ยังไม่ฟันธงยกเลิกสอบครู พงศ์เทพรอข้อมูลจุดเกิดปัญหาหวั่นมีผลกระทบ

1 มีนาคม 2556

รมว.ศึกษาฯ ยังไม่ฟันธงว่าจะยกเลิกสอบครูผู้ช่วยหรือไม่ หลังจากดีเอสไอพบว่ามีการทุจริต ขอรอดูข้อมูลก่อนว่าเกิดปัญหาตรงจุดไหน หวั่นเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างจนบานปลาย อีกทั้งคนที่สอบได้จริง ๆ อาจร้องกับศาลปกครองซ้ำ จะตรวจสอบผู้คุมสอบว่าบกพร่องหรือไม่ ยันต้องทำให้โปร่งใสและเป็นธรรม ด้าน เลขาฯ ก.ค.ศ. คาด หากยกเลิกอาจพิจารณาเป็นรายวิชาเอก

ที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงเรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณีการสอบครูผู้ช่วย ซึ่งสรุปว่ามีการกระทำที่เชื่อได้ว่าทุจริตจริง ว่า เรื่องนี้หากเป็นเรื่อง ไม่ชอบมาพากลและมีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องเราต้องทำให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งมีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลเรื่องดังกล่าวอยู่ ทั้งนี้หากผลสอบจากดีเอสไอระบุการสอบครูผู้ช่วยมีการทุจริตจริงจะต้องยกเลิกการสอบทั่วประเทศเลยหรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรถึงจะเห็นปัญหาว่าเกิดจากจุดไหนของกระบวนการสอบ ดังนั้นจึง ต้องรอข้อมูลจากดีเอสไอให้ชัดเจนก่อนถึงจะทบทวนว่าจะยกเลิกการสอบครูผู้ช่วยทั้งหมดหรือไม่
“การจัดสอบแบ่งออกเป็นตามเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งหากต้องยกเลิกการสอบทั้งหมด และเขตพื้นที่ที่ดำเนินการสอบไปแล้วอย่างโปร่งใสไม่มีเรื่องทุจริตเกิดขึ้น ก็เท่ากับว่าคนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ดังนั้นจะบอกว่าทุกเขตพื้นที่ที่จัดสอบทำไม่ถูกต้องคงเป็นไปไม่ได้ซึ่งจะต้องดูภาพรวมผลกระทบที่เกิดขึ้นแบบวงกว้างและข้อเท็จจริงด้วย เพราะการไปยกเลิกอะไรก็ตามแต่จะต้องมีเหตุผล แต่หากไม่มีเหตุผลคนที่สอบได้จริงก็จะเกิดการโต้แย้งไปฟ้องร้องศาลปกครองให้เหตุการณ์วุ่นวายมากขึ้นไปอีก ซึ่งหากกระบวนการทำมาอย่างถูกต้องแต่เราไปยกเลิกการสอบเชื่อว่าศาลปกครองไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน” รมว.ศึกษาธิการ กล่าวและว่า ทั้งนี้การจะดำเนินการอะไรก็ตามต้องมีข้อเท็จจริงที่สามารถตอบสังคมได้ เช่น กรณีข้อสอบรั่วและเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง เป็นต้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้คือตัวอย่างเหตุผลหนึ่งที่ต้องมาดูถึงจะดำเนินการได้ว่าจะทำอย่างไรเกี่ยวกับการจัดสอบครูผู้ช่วยต่อไป

นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ขอนแก่น เขต 3 มีปัญหาการสอบครูผู้ช่วยถึงสองครั้งจะมีการตั้งกรรมการสอบผอ.เขตพื้นที่หรือไม่นั้น เรื่องนี้ตนมองว่าอยู่ที่ผู้คุมสอบมากกว่า ซึ่งต้องไปตรวจสอบว่าผู้คุมสอบบกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เข้าใจได้ว่า รูปติดบัตรประจำตัวผู้เข้าสอบอาจไม่ชัดเจนทำให้มองไม่ตรงกับใบหน้าจริงก็เป็นไปได้ เนื่องจากรูปเก่ามาก อย่างไรก็ตามหากดีเอสไอตรวจสอบข้อมูลในเรื่องนี้เรียบร้อยตนก็จะรายงานให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป
ด้าน นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กล่าวว่า ขณะนี้กำลังรอหารือกับนายพงศ์เทพนัดประชุมก.ค.ศ.วาระพิเศษเพื่อหารือปัญหาการสอบครูผู้ช่วยหลังจากที่พบว่ามีพนักงานราชการรายที่ 2 มีชื่อโผล่เข้าสอบคัดเลือกที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 และสพป.นครปฐม เขต 1 รวมทั้งจะนำผลการลงพื้นที่ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดที่นายพงศ์เทพแต่งตั้งให้ไปตรวจสอบกรณีของนายภานุวัฒน์ ไชยวงค์ ที่มีผู้เข้าสอบแทนที่สพป.ขอนแก่น เขต 3 มาพิจารณาด้วย ทั้งนี้การจะยกเลิกการสอบครั้งนี้ หากเป็นการยกเลิกในภาพรวมเป็นอำนาจของก.ค.ศ. แต่ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและดูข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ เพราะการจะยกเลิกต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อผู้ที่สอบได้ด้วยตัวเองและไม่มีปัญหาการทุจริต ซึ่งหากสุดท้ายจะต้องยกเลิกสอบอาจต้องพิจารณาเป็นรายวิชาเอก แต่ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของที่ประชุม ก.ค.ศ.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31868&Key=hotnews

