ผุดร.ร.ผู้ประกอบการทางสังคมไม่จำกัดวุฒิ-เน้นแรงใจมุ่งใฝ่ดี

5 มีนาคม 2556

นายเฉลิมชัย บุณยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว)เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มศว ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (สกส.) เพื่อพัฒนาต้นแบบสถาบันการศึกษาด้านนวัตกรรมทางสังคม และกิจการเพื่อสังคม เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีสถาบันการศึกษาที่บูรณาการแนวความคิดกิจการเพื่อสังคมเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน ดังนั้น มศว จะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับผู้ประกอบการทางสังคมซึ่งหากทำสำเร็จก็จะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในเอเชียที่เป็นต้นแบบกิจการเพื่อสังคมทั้งนี้ กิจการเพื่อสังคมเป็นการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาสังคม และมีแผนธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้โดยไม่ได้หวังผลกำไรมากนัก

“ขณะนี้ได้เตรียมสถานที่ที่จะใช้จัดตั้งโรงเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ประมาณปลายปี 2556 ซึ่งในเดือน เม.ย. นี้ จะเดินทางไปเจรจากับมหาวิทยาลัยที่อังกฤษเพื่อซื้อลิขสิทธิ์การจัดตั้งโรงเรียนซึ่งเป็นรูปแบบสำเร็จรูปมาไว้ที่ มศว โดยจะใช้อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจของมศว เป็นผู้สอน แต่จะส่งไปอบรมเพื่อเพิ่มเติมเทคนิคว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เป็นกิจการเพื่อสังคม ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าเรียนได้ โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องจบการศึกษาในระดับใด เพียงแค่มีแรงบันดาลใจใฝ่ดี และความคิดในเชิงบริหารจัดการ ก็สามารถเข้ามาสมัครเรียน เพื่อที่จบไปจะได้เป็นผู้ประกอบการทางสังคมได้”
อธิการบดี มศว กล่าวและว่า หลังจากเปิดโรงเรียนได้ประมาณ 1 ปี มศวจะบรรจุเรื่องกิจการเพื่อสังคมไว้ในวิชาศึกษาทั่วไป ซึ่งเป็นวิชาของนิสิตชั้นปีที่ 1 ด้วย โดยนิสิตไม่ว่าจะเรียนคณะอะไรก็ต้องเรียนวิชานี้ เพื่อเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักตอบแทนสังคม

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31912&Key=hotnews

ก.ค.ศ.หาช่องสั่งครูทำงานเช้าขึ้นหลังอ้างระเบียบให้เริ่ม 8 โมงครึ่ง

5 มีนาคม 2556

นางวัชรี เกิดพิพัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจเสริมสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังพิจารณาจัดทำร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการลาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. …. และการกำหนดวันเวลาทำงาน และวันหยุดราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งในส่วนของวันเวลาทำงานของข้าราชการครูนั้น มีผู้สะท้อนปัญหามาจากโรงเรียนว่าการที่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่าด้วยกำหนดเวลาทำงาน และวันหยุดราชการของสถานศึกษา กำหนดเวลาทำงานตั้งแต่ 08.30-16.30 น. และหยุดพักกลางวันเวลา 12.00-13.00 น. ทำให้เวลาโรงเรียนจะขอให้ข้าราชการครูฯ มาทำงานก่อนเวลา 08.30 น. จะมีข้าราชการครูฯ บางส่วนอ้างว่าตามระเบียบ ศธ.ระบุให้ทำงาน 08.30 น. ไม่สามารถบังคับได้ เรื่องนี้ทำให้เป็นปัญหาในการทำงานของโรงเรียน ฉะนั้น ต้องพิจารณาวันเวลาในการทำงานใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา

“อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาทบทวนเรื่องนี้ คงต้องกำหนดเวลาทำงานตามระเบียบ ศธ.ว่าด้วยกำหนดเวลาทำงานฯ คงไม่ไปเปลี่ยนแปลงเวลา เพราะเป็นมาตรฐานสากล แต่อาจจะต้องเปิดช่องให้ผู้บริหารโรงเรียนกำหนดเวลาทำงานได้ตามบริบทของแต่ละแห่ง และแต่ละพื้นที่ เพื่อให้กำหนดเวลาให้ทำงานได้ก่อน 08.30 น. ทั้งนี้ หากกำหนดให้ข้าราชการครูฯ ทำงานเร็วขึ้น ก็จะให้เลิกงานได้ก่อนเวลา 16.30 น. เพราะจะยึดเวลาทำงานวันละ 7 ชั่วโมง และสัปดาห์ละ 35 ชั่วโมง ซึ่งเรื่องนี้ต้องนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการต่อไป” นางวัชรีกล่าว
นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวว่า เรื่องนี้ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นปัญหาที่ต้องปรับปรุง ก็เสนอเข้าที่ประชุม ก.ค.ศ.เพื่อให้ออกเป็นระเบียบพร้อมกับร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการลาฯ ไปพร้อมๆ กันได้เลย

