ถกเกณฑ์จัดสรรกองทุน

4 มีนาคม 2556

นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ครั้งที่ 1/2556 ที่ประชุมเห็นชอบเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาและการพัฒนาแผนงานวิชาการ ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 คณะ คือ 1.คณะอนุกรรมการสนับสนุนด้านการพัฒนาแผนงานและวิชาการ 2.คณะอนุกรรมการสนับสนุนภารกิจด้านการเงินและการจัดสรรกองทุน และ 3.คณะอนุกรรมการสนับสนุนด้านการกำกับติดตามประเมินผลการดำเนินงานกองทุน ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จ่ายค่าตอบแทนในการประชุมแก่คณะอนุกรรมการกองทุนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาและพัฒนาแผนงานวิชาการ 3 คณะ โดยอิงหลักเกณฑ์ อัตรา และรายละเอียดองค์ประกอบตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการปี 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ปลัดศธ. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนโครงการซึ่งประกอบด้วยสาระ 8 หัวข้อ และแนวทางการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองทางวิชาการโครงการที่เสนอขอรับการจัดสรรเงินกองทุนและการจ่ายค่าตอบแทนในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ รวมถึงการพิจารณาการปรับตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินกองทุนฯเป็นพนักงานกองทุน โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับพนักงานราชการ

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31890&Key=hotnews

ร.ร.เร่งติวโอเน็ตตั้งเป้าคะแนนเพิ่ม จี้สทศ.พัฒนาครูออกข้อสอบ-ฝึกเด็กวิเคราะห์

4 มีนาคม 2556

นายวิโรจน์ กล่ำกล่อมจิตต์ ผอ.โรงเรียนบ้านห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวถึงการนำคะแนนแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) มาใช้เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม อาทิ การเข้าเรียนต่อในระดับต่างๆ การประเมินวิทยฐานะของครูและผู้บริหารว่า ขณะนี้โรงเรียนขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ต่างเร่งดำเนินการพัฒนาคะแนนโอเน็ตของนักเรียนให้ดีขึ้น ในส่วนของโรงเรียนบ้านห้วยมงคล ได้จัดค่ายวิชาการให้แก่นักเรียนที่เตรียมสอบโอเน็ต โดยจัดติว 2 ชั่วโมงในช่วงเย็นของทุกวัน

แต่ก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น โรงเรียนจึงจำเป็นต้องหาวิธีการอื่นที่จะส่งเสริมให้นักเรียนมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป โดยภาคเรียนที่ 2 ซึ่งเป็นฤดูการสอบโอเน็ต นักเรียนที่เตรียมตัวสอบจะเสียโอกาสในบางเรื่อง เช่น การเสริมอาชีพให้กับนักเรียนซึ่งมีช่วงเวลาตรงกัน การให้ความสำคัญกับคะแนนโอเน็ตเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่เช่นนั้นนักเรียนจะไม่ตั้งใจสอบ โดยปีนี้ตั้งเป้าว่าจะต้องพัฒนาให้คะแนนในภาพรวมของโรงเรียนเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์
ผอ.โรงเรียนบ้านห้วยมงคลกล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้อยากให้สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) จัดอบรมการออกข้อสอบให้กับครูทั่วประเทศ เพราะขณะนี้มีปัญหาอยู่ที่การออกข้อสอบของครูที่จะใช้ประเมินเด็กในแต่ละชั้นเรียน เนื่องจากทั้งหมดยังใช้แนวข้อสอบแบบเก่าๆ คือนำความรู้จากหนังสือเรียนมาถามตรงๆ ไม่ได้เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์ให้กับนักเรียน ทำให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ไม่เป็น

“ผิดกับแนวการออกข้อสอบของ สทศ.ที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหาก สทศ.จัดอบรมให้ความรู้แก่ครูเกี่ยวกับแนวทางการออกข้อสอบว่าเป็นอย่างไร โรงเรียน และสทศ.จะสามารถก้าวไปพร้อมๆ กันได้ แต่หากครูไม่ได้รับการอบรมที่ถูกต้อง เหมือนต่างคนต่างเดิน โรงเรียนจะตามไม่ทันอย่างแน่นอน” ผอ.โรงเรียนบ้านห้วยมงคลกล่าว

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31889&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: การบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้ ซึ่งอยู่ระหว่าง รับราชการทหาร

4 มีนาคม 2556

ศรีชัย พรประชาธรรม ผอ.ภารกิจนโยบายและระบบบริหารงานบุคคล ตามที่สำนักงาน ก.ค.ศ.ได้แจ้งหลักเกณฑ์และวิธีการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย ให้ส่วนราชการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยงานการศึกษาทราบและถือปฏิบัติแล้ว ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.6 / ว 14 ลงวันที่ 25 เมษายน 2555 และได้มีการสอบแข่งขันไปแล้วเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2555 โดยในการสอบแข่งขันแต่ละครั้งก็จะมีผู้สมัครสอบแข่งขัน เช่น ผู้สมัครสอบแข่งขันที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาใหม่ ผู้ที่ทำงานในภาคเอกชน หรือผู้ซึ่งรับราชการทหารกองประจำการ เมื่อมีการสอบแข่งขันและประกาศผลการสอบแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการเรียกผู้สอบแข่งขันได้ให้มารายงานตัวเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในการเรียกมารายงานตัวนั้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ได้มีข้อหารือกรณีที่ผู้สอบแข่งขันได้มารายงานตัว เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย แต่ผู้สอบแข่งขันได้ซึ่งมารายงานตัวอยู่ระหว่างรับราชการทหารกองประจำการ ว่าจะขออนุมัติบรรจุและแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ผู้ช่วย เมื่อพ้นจากการรับราชการทหาร โดยระหว่างรับราชการทหารไม่เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงได้หรือไม่

กรณีหารือดังกล่าว ก.ค.ศ.พิจารณาแล้ว มีมติอนุมัติให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาบรรจุและแต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้ ซึ่งได้มารายงานตัวภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย แต่อยู่ระหว่างรับราชการทหาร โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้สอบแข่งขันได้ดังกล่าว ต้องพ้นจากราชการทหารแล้ว และได้ยื่นคำขอภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พ้นจากราชการทหาร โดยต้องมีเอกสารหลักฐานที่รับรองว่า ในระหว่างรับราชการทหาร มิได้กระทำการใดๆ จนเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงระหว่างรับราชการทหาร และเป็นผู้มีคุณสมบัติทั่วไป ตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 โดย ไม่ต้องเสนอขออนุมัติ ก.ค.ศ.

