, ร.ร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รับคงที่ 772 คน, ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า รับคงที่ 572 คน เป็นต้น

นายสัจจา ศรีเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 2 กทม.กล่าวว่า ใน สพม.เขต 2 กทม.มีโรงเรียนอัตราแข่งขันสูง 26 โรง ซึ่งภาพรวมพบสัดส่วนรับนักเรียนชั้น ม.1 ลดลงไม่มาก โดยหากเทียบแผนรับนักเรียนโรงเรียนแข่งขันสูงในสังกัด ระหว่างปีการศึกษา 2555 จำนวน 26,802 คน กับปีการศึกษา 2556 จำนวน 24,885 คน จะพบว่าลดลงเพียง 2,000 กว่าที่นั่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ผู้ปกครองอย่าทิ้งการสมัครเรียนโรงเรียนที่เป็นเขตพื้นที่บริการของตนเอง เพราะโรงเรียนดังกล่าวจะให้สิทธิ์เด็กในพื้นที่ได้มีโอกาสเต็มที่ ทั้งสอบแข่งขันในเขตพื้นที่ จับสลาก และสอบแข่งขันทั่วไป ถึงแม้จะไปสมัครโรงเรียนแข่งขันสูงอื่นๆ ไว้ก็ตาม เพราะสุดท้ายหากพลาดเข้าเรียนจากที่อื่น ก็ยังสามารถมาเรียนในโรงเรียนเขตพื้นที่บริการได้ แต่หากทิ้งการสมัครเรียนโรงเรียนเขตพื้นที่บริการตั้งแต่แรก และก็สอบแข่งขันเข้าโรงเรียนอื่นไม่ได้ สุดท้ายก็ไม่มีที่เรียนและเขตพื้นที่ฯเองก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลนักเรียนตั้งแต่แรก

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยถึง ว่า การรับสมัครนักเรียน ม.1 และ ม.4 นั้น สำหรับนักเรียนทั่วไปจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 14-18 มี.ค.นี้ ซึ่งตนได้กำชับให้เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และโรงเรียน ให้วางแผนเพื่อรับสภาพปัญหาต่างๆ ให้ได้อย่างฉับไว ซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนต่อนั้นยังคงเหมือนปีที่ ผ่านมา แต่จะผ่อนคลายในส่วนของนักเรียนชั้น ม.3 ที่จะเข้าศึกษาต่อโรงเรียนเดิม โดยหากเด็กสามารถพิสูจน์ความสามารถ และความรับผิดชอบในผลการเรียนของตนเอง ซึ่งได้คะแนนเฉลี่ยสะสม 5 ภาคเรียน 2.00 ขึ้นไป ก็จะมีสิทธิได้เรียนต่อ จึงน่าจะเป็นจุดที่ทำให้สภาพปัญหาของปีที่แล้วลดน้อยลงได้

ทั้งนี้ ในส่วนของโรงเรียนมีที่นั่ง ม.ปลาย น้อยกว่า ม.ต้น และไม่สามารถขยายการรับได้นั้น ตนได้กำชับไปแล้วว่าเขตพื้นที่ใดที่โรงเรียนมีปัญหานี้เขตพื้นที่ฯ ต้องเข้ามารับรู้ตั้งแต่เบื้องต้น และมีการวางแผนในการผ่องถ่ายนักเรียนไปยังโรงเรียนอื่นที่รองรับได้ ส่วนที่ว่าผู้ปกครองอาจจะไม่ยอมรับการย้ายนักเรียนไปเรียนที่อื่นนั้น ก็เป็นเรื่องที่เขตพื้นที่ฯ จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจ เพราะ สพฐ.ได้วางหลักเกณฑ์กลางไว้โดยพยายามผ่อนผันอย่างที่สุดแล้ว แต่อาจมีข้อจำกัดบ้าง ซึ่งก็ต้องยอมรับในจุดนี้ด้วย สำหรับการรับบริจาคจากผู้ปกครองนั้น จะต้องดำเนินการหลังจากที่มีการประกาศผลรับนักเด็กเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว

กรุงเทพฯ–11 มี.ค.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31996&Key=hotnews