รายงานข่าวแจ้งว่า ปัจจุบันโรงเรียนหลายแห่งได้กำหนดเวลาทำงานของข้าราชการครูฯ ก่อนเวลา 08.30 น.อยู่แล้ว โดยบางโรงเรียนกำหนดเวลาทำงาน 07.30 น. และเลิกเรียน 15.30 น.
ด้านนายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 4 ในฐานะนายกสมาคม ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การที่ ก.ค.ศ.จะปรับปรุงหลักเกณฑ์โดยจะเสนอเอื้อให้โรงเรียนกำหนดเวลาทำงานของครูได้ตามสภาพของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้กำหนดให้ครูมาทำงานได้เร็วกว่า 08.30 น.นั้น ส่วนตัวเห็นด้วย แต่ควรกำหนดเป็นมาตรฐานที่ออกมาอย่างชัดเจนเพื่อให้ปฏิบัติกัน ทั้งนี้ กรณีครูที่ไม่ให้ความร่วมมือ เมื่อทางโรงเรียนขอให้มาทำงานเช้ากว่าเวลาที่กำหนดนั้น น่าจะมีอยู่บ้าง แต่คงน้อย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31910&Key=hotnews

เด็กโวย PAT 2 คำตอบถูกมากกว่า 1 สทศ.เช็กด่วน-ชี้ผิดจริงให้แต้มฟรี

5 มีนาคม 2556

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) ได้จัดวัดความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ (PAT) ระหว่างวันที่ 2-5 มีนาคมนั้น ล่าสุด พบปัญหาข้อสอบผิดพลาดวิชาความถนัดทางวิทยาศาสตร์ (PAT 2) ในส่วนของวิชาชีววิทยา โดยพบข้อสอบ 1 ข้อ มีคำตอบถูก 2 ตัวเลือก โดยข้อดังกล่าว ถามว่า เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดใดที่ทำลายเชื้อโรคด้วยวิธีฟาโกไซโทซิลเป็นหลัก และมีตัวเลือกดังนี้ 1.อิซิโนโซฟิล 2.เบโซฟิล 3.โมโนไซต์ และ 4.นิวโทรฟิลล์ ซึ่งข้อดังกล่าวมีคำตอบที่ถูกต้อง 2 ข้อ คือ ข้อ 3.โมโนไซต์ และ 4.นิวโทรฟิลล์ ขณะนี้มีนักเรียนออกมาเรียกร้องให้ สทศ.ชี้แจง ขณะเดียวกันก็ลุ้นด้วยว่าอาจจะได้คะแนนฟรีด้วย

นายสัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการ สทศ. กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ต้องให้คณะกรรมการ ผู้ออกข้อสอบวิชาดังกล่าว เป็นผู้พิจารณาความถูกต้อง ตามหลักวิชาการ หากพบว่ามีข้อผิดพลาดจริง ก็ต้องยกประโยชน์ให้เด็ก และหลังจากการสอบ GAT/PAT เรียบร้อยทุกวิชาในวันที่ 5 มีนาคม สทศ.จะตรวจสอบข้อสอบและกระบวนการเฉลยคำตอบในทุกรายวิชาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าข้อสอบมีความถูกต้อง ทั้งนี้ สำหรับการจัดสอบ GAT/PAT ตั้งแต่วันที่ 2-4 มีนาคม เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและยังไม่พบการทุจริต

นายสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร สทศ. กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากมีข้อสอบผิดพลาดจริง อาจจะยกผลประโยชน์ให้แก่นักเรียน ที่เลือกคำตอบใน 2 ตัวเลือกที่ถูกต้อง ที่ผ่านมา สทศ.ได้กำชับคณะกรรมการออกข้อสอบให้ดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดมากที่สุด ขอให้นักเรียนทุกคนไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้คะแนน แต่ขอให้รอผลการตรวจสอบก่อนว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามสำหรับปัญหาเรื่องข้อสอบ กระดาษคำตอบ ยอมรับว่าปีนี้มีปัญหาหลายครั้ง ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการบริหาร สทศ.กำลังดำเนินการคัดเลือกคณะกรรมการขึ้นพิจารณาข้อสอบ เพื่อแก้ปัญหาข้อสอบที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31909&Key=hotnews

มหา’ลัยบีบน.ศ.เซ็นรับความเสี่ยงจบแล้วแห้วใบวิชาชีพ-ป้องกันเด็กฟ้อง สกอ.แก้ไม่ตก’ม.’แห่เปิดหลักสูตรเถื่อน