ขับเคลื่อนความรู้อาเซียน

1 มีนาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ว่า สพฐ.เตรียมความพร้อมขับเคลื่อนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยที่ประชุมหารือและทำข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ ที่จะลงรายละเอียดในการส่งเสริมตัวผู้เรียน ที่ประชุมพูดถึงสาระการเรียนรู้ ซึ่งกำหนดหัวข้อที่จะส่งเสริมผู้เรียนไว้ 5 เรื่อง คือ 1.การรู้จักอาเซียน เรียนรู้ให้เข้าใจบริบทเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง และวิถีชีวิตของประเทศอาเซียนทั้งหมด อาทิ เพลงชาติของแต่ละประเทศ โดยจะส่งเสริมให้เด็กเข้าใจ ถ้าเป็นไปได้เด็กควรร้องเพลงชาติของแต่ละประเทศได้ด้วย เพราะสำคัญแสดงออกถึงความเข้าใจให้เกียรติกันและกัน 2. คุณค่าและเอกลักษณ์ นักเรียนจะได้เรียนรู้ ต้องยอมรับและปรับตัวในความหลากหลาย 3.การเชื่อมโยงโลกและท้องถิ่น 4.การส่งเสริมความเสมอภาคและความยุติธรรม และ 5.ความร่วมมือเพื่ออนาคต ที่ยั่งยืน

นายชินภัทรกล่าวต่อว่า เหล่านี้คือจุดที่สพฐ.ต้องส่งเสริมเพื่อให้มีการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง จากนี้ไปการที่นักเรียนแสดงออกเกี่ยวกับอาเซียนจะไม่ยึดติดเพียงการแต่งกาย และการถือธงชาติเท่านั้น แต่จะลงลึกที่นักเรียนจะต้องนำสาระของอาเซียนมาต่อยอด ทั้งในเชิงของการอภิปราย เสวนา และดีเบตในประเด็นต่างๆ ให้รู้ถึงอาเซียนอย่างแท้จริง

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=31871&Key=hotnews

ชินภัทร วอนอย่าประเมินเด็กที่ผลคะแนนโอเน็ต

25 มีนาคม 2556

ชินภัทร วอนอย่าประเมินเด็กที่ผลคะแนนโอเน็ต ควรจะวัดคะแนนนความก้าวหน้าแบบปีต่อปี วันนี้ 25 มี.ค. ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผถึงผลคะแนนการทดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2555 ซึ่งมีค่าคะแนนเฉลี่ยในแต่ละวิชาไม่ถึงครึ่ง ว่า ตนเห็นว่าไม่ควรจะนำผลคะแนนดังกล่าวมาวัดความสามารถว่าดีหรือไม่ดี แต่เราควรจะพิจารณาจากความก้าวหน้าของการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากกว่า โดยไม่ควรนำคะแนนมากำหนดเป็นเส้นแดงแบบตายตัวว่าเด็กมีคะแนนต่ำลง แต่ควรจะวัดคะแนนนความก้าวหน้าแบบปีต่อปี เพราะจะเห็นว่าผลคะแนนโอเน็ต 8 กลุ่มสาระวิชาหลัก เด็กมีคะแนนเพิ่มขึ้นถึง 5 กลุ่มสาระ ในวิชาสังคมศึกษา ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ศิลปะ และการงานอาชีพ จึงไม่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด ส่วนวิชาคณิตศาสตร์มีผลคะแนนเท่าเดิม วิชาที่ลดลงคือ วิทยาศาสตร์ และสุขศึกษา ดังนั้นต่อจากนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะกลับมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ต่อไป

          “ผลคะแนนโอเน็ตที่ออกมาไม่อยากให้มีการตีความหมายว่าการเรียนรู้ของเด็กตกต่ำ แต่เราต้องดูที่พัฒนาการมากกว่าการวัดว่าคะแนนสูงหรือต่ำแล้วมาบอกว่าไม่เป็นที่น่าพอใจ ซึ่งผมอยากให้การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กเป็นเรื่องของการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา เพราะจะสะท้อนคุณภาพต่างๆ ได้ดี และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงลบว่าการศึกษาตกต่ำ” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32227&Key=hotnews

 

ห่วง ร.ร.เอกชนขนาดเล็กเดือดร้อน

25 มีนาคม 2556

กช.ห่วง รร.เอกชนขนาดเล็กเดือดร้อนหาก สพฐ.สอบครูผู้ช่วยล่าช้า
วันนี้ 25 มี.ค.นายบัณฑิต ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำหนดที่จะจัดสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้ารับราชการในตำแหน่งครูผู้ช่วยในเดือน เม.ย.นี้นั้น หากสพฐ.ดำเนินการจัดสอบ และสามารถเรียกบรรจุให้แล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย. หรืออย่างช้าภายในต้นเดือน พ.ค. หรืออยู่ในช่วงที่ยังปิดเทอมอยู่ปัญหาที่จะกระทบกับโรงเรียนเอกชนเนื่องจาก ครูโรงเรียนไปสมัครสอบเป็นครูผู้ช่วยกับทาง สพฐ.ก็คงน้อย เพราะโรงเรียนเอกชนยังพอมีเวลาในการหาครูมาทดแทนได้ แต่หาก สพฐ.ดำเนินการล่าช้าจนล่วงเลยไปถึงช่วงเปิดเทอมปัญหาคงเกิดขึ้นกับโรงเรียน เอกชนหนักหนาแน่ เนื่องจากหาครูมาทดแทนได้ไม่ทันเปิดภาคเรียนใหม่