จะเห็นได้ว่า ก.ค.ศ. ให้ความสำคัญในการสรรหาบุคคล เพื่อให้ได้คนดี คนเก่ง และคุณสมบัติดี สำหรับการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา แม้ผู้สอบแข่งขันได้จะรับราชการทหารกองประจำการอยู่ก่อนแล้ว และยื่นคำขอเข้ารับการบรรจุและแต่งตั้ง ก.ค.ศ. ก็ยังต้องดูถึงประวัติการรับราชการในด้านความประพฤติ เพราะต้องการได้ข้าราชการครูที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อสร้างเยาวชนพลเมืองของชาติที่มีความรู้ความสามารถควบคู่กับการมีคุณธรรมจริยธรรมในอนาคต

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31888&Key=hotnews

สภาพัฒน์เบรกตั้งว.อาชีวะเพิ่ม 50 แห่ง

4 มีนาคม 2556

สภาพัฒน์เบรกตั้งวิทยาลัยอาชีว ศึกษาเพิ่มกว่า 50 แห่ง เพราะประชากรวัยเด็กลดลง ส่วนวัยแรงงานปัจจุบันก็เข้าสู่ช่วงสูงอายุ แนะไปหาวิธีส่งเสริมอาชีพให้คนสูงวัย หรือเพิ่มคุณภาพและทักษะภาษาอังกฤษแข่งดีกว่า

นางสุวรรณี คำมั่น รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ กล่าวในการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ” จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แต่คนในสังคมยังไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร ขณะเดียวกันรูปแบบการจ้างงานก็เปลี่ยนแปลงไป มีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปต่างประเทศ หรือแรงงานต่างชาติไหลเข้าสู่ประเทศ เมื่อโครงสร้างประชากรของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กลับมีนโยบายจะตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษาเพิ่มขึ้นอีกกว่า50 แห่ง มาสอนด้านเทคนิคหรือวิชาช่าง ตนมองว่าคงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เพราะหากเรามีประชากรเกิดใหม่ลดลง วัยแรงงานก็ก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ส่วนคนรุ่นใหม่ก็นิยมทำงานที่บ้านดังนั้นคงต้องไปมุ่งเน้นที่คุณภาพและนวัตกรรมของแรงงาน รวมทั้งการเพิ่มทักษะด้านภาษาอังกฤษ
รองเลขาธิการสภาพัฒน์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีประชากรปี 2553 จำนวน 63.8 ล้านคน มีผู้สูงอายุสัดส่วน 20% ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรเด็ก ฉะนั้นการเปิดสถานศึกษาแต่ละระดับเพิ่มจะต้องคิดให้รอบคอบ เพราะตลาดแรงงานของเราเล็กลง เราอาจต้องหาแนว ทางการส่งเสริมอาชีพคนไทยที่เหมาะสมกับโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปอาทิ ส่งเสริมอาชีพของผู้หญิง ผู้สูงอายุ เป็นต้นขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมจะต้องคำนึงถึงการจ้างแรงงานผู้สูงอายุด้วยตั้งแต่บัดนี้ ส่วนเรื่องปัญหาแรงงานที่ลดลงก็เป็นโจทย์สำคัญที่ท้าทายศธ.และองค์กรหลักทุกองค์กรที่ต้องไปดู โดยเฉพาะการต้องดึงชาวต่างชาติเข้ามาเรียนมากขึ้น เพราะหากเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษแล้วมีแต่คนไทยเรียน ก็ไม่เพิ่มมูลค่าแต่อย่างใด

ขณะที่ ดร.ชุมพล พรประภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน สกศ. กล่าวว่า การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติที่ช้านั้น เนื่องจากภาพรวมคุณภาพการศึกษาพื้นฐานไม่เอาไหน และผลพวงของปัญหาได้แผ่ขยายไปยังระดับการศึกษาที่สูงขึ้นทั้งอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาจนแย่ไปหมด อย่างไรก็ตาม หากจะขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติให้สำเร็จนั้น จะต้องไปแก้การศึกษาทั้งระบบ อย่างระดับอาชีวศึกษาก็ควรต้องเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ทั้งหมด เพื่อจะผลิตกำลังคนให้ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ ภาคเอกชนมากที่สุด

ส่วนสถาบันการอาชีวศึกษาที่จะเกิดขึ้นใหม่19 แห่งนั้น มองว่า รมว.ศึกษาธิการต้องเข้ามามีบทบาทในการคัดเลือกนายกสภาสถาบัน และกรรมการสถาบัน เพื่อให้ได้คนดีเข้ามาบริหารงานอย่าเอาผู้บริหารมหาวิทยาลัย 400 กว่าแห่งเข้ามาทำหน้าที่ควบคุม บริหาร ประเมินในกลุ่มคนเดียวกัน เพราะคนกลุ่มนี้นอกจากไม่รู้ว่าต้องขับเคลื่อนอย่างไรแล้ว ยังเคยชินกับระบบเก่าๆ ด้วยอย่างไรก็ดี เสนอให้สรรหากรรมการสภาฯ ที่มาจากตัวแทนผู้ประกอบการด้วย เพื่อจะผลิตกำลังคนให้ตรงกับโจทย์อย่างแท้จริง