5 มีนาคม 2556

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ขอให้สภาวิชาชีพทั้ง 13 สาขา ไปทำข้อตกลงเพื่อแก้ปัญหากรณีสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งเปิดรับนักศึกษาก่อนสภาวิชาชีพจะรับรองหลักสูตร ทำให้เมื่อจบหลักสูตรแล้วนักศึกษาไม่สามารถไปขอใบประกอบวิชาชีพได้นั้น ยอมรับว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เนื่องจากสภาวิชาชีพแต่ละแห่งต่างยึดตามหลักเกณฑ์มาตรฐานของตัวเอง โดยเฉพาะสัตวแพทยสภา และสภาเทคนิคการแพทย์ ที่ยังไม่ยอมปรับรายละเอียดขั้นตอนในการรับรองหลักสูตร อาทิ สัตวแพทยสภา กำหนดว่า มหาวิทยาลัยที่จะเปิดหลักสูตรสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยจะต้องเปิดโรงพยาบาลก่อน เพื่อรองรับการฝึกงานของนักศึกษา ทั้งที่ไม่จำเป็นเพราะมหาวิทยาลัยสามารถทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญและส่งเด็กไปฝึกสอนได้ ขณะที่สภาเทคนิคการแพทย์ จะเข้ามากำหนดเรื่องคุณสมบัติของอาจารย์ผู้สอน ทั้งที่เป็นหน้าที่ของ สกอ. เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายในการรับรองหลักสูตร เท่าที่ทราบการออกไปตรวจรับรองแต่ละครั้ง มหาวิทยาลัยจะต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งค่าเดินทาง ค่าตรวจเยี่ยม ร่วมถึงค่ารับรองหลักสูตร ซึ่งบางสภาวิชาชีพเรียกเก็บค่ารับรองหลักสูตรในแต่ละรอบเกือบ 1 แสนบาท ทั้งที่เงินจำนวนดังกล่าวมหาวิทยาลัยไม่ควรต้องจ่าย
นพ.กำจรกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม จากการหารือสภาวิชาชีพส่วนใหญ่ยอมผ่อนคลายข้อกำหนดต่าง ให้มหาวิทยาลัยสามารถเปิดการเรียนการสอนได้สะดวกขึ้น แต่ส่วนตัวยังเห็นว่าหากจะแก้ปัญหา ควรต้องกำหนดลงไปในกฎหมายให้ชัดเจนว่า สภาวิชาชีพมีอำนาจอะไรในการเปิดหลักสูตรของมหาวิทยาลัยได้บ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาว่ามหาวิทยาลัยไปเปิดสอน ก่อนที่จะได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพ ซึ่งขณะนี้ที่น่าห่วงคือ มีมหาวิทยาลัยบางแห่งไปเปิดสอนหลักสูตรที่ต้องได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพ โดยทำข้อตกลงกับนักศึกษาให้ยอมรับไว้ก่อนว่า เมื่อจบแล้วอาจจะไม่ได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพ ซึ่งเท่ากับว่านักศึกษาเองเป็นผู้เสียประโยชน์
“สภาวิชาชีพควรมีบทบาทในการกำกับดูแลมาตรฐานวิชาชีพ ไม่ใช่ไปกำกับหลักสูตร โดยสามารถประเมินได้จากนักศึกษา และประสบการณ์การทำงาน เช่น แพทยสภาจะประเมินว่าผู้ที่จบแพทย์ สามารถรักษาได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่ดูว่าจบจากสถาบันใด ขณะที่การกำกับหลักสูตรให้เป็นไปตามมาตรฐานนั้น เป็นหน้าที่ของ สกอ. จากนี้ สกอ.คงทำหน้าที่สอดส่องดูแลการจัดการศึกษาต่อไป และหากเกิดปัญหา ก็แก้ไขเป็นรายกรณี แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ นักศึกษาจะต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจเข้าเรียน เช่น สภาวิชาชีพรับรองหลักสูตรแล้ว แต่ยังไม่รับรองสถาบัน และหากสถาบันไม่ได้รับการรับรอง จะมีผลให้นิสิตนักศึกษา ไม่สามารถสอบเพื่อขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพได้” นพ.กำจรกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31908&Key=hotnews

‘ศธ.’ลุ้น’ดีเอสไอ’ชี้ผลสอบครูผู้ช่วย ปัดไร้ข้อมูล 7 ผอ.ร่วมขบวนทุจริต

5 มีนาคม 2556

“ศธ.”ลุ้นดีเอสไอสรุปผลสอบทุจริตครูผู้ช่วยก่อนประชุมใหญ่”ก.ค.ศ.”หวังชงเป็นปัจจัยหนุนเลื่อนสอบบรรจุครูทั่วไปลอตใหญ่ “เสริมศักดิ์” ปัดไม่รู้ข้อมูล 7 ผอ.อีสานเอี่ยวทุจริต คาดมีผู้ร่วมทำผิดกว่าพันราย เลขาธิการ กพฐ. แจงส่งข้อสอบทางไปรษณีย์กันส่งผิดที่เตือนคนกล่าวหา สพฐ. เอี่ยวทั้งที่ไร้หลักฐานไม่เหมาะ”พงศ์เทพ” แบ่งรับแบ่งสู้ส่วนกลางหรือเขตพื้นที่ฯจัดสอบเองก็มีปัญหาไม่ต่างกัน