“ครูโรงเรียนเอกชนที่ไปสมัครสอบครูผู้ช่วยของสพฐ.ส่วนใหญ่จะเป็นครูโรงเรียนสายสามัญ ส่วนสายอาชีวะนั้นถือว่าน้อยมาก และจากข้อมูลที่ผ่านมาโรงเรียนเล็กมักจะได้รับผลกระทบมากกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ เนื่องจากโรงเรียนขนาดใหญ่บางแห่งจะมีการคัดเลือกครูขึ้นบัญชีเอาไว้ เวลาขาดครูก็สามารถเรียกเข้ามาทำงานได้ทันที หรือบางแห่งก็มีหลายสาขาเวลาสาขาไหนขาดครูก็สามารถเรียกอีกสาขาหนึ่งมาช่วยสอนได้ แต่กับโรงเรียนขนาดเล็กแล้วแทบไม่มีทางออกใดๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาได้เลย จึงค่อนข้างน่าเห็นใจ” เลขาธิการ กช. กล่าว

นายบัณฑิต เปิดเผยต่ออีกว่า ที่จริงมีข้อเสนอแนะจากหลายฝ่ายว่าหาก สพฐ.ดำเนินการจัดสอบขึ้นบัญชีไปก่อน และไปเรียกบรรจุในช่วงเดือนต.ค.ซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 หรือเป็นช่วงที่มีอัตราเกษียณอายุราชการชัดเจนในช่วงเวลานั้นก็น่าจะดี ที่สำคัญโรงเรียนเอกชนก็ยังพอมีเวลาเตรียมตัวในการจัดหาครูใหม่เข้ามาทดแทนได้ ซึ่งก็จะมีการนำข้อเสนอนี้ให้ทางคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และ สพฐ.ได้นำไปลองพิจารณาดู.

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32226&Key=hotnews

ศธ.เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษา เน้นเด็กคิด-วิเคราะห์เป็น

25 มีนาคม 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีมอบโล่รางวัล คนดีศรีนครินทร์ และรางวัล หนึ่งแสนครูดี ให้แก่ครูและบุคลากรที่สร้างคุณประโยชน์ด้านการศึกษาในกลุ่มาเครือข่ายเขตพื้นที่การศึกษา จ.สมุทรสาคร รวมทั้งสิ้นจำนวน 353 คน พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้แก่นักเรียน “เรียนดีศรีนครินทร์” และนักเรียนที่มีจิตสาธารณะ ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมจำนวน 13 คน ที่โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ สมุทรสาคร

นายพงศ์เทพ กล่าวว่า การพัฒนาการศึกษาในประเทศนั้น ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ต้องร่วมกันพัฒนาการศึกษา และต้องวางรากฐานการศึกษาให้กับคนไทย โดยเฉพาะเยาวชน ที่จะเติบโตมาเป็นกำลังหลักพัฒนาประเทศชาติ และขณะนี้ รัฐบาลพยายามยกระดับคุณภาพการศึกษา และที่สำคัญ ครู-อาจารย์จะต้องร่วมหาหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ๆ เพื่อฝึกให้เด็กนักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ พร้อมมีคุณธรรม จริยธรรมควบคู่กัน

กรุงเทพฯ–25 มี.ค.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32225&Key=hotnews

ทอมก. เสนอ 3 วิธีประเมินคุณภาพ

25 มีนาคม 2556

ดร.กรีรัตน์ สงวนไทร อธิการบดี ม.วลัยลักษณ์ (มวล.) ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ทอมก.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทอมก. ได้มีมติเสนอร่างการปรับตัวชี้วัดและเกณฑ์การประเมินคุณภาพรอบที่สี่ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยเสนอ 3 แนวทางคือ แนวทางที่ 1 ใช้เกณฑ์ EdPEx หรือ Education Criteria For Performance Excellence ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่สถาบันในต่างประเทศใช้ประเมินมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนดขึ้น เพื่อมุ่งให้เกิดการพัฒนาที่เชื่อมโยงและสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบทั่วทั้งสถาบัน ส่วนแนวทางที่ 2 ใช้ตัวบ่งชี้ของ สมศ. และข้อเสนอแนะของมหาวิทยาลัยที่เน้นวัดเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยการประเมินจากผลลัพธ์ที่เกิดจากการพัฒนาของมหาวิทยาลัย สำหรับแนวทางที่ 3 ใช้ผลการรับรองขององค์กรที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลร่วมกับเกณฑ์เพิ่มเติมตามบริบทของประเทศ เพื่อให้หลักสูตรที่มีในประเทศไทยเป็นที่ยอมรับและสามารถแข่งขันได้ในเวทีนานาชาติ