เดินหน้าสร้างศูนย์พัฒนาครู นำร่องเชียงใหม่แห่งแรกใน 4 ภูมิภาค

8 มีนาคม 2556

นายวัฒนา วรรณโสภา รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือ สกสค. จัดการประชุมคณะกรรมการฯ พร้อมชี้แจงสื่อมวลชนถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ณ ห้องประชุมสำนักงานสนามโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์ฯ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีคณะกรรมการอำนวยการก่อสร้าง กรรมการตรวจการจ้าง ผู้แทนบริษัท เอกค้าไทย จำกัด ตัวแทนผู้ควบคุมงานจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ร่วมประชุม

นายวัฒนา เปิดเผยว่า โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นนโยบายของคณะกรรมการ สกสค. ที่จะให้มีทั้งที่พักรวมทั้งที่ประชุมสัมมนาสำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกภูมิภาค ซึ่งเป็นการจัดสวัสดิการด้านที่พักตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงได้มีมติให้ดำเนินการก่อสร้างศูนย์พัฒนาดังกล่าวในภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงใหม่เป็นภูมิภาคแห่งแรก สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการ สกสค. โดยจัดหาสถานที่ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ อยู่ในความครอบครองของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ คือ สถานที่ของสำนักงานศึกษาธิการ ภาค 1 ถนนห้วยแก้ว ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการและธนารักษ์พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้อนุญาตการใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รองเลขาธิการคณะกรรมการ สกสค. กล่าวถึงกรณีที่การก่อสร้างล่าช้าจนมีผู้ร้องเรียนให้ตรวจสอบ เพราะเกรงจะเกิดการทุจริตนั้น ว่าล่าสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เข้ามาดำเนินการสืบสวนโครงการนี้ สำนักงานคณะกรรมการ สกสค. ได้รับหนังสือแจ้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 5 ก.พ.56 ว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่าการจัดจ้างตามโครงการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะการกระทำที่ส่อไปในทางทุจริตและหรือขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงสั่งยุติเรื่อง และยุติการสอบสวนดังกล่าวแล้ว

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31984&Key=hotnews

ติวเข้มผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการบริหารจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคี

8 มีนาคม 2556

สนง.คกก.อาชีวศึกษา ดึงผู้บริหารสถานศึกษาภาคตะวันออก เข้าอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการบริหารจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคี

วันนี้ (8 มี.ค.) ที่โรงแรมสตาร์ระยอง นายอกนิษฐ์ คลังแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นประธานเปิดการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการบริหารจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคีภาคตะวันออก โดยมีผู้บริหารจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาภาคตะวันออก จำนวน 100 คน เข้าร่วมโครงการอบรมฯ มีนายกมล ชุ่มเจริญ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย ให้การต้อนรับ

นายอกนิษฐ์ กล่าวว่า การอบรมดังกล่าวอยู่ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการบริหารจัดการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งมีจุดมุ่งหมาย 5 ประการ คือ 1.เพื่อรับทราบแนวทางการจัดการเรียน การสอนระบบทวิภาคีทั้งในและต่างประเทศ 2.เพื่อสร้างความตระหนักถึงความจำเป็นและสำคัญในการจัดการเรียน การสอนระบบทวิภาคี 3.เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการจัดการอาชีวิศึกษาระบบทวิภาคีทั้งในและต่างประเทศ 4.เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของการดำเนินงานอาชีวศึกษาทวิภาคี และ 5.เพื่อเพิ่มปริมาณผู้เรียนอาชีวศึกษา

นายอกนิษฐ์ กล่าวต่อว่า การอบรมดังกล่าว เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับผู้บริหารฯ ให้เข้าใจในแนวทางการจัดการเรียน การสอนระบทวิภาคี เพื่อให้นำความรู้ที่ได้รับกลับไปปฏิบัติจริงและเป็นการกระตุ้นให้บุคลากรอาชีวศึกษา เห็นถึงประโยชน์เข้าใจลำดับขั้นตอนของการจัดการเรียน การสอนระบบทวิภาคีในสถานศึกษา ซึ่งมีความสอดคล้องกับการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ต่อไป..