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.56 นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการเปิดเผยว่า ขณะนี้ยังรอผลการสอบสวนกรณีปัญหาการทุจริตสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ และบุคลากร ทางการศึกษาในตำแหน่งครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) อยู่และคาดว่าจะได้รับผลสอบสวนทันก่อนการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในวันที่13 มี.ค.56ซึ่งจะมีการเสนอให้มีการเลื่อนการสอบครูผู้ช่วยกรณี ทั่วไปด้วย ส่วนที่จะมีการสอบผู้อำนวยการโรงเรียน ที่เกี่ยวข้อง 7 แห่งนั้น ไม่ทราบข้อมูลว่ามีที่ใดบ้าง แต่เข้าใจว่าจะเป็นการเรียกสอบเพื่อดูความเชื่อมโยงในส่วนต่างๆและต้องตรวจสอบให้ได้ข้อ เท็จจริงโดยเฉพาะการรั่วของข้อสอบว่ารั่วตรงจุดไหนและมีการดำเนินการที่รัดกุมหรือไม่

ทั้งนี้การสอบครูผู้ช่วยที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่มีการบรรจุไปกันหมดแล้ว แต่ถ้าตรวจสอบพบว่าไม่ถูกต้องก็สามารถยกเลิกได้ โดยส่วนตัวประเมินจากข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมาน่าจะมีผู้ที่เข้าขบวนการทุจริตนี้เกือบ 1,000 คน จากอัตราที่บรรจุประมาณ 2,000 คน เช่น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นภาคใหญ่ พนักงานราชการจะไปสอบในภาคอื่นกัน
ด้านนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.)กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในการสอบครูผู้ช่วยเรื่องเริ่มจะขมวดมาเรื่อยๆและข้อมูลที่สนามสอบ สพป.ขอนแก่นเขต 3 ก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้น คงไม่ใช่แค่การมีคนไปนั่งสอบแทนเท่านั้น แต่จะเกี่ยวกับผังที่นั่งต่างๆ ด้วย ซึ่งทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกำลังตรวจสอบในส่วนนี้เพื่อดูผังที่นั่ง และคะแนนจะมีความชัดเจนว่าใครเป็นใคร และมีการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่ โดยทั้งหมดนี้เหมือนมีการจัดการในห้องสอบ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะมีการส่งไปยังดีเอสไอ และน่าจะมีการเจาะข้อมูลไปเรื่อยๆ และจะมีความชัดเจนขึ้นทุกวัน ทั้งนี้จากการประเมินของ สพฐ.คาดว่ากรณีของผู้ที่เข้า ไปสอบแทนอยู่ในหลักสิบคนไม่ใช่หลักร้อย

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่าสำหรับการสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ที่ สพฐ.เลือกที่จะจัดส่งข้อสอบทางไปรษณีย์ เป็นเพราะว่าการสอบก่อนหน้านี้มีปัญหาการจัดส่งมาก และมีความทุลักทุเลเนื่องจากข้อสอบใส่ซองผิด และส่งไปผิดที่ ฉะนั้นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะมุ่งมาแก้ปัญหาและคิดว่าการจัดส่งต้องมีหลักประกันที่เชื่อมั่นจึงเป็นที่มาให้ทางไปรษณีย์มาจัดส่ง ส่วนการแบ่งข้อสอบออกเป็น 4 วิชาได้แก่ วิชาความรอบรู้ วิชาความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง วิชาความถนัดและเจตคติต่อวิชาชีพครู และวิชาความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติต่อวิชาชีพครู ส่วนละ 50 ข้อ รวม 200 ข้อนั้นจะต้องมีการแยกอยู่แล้วเพราะเป็นคนละวิชา ซึ่งทาง สพฐ.จะใช้วิธีการสุ่มข้อสอบในคลัง 15,000 ข้อใน 4 วิชา ฉะนั้นจะไม่มีการรวม 200 ข้อไว้ด้วยกัน เพื่อให้แต่ละชุดแต่ละวิชามีความอิสระจากกันจะไม่รู้ว่าชุดไหนจะมาอย่างไร ซึ่งในการจัดสอบนั้นไม่สามารถรวม 200 ข้อแล้วให้สอบรวดเดียวได้เพราะมีการแบ่งการสอบตาม 4 วิชา

