ไอซีที ดึงงบ 1,760 ล้านบาทจ้างทีโอที-กสท ทำไว-ไฟรับแท็บเล็ตการศึกษา

6 มีนาคม 2556

ไอซีที ดึงโครงการวางโครงข่ายไว-ไฟรองรับแท็บเล็ตป.1 ของโรงเรียนสังกัดสพฐ.ให้ กสท-ทีโอที รวม 27,231โรงเรียน ด้วยงบ 1,760ล้านบาท ส่วนปี 57 เตรียมของบอีก 4,250 ล้านบาทขยายไว-ไฟเพิ่ม

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวภายหลังเป็นประธานในการลงนามสัญญาเช่าใช้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลพร้อมอุปกรณ์โครงการพัฒนาระบบโครงข่ายไร้สาย (Wi-Fi Network) ระหว่างกระทรวงไอซีที กับ บริษัท กสท โทรคมนาคม และบริษัท ทีโอที ในลักษณะกิจการค้าร่วม ด้วยงบประมาณโครงการ 1,760 ล้านบาท ในระยะเวลาดำเนินการ 300 วันนับจากส่งมอบโครงข่าย โดยเป็นการวางระบบโครงข่ายไว-ไฟ เน็ตเวิร์ก และจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จำนวน 27,231 โรงเรียน ภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) เพื่อรองรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ประมาณ 858,886 คน
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวต่อยอดจากโครงการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ หรือ MOENet โดยแบ่งการดำเนินการติดตั้งโครงข่ายไว-ไฟ เน็ตเวิร์กออกเป็น ทีโอที จำนวน 26,889 วงจร(โรงเรียน) และกสท อีก 342 วงจร(โรงเรียน) ด้วยความเร็ว 4-10 Mbps โดยจะสามารถทยอยเปิดให้ใช้ได้ตามโรงเรียนในช่วงเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป เพื่อรองรับนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้กระทรวงไอซีทีจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ให้แก่โรงเรียนในโครงการ One Tablet per Child หรือ OTPC ที่แจกไปเมื่อปีการศึกษา 2555 ที่ผ่านมา
‘ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวมีความโปร่งใสทุกขั้นตอน เราพร้อมให้ตรวจสอบได้ โดยคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานตามโรงเรียนได้ตั้งแต่มิ.ย.แต่อาจจะไม่ครบทั้งโครงการ’

สำหรับผู้ใช้งานที่เป็น นักเรียน ครู และบุคลากรตามโรงเรียนต่างๆ รวมทั้งประชาชนทั่วไป ที่เข้าใช้งานผ่านโครงข่ายแบบมีสายและไร้สาย จะถูกกำหนดสิทธิ์การเข้าใช้งาน (Authentication) พร้อมระบบการจัดเก็บข้อมูลการจราจรทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้เป็นไปตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (Log System) และระบบการบริหารจัดการข้อมูลที่แตกต่างกัน เช่น การจำแนกเส้นทางของข้อมูลในโครงข่ายภายใน และภายนอก รวมถึงการมีอุปกรณ์ป้องกันการโจมตีเครือข่าย จากผู้ไม่หวังดี เข้าไปยังอุปกรณ์โครงข่ายภายในโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ภายในโครงการ MOEnet ได้

นอกจากนี้กระทรวงไอซีทีเตรียมของบประมาณในปี 57 ราว 4,250 ล้านบาทเพื่อขยายโครงข่ายไว-ไฟ เพิ่มและเพื่อรองรับการแจกแท็บเล็ตเด็กป.1และ ม.1 ซึ่งมีโรงเรียนทั้งหมดราว 43,258 โรงเรียนที่อยู่นอกสังกัดสพฐ.ทั้งหมด

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31940&Key=hotnews

ชี้ข้อดีเลื่อนเปิด-ปิดตามอาเซียน ‘มศว’เชื่อเด็กมีสมาธิสอบ-ร.ร.สาธิตพร้อมหนุน

6 มีนาคม 2556

ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุณยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ในสัปดาห์นี้จะหารือแนวทางการเปิด-ปิดภาคเรียน กับผู้อำนวยการร.ร.สาธิต มศว ประสานมิตร ปทุมวัน และองครักษ์ ว่าจะขยับตามมหาวิทยาลัยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทิศทางของกลุ่มโรงเรียนสาธิตจะเกาะกลุ่มก้าวไปพร้อมกันทั่วประเทศ ส่วนซีกมหาวิทยาลัยถือว่านิ่งแล้ว โดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) กำหนดแล้วว่าในปีการศึกษา 2557 จะเปิดภาคเรียนที่ 1 ในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. พร้อมทั้งปรับวันเวลาในการทดสอบวัดความถนัดทั่วไป (แกต) และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (แพต) เพื่อรองรับไว้แล้ว
อธิการบดี มศว กล่าวต่อว่า การเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนตามปฏิทินอาเซียน มีข้อดีหลายประการ ประการหนึ่งคือ สมัยก่อนเด็กที่สอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยยังเรียนไม่จบ ม.6 ถ้าเด็กต้องเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษาในเดือนมิ.ย. จะต้องสอบตั้งแต่เดือนธ.ค. ปรากฏว่าเด็กเรียนได้ 1 เทอม ก็ต้องสอบแล้ว แต่เมื่อทปอ.ขยับระยะเวลาการเปิดภาคเรียน เด็กจึงมีสมาธิกับการเรียนจนจบ ม.6 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ที่สำคัญเมื่อเด็กเรียนจบ มหาวิทยาลัยยังมีเวลาจัดค่ายอบรมเตรียมความพร้อมให้เด็ก ส่วนกลุ่มนิสิตที่จะต้องฝึกสอนก็สามารถปรับได้หมด
“ทปอ.คิดเรื่องนี้ซับซ้อนกว่านั้น เพราะมีถึง 14 วิชาชีพ ที่จะต้องปรับระยะเวลาด้วย อาทิ แพทย์ ทันตแพทย์ ซึ่งต้องประสานแพทยสภา และสธ. เนื่องจากเมื่อเรียนจบปี 6 วันที่ 1 เม.ย. ต้องลงพื้นที่ทำงานชนบท แต่พอถึงปี’ 57 ต้องปรับไปทำงาน ส.ค.-ก.ย.แทน ไม่อยากให้กังวลเพราะเวลาเคลื่อนหลักใหญ่ ทปอ.คิดรายละเอียดหาทางแก้ไขไว้แล้ว” ผศ.นพ.เฉลิมชัย กล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 7 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31937&Key=hotnews