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31985&Key=hotnews

สอศ.-กระทรวงวิทย์ หนุนครูอาชีวะ ผลักดันเทคโนโลยีนาโนสู่ภาคชุมชน

8 มีนาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)เตรียมผลิตกำลังคนสายวิชาชีพใหม่ๆ เพื่อตอบสนองยุทธศาสตร์ของประเทศ และเสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาวิชาชีพที่ต้องอาศัยฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สามารถผลักดันความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาร่วมกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการยกระดับองค์ความรู้เทคโนโลยีนาโนให้กับครูอาชีวศึกษากว่า 50 คน จาก 16 วิทยาลัย โดยได้รับการสนับสนุนจากนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีนโยบายที่จะพัฒนาฐานความรู้ด้านเทคโนโลยีนาโนให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้มแข็งให้กับ SME ของไทย การประชุมครั้งนี้จะบูรณาการความร่วมมือเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีนาโนซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้สามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าในภาคอุตสาหกรรมและต่อยอดผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีคุณภาพสูงขึ้นเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยจะนำร่องในสองกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่

กลุ่มผลิตภัณฑ์ผ้าและสิ่งทอ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ปุ๋ยอินทรีย์นาโน ซึ่งวิทยาลัยที่มีศักยภาพและความพร้อมรับการถ่ายทอดความรู้ด้านเทคโนโลยีนาโนจะได้รับการผลักดันให้เป็นศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีนาโนเพื่อนำองค์ความรู้ลงสู่ภาคการปฏิบัติจริงโดยนำร่องการพัฒนาสินค้าอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน พัฒนาองค์ความรู้เชิงลึกสู่การเรียนการสอน และในอนาคตจะต่อยอดเปิดเป็นสาขาวิชาชีพเฉพาะทางในสถาบันการอาชีวศึกษา รวมทั้งจะส่งเสริมให้มีการจัดประกวดสิ่งประดิษฐ์ด้านเทคโนโลยีนาโนที่สามารถประยุกต์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์แก่ชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร ทั้งยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนา ยุทธศาสตร์การพัฒนากำลังคนด้านอาชีวศึกษา และยุทธศาสตร์การพัฒนาในระดับพื้นที่

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31983&Key=hotnews

สพฐ.เดินหน้าลดชั่วโมงในชั้นเรียน เพิ่มกิจกรรมนอกห้องเรียนแก้เด็กเครียด

8 มีนาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) มีนโยบายจะปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปรับโครงสร้างเวลาเรียน และปรับลดจำนวนการบ้านที่นักเรียนได้รับ และหลังจากศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และแคนาดา สพฐ.ได้ตัดสินใจปรับโครงสร้างเวลาเรียนใหม่ทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมต้น ประถมปลาย มัธยมต้นและมัธยมปลาย อย่างไรก็ตาม การปรับโครงการสร้างเวลาเรียนครั้งนี้ยังไม่ใช่การปรับใหม่ จำนวนชั่วโมงเรียนต่อปี ต่อสัปดาห์ หรือต่อวัน ยังคงเท่าเดิมตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร แต่ภายใต้จำนวนชั่วโมงเรียนเท่าเดิมนั้น จะลดจำนวนชั่วโมงเรียนในชั้นเรียนลง เทเวลาเรียนมาให้กับการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมากขึ้นซึ่งการลดจำนวนชั่วโมงเรียนในชั้นเรียนลงได้สามารถทำได้โดยไม่ส่งกระทบหากครูใช้การเรียนการสอนแบบบูรณาการ ขณะเดียวกันจะมีการปรับสัดส่วนการเรียนวิชาต่างๆ ของนักเรียนแต่ละระดับชั้นด้วย จากเดิมที่ให้สัดส่วนเวลาเรียนทุกวิชาเท่าๆ กัน ก็จะเปลี่ยนมามีจุดเน้นให้ตรงตามวัย โดยระดับประถมต้นโดยเฉพาะ ป.1-2 จะเน้นการเรียนรู้ทักษะด้านภาษาเป็นหลัก จนถึงระดับประถมปลายจึงจะเพิ่มเติมทักษะด้านการคิดคำนวณ ส่วนระดับมัธยมต้น จะเพิ่มเติมทักษะในการแสวงหาความรู้ให้กับเด็ก และมัธยมปลาย จะเน้นให้เด็กนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ได้