อย่างไรก็ตามที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการแบ่งข้อสอบออกเป็น 4 ส่วนและแยกสอบจะเป็นมูลเหตุให้มีการจำเฉลยคิดว่าก็คงลำบาก เพราะในคู่มือการสอบต่างๆ ก็ระบุระเบียบชัดเจนในการสอบว่าห้ามนำเครื่องมือสื่อสาร อาทิ โทรศัพท์มือถือเข้าไป ซึ่งกรณีที่มีการปล่อยให้นำเข้าไปถือเป็นความบกพร่องในกระบวนการสอบของผู้ที่คุมสอบ โดยกรณีของคณะกรรมการคุมสอบที่ สพป.ขอนแก่นเขต 3 ได้รับแจ้งว่ากำลังได้ใกล้ข้อสรุปว่าจะมีความผิดทางวินัยมากขนาดไหน

เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจมีข้าราชการระดับสูง สพฐ. เข้าไปเกี่ยวข้อง เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่ายังมองไม่ชัดเจนว่าจะมาอะไรอย่างไร ถ้าพูดกันลอยๆ และเพื่อให้กระทบชิ่งหน่วยงานและเกิดความเสื่อมเสียและขาดความเชื่อมั่นก็ไม่ดี เพราะการพูดลอยๆและขาดหลักฐานก็ไม่สมควร
ด้าน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนารมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้มีการนัดประชุมคณะกรรมการก.ค.ศ.นัดพิเศษในวันที่ 13 มี.ค.นี้ เพื่อพิจารณาผลการสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ที่ก.ค.ศ.ตั้งขึ้น กรณีที่พบว่ามีพนักงานราชการ มีชื่อเข้าสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยซ้ำที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.)ขอนแก่น เขต 3 และสพป.นครปฐม เขต 1 ส่วนจะมีวาระเรื่องการพิจารณายกเลิกการสอบครูผู้ช่วยหรือไม่นั้นตนยังไม่แน่ใจว่าทางดีเอสไอจะสามารถสรุปผลการสอบสวนส่งมาทันก่อนการประชุมหรือไม่ หากทันก็จะนำเข้าบรรจุเป็นวาระในการพิจารณาด้วย สำหรับการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยทั่วไปประจำปี 2556 ที่จะมีขึ้นในเดือน เม.ย.นั้นตนยังไม่แน่ใจว่าจะเตรียมการได้ทันหรือไม่ เพราะการให้ส่วนกลางจัดสอบก็มีปัญหา หากกระจายให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่จัดสอบก็จะเจอปัญหาอีกแบบ ดังนั้นคงต้องมีการพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมก่อนที่จะจัดสอบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31905&Key=hotnews

มก.ตั้งเป้าพัฒนางานวิจัย

5 มีนาคม 2556

นายศรปราชญ์ ธไนศวรรยางกูร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า เนื่องจากมก.เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ที่มุ่งพัฒนาสนับสนุนงานวิจัย จึงตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปี จะพัฒนางานวิจัยให้อยู่ในอันดับ 200 ของโลก โดยเริ่มส่งเสริมงานวิจัยในสาขาที่มหาวิทยาลัยมีศักยภาพ อาทิ อาหาร เกษตร เทคโนโลยี วิศวกรรม และซอฟต์แวร์ต่างๆ เป็นต้น ถึงแม้รัฐบาลจะวางงบประมาณงานวิจัยปี’57 โดยตีกรอบการลงทุนให้เป็น 1 เปอร์เซ็นต์ ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ดังนั้น ในอนาคตการที่รัฐจะสนับสนุนงบฯวิจัยให้มหาวิทยาลัยคงไม่ใช่เรื่องง่าย มก.จึงจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญ มาสร้างเครือข่ายแสวงหางบฯวิจัยภายนอก รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของนักวิจัยรุ่นใหม่ให้มากขึ้น

ด้านนายวิษณุ อรรถวานิช ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มก. เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยจำเป็นต้องวางระบบบริหารจัดการ ส่งเสริม พัฒนาศักยภาพอาจารย์ให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบที่เอื้อหรือจัดสรรเวลาให้อาจารย์ได้ทำงานวิจัย เพราะตอนนี้หลายคณะของ มก.เปิดหลักสูตร และโครงการพิเศษมากขึ้น ส่งผลให้อาจารย์ทำงานวิจัยน้อยลงและสอนมากขึ้น ยิ่งอนาคตหากเปลี่ยนสถานภาพไปอยู่ในกำกับของรัฐ จะทำให้คณะมีอิสระเปิดหลักสูตรมากขึ้น หากมก.ไม่วางระบบที่เอื้อให้อาจารย์ทำงานวิจัย เชื่อว่าอนาคตงานวิจัยของ มก.น้อยลงอย่างแน่นอน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31906&Key=hotnews

 