 

‘พงศ์เทพ’ ลั่นปฏิรูปสอบคัดเลือก

6 มีนาคม 2556

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และการส่งเรื่องทุจริตการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือเหตุพิเศษ (ว 12) ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน ว่า เรื่องดังกล่าวมีการร้องเรียนทั้งในพื้นที่ จ.ขอนแก่น และ จ.นครปฐม โดยทางนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ยืนยันไม่มีมวยล้มแน่นอน ส่วนตนเองก็จะไม่ยอมให้เรื่องนี้เงียบหายไปแน่

“แต่เดิมการสอบครูแยกสอบเป็นรายพื้นที่ ต่อมาให้มาสอบส่วนกลางทั้งหมด เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาต้องดูจุดบกพร่องอยู่ตรงไหน เพราะทุกคนมาสอบแข่งขันด้วยความรู้ความสามารถจริง ๆ ไม่ควรมีเรื่องทุจริตเกิดขึ้น แต่เมื่อมันมีปัญหาจึงต้องทำระบบป้องกันให้เข้มแข็ง โดยเน้นการปฏิรูปทำโครงสร้าง อะไรเกี่ยวกับตัวเด็กเป็นประโยชน์กับเด็กต้องทำก่อน” รองนายกฯและ รมว.ศึกษาฯกล่าว
ด้าน นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาฯ กล่าวว่า ได้เน้นย้ำไปกับคณะกรรม การสอบสวนของกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่าจะต้องดำเนินการอย่างยุติ ธรรม ไม่ว่าจะเป็นใคร ระดับไหน ก็ต้องจัดการตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่เรื่องนี้ยอมรับมีการทุจริตจากส่วนกลาง เพราะเป็นไปได้อย่างไรที่การสอบครั้งเดียวกันจะมีผู้ได้คะแนนเต็มเท่ากันถึง 480 คน และเชื่อว่าภายใน 2 สัปดาห์จะได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงมากกว่านี้

“ผมได้รับรายงานปัญหาและระบบการทุจริตแบบนี้ทำกันมานาน ไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง แต่ยืนยันว่าผมจะเข้ามาดำเนินการอย่างจริงจังบนความถูกต้องชอบธรรม ไม่มีการไปกลั่นแกล้งใคร เมื่อผมมาอยู่กระทรวงศึกษาฯก็รักหน่วยงาน ไม่อยากได้ยินคำว่าแย่ในกระทรวงศึกษาฯ อีกต่อไป สิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือการทุจริตต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุง โดยเฉพาะเรื่องทุจริตมีเยอะมาก ผมจะทำให้แผ่นดิน กระทรวงศึกษาฯสูงขึ้น” นายเสริมศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีผู้ที่เข้าสอบได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการไปแล้วจะดำเนินการอย่างไรนั้น นายเสริมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าการบรรจุมาจากการสอบที่ไม่เป็นธรรมก็ต้องยกเลิก แต่ในส่วนที่จะมีแผนการสอบเพื่อรับบรรจุอีกครั้งในช่วงเดือน เม.ย.นี้ได้สั่งการไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ชะลอการสอบไปก่อน เนื่องจากต้องรอผลการสอบสวนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อให้รู้กระบวนการทุจริต จะได้แก้ไขได้ ซึ่งหากผลออกมาพบว่ามีผู้บริหารในกระทรวงฯ เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องดำเนินการเอาผิดไปตามนั้น แม้จะมีอยู่หลายส่วนและคนที่บงการทำกันเป็นขบวนการใหญ่

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า เตรียมบุคลากรและเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปากคำและให้ข้อมูลกับดีเอสไอที่จะมาขอข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ พร้อมทั้งเตรียมคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรใน 4 ประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องการส่งมอบข้อสอบจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งในเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่ง สพฐ.จะพยายามทำข้อมูลให้ชัดเจนที่สุด ส่วนผลการสอบสวนของ สพฐ. ก็มีรายงานผลมาเป็นระยะ ๆ เมื่อมีข้อมูลใหม่จะลงไปสอบเพิ่ม อย่างกรณีมีข้อมูลที่แจ้งมาจากคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงชุดอื่น ๆ และข้อมูลของดีเอสไอว่ามีการแอบนำเครื่องมือ สื่อสารเข้าไปในห้องสอบ และยังมีกรณีการปรับผังที่นั่งของเขตพื้นที่การศึกษาที่ สพฐ. กำหนดให้อีกด้วย.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 7 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31938&Key=hotnews

ปรับลดชั่วโมงเรียนประถม-มัธยมเน้นความรู้นอกห้อง

6 มีนาคม 2556

สพฐ.ปรับชั่วโมงเรียนชั้นประถม-มัธยม เริ่มเปิดเทอมใหม่ปี 56 ลดวิชาการ เน้นความรู้นอกห้อง ลดการบ้านประเภทแก้โจทย์ปัญหา เหตุทำเด็กเครียด ไม่เหมาะทำตามลำพัง ต้องมีเพื่อน-ครูเป็นพี่เลี้ยง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีนโยบายจะปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปรับโครงสร้างเวลาเรียน และปรับลดจำนวนการบ้านที่นักเรียนได้รับ ซึ่งสพฐ.ได้ตัดสินใจปรับโครงสร้างเวลาเรียนใหม่ทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมต้น ประถมปลาย มัธยมต้นและมัธยมปลาย
“การปรับโครงการสร้างเวลาเรียนครั้งนี้ ยังไม่ใช่การปรับใหม่ จำนวนชั่วโมงเรียนต่อปี ต่อสัปดาห์ หรือต่อวัน ยังคงเท่าเดิมตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร แต่ภายใต้จำนวนชั่วโมงเรียนเท่าเดิมนั้น จะลดจำนวนชั่วโมงเรียนในชั้นเรียนลงเทเวลาเรียนมาให้การทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมากขึ้น การลดจำนวนชั่วโมงเรียนในชั้นเรียนลงได้ สามารถทำได้โดยไม่ส่งกระทบหากครูใช้การเรียนการสอนแบบบูรณาการ” นายชินภัทรกล่าว