“นอกจากนี้ทอมก.ยังมีมติเห็นชอบสนับสนุนการรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่น ตามโครงการบัณฑิตไทยไม่โกง ซึ่งทางที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้ขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว ขณะที่มหาวิทยาลัยในสังกัด ทอมก. ได้รณรงค์ให้นิสิต นักศึกษาและบุคลากรร่วมต่อต้านการคอร์รัปชั่นอยู่แล้ว และหาก ทปอ. จะให้ช่วยรณรงค์เรื่องนี้เป็นพิเศษ ทอมก. ก็ยินดี” ดร.กรีรัตน์ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 26 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32223&Key=hotnews

เร่งแจงหลักสูตร ปวช.ใหม่

25 มีนาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้พัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ใหม่ พร้อมประกาศให้เริ่มใช้ในปีการศึกษา 2556 ไปแล้วนั้น ล่าสุด สอศ.ส่งหนังสือไปยังสถานศึกษาในสังกัดทั่วประเทศเพื่อแจ้งให้ทราบถึงแนวทางการจัดการเรียนการสอนปวช.ใหม่นี้ รวมทั้งแนวทางการวัดและประเมินผลที่กำหนดให้ประเมินผู้เรียนตามสภาพจริง ตามสมรรถนะรายวิชา ที่สำคัญสอศ.ได้นำร่างหลักสูตรดังกล่าวเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ สอศ. http://bsq.vec.go.th/ แล้ว

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า ส่วนสื่อการเรียนการสอนและตำราที่มีปัญหาว่า สอศ.เพิ่งเปลี่ยนหลักสูตรในเดือนนี้ แต่สถานศึกษาได้จัดซื้อหนังสือเรียนที่มีเนื้อหาเก่า จากงบประมาณอุดหนุนเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพไปก่อนหน้าแล้ว ขณะที่หนังสือที่มีเนื้อหาใหม่ก็คงผลิตไม่ทัน สอศ.จึงมีแนวทางให้สถานศึกษาใช้หนังสือเรียนเก่าไปก่อน
ส่วนเนื้อหาในแต่ละรายวิชาที่เพิ่มขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนในรายวิชานั้นๆ ที่จะต้องพัฒนาเนื้อหาและสื่อเพิ่มเติม ซึ่งสอศ.จะประสานสำนักพิมพ์ที่ขายตำราเรียนให้วิเคราะห์หลักสูตรใหม่ หากมีอะไรเพิ่มเติมก็ให้ทำเอกสารเพิ่มเติมให้กับสถานศึกษาที่เป็นลูกค้าต่อไป

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 26 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32214&Key=hotnews

 

อ่านเถิด…เด็กไทย อ่านถวายเจ้าฟ้านักอ่าน

25 มีนาคม 2556

กลิ่น สระทองเนียม ต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำอยู่ในขณะนี้ก็น่าจะมาจากเด็กขาดนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการมีนิสัยรักการอ่านอย่างถาวรนั้นมีน้อยมาก ทั้งที่การอ่านมีความสำคัญด้วยเป็นทักษะพื้นฐานที่จะเปิดประตูไปสู่การเรียนรู้ด้านอื่น ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้อยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขได้