“การปรับหลักสูตรของอาชีวะต้องกำหนดให้มือเปื้อนได้ แต่ต้องคิดเป็น เพราะหลักสูตรอาชีวะตอนนี้เป็นหลักสูตรกะเทย มือบอกว่าไม่เปื้อน แต่กลับเปื้อน หรือขาข้างหนึ่งก็จะทำอาชีวะอีกข้างหนึ่งก็จะสอนระดับอุดมศึกษา เลยไม่ได้ดีสักอย่าง รวมถึงต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาช่วยผลักดัน และภาคเอกชน การศึกษาต้องเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างเดิน ต่างทำตามแนวทางที่ตนเองมีอยู่” ดร.ชุมพลกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31886&Key=hotnews

ราชภัฏสุราษฎร์ฯเปิดสอนภาษามลายู สกอ.หนุนเพื่อความเข้าใจประเทศอาเซียน

1 มีนาคม 2556

ผศ.ดร.ประโยชน์ คุปต์กาญจนากุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี (มรส.) เปิดเผยถึงการเปิดสอนหลักสูตรภาษาบาฮาซามลายู ว่า ขณะนี้ มรส. กับมหาวิทยาลัยมาลายาแห่งประเทศมาเลเซีย (University of Malaya) ได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรภาษาบาฮาซามลายู เพื่อสนองความต้องการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดรับกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 โดยหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตร 4 ปี สังกัดคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คาดว่าจะเปิดรับนักศึกษาได้ในปีการศึกษา 2557 โดยในขณะนี้หลักสูตรภาษาบาฮาซามลายูได้ผ่านการวิพากษ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดระหว่างวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งตนและคณะกรรมการหลักสูตรได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยยอร์กยาการ์ตา (Yogyakarta State University) เมืองยอร์กยาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย เพื่อลงนามในหนังสือแสดงเจตนารมณ์ที่จะร่วมมือกันทางวิชาการ รวมทั้งเพื่อวิพากษ์หลักสูตรดังกล่าวร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาบาฮาซามลายู แล้วนำคำแนะนำมาแก้ไขหลักสูตรเพื่อเสนอต่อสภาวิชาการและสภามหาวิทยาลัยต่อไป ซึ่งหลักสูตรความร่วมมือดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เนื่องจากเห็นตรงกันว่า การผลิตกำลังคนเพื่อรองรับการเปิดเสรีทางการค้า การบริการและการลงทุนของประชาคมอาเซียนในปี 2558 นั้นเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น นอกจากนี้เชื่อว่าภาษาจะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ ระหว่างประเทศใกล้เคียงและประเทศสมาชิกในประชาคมอาเซียน โดย สกอ.ตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เป็นศูนย์กลางการศึกษาสาขาวิชาภาษาบาฮาซามลายูในภาคใต้ตอนบนในอนาคตอีกด้วย

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31875&Key=hotnews

ดีเอสไอพบหลักฐานมัด พิรุธสอบครู ส่งข้อสอบล่วงหน้า 2 วัน พงศ์เทพฮึ่มเลิกทั้งล็อต

1 มีนาคม 2556

ดีเอสไอพบหลักฐานมัด พิรุธสอบครู ส่งข้อสอบล่วงหน้า 2 วัน พงศ์เทพฮึ่มเลิกทั้งล็อต

“พงศ์เทพ” แย้มยกเลิกสอบครูผู้ช่วยเฉพาะพื้นที่มีปัญหา “บิ๊ก ศธ.” แฉเหตุสมัครสอบซ้ำความคืบหน้ากรณีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิชรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ขยายผลการสอบสวนการทุจริตสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมา หลังตรวจพบมีพนักงานราชการในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) 2 รายมีชื่อแต่ละรายเข้าสอบที่สนามสอบ 2 เขตพื้นที่การศึกษาในวันและเวลาเดียวกัน และทั้ง 2 รายมีชื่อเข้าสอบที่ สพป.ขอนแก่น เขต 3 เหมือนกันด้วย โดยรายแรกคือ นายภานุวัฒน์ ไชยวงศ์พนักงานราชการสังกัด สพป.ใน จ.ชัยภูมิ สอบติดลำดับที่ 1 กลุ่มวิชาเอกภาษาไทย ที่สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 และปฏิเสธไม่ได้ไปสอบที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 ทั้งที่มีชื่อสอบผ่านลำดับที่15 กลุ่มวิชาเอกทั่วไป ส่วนรายล่าสุดสอบติดลำดับที่ 1 กลุ่มวิชาเอกประถมศึกษา ที่สพป.นครปฐม เขต 1 ซึ่งเจ้าตัวยอมให้ข้อมูลกับกรรมการสืบสวนของ ศธ.เกี่ยวกับกระบวนการทุจริตครั้งนี้ โดยอ้างว่ามีข้าราชการระดับสูงในศธ.ร่วมขบวนการด้วย จึงถูกกันไว้เป็นพยานและมีแนวโน้มว่า ศธ.จะสั่งยกเลิกการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้กว่า 2 พันอัตรานั้น

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ตรวจสอบว่า ผู้มีรายชื่อขึ้นบัญชีซ้ำกันที่ สพป.ขอนแก่น เขต3 และ สพป.นครปฐม เขต 1 ดังกล่าว ได้รับการบรรจุไปหรือยัง ซึ่งปรากฏว่าได้รับการบรรจุที่สพป.นครปฐม เขต 1 ไปแล้ว จึงต้องหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่คนหนึ่งคนไปสอบ 2 ที่หากดูตามหลักฐานเบื้องต้นต้องคิดว่า เจ้าตัวส่อว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตด้วย เพราะคนหนึ่งคนจะไปสอบ 2 ที่พร้อมกันไม่ได้แน่นอน ซึ่งได้มอบหมายให้นายเสริมศักดิ์ไปตรวจสอบว่ามีกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่