นายชินภัทรกล่าวอีกว่า นอกจากการปรับลดจำนวนชั่วโมงเรียนวิชาการลงแล้ว จะมีการปรับลดส่วนการเรียนวิชาต่างๆ ในแต่ละระดับชั้นด้วย จากเดิมที่ให้สัดส่วนเวลาเรียนทุกวิชาเท่าๆ กัน ก็จะเปลี่ยนมามีจุดเน้นให้ตรงตามวัย โดยระดับประถมต้นโดยเฉพาะประถมศึกษาปีที่ 1-2 จะเน้นการเรียนรู้ทักษะด้านภาษาเป็นหลัก จนถึงระดับประถมปลาย จึงจะเพิ่มเติมทักษะด้านการคิดคำนวณ ส่วนระดับมัธยมต้นจะเพิ่มเติมทักษะในการแสวงหาความรู้ให้แก่เด็ก และมัธยมปลาย จะเน้นให้เด็กนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ได้
ส่วนเรื่องการปรับการบ้าน สพฐ.ได้ศึกษาและพบว่าการบ้านบางประเภท ไม่เหมาะสมจะให้นักเรียนกลับไปทำที่บ้าน เช่น การบ้านประเภทแก้โจทย์ปัญหา เพราะการบ้านประเภทนี้มีความซับซ้อนและยากเกินกว่าที่เด็กจะทำได้โดยลำพังกลายเป็นการสร้างความเครียดให้เด็ก และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้วย ในต่างประเทศการบ้านประเภทนี้ จะให้นักเรียนทำที่โรงเรียนโดยมีครูเป็นพี่เลี้ยง และเปิดโอกาสให้เกิดการถกเถียงกันในการแก้โจทย์ปัญหา อย่างไรก็ตาม การบ้านบางประเภทยังมีความสำคัญอยู่ เช่น การบ้านประเภททบทวนและเพิ่มความชำนาญ เพราะฉะนั้นจะต้องมีการทบทวนเรื่องการให้การบ้านจะต้องมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

“ทั้งหมดนี้จะเริ่มดำเนินการทันทีในปีการศึกษา 2556 ระหว่างนี้ สพฐ.กำลังจัดทำคู่มือสำหรับแจกครู เพื่อแนะนำการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการครบวงจร ทั้งการวางแผนการสอน การจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน การประเมินผลและการให้การบ้าน และจะมีการจัดอบรมครูให้เข้าใจเรื่องนี้ในช่วงปิดภาคเรียนเดือนเมษยนด้วย” นายชินภัทรกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31936&Key=hotnews

เสริมศักดิ์แฉพิรุธสอบครูผช.480คนได้เต็ม ลั่นล้างโกงยกแผ่นดินศธ.ชี้ส่วนกลางต้นทางทุจริต

6 มีนาคม 2556

รมว.ศธ.ยันไม่มีมวยล้มโกงสอบครูผู้ช่วย ‘เสริมศักดิ์’รับขบวนการทุจริตมาจากส่วนกลาง กรณีที่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รอง นายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นัดประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) นัดพิเศษในวันที่ 13 มีนาคม เพื่อพิจารณาว่าจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกผลการสอบสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว 12 ครั้งที่ผ่านมา หลังพบมีขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วย โดยจะพิจารณาจากสำนวนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งให้ ขณะที่นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ. คาดว่าจะมีพนักงานราชการเข้าร่วมกระบวนการทุจริตเกือบ 1,000 คน โดยสั่งการให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นาย พงศ์เทพกล่าวว่า การทุจริตสอบครูผู้ช่วยมีความชัดเจนในหลายๆ เรื่อง อย่างกรณีที่มีคนสอบแทนกัน หรือมีชื่อไปปรากฏในสถานที่สอบถึง 2 แห่ง ถือเป็นการทุจริตอย่างแน่นอน ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะสอบในเชิงลึกว่ามีขบวนการเชื่อมโยงกันอย่างไร กำลังรอฟังว่าจะมีใครเข้าไปเกี่ยวข้องกันอย่างไร ยืนยันว่าจะไม่เป็นมวยล้ม จะไม่เห็นแก่หน้าใคร

นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า ยอมรับว่าน่าจะมีการทุจริตมาจากส่วนกลาง เพราะเป็นไปได้อย่างไรที่การสอบจะมีผู้ได้คะแนนเต็มเท่ากันถึง 480 คน ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน เมื่อได้ข้อมูลมาระดับหนึ่งก็ส่งข้อมูลให้ดีเอสไอสอบสวนต่อ เพราะข้อมูลบางอย่างมีการเชื่อมโยง ทำให้ระดับกระทรวงไม่สามารถเข้าไปหาข้อเท็จจริงได้ เชื่อกระทรวงไม่สามารถเข้าไปหาข้อเท็จจริงได้ เชื่อว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้จะได้ข้อเท็จจริงมากพอสมควร

เมื่อถามว่า ผู้ที่เข้าสอบได้รับการบรรจุไปแล้วจะดำเนินการอย่างไร นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า ถ้าการบรรจุมาจากการสอบที่ไม่เป็นธรรมก็ต้องยกเลิก ส่วนที่จะมีแผนการสอบเพื่อรับบรรจุอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายน ได้สั่งการให้ชะลอการสอบและรอผลการสอบสวนก่อน เพื่อให้รู้กระบวนการทุจริต จะได้แก้ไขได้