         ประเทศที่พัฒนาแล้วจึงได้ส่งเสริมปลูกฝังให้คนในชาติได้อ่านจนเป็นวิถีชีวิตปกติประจำวัน ส่งผลให้คนในชาติมีคุณภาพประเทศชาติก็พลอยเจริญก้าวหน้าตามไปด้วย ต่างกับคนไทยที่ยังให้ความสำคัญกับการอ่านน้อยมากด้วยอาจจะยังยึดติดอยู่กับเจตคติเดิม ๆ ที่ว่าการอ่านเป็นภาระแค่ช่วงที่อยู่ในสถานศึกษาหรืออ่านเพื่อสอบให้ได้คะแนนเท่านั้นเมื่อเรียนจบแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่ เมื่อบุคลากรของชาติอ่านน้อย การที่จะพัฒนาตนเองให้รู้เท่า รู้ทันกับโลกยุคไร้พรมแดนที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง วิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง แข่งขันกันอย่างรุนแรง เช่นนี้ ความรู้ที่ได้รับจากห้องเรียนหรือตำราเรียนด้านเดียวเช่นในอดีตคงไม่สามารถทำให้ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ดังกล่าวนี้ได้เป็นแน่
เมื่อการอ่านมีความสำคัญมากมายเช่นนี้ หากยังปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ก็มีแต่จะฉุดรั้งคนไทย ประเทศไทยให้ล้าหลังไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาไปในที่สุด จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะต้องร่วมกันปลุกกระแสสร้างจิตสำนึกเด็กไทยให้มีนิสัยรักการอ่านถาวรให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้หากทุกภาคส่วนได้ช่วยกันอย่างจริงจังและต่อเนื่องแล้วก็เชื่อว่าไม่น่าจะเกินความสามารถของคนไทยไปได้ เพราะด้วยศักยภาพเด็กไทยคิดว่าไม่น่าจะด้อยกว่าชาติใดในโลก รวมถึงปัจจัยที่จะมาส่งเสริม สนับสนุนทั้งสื่อ หนังสือ เทคโนโลยี แหล่งเรียนรู้ ก็มีอยู่มากมายพร้อมที่จะมาสนับสนุนได้เต็มที่
เมื่อพูดถึงการอ่านและการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพยิ่งแล้วประเทศไทยก็มีต้นแบบอันงดงามและยิ่งใหญ่ให้คนไทยและคนทั้งโลกได้ดำเนินตามรอยพระบาทอย่างหาที่สุดมิได้ นั่นคือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงมีพระราชจริยวัตรด้านการอ่านและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาไม่ว่าจะเสด็จไปที่แห่งใดจะทรงสนพระทัย ศึกษาเรื่องนั้น ๆ อย่างใส่พระทัย ทรงจดบันทึก ถ่ายภาพ และนำมาสังเคราะห์สรุปเป็นองค์ความรู้ผ่านงานแปลและงานพระราชนิพนธ์มากมายกว่า 400 เรื่อง ทำให้พสกนิกรชาวไทยและชาวโลกได้อ่านและศึกษาความรู้อย่างหลากหลายที่มีคุณภาพยิ่ง ซึ่งความสนพระทัยการอ่าน การเขียนและการเรียนรู้ของพระองค์นั้นได้เริ่มมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ที่ว่า
“หนังสือนี้มีมากมายหลายชนิด นำดวงจิตเริงรื่นชื่นสดใสให้ความรู้สำเริงบันเทิงใจ ฉันจึงใฝ่ใจสมานอ่านทุกวันมีวิชาหลายอย่างต่างจำพวก ล้วนสะดวกค้นได้ให้สุขสันต์วิชาการสรรมาสารพัน ชั่วชีวันฉันอ่านได้ไม่เบื่อเลย”จากพระราชจริยวัตรและพระอัจฉริยภาพของเจ้าฟ้านักอ่านนี้ คนไทยทั้งชาติ จึงควรน้อมนำ ดำเนินตามรอยเบื้องยุคลบาท เพื่อให้เกิดนิสัยรักการอ่านจนเป็นกิจนิสัยและเกิดการเรียนรู้ตลอดเวลา หากคนไทยทำได้เช่นนี้นอกจากจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วยังจะสามารถช่วยกันนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
ดังนั้นเพื่อให้คนไทยโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนได้ดำเนินตามรอยเบื้องยุคลบาท สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ (TK Park) จึงได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมผู้จัดพิมพ์หนังสือ ได้ขอพระบรมราชานุญาต เนื่องในวารดิถี อันเป็นมหามิ่งมงคลของพสกนิกรชาวไทยทั้งชาติ 2 เมษายน 2558 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุครบ 60 พรรษา จัดโครงการ “Read Thailand : อ่านเถิด.เด็กไทย อ่านถวายเจ้าฟ้านักอ่าน” โดยจะเปิดให้โรงเรียนประถมศึกษาทุกสังกัดได้เข้าร่วมโครงการ เพื่อร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของชาติด้วยการอ่านถวายเฉลิมพระเกียรติทั้งแผ่นดิน พร้อมขยายผลสนับสนุนให้เกิดการอ่านอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ด้วยการจัดหาหนังสือแนะนำที่มีคุณภาพโดยเฉพาะหนังสือพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้นักเรียนได้อ่านและเรียนรู้ รวมถึงการให้ขวัญ กำลังใจ โดยการประเมินเพื่อคัดเลือกโรงเรียนที่ได้ส่งเสริมเด็กให้มีนิสัยรักการอ่านประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยการคัดเลือกจะแบ่งออกเป็น3 ขนาด คือ โรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนน้อยกว่า 120 คนลงมา ขนาดกลาง นักเรียนระหว่าง 120-349 คน และขนาดใหญ่ มีนักเรียนตั้งแต่ 350 คนขึ้นไป
โรงเรียนแต่ละขนาดจะแข่งกันเองตามเกณฑ์ที่มีฐานคะแนนลดหลั่นกันไป ซึ่งเกณฑ์การประเมินจะดูทั้งระบบ ตั้งแต่การบริหารจัดการในการสนับสนุนส่งเสริม ทั้งการจัดหาสื่อ หนังสือ เทคโนโลยี และวิธีการส่งเสริมที่สามารถกระตุ้นให้เด็กสนใจเกิดความกระตือรือร้นเข้าร่วมกิจกรรมการอ่านอย่างต่อเนื่อง บุคลากรของโรงเรียนเป็นต้นแบบการอ่านที่ดีให้กับเด็ก รวมถึงผลที่เกิดจากการพัฒนาจากเด็กอ่านไม่ได้ อ่านไม่คล่อง ให้อ่านได้ อ่านคล่อง ความสามารถในการสรุปความรู้ที่ได้จากการอ่านสร้างผลงานในรูปแบบ โครงงาน บันทึกรักการอ่าน หนังสือเล่มเล็ก หรือผลงานอื่น ๆ โดยการคัดเลือกจะเริ่มตั้งแต่ระดับ สพป. จังหวัด เขตตรวจราชการ จนถึงระดับชาติ ซึ่งแต่ละระดับจะมีรางวัลเพื่อเป็นเกียรติประวัติให้กับทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการและโรงเรียนที่ชนะเลิศ โดยเฉพาะในระดับชาติ โรงเรียนที่ชนะเลิศแต่ละขนาดจะได้รับถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมป้ายประกาศ เกียรติบัตร เงินรางวัล รวมถึงผู้บริหาร ครูและนักเรียนจะได้ไปศึกษาดูงานด้านการส่งเสริมการอ่านต่างประเทศ
ส่วนรองชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับโล่จากนายกรัฐมนตรี พร้อมเงินรางวัล รองชนะเลิศอันดับ 2 จะได้โล่จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และเงินรางวัล ส่วน สพป.ที่มีโรงเรียนในสังกัด สมัครเข้าร่วมโครงการมากที่สุด 10 อันดับแรกจะได้รับประกาศเกียรติคุณจากกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งโครงการที่ว่านี้จะมีการเปิดตัวในวันที่ 28 มีนาคม 2556 โดย ดร.สิริกร มณีรินทร์ ประธานโครงการ หากโรงเรียนใดสนใจก็สามารถเปิดดูรายละเอียดได้ที่ www.tkpark.or.th หรือรอดูจากหนังสือที่จะแจ้งเป็นทางการต่อไปก็ได้
โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการสำคัญยิ่งที่คนไทยทั้งชาติจะได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระชนมายุครบ 60 พรรษาในปี 2558 ซึ่งเป็นเจ้าฟ้านักอ่านของคนทั้งโลก พร้อมกันนี้จะได้ช่วยกันปลุกกระแสนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนของชาติ ส่วนนี้จึงอยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะหน่วยงานจัดการศึกษาและผู้ปกครองทั้งหลายได้เห็นความสำคัญและใส่ใจกับการสร้างนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้นกับนักเรียนและบุตรหลานของตนเองมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะการอ่านเป็นต้นทางของการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่การจัดการศึกษาปัจจุบันไปให้ความสำคัญกันอยู่ที่แค่ปลายทางคือผลสัมฤทธิ์การเรียนโดยเฉพาะผลการสอบโอเน็ต ทำให้ครูไขว้เขวกับการพัฒนาเด็กอย่างยิ่ง เมื่อรู้ว่าเดินหลงไปแล้วก็อย่าได้เดินถลำให้ลึกไปมากกว่านี้อีกเลย ลองถอยกลับมาหาทางพัฒนาที่ถูกหลักด้วยการช่วยกันนำพาคนในชาติให้มีนิสัยรักการอ่าน รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการน้อมนำพระราชจริยวัตรอันงดงามของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เจ้าฟ้านักอ่าน มาเป็นธงชัยให้เด็กดำเนินตาม หากเด็กมีนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้แล้วคุณภาพการศึกษาคุณภาพชีวิตคนไทยในอนาคตคงไม่แพ้ชาติใดในโลกอย่างที่เป็นอยู่นี้แน่นอน.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 26 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32215&Key=hotnews