สพฐ.เล็งเฟ้น 10 รางวัลครูเกียรติยศ เร่งเกณฑ์ประเมินยกย่องผู้เสียสละ-เพิ่มเครดิต

4 มีนาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวถึงการจัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ครั้งที่ 62 ว่า การจัดงานผ่านไปด้วยดี ผลงานนักเรียนเป็นที่น่าพอใจ และทุกเขตพื้นที่การศึกษาให้ความสนใจ โดยมีโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาศึกษา (สพป.) ศรีสะเกษ เขต 2 ได้รับเหรียญรางวัลจากการส่งผลงานนักเรียนเข้าแข่งขันมากที่สุด ขณะที่โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา มัธยมศึกษา (สพม.) เขต 35 ได้รับเหรียญรางวัลมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งจากผลการแข่งขันนี้ สพฐ.จะมาวิเคราะห์หาจุดอ่อนเขตที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ และต่อยอดนักเรียนที่ได้รับรางวัลเหรียญทองในด้านวิชาการ 8 กลุ่มสาระวิชาหลัก ด้านภาษา ศิลปหัตถกรรม โดยจะจัดทำฐานข้อมูลพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพมากขึ้น เชื่อมโยงกับการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะอัจฉริยะภาพเด็ก ซึ่งในปีนี้เริ่มจัดตั้งแล้ว 9 ศูนย์

เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในปีการศึกษา 56 สพฐ.จะกำหนดให้มีรางวัล Hero Obec หรือ ‘คนดีศรีสพฐ.’ ขึ้น โดยแสวงหาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีอุดมการณ์ทุ่มเท และเสียสละ เพื่อนักเรียนและการศึกษา ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ โดยกำหนดขึ้นมา 10 รางวัล แบ่งเป็นครูสายผู้สอน 4 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 1 รางวัล และผู้บริหารสถานศึกษา 4 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 1 รางวัล และที่เหลืออีก 2 รางวัล คือ รางวัลบุคลากร 38 ค (2) บุคลากรประจำเขตพื้นที่การศึกษา 1 รางวัล และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมฯ และมัธยมฯ 1 รางวัล
“ขณะนี้สพฐ.กำลังดำเนินการจัดทำเกณฑ์ในการประเมินให้คะแนนต่างๆ อยู่ โดยผู้ที่จะได้รับรางวัลเหล่านี้จะสมัครขอรับรางวัลไม่ได้ ต้องให้เสนอชื่อและมีกรรมการไปประเมิน ซึ่งจะประกาศและมอบรางวัลในวันสถาปนาสพฐ.ในเดือนก.ค.นี้ รางวัลดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปสู่การประเมินวิทยฐานะเหมือนรางวัล Obec Awards แต่ผู้ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศนี้จะถือเป็นเครดิต เป็นประโยชน์ต่อการเจริญก้าวหน้าต่อไป” นายชินภัทรกล่าว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31894&Key=hotnews

สื่อการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ในโลกยุคดิจิตตอล

4 มีนาคม 2556

ฟาฏินา วงศ์เลขา

ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลส่งผลให้สื่อการเรียนการสอนมีความทันสมัยมากขึ้น ครูยุคใหม่จึงต้องรู้จักใช้ยุทธวิธีที่หลากหลายเป็นตัวกลางสำคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสีสันดึงดูดใจเปิดโลกการเรียนรู้ที่กว้างไกลให้กับผู้เรียนด้วยสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่และต้องคำนึงว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศหรือการสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วทุกมุมโลกในเวลาอันรวดเร็ว

ในการจัดการเรียนการสอนยุคใหม่นั้น นอกจากครูผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของแนวคิดหลักแห่งวิชาชีพครูและเนื้อหาสาระวิชาที่สอนแล้วยังจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเครื่องมือที่จะใช้แสวงหาความรู้เพื่อช่วยเติมเต็มความรู้ให้กับผู้เรียนเกิดทักษะ ความรู้ สร้างสรรค์ประสบการณ์ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้อันจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนทุกคน ดังนั้นสื่อการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นสื่อบุคคล วัสดุ อุปกรณ์ ตลอดจนเทคนิควิธีการล้วนเป็นสื่อกลางที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ได้ง่ายและรวดเร็ว จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญยิ่งที่จะนำความต้องการของครูผู้สอนไปสู่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และที่สำคัญคือครูผู้สอนต้องรู้จักเลือกสรรสื่อการเรียนรู้ที่จะนำไปใช้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ปัจจุบันมีสื่อการเรียนรู้รูปแบบสมัยใหม่มากมายให้เลือกใช้ ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกสื่อการเรียนรู้ที่ดีมีคุณภาพ เช่น สื่อที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องที่สอนตรงตามวัตถุประสงค์ เนื้อหาถูกต้อง ทันสมัย น่าสนใจ และส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กมากที่สุด ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ ได้ดีเป็นลำดับขั้นตอน เหมาะสมกับวัย ระดับชั้น ความรู้ และประสบการณ์ของผู้เรียน เป็นสื่อที่มีคุณภาพ สะดวกไม่ซับซ้อนยุ่งยากจนเกินไป หรือหากผลิตสื่อการเรียนการสอนเองควรคุ้มกับเวลาและการลงทุน เป็นต้น สำหรับสื่อการเรียนรู้ที่มีบทบาทในแวดวงการศึกษาในสังคมยุคข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ เช่น สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI (Computer Assisted Instruction) เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นลักษณะการนำเสนอที่มีทั้งตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรียนรู้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีการแสดงผลการเรียนให้ผู้เรียนทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อนกลับ บางครั้งอาจเรียกว่า “บทเรียนสำเร็จรูป” แต่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางแทนสิ่งพิมพ์หรือสื่อประเภทอื่น