เมื่อถามว่า หากผลสอบสวนออกมาพบว่ามีผู้บริหารกระทรวงเข้าไปเกี่ยวข้องจะดำเนินการเด็ดขาดอย่างไร นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวข้องกับใครก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น ข้อมูลที่ได้รับเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ว่ามีหลายส่วน มีข้อมูลชี้ชัดว่ามีการทำเป็นขบวนการ คนที่บงการเป็นขบวนการใหญ่ จะปล่อยไว้ไม่ได้
“ผมได้รับรายงานว่าขบวนการทุจริตแบบนี้ ทำกันมานาน ไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง แต่ยืนยันว่าผมจะเข้าไปจัดการอย่างจริงจังบนความถูกต้องชอบธรรม ไม่มีการไปกลั่นแกล้งใคร สิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือการทุจริตต้องแก้ไขปรับปรุง ยอมรับว่าการทุจริตในกระทรวงศึกษาฯมีเยอะมาก ผมจะทำให้แผ่นดินกระทรวงศึกษาฯสูงขึ้น” นายเสริมศักดิ์กล่าว

ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน (สพฐ.) เตรียมบุคลากรและเจ้าหน้าที่เพื่อให้ปากคำและให้ข้อมูลกับดีเอสไอ ในวันที่ 6 มีนาคม นอกจากนี้ ยังเตรียมคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดีเอสไอใน 4 ประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการส่งมอบข้อสอบจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งในเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่ง สพฐ.จะพยายามทำข้อมูลให้ชัดเจนที่สุด

นายชินภัทรกล่าวว่า ส่วนที่นายเสริมศักดิ์คาดว่าจะมีผู้ร่วมขบวนการทุจริตเกือบ 1,000 คน จากอัตราที่บรรจุประมาณ 2,000 คนนั้น สพฐ.มีข้อมูลในส่วนนี้แล้ว และเตรียมเสนอรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.เร็วๆ นี้ โดยพิจารณาจากการแจกแจงความถี่ของคะแนน ผู้เข้าสอบ ซึ่งปกติแล้วการสอบแต่ละครั้งจะมีการ กระจายของคะแนนเป็นค่าปกติ (Normal Curve) ไม่ว่าจะเป็นการสอบของนักเรียนในการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) และการสอบครูผู้ช่วย แต่การสอบคัดเลือกในบางครั้งที่ข้อสอบยาก จะมีการเบ้ของการกระจายตัวคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่การสอบครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมา มีค่าคะแนนที่แสดงการกระจายตัวในระดับที่สูงกว่าปกติ และบ่งบอกถึงความผิดปกติของคะแนน โดยคะแนนที่ผิดปกติมีไม่ถึงพันคน ทั้งนี้ กลุ่มผู้ผ่านการคัดเลือกที่มีคะแนนสูงกว่าปกติ จึงสันนิษฐานได้ว่าเข้าข่ายที่จะทุจริต ซึ่ง สพฐ.มีรายชื่อทั้งหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม การจะยกเลิกผลการสอบครั้งนี้หรือไม่ ต้องนำข้อมูลของดีเอสไอ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ สพฐ. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ ก.ค.ศ.และคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.แต่งตั้ง มาพิจารณาประกอบก่อนสรุปผล

“ผมสั่งการให้ข้าราชการ สพฐ.ทุกคนที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมและอยู่สำนักงาน เพื่อรอให้ข้อมูลกับดีเอสไอ เพราะไม่รู้ว่าดีเอสไอจะสอบถามใครบ้าง ส่วนผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุด สพฐ.ได้รายงานผลเป็นระยะๆ และเมื่อมีข้อมูลใหม่ก็จะลงไปสอบเพิ่ม อย่างกรณีมีข้อมูลที่มาจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดอื่นๆ และข้อมูลของ ดีเอสไอว่ามีผู้แอบนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไปในห้องตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดอื่นๆ และข้อมูลของ ดีเอสไอว่ามีผู้แอบนำเครื่องมือสื่อสารเข้าไปในห้องสอบ และการปรับผังที่นั่งของเขตพื้นที่ฯที่ สพฐ.กำหนดให้จัดตามเลขที่สอบ ต้องไปดูว่าเขตพื้นที่ฯจัดที่นั่งสอบตามที่ สพฐ.กำหนดหรือไม่ ซึ่งมีข้อมูลว่ามีการไปปรับผังที่นั่งใหม่” นายชินภัทรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับค่าคะแนนที่มีการ กระจายตัวสูงผิดปกติมีอยู่ประมาณ 2% ของผู้เข้าสอบทั่วประเทศ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 200-300 คน

พนักงานราชการคนหนึ่งที่สมัครสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) กล่าวว่า การสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยที่ผ่านมา มีพนักงานราชการส่วนหนึ่งที่เป็นกลุ่มครูอัตราจ้าง ครูพี่เลี้ยงเด็กพิการ และครูโครงการ SP2 ที่อายุการทำงานไม่ถึง 3 ปี ตามหลักเกณฑ์คุณสมบัติที่สามารถสมัครสอบครูผู้ช่วยได้ แต่ติดสินบนให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ตัวเองปฏิบัติงานอยู่ ช่วยทำเอกสารยืนยันการทำงานว่าครบ 3 ปีตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยผู้สมัครกลุ่มนี้ได้จ่ายเงินให้กับขบวนการทุจริตการสอบครูผู้ช่วยในครั้งนี้ ดังนั้น อยากให้ ศธ.และดีเอสไอช่วยตรวจสอบประเด็นนี้ด้วย เพราะไม่อยากให้กลุ่มคนที่ทุจริตตั้งแต่การโกงอายุการทำงาน และจ่ายเงินให้กับขบวนการทุจริตได้เข้าไปเป็นข้าราชการครู

“การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร กรรมการรับสมัครแต่ละเขตพื้นที่ฯจะยึดตามเอกสารที่นำมายื่น จึงตรวจสอบยากเมื่อมีผู้สมัครเอาเอกสารเท็จมาสมัครสอบ” พนักงานราชการคนเดิมกล่าว
นายประวิทย์ บึงไสย์ เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท) กล่าวว่า ส.ค.ท.ติดตามข่าวการทุจริตสอบครูผู้ช่วยมาตลอด และเห็นว่าต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด โดย ส.ค.ท.ขอสนับสนุน และให้กำลังใจรัฐมนตรีว่าการ ศธ.และรัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด เพราะหากปล่อยให้คนที่ทุจริตเข้าไปเป็นครู จะเป็นผลเสียต่อการศึกษาแน่นอน อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้คุรุสภาในฐานะที่กำกับดูแล และออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ควรมีมาตรการในเรื่องนี้บ้าง เช่น เพิกถอนใบอนุญาตผู้ที่ทุจริต เป็นต้น

–มติชน ฉบับวันที่ 7 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31935&Key=hotnews

ส่งเอสเอ็มเอสเฟ้นหา’สุดยอดกศน.’

5 มีนาคม 2556

นายประเสริฐ บุญเรือง เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เปิดเผยว่า มีนักศึกษา กศน. ทุกระดับและทุกประเภท รวมกว่า 3,150,000 คน จากทั่วประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความหลากหลายทั้งระดับอายุ ถิ่นฐาน วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ทักษะความรู้ ประกอบกับประสบการณ์ที่ได้จากการเรียน กศน.และการศึกษาตลอดชีวิต ก่อให้เกิดเป็นความสามารถพิเศษ สำนักงาน กศน.จึงได้จัดโครงการแข่งขันความสามารถพิเศษของนักศึกษา กศน. เพื่อเฟ้นหา “สุดยอด กศน.” ขึ้น ในรูปแบบการแสดงทักษะความรู้ความสามารถพิเศษ การนำเสนอนวัตกรรม โดยการแข่งขันแบ่งออกเป็น 4 รอบ ได้แก่ รอบคัดกรอง จากนั้นจะเป็นการแข่งขันในรอบที่ 1 เพื่อคัดเลือกเข้าแข่งขันในรอบที่ 2 ระดับภาค/สำนักงาน กศน. กทม. จำนวนไม่เกิน 6 ทีม เป็นตัวแทนเข้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ จำนวน 3 ทีม ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) เวลา 10.00-11.00 น. โดยให้คะแนนจากคณะกรรมการ 5 ท่าน และผลโหวตทางเอสเอ็มเอส

เลขาธิการ กศน.กล่าวต่อไปว่า ขอเชิญชวนทุกคนร่วมชมและเชียร์ โดยเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 26 มี.ค.ถ่ายทอดสดจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา จ.อุดรธานี ภาคเหนือ วันที่ 23 เม.ย. ถ่ายทอดสดจากหอประชุม ม.เชียงใหม่ ภาคกลาง วันที่ 7 พ.ค.2556 ถ่ายทอดสดจาก ม.กรุงเทพธนบุรี ภาคตะวันออก วันที่ 28 พ.ค. ถ่ายทอดสดจากโรงแรมสตาร์ จ.ระยอง ภาคใต้ วันที่ 11 มิ.ย. ถ่ายทอดสดจากหอประชุมนานาชาติ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และกรุงเทพฯ วันที่ 26 มิ.ย. ถ่ายทอดสดจากโรงละครอักษรา ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากทั้ง 6 ภูมิภาค รวม 18 ทีม จะเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ในวันที่15-16 ก.ค. ณ โรงละครอักษรา โดยถ่ายทอดสดทั้ง 2 วัน ทั้งนี้ นักศึกษา กศน. หรือทีมที่ได้รับคัดเลือกเป็น “สุดยอด กศน.” ลำดับ 1, 2 และ 3 จะต้องเป็นตัวแทนของสำนักงาน กศน. เพื่อร่วมกิจกรรมที่กำหนด และสามารถนำผลงานไปใช้ในกิจกรรมของสำนักงาน กศน.ได้ด้วย ซึ่งเชื่อว่าผลงาน รูปแบบ วิธีการ และนวัตกรรมเหล่านี้ จะนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการศึกษาตลอดชีวิตให้แก่ประชาชนได้อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31916&Key=hotnews

 

จุดยืนสพฐ.ปรับจุดอ่อนไม่รื้อหลักสูตรเดินหน้าลดการบ้านนักเรียน

6 มีนาคม 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 9 มี.ค.นี้ ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ จะมีการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งชาติ ซึ่งมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน โดยทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เตรียมเสนอจุดยืนที่จะให้มีการปรับกระบวนการมากกว่าการรื้อโครงสร้างหลักสูตรการเรียนการสอน เพราะมองว่าโครงสร้างหลักสูตรของ สพฐ.ยังมีความเหมาะสมสามารถใช้ได้อยู่ ดังนั้น จึงแค่นำจุดอ่อนมาปรับปรุงให้ดีขึ้นจะดีกว่า เช่น เรื่องสมรรถนะการคิดของนักเรียน และการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ายังมีน้อยมาก จำเป็นต้องเร่งให้มีการเรียนรู้ผ่าน การปฏิบัติให้มากขึ้น เพื่อให้นักเรียนได้เกิดจินตนาการ โดยเพิ่มสัดส่วนเวลาเรียนในส่วนนี้ให้มากขึ้น