คอลัมน์: สถานี ก.ค.ศ.: การได้รับเงินเดือน ตามกฎ ก.ค.ศ.ฯ

25 มีนาคม 2556

วัชรี เกิดพิพัฒน์ ผอ.ภารกิจเสริมสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการตามที่ได้มีการประกาศ กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2555 นั้น เพื่อให้การดำเนินการตาม กฎ ก.ค.ศ. ฉบับดังกล่าว เป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ก.ค.ศ. จึงกำหนดวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติ โดยได้แจ้งไปยังส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตามหนังสือสำนักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.7/ว3 ลงวันที่ 6 มีนาคม 2556 โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

          1.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำของตำแหน่งและวิทยฐานะนั้นอยู่แล้ว/ถูกลดขั้นเงินเดือนหรือลดเงินเดือน/ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรการศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่ ก.ค.ศ.รับรองเพิ่มขึ้น หรือสูงขึ้น ให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าหรือต่ำกว่าขั้นต่ำ หรือสูงกว่าขั้นสูงของอันดับ ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป
2.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งครูผู้ช่วยหากได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับอยู่ก่อนวันที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือน ให้สั่งให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับครูผู้ช่วย โดยให้ไปอาศัยเบิกในอันดับ คศ.1 โดยให้ได้รับเงินเดือนในขั้นที่มีเงินเดือนเท่าเดิม ถ้าไม่มีขั้นที่มีเงินเดือนเท่าเดิม ให้ได้รับเงินเดือนในขั้นที่มีเงินเดือนใกล้เคียงที่สูงกว่า ไม่ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2556 แล้วจึงพิจารณาเลื่อนเงินเดือน
ตัวอย่าง นาย ก. รับเงินเดือนในอันดับครูผู้ช่วย ในอัตรา 17,960 บาท ซึ่งเป็นขั้นสูงของอันดับครูผู้ช่วย ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2556 ให้สั่งให้ นาย ก. ไปอาศัยรับเงินเดือนในอันดับ คศ.1 ขั้น 17,910 บาท ซึ่งเป็นอัตราเงินเดือนขั้นใกล้เคียงที่สูงกว่า ในวันที่ 1 เมษายน 2556 ก่อน แล้วจึงพิจารณาเลื่อนเงินเดือนต่อไป
3.ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ได้รับเงินเดือนถึงขั้นสูงของอันดับเงินเดือนของตำแหน่งและวิทยฐานะในอันดับ คศ.2 คศ.3 หรือ คศ.4 อยู่ก่อนวันที่จะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ให้สั่งให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของอันดับเงินเดือนเดิม และให้ไปอาศัยรับเงินเดือนในอันดับถัดไป ได้อีกหนึ่งอันดับเท่านั้น โดยให้ผู้นั้นได้รับเงินเดือนในอันดับที่สูงขึ้นในขั้นที่มีเงินเดือนเท่าเดิม หรือในกรณีที่ไม่มีขั้นที่มีเงินเดือนเท่าเดิม ก็ให้ได้รับเงินเดือนในขั้นที่มีเงินเดือนใกล้เคียงที่สูงกว่า สำหรับผู้ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นในอันดับ คศ.2 มีผลใช้บังคับไม่ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2556 และผู้รับเงินเดือนเต็มขั้นในอันดับ คศ.3 หรือ คศ.4 มีผลใช้บังคับไม่ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2554
ตัวอย่าง นาย ข. รับเงินเดือนอันดับ คศ.2 อัตราเงินเดือน 37,830 บาท ซึ่งเป็นขั้นสูงของอันดับ คศ.2 อยู่ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2556 ให้สั่งให้นาย ข. ไปอาศัยรับเงินเดือนในอันดับ คศ.3 ขั้น 37,900 บาท ซึ่งเป็นอัตราเงินเดือนขั้นใกล้เคียงที่สูงกว่า (เนื่องจากอัตราเงินเดือน 37,830 บาท ไม่มีกำหนดในอันดับ คศ.3) ในวันที่ 1 เมษายน 2556 ก่อน แล้วจึงพิจารณาเลื่อนเงินเดือนต่อไป
สำหรับการให้ได้รับเงินเดือน ในกรณีอื่นๆ ที่กำหนดให้ได้รับเงินเดือนตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อเสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32212&Key=hotnews