นายพงศ์เทพกล่าวต่อว่า ถ้าดีเอสไอชี้มูลว่ากระบวนการจัดสอบมีการทุจริตจริง จะต้องยกเลิกการสอบทั้งหมดหรือไม่นั้น ตนเห็นว่าเรื่องนี้ต้องดูกระบวนการทั้งหมดก่อนว่าอะไรที่ไม่ถูกต้อง เช่น มีคนเอาข้อสอบออกไปเผยแพร่ก่อนสอบ ก็ต้องตรวจสอบว่าเป็นพื้นที่ใด หากเป็นจริงก็หมายความว่า พื้นนั้นๆ มีปัญหา ต้องแก้ไขเป็นจุดๆ เพราะพื้นที่ใดจัดสอบแบบตรงไปตรงมาก็ไม่ควรได้รับผลกระทบ ซึ่งต้องรอข้อมูลการสอบสวนจากดีเอสไอก่อน ทั้งนี้ ถ้ามีเหตุผลก็ยกเลิกได้ แต่ถ้าไม่มีเหตุผลและไปยกเลิกทั้งหมดคนที่สอบตามกระบวนการอย่างถูกต้องจะต้องโต้แย้งผ่านศาลปกครองแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่าขบวนการทุจริตนำเอาข้อสอบออกไปจัดติวก่อนสอบมีผู้บริหารระดับสูงใน ศธ.เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนายพงศ์เทพกล่าวว่า ต้องรอข้อมูลจากดีเอสไอก่อน อย่างไรก็ตาม ตนจะรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ทราบด้วย

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า กำลังรอหารือนายพงศ์เทพในการนัดประชุมคณะกรรมการ ก.ค.ศ.วาระพิเศษในเร็วๆ นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้ หลังพบว่ามีพนักงานราชการรายที่ 2 ล่าสุดมีชื่อโผล่เข้าสอบที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 และ สพป.นครปฐมเขต 1 รวมทั้งจะนำข้อมูลจากการลงพื้นที่ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายภานุวัฒน์มาพิจารณาด้วย ส่วนกรณีที่นายเสริมศักดิ์ระบุว่า หากดีเอสไอสรุปว่าการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้มีการทุจริตจริง จะยกเลิกการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้ทั้งหมดนั้น การยกเลิกในภาพรวมถือเป็นอำนาจของที่ประชุมก.ค.ศ.ดำเนินการได้ แต่ต้องพิจารณาข้อมูลหลักฐานต่างๆ อย่างรอบคอบ

แหล่งข่าวระดับสูงใน ศธ.คนหนึ่งกล่าวว่าขณะนี้คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงชุดใหญ่ของศธ.ได้ส่งรายงานผลการตรวจสอบเบื้องต้นให้นายเสริมศักดิ์แล้ว ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับขบวนการทุจริต โดยในรายงานระบุถึงสาเหตุที่พนักงานราชการทั้ง 2 ราย ดังกล่าวสมัครสอบไว้2 เขตพื้นที่ฯแต่เข้าสอบได้เขตพื้นที่ฯเดียว ส่วนอีกเขตพื้นที่ฯจะมีตัวแทนเข้าสอบแทน คือที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 นั้น จากการนำผังห้องสอบมาตรวจดูพบว่า จุดประสงค์ของการเข้าสอบแทนก็เพื่อบอกข้อสอบแก่ผู้ที่เข้าสอบที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 อีก 2 ราย ซึ่งอยู่ในขบวนการติวข้อสอบ เพราะเมื่อตรวจสอบผลการสอบคัดเลือกแล้วพบว่า ผู้เข้าสอบที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนที่เข้าสอบแทน สอบได้ในลำดับที่ 1 และผู้ที่นั่งด้านหลังคนที่เข้าสอบแทน สอบได้ในลำดับที่ 2
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายธาริตกล่าวว่าภายหลังดีเอสไอได้รับคำร้องให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว ในวันเดียวกันนี้ได้ออกหนังสือประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อขอรายละเอียดจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่ทาง สพฐ.ตั้งขึ้น ขณะเดียวกันตนได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ โดยมีนายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ รอง ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 2 เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน ทั้งนี้ สำหรับประเด็นที่ต้องตรวจสอบมี 3 ประเด็น คือ 1.มีการนำกระดาษคำตอบไปเปิดเผยก่อนสอบหรือไม่ 2.มีการสอบแทนกันหรือไม่ และ 3.มีการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ทุจริตสอบหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลา 15 วัน น่าจะมีความชัดเจน จากนั้นดีเอสไอจะส่งผลสอบให้ ศธ.พิจารณาว่าจะยกเลิกการสอบครั้งนี้หรือไม่

นายธานินทร์กล่าวว่า ข้อมูลที่ดีเอสไอต้องการคือ พื้นที่ที่พบว่ามีการทุจริต เพราะดีเอสไอคงไม่สามารถไปตรวจสอบได้ทั่วประเทศและต้องนำข้อมูลที่คณะกรรมการตรวจสอบฯของ สพฐ.ไปตรวจสอบมาแล้ว มาตรวจสอบต่อในเชิงลึก เพื่อระบุให้ชัดเจนว่ามีการทุจริตในรูปแบบใด และเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบ้าง ซึ่งขณะนี้ได้รับการประสานจากคณะกรรมการตรวจสอบฯของ สพฐ.แล้ว เบื้องต้นพบข้อมูลความผิดปกติหลายประเด็น เช่น การส่งข้อสอบทางไปรษณีย์ก่อนสอบ 2 วัน จากนั้นส่งกระดาษคำตอบกลับมายัง สพฐ.ทางไปรษณีย์ เช่นเดียวกับผลการสอบก็ส่งทางไปรษณีย์ไปให้เขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ ประกาศ

ด้านนายสมพงษ์ โรจน์ภัทรพงศ์ ผู้อำนวยการ (ผอ.) สพป.ขอนแก่น เขต 3 กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากทาง สพฐ.ว่า มีกรณีพนักงานราชการอีกรายหนึ่งที่มีชื่อเข้าสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยใน 2 เขตพื้นที่ฯคือที่ สพป.ขอนแก่น เขต 3 และสพป.นครปฐม เขต 1 จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนแล้ว และจะเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 1 มีนาคมนี้ด้วย