“การเพิ่มสัดส่วนเวลาเรียนได้จะต้องเกิดการบูรณาการ โดยช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-ป.3) และช่วงชั้นที่ 2 (ป.4-ป.6)จะต้องให้สัดส่วนของเวลาเรียนด้านเครื่องมือพื้นฐานอย่างเต็มที่ ส่วนช่วงชั้นที่สูงกว่าระดับประถมศึกษาต้องเป็นเรื่องของการแสวงหาความรู้ การสรุปองค์ความรู้ และการประยุกต์ความรู้ให้มากขึ้น นอกจากการปรับลดจำนวนชั่วโมงเรียนวิชาการลงแล้ว จะมีการปรับสัดส่วนการเรียนวิชาต่าง ๆ ของนักเรียนแต่ละระดับชั้น จากเดิมที่ให้สัดส่วนเวลาเรียนทุกวิชาเท่า ๆ กัน จะเปลี่ยนเป็นให้มีจุดเน้นตรงตามวัย โดยระดับประถมฯ ต้นจะเน้นการเรียนรู้ทักษะด้านภาษาเป็นหลัก จนถึงระดับประถมฯปลายจึงจะเพิ่มเติมทักษะด้านการคิดคำนวณ ส่วนระดับมัธยมฯต้น จะเพิ่มเติมทักษะในการแสวงหาความรู้ให้แก่เด็ก และระดับมัธยมฯปลาย จะเน้นให้เด็กนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้ได้ โดยการปรับดังกล่าวจะทำให้แล้วเสร็จ เพื่อนำไปใช้ในปีการศึกษา 2556” ดร.ชินภัทร กล่าวและว่า ในการประชุมดังกล่าว สพฐ.จะนำผลวิจัยของต่างประเทศเกี่ยวกับสัดส่วนเวลาเรียนของนักเรียน เช่น ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ แคนาดา เป็นต้น มานำเสนอต่อที่ประชุมด้วย

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า นอก จากนี้จะเสนอเรื่องการลดการบ้านนักเรียน ซึ่ง สพฐ.จะเดินหน้าให้ทุกโรงเรียนมีการบูรณาการการให้การบ้านเด็กของทุกวิชา เพราะการบ้านยังถือว่ามีความสำคัญอยู่ ซึ่งเด็กจะต้องทบทวนและเพิ่มความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการคิดเลข ภาษา แต่ทั้งนี้ตนไม่อยากให้เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาต้องเป็นการบ้านที่เด็กนำกลับไปทำที่บ้าน เพราะเป็นเรื่องซับซ้อนและยากเกินไป ซึ่งจะสร้างความเครียดให้เด็กเพิ่มมากขึ้นและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ด้วย ดังนั้น ต้องมีการทบทวนเรื่องการให้การบ้าน ว่าต้องมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในเรื่องการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนและการลดการบ้านนักเรียน สพฐ.จะจัดอบรมครูในเดือน เม.ย.นี้ พร้อมแจกคู่มือการบูรณาการการเรียนการสอนครบวงจร เพื่อนำไปปรับใช้ในการเรียนการสอนด้วย.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 7 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31933&Key=hotnews

เรียนม.4 เน้นคุณภาพจี้ครูแนะแนวเด็กตามศักยภาพ-สายอาชีพไปได้สวย

5 มีนาคม 2556

เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลรับสมัครนักเรียนขั้นพื้นฐานระดับชั้น ม.1 และ ม.4 ปีการศึกษา2556 ซึ่งจะเปิดรับสมัครในช่วงวันที่ 14-18 มี.ค. 56 โดยนายวีรวัฒน์ วรรณศิริ อุปนายกสภาการศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการรับนักเรียนชั้น ม.4 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาว่า โดยหลักการแล้วต้องไม่ใช่ใครอยากเรียนก็เรียนได้ หรือใครๆ ก็เรียนได้ เพราะทำให้การศึกษาขั้นพื้นฐานล้มเหลวเป็นเหมือนการขึ้นบันไดเลื่อน เด็กก็จะเรียนไปเรื่อยๆ เพราะถึงอย่างไรก็ได้เลื่อนชั้นอยู่แล้วขณะที่ในอดีตการที่นักเรียนชั้น ม.3 จะเรียนม.4 ได้ต้องสอบแข่งขันกัน หรือต้องดูผลการเรียนเพื่อจัดให้เรียนสายวิทย์หรือศิลป์ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ครูแนะแนวจะแนะนำให้ไปเรียนสายอาชีวศึกษา เพราะการเรียน ม.ปลายสายสามัญเป็นการเรียนเพื่อมุ่งสูมหาวิทยาลัยซึ่งความรู้ทางวิชาการต้องมีคุณภาพดีและฟิตตั้งแต่ ม.1 เพื่อจะได้เรียน ม. ปลาย และเข้าสู่มหาวิทยาลัยอย่างมีคุณภาพ
“เด็กที่จะเรียน ม.ปลาย จะต้องมีเป้าหมายตั้งแต่ ม.1 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องใส่ใจและเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเรียนเลยตามเลยไปเรื่อยเปื่อยเหมือนขึ้นบันไดเลื่อน เพราะเป็นการตอกย้ำเรื่องคุณภาพการศึกษาที่ถดถอย ซึ่งกำลังเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ ส่วนการรับนักเรียน ม.3 ขึ้น ม.4 หาก สพฐ. จะรับนักเรียนแบบไม่อั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ผมอยากให้คำนึงถึงศักยภาพของเด็กด้วย ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะยกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้”
นายวีรวัฒน์ กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม คิดว่าถึงเวลาแล้วที่นายกรัฐมนตรี และรมว.ศึกษาธิการ ต้องมีสภาวะผู้นำลงมาปฏิสังขรณ์การศึกษา ต้องให้เวลาฝ่ายการศึกษาไปนั่งคุยเพื่อรับทราบปัญหาการศึกษาต่างๆ เพื่อจะได้กำหนดทิศทางการศึกษาที่ถูกต้อง
อุปนายกสภาการศึกษาเอกชนฯ ยังกล่าวถึงกรณีที่ สพฐ. จะไม่เน้นการสอนวิชาชีพในโรงเรียนมัธยมศึกษาตนเห็นว่าถูกต้องแล้วเพราะโรงเรียนมัธยมศึกษาต้องมุ่งวิชาการสายสามัญอย่างเข้มข้น เพื่อส่งต่อเด็กเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาอย่างมีคุณภาพ แต่ความรู้วิชาชีพพื้นฐานเพื่อการดำเนินชีวิตประจำวันยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสอนอยู่ เช่น การตัดเย็บเสื้อผ้า หรือไฟฟ้าเบื้องต้น เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31913&Key=hotnews