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการปรับลดให้การบ้านนั้น สพฐ.ได้ศึกษาและพบว่า การบ้านบางประเภทนั้นไม่เหมาะสมจะให้นักเรียนกลับมาทำที่บ้าน เช่นการบ้านประเภทแก้โจทย์ปัญหา หรือ ProblemSolving เพราะการบ้านประเภทนี้มีความซับซ้อนและยากเกินกว่าที่เด็กจะทำได้โดยลำพัง กลายเป็นการสร้างความเครียดให้เด็กและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้วย ในต่างประเทศนั้นการบ้านประเภทนี้จะให้นักเรียนทำที่โรงเรียนโดยมีครูเป็นพี่เลี้ยง และเปิดโอกาสให้เกิดการถกเถียงกันในการแก้โจทย์ปัญหา อย่างไรก็ตามการบ้านบางประเภทยังมีความสำคัญอยู่ เช่นการบ้านประเภททบทวนและเพิ่มความชำนาญเพราะฉะนั้น จะต้องมีการทบทวนเรื่องการให้การบ้านจะต้องมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

“ทั้งหมดนี้ จะเริ่มดำเนินการทันทีในปีการศึกษา 2556 ระหว่างนี้ สพฐ.กำลังจัดทำคู่มือสำหรับแจกครู เพื่อแนะนำการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการครบวงจร ตั้งการวางแผนการสอน การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน การประเมินผลและการให้การบ้าน และจะมีการจัดอบรมครูให้เข้าใจเรื่องนี้ในเดือนปิดภาคเรียนเดือนเมษายนด้วย”นายชินภัทร กล่าว

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31982&Key=hotnews

กศน.เล็งปรับการเรียนการสอนอุ้มรากหญ้า

8 มีนาคม 2556

โพสต์ทูเดย์ กศน.จ่อปรับการเรียนการสอน ติดอาวุธทางปัญญาคนรากหญ้ารับอาเซียน

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กล่าวว่า ได้มอบหมายให้นายรุ่ง แก้วแดง ประธานมูลนิธิสุข-แก้วแก้วแดง ทำวิจัยหัวข้อ การศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพและแนวทางในการส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชนของ

สำนักงาน กศน. เพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทย ในปี2558 พบว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้มีกลุ่มที่ได้เปรียบและเสียเปรียบ กลุ่มคนที่ได้เปรียบคือ คนที่มีการศึกษาสูง แรงงานที่มีทักษะวิชาชีพ และบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุน มีเทคโนโลยี สามารถขยายตลาดการค้าและการลงทุนไปยังตลาดใหญ่ได้
สำหรับกลุ่มคนที่เสียเปรียบคือ คนยากจน คนที่มีการศึกษาต่ำ แรงงานไร้ฝีมือส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรมีจำนวนไม่น้อยกว่า 50 ล้านคน

จากผลการวิจัย กศน.จำเป็นต้องปรับองค์กร วิธีการทำงาน การเรียนการสอนใหม่ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่เสียเปรียบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเน้นทำงานแบบเครือข่ายส่งเสริมสถานศึกษาและเครือข่ายอื่นๆให้จัดการศึกษาตลอดชีวิต และศึกษาใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มากที่สุด เพราะคนเหล่านี้สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ตรงกับความต้องการของผู้รับบริการได้มากที่สุด

ขณะเดียวกัน นายรุ่งได้เสนอแนะนโยบายการทำงานให้ กศน. ได้แก่ 1.ให้เร่งทำยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์เรื่องผลกระทบของคนจนต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อให้รัฐบาลเตรียมการเยียวยา 2.การสร้างความชัดเจนเรื่องกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต 3.พัฒนาหลักสูตรวิชาชีพสำหรับผู้ได้รับผลกระทบเป็นรายกลุ่มอาชีพ 4.กำหนดรูปแบบการทำงานระหว่าง กศน. และหน่วยงานเครือข่าย และ 5.จัดทำกฎหมายส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต ระบุภารกิจที่ต้องรับผิดชอบและรูปแบบการทำงานใหม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31980&Key=hotnews