แหล่งข่าวใน สพป.นครปฐม เขต 1 กล่าวว่า สพป.นครปฐม เขต 1 มีหน้าที่รับสมัครและจัดสนามสอบตามคำสั่งของส่วนกลาง เมื่อจัดสอบเสร็จต้องส่งข้อสอบและกระดาษคำตอบทั้งหมดให้ส่วนกลางดำเนินการตรวจ และประกาศผลสอบเอง ทาง สพป.นครปฐม เขต 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ทราบด้วยว่าผู้สมัครสอบรายใดได้คะแนนเท่าไหร่ และในกรณีที่มีชื่อบุคคลเดียวกันเข้าสอบ 2 สนามสอบในวันและเวลาเดียวกันนั้น ทาง สพป.นครปฐม เขต 1 ก็ไม่สามารถรู้ได้ โดยมีการตรวจสอบผู้สมัครเข้าสอบตามขั้นตอน และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

สำหรับความคืบหน้าทางคดีกรณีมีบุคคลแอบอ้างเข้าสอบแทนนายภานุวัฒน์ที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าไปสมัครสอบจริง แต่ไม่ได้ไปสอบ และยืนยันว่าไม่รู้เรื่องการเข้าสอบแทน ตนเองไปสอบเฉพาะที่ สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 และสอบติดในลำดับที่1 ในกลุ่มวิชาเอกภาษาไทยนั้น พ.ต.อ.ออมสินตรารุ่งเรือง ผกก.สภ.พล จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่าหลังจากรับแจ้งความจากทาง สพป.ขอนแก่นเขต 3 ให้ดำเนินคดีเอาผิดกับผู้แอบอ้างเข้าสอบแทนนายภานุวัฒน์ ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปส่วนหนึ่งแล้ว ทางตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามติดตามตัวบุคคลดังกล่าวอยู่ คาดว่าไม่นานคงได้ตัว ทั้งนี้ ได้ขอกำลังไปยังตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนภาค 4 เข้ามาช่วยติดตามอีกทางด้วย

ทางด้านนายอดิศร เนาวนนท์ อาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.)สพป.นครราชสีมา เขต 7 เปิดเผยว่า เมื่อช่วงปลายปี 2554 สพป.นครราชสีมา เขต 7 ได้จัดสอบบรรจุตำแหน่งพนักงานธุรการปฏิบัติงานพบขบวนการทุจริต โดยผู้สมัครสอบ 8 คน ได้เปลี่ยนชื่อตัวเองให้มีพยัญชนะนำหน้าชื่อขึ้นต้นด้วย “ปรา” เพื่อให้นั่งสอบใกล้กับชื่อผู้เข้าสอบที่ทำหน้าที่เป็นมือปืนรับจ้างบอกคำตอบให้ในลักษณะใช้ท่าทาง โดยพบข้อสอบ 100 ข้อของทั้ง 8 คน เลือกข้อถูกผิดเหมือนกัน ที่สำคัญเป็นผู้ที่สอบได้ในลำดับที่ 1-8 ด้วย ทาง อ.ก.ค.ศ.จึงมีมติให้ทั้ง 8 คนสอบตก พร้อมกับแจ้งความเอาผิดกับขบวนการดังกล่าว ซึ่งมีที่มาเป็นกลุ่มติวเตอร์หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมากเพียงแต่ไม่มีพยานหลักฐาน

นายอดิศรกล่าวต่อว่า สำหรับกรณีการสอบบรรจุครูผู้ช่วยครั้งนี้ ถ้าตรวจพบทุจริตในเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้ลงโทษทางวินัยและอาญากับผู้เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง และน่าเชื่อว่าขบวนการทุจริตไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ สพป.ขอนแก่นเขต 3 สพป.ศรีสะเกษ เขต 3 และสพป.นครปฐม เขต 1 เท่านั้น เพราะช่วงก่อนการสอบที่ สพป.นครราชสีมา เขต 7 ได้ทราบเบาะแสมีการเรียกเก็บเงินจากผู้สมัครรายละ 4-7 แสนบาท จึงเป็นไปได้ที่จะมีการเผยแพร่คำตอบจากขบวนการทุจริตโดยออนไลน์ไปยังผู้เข้าสอบรายอื่นๆ ในสนามสอบเขตพื้นที่การศึกษาอื่นๆ ทั่วประเทศด้วย จึงขอเรียกร้องให้สพฐ.และเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการอย่างจริงจังเพื่อกำจัดขบวนการเหล่านี้ให้สิ้นซาก และหากพบมีการกระจายคำตอบข้อสอบจริง ต้องประกาศยกเลิกผลการสอบทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ ขอให้ สพฐ.คืนอำนาจการจัดสอบให้กับอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา เพราะใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 มาตรา 47 บัญญัติไว้ชัดว่า “ให้อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯเป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา”

–มติชน ฉบับวันที่ 2 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31874&Key=hotnews