ผุดร.ร.ผู้ประกอบการทางสังคมไม่จำกัดวุฒิ-เน้นแรงใจมุ่งใฝ่ดี

5 มีนาคม 2556

นายเฉลิมชัย บุณยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มศว ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) เพื่อพัฒนาต้นแบบสถาบันการศึกษาด้านนวัตกรรมทางสังคม และกิจการเพื่อสังคม เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีสถาบันการศึกษาที่บูรณาการแนวความคิดกิจการเพื่อสังคมเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน ดังนั้น มศว จะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับผู้ประกอบการทางสังคมซึ่งหากทำสำเร็จก็จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในเอเชียที่เป็นต้นแบบกิจการเพื่อสังคมทั้งนี้ กิจการเพื่อสังคมเป็นการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาสังคม และมีแผนธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้โดยไม่ได้หวังผลกำไรมากนัก

“ขณะนี้ได้เตรียมสถานที่ที่จะใช้จัดตั้งโรงเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ประมาณปลายปี 2556 ซึ่งในเดือน เม.ย. นี้ จะเดินทางไปเจรจากับมหาวิทยาลัยที่อังกฤษเพื่อซื้อลิขสิทธิ์การจัดตั้งโรงเรียนซึ่งเป็นรูปแบบสำเร็จรูปมาไว้ที่ มศว โดยจะใช้อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจของมศว เป็นผู้สอน แต่จะส่งไปอบรมเพื่อเพิ่มเติมเทคนิคว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เป็นกิจการเพื่อสังคม ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าเรียนได้ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องจบการศึกษาในระดับใด เพียงแค่มีแรงบันดาลใจใฝ่ดี และความคิดในเชิงบริหารจัดการ ก็สามารถเข้ามาสมัครเรียน เพื่อที่จบไปจะได้เป็นผู้ประกอบการทางสังคมได้”

อธิการบดี มศว กล่าวและว่า หลังจากเปิดโรงเรียนได้ประมาณ 1 ปี มศวจะบรรจุเรื่องกิจการเพื่อสังคมไว้ในวิชาศึกษาทั่วไป ซึ่งเป็นวิชาของนิสิตชั้นปีที่ 1 ด้วย โดยนิสิตไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรก็ต้องเรียนวิชานี้ เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักตอบแทนสังคม

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31912&Key=hotnews

 

เด็กสมาธิสั้นปัญหาที่พ่อ-แม่-ครูยุคใหม่จำเป็นต้องรู้เปิดใจเปลี่ยนมุมมองเสริมจุดเด่น-เน้นกิจกรรมเชิงบวก

5 มีนาคม 2556

“ภาวะสมาธิสั้น” หรือ”โรคสมาธิสั้น” เป็นภาวะผิดปกติที่มีมานานแล้วแต่เพิ่งมาเป็นที่รู้จักในสังคมไทยเมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นภาวะที่เกิดจากสมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่ควบคุมสมาธิและพฤติกรรมยังมีการพัฒนาไม่เต็มที่

สำหรับประเทศไทยได้มีการสำรวจพบว่ามีเด็กถึงร้อยละ 8 ที่ประสบภาวะสมาธิสั้น โดยจะพบบ่อยในเด็กชายมากกว่าเด็กผู้หญิงถึง 3 เท่า อาการหลักของสมาธิสั้นมี 3 ด้านประกอบด้วยมี1) พฤติกรรมซุกซนไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา 2) มีพฤติกรรมขาดสมาธิ จดจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ ขี้ลืม เบื่อง่าย และ3) มีพฤติกรรมขาดความยับยั้งชั่งใจตนเอง หุนหันพลันแล่น และอดทนรอคอยนานไม่ได้
ถึงแม้ว่าภาวะสมาธิสั้นไม่ได้มีผลต่อการพัฒนาทางด้านร่างกาย เด็กที่มีภาวะนี้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะสม ก็อาจจะส่งผลต่อการพัฒนาการทางด้านจิตใจและสังคมในหลายๆ ด้านส่งผลกระทบต่อด้านการเรียน ความสัมพันธ์ในครอบครัวและเพื่อนนอกจากนี้ยังพบว่าเด็กกลุ่มนี้ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมเมื่อก้าวสู่วัยรุ่น จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการกระทำสิ่งผิดกฎระเบียบหรือผิดกฎหมาย เช่น หนีโรงเรียน การขับรถเร็วเสี่ยงต่ออุบัติเหตุการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และใช้สารเสพติด เป็นต้น

จากสถานการณ์ปัญหาดังกล่าว โรงพยาบาลมนารมย์ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านสุขภาพจิต จึงได้จัดการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เรียนรู้และเข้าใจเด็กสมาธิสั้น” ขึ้นโดยได้รับเกียรติจากนพ.รังสรรค์ สิทธิชัย กุมารแพทย์และจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาเด็กและวัยรุ่น เพื่อส่งเสริมและให้ความรู้ความเข้าใจกับ พ่อ แม่ครู หรือผู้ปกครองในเรื่องของการดูแลและช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นอย่างถูกต้องและเหมาะสม

นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมนารมย์กล่าวว่า สมาธิสั้นเป็นโรคที่มีมานานแล้วแต่คนไทยไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจ หากพบเด็กที่มีพฤติกรรมไม่อยู่นิ่งก็มักจะสรุปว่าเป็นเด็กซน
“เมื่อเด็กไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลือที่ถูกต้อง นั่นอาจหมายถึงชีวิตของคนๆ หนึ่งที่จะประสบกับความล้มเหลว เพราะไม่สามารถเป็นผู้ใหญ่ที่จะต้องรับผิดชอบครอบครัว การงาน และดูแลตัวเองได้ ดังนั้นการให้ความรู้และความเข้าใจผู้ปกครองและโรงเรียน จะทำให้เกิดการดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ให้สามารถข้ามฝั่งได้สำเร็จซึ่งจะช่วยให้สังคมมีประชากรที่มีคุณภาพและเป็นสังคมที่น่าอยู่มากยิ่งขึ้น” นพ.ไกรสิทธิ์ กล่าว