บทเรียนออนไลน์ หรือ E-Leaning จึงเป็นบทเรียนแห่งการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดเนื้อหาสาระผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning) การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม การเรียนด้วยวิดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่ผู้เรียนอาจเลือกเรียนตามความสามารถและความสนใจ เป็นวิธีการที่ผู้สอน ผู้เรียน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนสามารถติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยการติดต่อสื่อสารในรูปแบบของ E-mail, Webboard, Chat

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Book (Electronic Book) เป็นหนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์ เป็นสื่อที่สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และที่สำคัญคือ E-Book สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายในสื่อที่เป็นหนังสือหรือสื่อสิ่งพิมพ์
เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับพกพา หรือ Tablet PC ปัจจุบันเริ่มมีหลายประเทศได้นำมาใช้ในแวดวงการศึกษาโดยให้นักเรียนใช้แทนหนังสือในรูปแบบเดิมมากขึ้น เพราะเห็นว่า Tablet PC สามารถช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์ตำราเรียนได้ Tablet PC สามารถบรรจุหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกเก็บไว้ในรูปดิจิตอลได้เป็นจำนวนมาก โดยผู้อ่านสามารถเลือกเล่มไหนขึ้นมาอ่านก่อนก็ได้ อีกทั้งสามารถแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหาได้ตลอดเวลา และที่สำคัญ Tablet PC สามารถเชื่อมโยงให้ผู้สอนและผู้เรียนติดต่อสื่อสารกันผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตได้ ช่วยทำให้ข้อจำกัดเรื่องสถานที่ในการเรียนการสอนหมดไป

กระดานอัจฉริยะ หรือ Interactive Board เป็นกระดานระบบสัมผัสที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็นหน้าจอโปรเจคเตอร์คอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถควบคุมโดยการสัมผัสหรือเขียนบนหน้าจอโดยตรงแทนการใช้เมาส์หรือคีย์บอร์ด สามารถสั่งพิมพ์ บันทึกข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ หรือส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งได้นำมาใช้ในโรงเรียน แทนกระดานไวท์บอร์ดแบบเดิม กระดานอัจฉริยะเป็นสื่อไฮเทคที่มีประโยชน์มากสำหรับโลกของการศึกษาในปัจจุบัน และอนาคต
ในยุคแห่งโลกการสื่อสารที่ไร้พรมแดนแบบนี้ต้องยอมรับว่า การมีสื่อการเรียนรู้รูปแบบที่ทันสมัยได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในแวดวงการศึกษา เป็นสื่อมีชีวิตที่สามารถดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจใฝ่เรียนรู้ที่จะนำไปสู่การเปิดโลกการเรียนรู้ที่กว้างไกล อย่างไรก็ตาม แม้สื่อในรูปแบบใหม่เหล่านี้จะมีประโยชน์ที่จะช่วยเติมเต็มความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในการเรียนรู้ต่อผู้เรียน แต่ครูผู้สอนก็ยังคงมีความสำคัญในการชี้นำแนะทางที่ถูกต้องเหมาะสมและต้องเลือกสรรสื่อการเรียนรู้ที่จะเกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 5 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31895&Key=hotnews

 

พงศ์เทพเล็งเลื่อนสอบครูผู้ช่วย รอให้ผลเชือดขบวนการโกงออกมาก่อน/ดีเอสไอลงอีสานหาข้อมูลเพิ่ม

4 มีนาคม 2556

กรุงเทพฯ * โกงสอบครูผู้ช่วยพิเศษ กระทบการสอบครูผู้ช่วยทั่วไป “พงศ์เทพ” เห็นด้วยเลื่อนสอบออกไปก่อนจากกำหนดเดิมเดือน เม.ย. ชี้ควรรอให้การสอบสวนขบวนการโกงสอบครูผู้ช่วยสุดฉาวเสร็จสิ้น ส่วนการจัดสอบใหม่ต้องกำจัดจุดอ่อน หาวิธีที่รัดกุมโปร่งใสยิ่งขึ้น ด้านดีเอสไอลงพื้นที่อีสานหาข้อมูลเพิ่ม เจาะลึกขบวนการโกงใครเอี่ยวบ้าง