อาชีวศึกษาดึงเด็กใต้หันเรียนสายอาชีพ

1 มีนาคม 2556

โพสต์ทูเดย์ สอศ.จับมือชมรมวิทยากรอิสลามศึกษาดึงเด็กใต้เรียนสายอาชีพเพิ่มมากขึ้น

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับชมรมวิทยากรอิสลามศึกษา เพื่อขอความร่วมมือให้วิทยากรอิสลามที่สอนศาสนาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ช่วยเป็นสื่อกลางรณรงค์
และให้ความรู้เด็กในพื้นที่ 5 จังหวัดภาคใต้ได้แก่ สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส หันมาเรียนอาชีพเพิ่ม
ปัจจุบันเด็กในภาคใต้ส่วนใหญ่ 95%เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้วจะเลือกเรียนต่อสายสามัญ โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่เด็กเลือกเรียนมากถึง 80-85% เพราะเป็นศาสนาหลักที่นับถือ ที่เหลือกระจายไปตามโรงเรียนรัฐที่เปิดสอนศาสนาด้วย
“ความจริงในภาคใต้มีความต้องการแรงงานสายอาชีพจำนวนมาก แต่เด็กในพื้นที่เลือกเรียนสายอาชีพน้อย ทำให้ขาดแคลนแรงงาน แม้แต่แรงงานพื้นฐานอย่างช่างยนต์ ช่างซ่อมเครื่องก่อสร้าง ก็มีไม่พอ” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในปัจจุบันอุตสาหกรรมในภาคใต้ต้องนำเข้าแรงงานต่างถิ่น แต่แรงงานต่างถิ่นกลับไม่ต้องการทำงานในภาคใต้ เนื่องจากมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
“วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาคใต้อาจเสียเปรียบที่ไม่ได้เปิดสอนหลักสูตรอิสลามเต็มรูปแบบ ทำให้เด็กในภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม หันไปเลือกเรียนในโรงเรียนสายสามัญที่เปิดสอนหลักสูตรอิสลามศึกษามากกว่า แต่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กำลังพยายามปรับภาพลักษณ์และค่านิยมใหม่ใช้จุดแข็งที่ว่า เรียนสายอาชีพจบแล้วมีงานทำ มาดึงดูดเด็กเรียนสายอาชีพ” นายชัยพฤกษ์ กล่าว
ขณะเดียวกันจะมีโครงการนำนักศึกษาอาชีวศึกษาในภาคใต้มาฝึกงานในกรุงเทพฯ และในภาคอื่นๆด้วย เพื่อให้เด็กได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณีภาคอื่นๆรวมถึง สอศ.ยังเข้าไปเปิดสอนสายอาชีพในโรงเรียนปอเนาะด้วย เพื่อหวังผลิตแรงงานให้ได้เพิ่มขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31873&Key=hotnews

โคราชเปิดสายร้องแป๊ะเจี๊ยะ ’นครศรี-พัทลุง’ชู ร.ร.คู่พัฒนาเรียนดีใกล้บ้าน

1 มีนาคม 2556

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประกาศปฏิทินการรับสมัครนักเรียน ม.1 และ ม.4 ปีการศึกษา 2556 ซึ่งจะเปิดรับสมัครช่วงวันที่ 14-18 มี.ค.56 และประกาศรายชื่อโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง สัดส่วนการรับสมัคร และจำนวนที่สถานศึกษารับได้นั้นทำให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั่วประเทศ วางมาตรการการรับนักเรียนปีนี้อย่างเข้มงวด

โดยนายชูเกียรติ วิเศษเสนา ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา(สพม.) เขต 31 จ.นครราชสีมา กล่าวว่าขณะนี้ได้มีการซักซ้อมทำความเข้าใจกับผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยม กว่า 50 แห่ง ถึงนโยบายการรับนักเรียนของ สพฐ.ที่เน้นให้โอกาสเด็กได้เรียนและมีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะกลุ่มสถานศึกษาคุณภาพพิเศษ อาทิ ร.ร.ราชสีมาวิทยาลัย ร.ร.สุรนารีวิทยา และร.ร.บุญวัฒนา และกลุ่มสถานศึกษายอดนิยม ซึ่งบรรดาผู้ปกครองต้องการให้บุตรหลานได้ศึกษาต่อ จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลซึ่งในปีนี้มีหลายโรงเรียนที่ลดยอดการจับสลาก เพื่อให้โอกาสเด็กในเขตบริการมากขึ้น
“ธรรมชาติในสังคมท้องถิ่นจะต้องมีเด็กฝากจากผู้กว้างขวาง ทำให้ผู้บริหารสถานศึกษาลำบากใจกับรายการคุณขอมา ก็ต้องทำความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เสนอทางเลือกกลุ่มโรงเรียนคู่พัฒนา ซึ่งมีคุณภาพไม่เป็นรองและสามารถรองรับได้เด็กทุกคน ทั้งนี้ ขอฝากผู้ปกครองว่าอย่าหลงเชื่อกลุ่มบุคคลที่อ้างว่าสามารถวิ่งเต้นช่วยเหลือฝากเรียนได้ เพราะเข้าข่ายหลอกหลวงต้มตุ๋นซึ่งขณะนี้ สพม.31 นครราชสีมา ได้เปิดสายด่วน โทร.044-395-223-5 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนแป๊ะเจี๊ยะนักเรียนตลอดจนการอ้างรับฝากด้วยวิธีไม่ชอบมาพากล” นายชูเกียรติ กล่าว
ด้านนายจำเริญ รัตนบุรี ผอ.สพม.เขต 12 จ.นครศรีธรรมราช-พัทลุง กล่าวว่า สถานศึกษาในสังกัดสพม.เขต 12 ที่มีอัตราการแข่งขันสูงเช่น ร.ร.เบญจมราชูทิศ ร.ร.กัลยาณีศรีธรรมราช ร.ร.ทุ่งสง ร.ร.สตรีทุ่งสง ร.ร.ฉวางรัชดาภิเษก ร.ร.ปากพนัง และ ร.ร.ท่าศาลาประสิทธิ์ศึกษา ส่วนใน จ.พัทลุง จะมีสองแห่ง คือ ร.ร.พัทลุงและ ร.ร.สตรีพัทลุงโดยจะมีจำนวนผู้สมัครเกินกว่าที่โรงเรียนจะรับได้ทุกปี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการสอบคัดเลือกมากถึงร้อยละ 80 ควบคู่กับผลคะแนน O-NET อีกร้อยละ 20 ประกอบการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม เมื่อจำนวน รับมีน้อยและยังเปิดสอบแข่งขันสูงทำให้เด็กต้องเหนื่อยที่จะมาสอบแข่งกัน ทางเขตฯ ได้ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองทราบว่ายังมีโรงเรียนคู่พัฒนา โรงเรียนเครือข่ายโรงเรียนดีประจำตำบล และโรงเรียนดีประจำอำเภอ ที่มีจำนวนรับมากและมีความเป็นไปได้มากกว่าเพราะจะรับเด็กในเขตพื้นที่บริการไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 โดยวิธีจับสลาก
สำหรับโรงเรียนคู่พัฒนาและโรงเรียนเครือข่ายของโรงเรียนที่มีอัตราแข่งขันสูงใน สพม.12มีดังนี้ ร.ร.เบญจมราชูทิศ ได้แก่ ร.ร.พรหมคีรีพิทยาคม ร.ร.เมืองนครศรีธรรมราช ร.ร.สวนกุหลาบวิทยาลัยนครศรีธรรมราช ร.ร.บ้านเกาะวิทยา และ ร.ร.ขุนทะเลวิทยาคม,ร.ร.กัลยาณีศรีธรรมราช ได้แก่ ร.ร.โยธินบำรุง ร.ร.ปากพูน ร.ร.ท่านครญาณวโรภาสและ ร.ร.ตรีนิมิตวิทยา, ร.ร.ทุ่งสง ได้แก่ ร.ร.ก้างปลาวิทยาคม ร.ร.มัธยมเทศบาลเมืองทุ่งสง ร.ร.ทุ่งสงสหประชาสรรค์, ร.ร.สตรีทุ่งสง ได้แก่ ร.ร.ทุ่งสงวิทยา ร.ร.ก้างปลาวิทยาคม ร.ร.ทุ่งสงสหประชาสรรค์, ร.ร.ฉวางรัชดาภิเษก ได้แก่ ร.ร.ละอายพิทยานุสรณ์ ร.ร.พิปูนสังฆรักษ์ประชาอุทิศ ร.ร.ประสาธน์ราษฎร์บำรุง ร.ร.นางเอื้อยวิทยา, ร.ร.ท่าศาลาประสิทธิ์ศึกษาได้แก่ ร.ร.สระแก้วรัตนวิทย์ ร.ร.โมคลานประชาสรรค์ ร.ร.คงคาประชารักษ์ ร.ร.นบพิตำวิทยา, ร.ร.ปากพนัง ได้แก่ ร.ร.สตรีปากพนัง ร.ร.อินทร์ธานีวิทยาคม ร.ร.โศภนคณาภรณ์ ร.ร.เทศบาลวัดศรีสมบูรณ์ , ร.ร.พัทลุง ได้แก่ ร.ร.ประภัสสรรังสิต ร.ร.กงหราพิชากร ร.ร.ชะรัดชนูปถัมภ์ ร.ร.ปัญญาวุธ ร.ร.นาขยาดวิทยาคาร ร.ร.พรหมพินิตชัยบุรี ร.ร.ท่ามิหรำ และร.ร.สตรีพัทลุง ได้แก่ ร.ร.พัทลุงพิทยาคม ร.ร.เทศบาลจุ่งฮั้ว และ ร.ร.ในสหวิทยาเขต