สสวท.เร่งปรับหลักสูตรวิทย์-คณิต ชู’นโยบายสเต็มศึกษา’เพิ่มทักษะ-คาดทันใช้ปี’58

8 มีนาคม 2556

นางชมัยพร ตั้งตน หัวหน้าสาขาคณิตศาสตร์ มัธยมศึกษา สถาบันส่งเสริมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เปิดเผยความคืบหน้าการพัฒนาหลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา ว่า ขณะนี้ได้ส่งหลักสูตรที่ สสวท.ได้ปรับแก้ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ไปให้ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ประเทศ ตรวจสอบอีกครั้ง โดย สสวท.คาดว่าหลักสูตรจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.นี้ ก่อนที่จะส่งมอบให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายในเดือนพ.ค.เพื่อให้ ศธ.ประกาศใช้จริงในปี 2558 ทั้งนี้ หลักสูตรวิทย์-คณิต ใหม่ของ สสวท.จะสอดคล้องกับนโยบายที่ รมว.ศธ.มอบให้ และสอดคล้องกับผลสัมฤทธิ์นานาชาติ ทั้งการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติ TIMM และ PISA ที่สำคัญหลักสูตรใหม่วิทย์-คณิต ทั้งระดับ ม.ต้น และม.ปลาย จะต้องสอดคล้องกัน เพื่อกำหนดเป็นกิจกรรมการเรียนการสอน ให้ผู้เรียนได้นำองค์ความรู้วิชาวิทย์ และคณิต ออกมาใช้ร่วมกัน ซึ่งความสอดคล้องของหลักสูตรนี้ ยังสัมพันธ์กับนโยบายสเต็มศึกษา (STEM Education) ซึ่งจะเป็นแนวทางใหม่ในการจัดการศึกษาสายวิทยาศาสตร์ตลอดชีวิต ที่ ศ.เกียรติคุณ ดร.มนตรี จุฬาวัฒนกุล ประธานกรรมการ สสวท.ได้มอบให้ไว้

นางชมัยพรกล่าวต่อว่า หัวใจสำคัญของสเต็มศึกษา คือ การส่งเสริมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิต ศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม โดยบูรณาการหลักสูตรให้นำไปใช้ได้จริง อย่างไรก็ตามช่วงแรกๆ ครูผู้สอนอาจลำบากในการเรียนการสอนอยู่บ้าง สสวท.จึงเตรียมทำตัวอย่างเผยแพร่ในเว็บไซต์ให้ครูมองเห็นภาพ เช่น ตัวชี้วัดของวิชาวิทยาศาสตร์ หรือฟิสิกส์ มีอะไรซ้อนอยู่ข้างในที่เป็นคณิตศาสตร์ หรือมีอะไรที่นำไปใช้เป็นเทคโนโลยีได้ เมื่อครูสอนทฤษฎีและให้นักเรียนลงมือทำโครงงานแล้ว ชิ้นงานที่เป็นวิทย์-คณิตนั้นๆ มีความเป็นวิศวกรรม และเอาไปใช้ได้จริง ซึ่งจุดนี้เป็นการพัฒนาคนรองรับประชาคมอาเซียน และความต้องการของตลาดด้านกำลังคนที่มีคุณภาพด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31979&Key=hotnews

จุฬาฯติด 169 ม.โลก’เว็บโอเมตริกซ์’ อันดับ 15 ในเอเชีย-หนึ่งเดียวของไทย ชี้ติดกลุ่ม 250 ของ’ไทม์ส’จากงานวิจัย

7 มีนาคม 2556

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการจัดอันดับจากเว็บโอเมตริกซ์ (Webometrics) ประจำปี 2013 ให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 169 ของโลก อันดับที่ 15 ในเอเชีย และเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ในประเทศไทย จุฬาฯนับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งเดียวในประเทศไทยที่ติด 1 ใน 200 อันดับในปีนี้ ซึ่งเป็นอันดับที่ดีกว่าปีที่แล้ว ที่จุฬาฯอยู่ในอันดับ 209 ของโลก อันดับที่ 22 ในเอเชีย และอันดับที่ 3 ในประเทศไทย