วันที่ 3 มีนาคม 2556 นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบพบทุจริตการสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีที่มีความจำเป็นพิเศษหรือเหตุพิเศษ หรือ ว12 ซึ่งตรวจพบว่าอาจมีผู้บริหารระดับสูงในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เกี่ยวข้อง ขณะที่นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เตรียมเสนอให้เลื่อนการสอบบรรจุข้าราชการครูทั่วไปในเดือน เม.ย.นี้ออกไปก่อน ว่า แนวคิดของนายเสริมศักดิ์เป็นเรื่องที่ดี เพราะต้องตรวจสอบการทุจริตกรณีที่เกิดขึ้นนี้ให้เรียบร้อยก่อน เพื่อจะได้ดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีจุดบกพร่องที่ใด จะได้อุดจุดบอดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก และจัดระบบการสอบครั้งใหม่ให้รัดกุมโปร่งใส เพื่อไม่ให้มีใครได้เปรียบเสียเปรียบหรือมีใครรู้ข้อสอบก่อน อย่างไรก็ตามตนขอรอการตรวจสอบจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก่อน ซึ่งคิดว่าอีกไม่นาน

รมว.ศธ.กล่าวอีกว่า สำหรับข้อซักถามว่าในส่วน ศธ.จะตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีที่เกิดขึ้นหรือไม่ กรณีอาจมีผู้บริหารระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ขณะนี้ดีเอสไอเป็นองค์กรจากภายนอกที่ตรวจสอบอยู่ และเราก็เชื่อว่าข้อมูลจากดีเอสไอเป็นกลางที่สุด หากให้ ศธ.หรือ สพฐ.ตรวจสอบเอง สาธารณชนอาจเกิดความคลางแคลงใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในสัปดาห์นี้ดีเอสไอนำโดยนายธานิน เปรมปรีดิ์ รอง ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 ดีเอสไอ พร้อมชุดสอบสวนจะลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดต่างๆ ที่มีการเปิดสอบครูผู้ช่วย เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานให้ชัดเจนทั้ง 3 ประเด็น ทั้งการให้ท่องเฉลยข้อสอบการเข้าห้องสอบ การใช้เครื่องมือสื่อสารติดต่อส่งคำตอบ และการเข้าสอบแทน แต่จะทำกันทุกเขตทุกพื้นที่หรือไม่ต้องสืบหาขบวนการในเชิงลึกต่อไป และตรวจสอบเส้นทางการเงินในส่วนของการเรียกรับเงินจากผู้เข้าสอบหัวละ 500,000 บาท.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31892&Key=hotnews

 

ใช้งบ 150 ล้าน พัฒนาอาชีวะขนาดเล็ก ต้องทำทุกอย่างตั้งแต่สถานที่ถึงตัวบุคคล

4 มีนาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา( กอศ.)เปิดเผยถึงการพัฒนาวิทยาลัยอาชีวศึกษาขนาดเล็ก ว่า จะใช้งบ 150 ล้านบาท ภายใน 3 ปี โดยในปี 2556 สถานศึกษาขนาดเล็กจะได้รับการจัดสรรงบฯจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อไปใช้ในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนและอุปสรรคต่อการจัดการเรียนการสอน ปรับปรุงสถานศึกษา พัฒนาระบบการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เรียน พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ครูและบุคลากร เพื่อยกระดับการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานทัดเทียมกับสถานศึกษาขนาดกลางและขนาดใหญ่ ให้สามารถเข้าสู่การประกันคุณภาพภายในและประกันภายในและประกันคุณภาพภายนอก สมศ. รวมถึงเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านกำลังคน เพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า วิทยาลัยอาชีวศึกษาขนาดเล็กยังมีความจำเป็นในบางพื้นที่ และจำเป็นจะต้องขยายไปในพื้นที่ห่างไกลพร้อมทั้งจะต้องพัฒนาให้มีระบบการเรียนการสอนที่มีความโดดเด่น โดยนำนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน ไปประยุกต์ใช้ ซึ่งได้แก่ 1. การเรียนการสอนระบบทวิภาคี 2. การเรียนการสอนอิงลิชโปรแกรม 3. การเรียนการสอนเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่นเปิดสอนระบบการขนส่ง หรือโลจิสติกโอท็อป การค้าระหว่างประเทศ 4. การเรียนการสอนเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มคนพิการ ผู้สูงวัย 5.เปิดเป็นโครงการฐานวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31893&Key=hotnews