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31872&Key=hotnews

สกอ.ตั้งกก.สอบวินัยอธิการมมส.

1 มีนาคม 2556

ASTV ผู้จัดการรายวัน – นายกสภา มมส.ไขก๊อก เหตุปัญหาทุจริต ด้านสกอ.ตั้งกรรมการฯสอบวินัยร้ายแรงอธิการบดี ขณะที่ คกก. แจ้งข้อกล่าวหา อธ. ผู้เกี่ยวข้อง แต่ทุกคนให้การปฏิเสธ

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการ กกอ. เปิดเผยความคืบหน้ากรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้รับร้องเรียนเรื่องการทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารวิทยพัฒนา คณะศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มมส.ในขั้นตอนการเบิกจ่ายเงิน 50% ของสัญญาจ้าง 88 ล้านบาท มีพฤติการณ์ไม่ชอบด้วยระเบียบ กฎหมาย ขณะนี้ สกอ.ได้ตั้งกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง นายศุภชัย สมัปปิโตอธิการบดี มมส.และผู้เกี่ยวข้อง
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงฯ ที่มี นายพิษณุ ตุลสุข เป็นประธาน ได้มีการ   ประชุมหารือนัดแรกไปเมื่อเร็วๆ นี้โดยได้แจ้งข้อกล่าวหาตามที่ สตง.ได้รับร้องเรียนมาต่ออธิการบดี และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว แต่ทั้งหมดให้การปฏิเสธ จึงให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ไปจัดทำเอกสารชี้แจง เป็นลายลักษณ์อักษร โดยคณะกรรมการจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาอีกครั้ง วันที่ 12 มี.ค.นี้
รายงานข่าวแจ้งว่า นายอักขราทร จุฬารัตน นายกสภา มมส.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุที่นายอักขราทร ลาออกจากตำแหน่ง นอกจากเรื่องปัญหาการทุจริตภายในมมส.แล้ว ยังมีปัญหาในการตั้งกรรมการสรรหาอธิการบดี มมส. แทนนายศุภชัย ซึ่งกำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือน มิ.ย.นี้ โดยนายอักขราทรพยายามจะคัดเลือกผู้ที่มีความเป็นกลางมาเป็นกรรมการสรรหาตามอำนาจ แต่ทางฝ่ายบริหารไม่ยอม และมีความพยายามจะให้ใช้วิธีการโหวตเลือกผู้ทำหน้าที่สรรหาอธิการบดี ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31870&Key=hotnews

ถกยุทธศาสตร์การศึกษาไทย น.ร.เหนือ-อีสานพอใจแท็บเล็ต

1 มีนาคม 2556

สภาการศึกษาจัดถกใหญ่ ยุทธศาสตร์การศึกษาไทย ตั้งเป้าขยับ 6 ปี เด็กไทยติด 1 ใน 20 การสอบพิซา ชี้ผลสำรวจแท็บเล็ตเพื่อการศึกษา น.ร.เหนือพอใจ 100 เปอร์เซ็นต์อีสานพอใจเกือบหมด พบปัญหาเด็กไม่สุงสิงเพื่อน โดยเฉพาะ 6 ขวบ มีปัญหามากสุด