“การจัดอันดับของเว็บโอเมตริกซ์นั้น เป็นการจัดอันดับโดยดูผลงานทางวิชาการผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย ว่ามีผลงานที่มีผลกระทบต่อสังคมมากน้อยแค่ไหน โดยการที่จุฬาฯมีชื่อติดอันดับ 1 ของประเทศ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี และผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เพราะสะท้อนให้เห็นว่าจุฬาฯมีบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่สามารถสร้างสรรค์งานวิชาการรวมถึงผลิตงานวิจัยที่มีส่วนในการพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น จากนี้จุฬาฯจะเดินหน้าพัฒนาผลงานในด้านต่างๆ ให้ก้าวหน้าต่อไป” นพ.ภิรมย์กล่าว อธิการบดีจุฬาฯกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่จุฬาฯและมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) สามารถจัดอยู่ในกลุ่มอันดับ 201-250 ของไทม์ส ไฮเออร์ เอดูเคชั่น แรงกิ้ง (Times Higher Education rankings) ปี 2013 นั้น ตนมองว่าการที่จุฬาฯติด 1 ใน 300 อันดับของไทม์ส ก็ด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ 1.บัณฑิตและบุคลากรของจุฬาฯ ออกไปสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยจนเป็นที่รู้จักทั่วโลก และ 2.ที่ผ่านมาจุฬาฯได้เร่งผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ อย่างไรก็ตาม การที่ผ่านมาจุฬาฯไม่มีชื่อติดอันดับโลก อาจเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องตัวชี้วัดบางอย่าง ซึ่งไม่ตรงกับแนวทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ทำให้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่สถาบันจัดอันดับกำหนด
รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลกโดยเว็บโอเมตริกซ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง และส่งเสริมการเข้าถึงความรู้ทางวิชาการที่ผลิตโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วโลก โดยเน้นการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บไซต์ในการจัดอันดับ อาศัยตัวชี้วัดต่างๆ ได้แก่ จำนวนหน้า (webpages) ของมหาวิทยาลัยที่นับผ่านการเสิร์ชหน้าแรกของกูเกิล (Google) จำนวนไฟล์ของมหาวิทยาลัยที่นับผ่านการค้นหาข้อมูลในส่วนของงานวิชาการผ่านกูเกิล (Google Scholar) ในช่วงปี 2008-2012 จำนวนบทความที่อยู่ใน 10% ของบทความที่มีการอ้างอิงมากที่สุดในสาขา โดยเก็บข้อมูลจากไซเมโก กรุ๊ป (Scimago group)ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันที่มีผลงานด้านวิทยาศาสตร์ ในช่วงปี 2003-2010 จำนวนการอ้างอิงเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยจากบุคคลที่สาม ผ่านการเก็บข้อมูลจาก 2 แหล่งคือ Majestic SEO และ ahrefs