นพ.รังสรรค์ สิทธิชัย เปิดเผยว่า ความรู้ ความเข้าใจในการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมแก่เด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะบ่อยครั้งที่ครูและผู้ปกครองมักคิดว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่นิสัยไม่ดีไม่ตั้งใจเรียน ไม่มีความรับผิดชอบขี้เกียจ พูดอะไรก็ไม่ฟัง สอนไม่จำ จนทำให้ได้รับการลงโทษที่รุนแรงอยู่บ่อยๆ

“ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้ใหญ่ต่อเด็กกลุ่มนี้จะส่งผลดีอย่างมากกับเด็ก โดยจะทำให้เด็กสามารถมองตัวเองในแง่บวกได้มากขึ้น มีความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น รู้สึกว่าตนเองก็มีคุณค่า มีความสามารถทำอะไรได้สำเร็จเหมือนกับเพื่อนๆ เด็กก็จะมีความเครียดน้อยลง มีความสุขมากขึ้น สัมพันธภาพระหว่างผู้ปกครอง คุณครู และเพื่อนก็จะไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเรียนและชีวิตมากขึ้น” นพ.รังสรรค์ระบุ

ปัจจุบันการรักษาภาวะสมาธิสั้นที่ได้ผลประกอบไปด้วย”การใช้ยา การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม และการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสม” โดยครูและผู้ปกครองจะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสมาธิสั้นได้พัฒนาทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการเรียนและการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งการฝึกทักษะต่างๆ ยังเป็นการช่วยกระตุ้นพัฒนาการของสมองส่วนหน้าที่ช่วยในเรื่องของสมาธิให้พัฒนามากขึ้น
“การฝึกการจัดตารางเวลาและการจัดการกับเวลาเป็นการฝึกทักษะที่สำคัญ เพราะเด็กกลุ่มนี้มักมีพฤติกรรมที่ขึ้นกับสิ่งเร้ามากกว่าเกิดจากการวางแผนในใจ หากปล่อยให้ทำอะไรโดยอิสระเด็กก็จะไม่คิดใส่ใจเรื่องของเวลา จึงควรฝึกให้เห็นความสำคัญของเวลาและรู้จักวางแผน แบ่งเวลา โดยผู้ปกครองจะต้องคอยกำกับดูแลในช่วงแรก จนเด็กคุ้นเคยและปฏิบัติจนเป็นนิสัย” นพ.รังสรรค์กล่าว
นอกจากนี้แล้วการแบ่งงานเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เด็กสามารถทำเสร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น เด็กจะรู้สึกภูมิใจว่าตนได้ทำอะไรสำเร็จก็จะมีกำลังใจในการทำงานต่อ และยังช่วยฝึกให้เด็กมีการวางแผนล่วงหน้า รวมถึงการฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ของตนเอง และใช้กิจกรรมที่เด็กชอบและสนใจซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความจดจ่อ เช่น ศิลปะและดนตรีก็จะช่วยส่งเสริมในเรื่องของสมาธิ และการออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กสามารถปลดปล่อยพลังงานของตนเองที่มีอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นและสามารถใช้สมาธิได้ดีขึ้น

“สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพ่อแม่จะต้องมีความอดทน ให้เวลา ให้ความรัก ความอบอุ่นและความเข้าใจ โดยจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในครอบครัว มีทัศนคติและให้แรงเสริมในเชิงบวกอยู่เสมอมองเห็นคุณค่าในสิ่งเล็กๆ ที่เด็กทำ ก็จะช่วยทำให้เด็กสามารถปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม” นพ.รังสรรค์ ระบุ

นางสาวธนาภรณ์ รติธรรมกุล ครูสอนเปียโนท่านหนึ่งที่เข้าฟังการบรรยายเล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาพบว่ามีเด็กหลายๆ คนมีพฤติกรรมซุกซน อารมณ์แปรปรวน ลืมง่าย จึงเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคสมาธิสั้น
“การที่ครูมีความเข้าใจเด็กสมาธิสั้นจะช่วยลดความกดดันและความเครียดในการรับมือกับเด็ก เพราะเข้าใจปัญหาได้ดีมากขึ้น และการจัดวิธีการจัดการสอนที่ถูกต้อง จะช่วยให้เด็กที่มีปัญหาเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ได้ ก็จะเป็นการพัฒนาที่มีผลระยะยาวถึงชีวิตของเด็กในอนาคต” คุณครูกล่าว

คุณพ่อวัย 45 ปี ผู้เข้าร่วมฟังการบรรยายเล่าให้ฟังว่า บุตรชายมีปัญหาในการเรียนจึงพามาพบแพทย์เพื่อทำการรักษา แต่ก็ยังประสบปัญหาเรื่องการเรียน เนื่องจากทางโรงเรียนเน้นวิชาการที่ไม่สอดคล้องกับเด็กและไม่มีบุคลากรที่พร้อมจะดูแลเด็กที่มีปัญหาด้านนี้”แต่พอย้ายไปโรงเรียนใหม่ที่มีบุคลากรที่สามารถดูแลเด็กกลุ่มนี้ได้ ก็พบว่าลูกสามารถไปโรงเรียนได้ด้วยดี โรงเรียนและครูจึงมีส่วนสำคัญมากในการช่วยดูแล และอยากจะให้มีการออกกฎหมายให้มีครูเฉพาะที่มีความรู้ในการดูแลและจัดการเรียนการสอนทางด้านนี้ในโรงเรียน” คุณพ่อกล่าว

“การเรียนรู้และเข้าใจเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นจะทำให้เกิดความรักที่มีคุณภาพ เพราะความรักที่เกิดขึ้นจากการยอมรับและเข้าใจในข้อจำกัดซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความสัมพันธ์และบรรยากาศในครอบครัวดีขึ้น การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กทำได้ดีขึ้น เพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต” นพ.รังสรรค์ สรุป

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31911&Key=hotnews