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ห้องประชุมแกรนด์ บอลรูม โรงแรมสีมาธานี อ.เมือง จ.นครราชสีมา สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมเชิงปฏิบัติการยุทธศาสตร์การศึกษา พ.ศ. 2556-2558 เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา และประสิทธิภาพการจัดการศึกษาของประเทศไทย ตามนโยบายของรัฐบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ดร.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และมีบุคลากรด้านการศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ครู และตัวแทนองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าร่วมประชุมกว่า 1,500 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามกำหนดการ ดร. ศศิธารานำเสนอ “ยุทธศาสตร์ การศึกษา พ.ศ.2556-2558” ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศ สรุปผลการประชุมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯและการวิพากษ์ กรุงเทพมหานคร และภาคเหนือ รวมทั้งความร่วมมือกับองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ในการจัดทำยุทธศาสตร์การศึกษาของประเทศไทย
หลังจากนั้นตัวแทนจากยูเนสโกและโออีซีดีขึ้นบรรยายพิเศษ เพื่อให้คำแนะนำแนวทางในการกำหนดยุทธศาสตร์การศึกษาของประเทศไทยในครั้งนี้ ก่อนที่ในช่วงบ่ายจะแบ่งกลุ่มย่อย 7 กลุ่ม เพื่อระดมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน 7 เรื่อง ได้แก่ เรื่องการพัฒนาคุณภาพ สร้างโอกาส และกระจายโอกาสทางการศึกษา การปฏิรูปครูโดยยกฐานะวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน การใช้เทคโนโลยีจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา และอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับตลาดแรงงาน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างทุนปัญญาของชาติ การเพิ่มขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน และเรื่องสถิติ ตัวชี้วัดเพื่อการวางแผนจัดทำยุทธศาสตร์การศึกษาไทย พ.ศ.2556-2558

ทั้งนี้ ดร.ศศิธารากล่าวว่า ความร่วมมือกับยูเนสโกและโออีซีดีนั้น จะทำในระยะยาว 10-15 ปี โดยจะร่วมมือพัฒนาด้านการศึกษาใน 3 เรื่อง ได้แก่ การให้คำแนะนำแนวทางในการพัฒนาการศึกษาตามยุทธศาสตร์ที่กำหนด จัดหลักสูตรให้มีความเป็นสากลมากขึ้น การพัฒนาครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ซึ่งจากสถิติการสอบการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาติ (พิซา) ด้านวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ พบว่า เด็กนักเรียนไทยได้คะแนนไม่ดีนัก อยู่ในระดับที่ 42 จากประเทศทั่วโลก
“กระทรวงศึกษาธิการตั้งเป้าหมายว่า ภายใน 6 ปี จะต้องติด 1 ใน 20 ของโลกให้ได้ วันนี้จึงเชิญเจ้าหน้าที่ขององค์กรโออีซีดี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดสอบพิซามาให้คำแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษาไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยจากการหารือในเบื้องต้นโออีซีดีแนะนำว่า บทบาทสำคัญอยู่ที่ครู ซึ่งจะต้องปรับวิธีการถ่ายทอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่านใหม่ ให้นักเรียนรู้จักคิดเป็น คำนวณเป็น และใช้เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น” ดร.ศศิธารากล่าว
ดร.ศศิธารากล่าวว่า ในส่วนของเรื่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษานั้น ประเทศไทยได้รับความชื่นชมจากองค์การยูเนสโกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแจกแท็บเลตเพื่อการศึกษา มีการจัดระบบ wifi ให้กับโรงเรียนกว่า 4 หมื่นแห่งทั่วประเทศ และส่งเสริมให้ใช้ดิจิตอลคอนเทน โดยปัจจุบันมีอยู่ 3-4 ประเทศเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ เช่น อุรุกวัย, ปากีสถาน และไทย
ดร.ศศิธารากล่าวต่อไปว่า ผลจากการสำรวจความพึงพอใจหลังจากแจกแท็บเลตเพื่อการศึกษา เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ในโรงเรียนทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือพบว่า นักเรียนรู้สึกพอใจ 100% ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพึงพอใจกว่า 87% ส่วนครูและผู้ปกครองรู้สึกพึงพอใจในระดับใกล้เคียงกัน แต่ในขณะเดียวกันมีผลสะท้อนด้านลบบ้างคือ นักเรียนที่ได้รับแท็บเลตจะมุ่งแต่เล่นแท็บเลตจนไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน โดยเฉพาะกับนักเรียนที่มีอายุประมาณ 6 ขวบ ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องนี้มาก ดังนั้น จึงต้องแนะนำโรงเรียนให้มีการจัดระบบไม่ให้นักเรียนใช้แท็บเลตมากเกินไป เพื่อลดปัญหาเหล่านี้ลง
นายริชาร์ด เยลแลนด์ หัวหน้าแนะนำนโยบายและการดำเนินงานในคณะกรรมการเพื่อพัฒนาการศึกษา โออีซีดี กล่าวว่า ปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และภูมิศาสตร์ ซึ่งยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษาไทยฉบับร่างนี้ ก็สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นอย่างดี ส่วนผลการจัดอันดับการสอบพิซาของไทย ที่อยู่ในอันดับ 42 นั้น เกิดจากผลการสอบเมื่อปี 2552 แต่ผลการสอบในปี 2555 จะประกาศในช่วงเดือนธันวาคมปี 2556 นี้ ซึ่งตนไม่ทราบว่าผลจะออกมาเช่นไร แต่การจะก้าวกระโดดจากอันดับที่ 42 มาอยู่ใน 20 อันดับแรกนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ ตนขอให้เน้นไปที่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาควบคู่ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพของครูเป็นหลัก เพราะทั้ง 2 เรื่องแยกออกจากกันไม่ได้
ทั้งนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กำหนดจัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานด้านการศึกษา ทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคมนี้ หลังจากนั้นจะได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่รวบรวมได้จากการประชุมเชิง ปฏิบัติการทั่วทุกภูมิภาค มาปรับปรุงร่างยุทธศาสตร์การศึกษา พ.ศ.2556-2558 ต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31867&Key=hotnews