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31957&Key=hotnews

ศธ.ส่ง’แท็บเล็ต’ไม่ทันเปิดเทอม

7 มีนาคม 2556

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แท็บเล็ต ว่า เป็นที่แน่นอนว่าการจัดซื้อแท็บเล็ตประจำปีการศึกษา 2556 ให้นักเรียน และครูชั้น ป.1 และชั้น ม.1 จำนวน 1.8 ล้านเครื่อง จะจัดส่งไม่ทันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 ในวันที่ 16 พฤษภาคม ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำทีโออาร์ (TOR) ซึ่งตามกำหนดจะต้องเสร็จภายในวันที่ 13 มีนาคม แต่ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้กำหนดวันประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีออคชั่น วันที่ 25 เมษายน เมื่ออีออคชั่นแล้วจะลงนามในสัญญาจัดซื้อในวันที่ 10 พฤษภาคม จากนั้นทยอยส่งให้เสร็จภายใน 90 วัน หลังเซ็นสัญญา โดยจัดส่ง 4 งวด โดยจะเริ่มจัดส่งแท็บเล็ตได้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมนี้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า ในการประมูลอีออคชั่น สพฐ.จะเป็นตัวแทน 8 หน่วยงานที่มีสถานศึกษาในสังกัด จัดประมูลผ่านระบบอีออคชั่น แต่ขณะนี้มีบางหน่วยงานไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ สพฐ.หากไม่ส่งให้ครบภายในวันที่ 15 มีนาคม จะไม่สามารถจัดซื้อตามปฏิทินที่กำหนดไว้ได้ ส่งผลให้การจัดซื้อล่าช้าออกไป อย่างไรก็ตาม การส่งเครื่องแท็บเล็ตจะใช้แนวทางเดียวกับการจัดส่งในปีการศึกษา 2555 แต่ถ้าผู้ประกอบการทยอยจัดส่งได้แต่ละงวดใกล้เคียงกัน จะใช้วิธีจัดส่งไล่ทีละจังหวัด

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31954&Key=hotnews

 

สมศ.ชี้ 8 จว.ขาดยุทธศาสตร์การศึกษา

6 มีนาคม 2556

สมศ.สรุปผลแอเรียเบส 8 จังหวัด ชี้ปัญหาจังหวัดขาดยุทธศาสตร์การศึกษา เตรียมชงจังหวัด-เชตพื้นที่เชื่อมโยงยุมธศษสตร์การบริหารงานระดับจังหวัดให้เข้ากันกับยุทธศษสตร์ด้านการศึกษาให้มากขึ้น

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่อาคารพญาไท พลาซ่า สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.) ศ.ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผอ.สมศ. เปิดเผยว่า ได้จัดการประชุมคณะกรรมการอำนวยการประเมินคุณภาพภายนอกเชิงพื้นที่ หรือ แอเรียเบส เพื่อสรุปผลการประเมินคุณภาพภายนอกในพื้นที่ 8 จังหวัด ประกอบด้วย ตราด อำนาจเจริญ ชุมพร พังงา สมุทรสงคราม สิงห์บุรี ชัยนาท และแพร่ รายงานต่อหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษา โดยแบ่งผลการประเมินสถานศึกษารวม 8 จังหวัด ดังนี้ ผลประเมินคุณภาพภายนอกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 1,632 แห่ง ผ่านการรับรองมาตรฐาน 1,069 แห่ง ไม่ผ่านการรับรอง 563 แห่ง ผลการประเมินคุณภาพนอกด้านการอาชีวศึกษา จำนวน 39 แห่ง ผ่านการรับรองมาตรฐาน 26 แห่ง ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน 13 แห่ง
“ส่วนผลการประเมินคุณภาพภายนอกศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จำนวน 55 แห่ง ผ่านการรับรองมาตรฐาน 54 แห่ง และไม่ผ่านการรับรองมาตรฐาน 1 แห่ง ส่วนผลการประเมินคุณภาพภายนอกระดับอุดมศึกษาสำหรับสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนใน 8 จังหวัด พบว่าผ่านการรับรองทุกแห่ง” ผอ.สมศ.กล่าว

จากการสรุปภาพรวมการดำเนินโครงการแอเรียเบสในพื้นที่ 8 จังหวัด สมศ.มีข้อเสนอแนะไปยังต้นสังกัดสถานศึกษาให้เร่งวิเคราะห์หาทางแก้ปัญหาสถานศึกษาที่ไม่ได้รับการรับรอง รวมถึงเสนอไปยังจังหวัดและเขตพื้นที่การศึกษาให้มีการเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การบริหารงานระดับจังหวัดให้เข้ากันกับยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาให้มากขึ้น เพราะจากการลงพื้นที่พบว่าหลายจังหวัดไม่มียุทธศาสตร์การศึกษาในระดับจังหวัด ยกตัวอย่าง การจัดการด้านอาชีวศึกษาที่ไม่สอดรับการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด เช่น จังหวัดมีจุดเน้นด้านการเกษตรแต่ในจังหวัดไม่มีวิทยาลัยเกษตร

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31939&Key=hotnews