พื้นที่ระงม กคศ. โยน เผือกร้อน ชี้ขาดครูผู้ช่วย

25 มีนาคม 2556 หนึ่งในบอร์ด ‘อ.ก.ค.ศ.’ เซ็งมติสอบโกงครูผู้ช่วย โยนเขตพื้นที่แก้เอง ทั้งที่หลักฐานทุจริตชัด ด้านนายกเขตพื้นที่การศึกษาซัดส่วนกลางลอยตัวเหนือปัญหา เชื่อระดับพื้นที่ไม่กล้ายกเลิกการสอบ หวั่นโดนฟ้องอื้อ

ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2556 เพื่อพิจารณาทุจริตสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 ซึ่งพบหลักฐานการทุจริตชัดเจนหลายรูปแบบ ในหลายเขตพื้นที่การศึกษา และมีผู้ได้คะแนนสอบสูงผิดปกติ จำนวน 514 คนใน 129 เขตพื้นที่การศึกษา แต่ปรากฏว่า ก.ค.ศ. มีมติส่งกลับไปให้คณะอนุกรรมการ ก.ค.ศ. (อ.ก.ค.ศ.) ในเขตพื้นที่การศึกษาต่าง ๆ ตรวจสอบว่ามีการทุจริตจริงหรือไม่ และให้เป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงการศึกษาอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเกรงว่าการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวจะกลายเป็นมวยล้ม โดยมีกระแสข่าวว่ามีความพยายามวิ่งเต้นเพื่อให้เรื่องนี้ค่อยๆ เงียบลง

โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2556 นายสุบัน ประทุมทอง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ก.ค.ศ.ในฐานะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีปัญหาการสอบครูผู้ช่วย ชุดที่มีนายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน กล่าวว่า ในการประชุม ก.ค.ศ. เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ได้พยายามชี้แจงว่าขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วยได้ทำอะไรบ้าง ตั้งแต่ที่ได้ลงไปสืบหาข้อมูล และพยานต่าง ๆ มา ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ในฐานะประธาน ก.ค.ศ.ก็บอกว่ามีทุจริตจริง แต่มติ ก.ค.ศ.กลับออกมาอีกลักษณะหนึ่ง ทำให้รู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะกรณีของผู้ที่มีคะแนนสูงผิดปกติ 486 ราย ที่สอบบรรจุได้ ก็ได้นำเสนอข้อมูลต่อประชุมรับทราบว่าเข้าข่ายการทุจริต เพราะมีคะแนนเต็มวิชาใดวิชาหนึ่งใน 4 ชุดวิชา ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้
นายสุบันกล่าวว่า การที่ ก.ค.ศ. มีมติให้ 129 เขตพื้นที่ฯไปพิจารณาเองว่าจะยกเลิกการสอบครูผู้ช่วยหรือไม่นั้น ผู้บริหารเขตพื้นที่ฯเริ่มสะท้อนว่าค่อนข้างลำบากใจ และเห็นว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ส่วนกลางกลับโยนไปให้เขตพื้นที่ฯแก้ปัญหา ทั้งที่เดิมการสอบครูผู้ช่วยเป็นอำนาจของเขตพื้นที่ฯ แต่ส่วนกลางก็ดึงไปดำเนินการเอง พอเกิดปัญหากลับส่งมาให้เขตพื้นที่ฯรับผิดชอบ
“ตามขั้นตอนเมื่อ ก.ค.ศ.แจ้งเรื่องไปยัง 129 เขตพื้นที่ฯ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯจะต้องสั่งตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงต่อไป ผมเชื่อว่าเขตพื้นที่ฯที่จะช่วยผู้ที่คะแนนสูงผิดปกติให้รอดนั้น น่าจะมีน้อย และอยากให้แต่ละเขตพื้นที่ฯยึดกฎหมาย ใช้ดุลพินิจในการสืบหาข้อเท็จจริง เพื่อให้รู้ว่าคนไหนทุจริต หรือไม่ทุจริต” นายสุบันกล่าว

นายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผู้อำนวยการ สพป.กาญจนบุรี เขต 4 และนายกสมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมา ที่ประชุม ก.ค.ศ.ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการเองหมด จึงไม่เห็นด้วยที่จะโยนการแก้ปัญหาทุจริตสอบมาให้เขตพื้นที่ฯเป็นผู้ตัดสินว่า ควรยกเลิกการสอบหรือไม่ ทั้งที่ที่ประชุม ก.ค.ศ.มีอำนาจสูงสุด เหนือกว่า อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ดังนั้น ควรสั่งการได้เลยว่าจะยกเลิกการสอบในเขตพื้นที่ฯใดบ้าง เพราะการให้เขตพื้นที่ฯตัดสินใจเองทำได้ยาก เนื่องจากมีข้อมูลน้อย และสุดท้ายหากสั่งยกเลิกการสอบ เมื่อมีผู้ฟ้องร้อง อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯก็ต้องรับผิดชอบ ขณะที่ ก.ค.ศ.ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าใน 129 เขตพื้นที่ฯ ส่วนใหญ่คงไม่กล้ายกเลิกการสอบอย่างแน่นอน
“ขณะนี้เขตพื้นที่ฯอยู่ในลักษณะเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกแขวนคออีก เพราะการสอบครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมา เขตพื้นที่ฯไม่ได้ดำเนินการเอง ทั้งหมด สพฐ.ดูแล ตอนประกาศผลสอบก็ไม่ส่งคะแนนให้ แต่พอจะให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ถึงจะยอมส่งคะแนนมาให้ ทั้งที่ควรส่งให้ตั้งแต่แรก” นายธวัชชัยกล่าว

นายสานิตย์ พลศรี กรรมการใน อ.ก.ค.ศ.สพป.ชัยภูมิ เขต 1 กล่าวว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.จะโยนความรับผิดชอบมาให้เขตพื้นที่ฯตัดสินเรื่องการทุจริตครูผู้ช่วยไม่ได้ เพราะช่วงประกาศผลสอบ ทำไม สพฐ.ไม่แจ้งคะแนนให้รับรู้ แจ้งแต่เพียงรายชื่อมาเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครสอบได้คะแนนสูงผิดปกติ เพื่อตรวจสอบและคงไม่ประกาศรับรองผลแน่นอน แต่ สพฐ.กลับเร่งรัดให้ประกาศผลการสอบคัดเลือกและเร่งบรรจุแต่งตั้ง เช่น กรณีของ สพป.ชัยภูมิ เขต 1 มีคนได้คะแนนเต็มในชุดวิชาใดวิชาหนึ่งถึง 8 คน หากรู้คะแนนก่อนคงไม่รับรองผลการสอบคัดเลือกอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามมติของที่ประชุม ก.ค.ศ. คงต้องขอดูเรื่องและหนังสือที่จะแจ้งมาก่อน จากนั้น จึงนำมาวิเคราะห์ และหารือกันใน อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ว่าทำอย่างไร
“การให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯรับผิดชอบเป็นเรื่องยาก สืบหาข้อเท็จจริงค่อนข้างยาก เนื่องจากกระบวนการต่างๆ อยู่ที่ต้นเหตุคือส่วนกลางหมด การส่งมาให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯลงดาบยกเลิกการสอบ เชื่อว่าคงมีหมายศาลปกครองมาจากผู้ที่ถูกยกเลิกยื่นฟ้องส่งมาที่เขตพื้นที่ฯแน่นอน ผมเชื่อว่าทุกเขตพื้นที่ฯไม่พอใจกับมติดังกล่าวแน่ เพราะเหมือนกับว่าที่ประชุม ก.ค.ศ.และ สพฐ.ลอยตัวเหนือปัญหา” นายสานิตย์กล่าว

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการ ศธ.กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับมติที่ประชุม ก.ค.ศ.กรณีการสอบครูผู้ช่วยกรณีทั่วไปช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม โดยให้ฟื้นการสอบสัมภาษณ์กลับมาเหมือนเดิม เพราะจะยิ่งเป็นช่องทางให้เรียกรับผลประโยชน์ได้ เพราะในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้สั่งให้ยกเลิกการสอบสัมภาษณ์ไปแล้ว เพราะมีครูร้องเรียนจำนวนมากว่าถูกเรียกรับเงิน
“ส่วนมติที่ให้เขตพื้นที่ฯรวมกลุ่มจัดสอบกันเองนั้น หากมีทุจริตก็คงไม่มีใครทราบ แต่ถ้ายืนยันจะให้เขตพื้นที่ฯจัดสอบเอง ควรให้สถาบันการศึกษาในส่วนกลางออกข้อสอบให้เหมือนกันหมด” นายสุชาติกล่าว

แหล่งข่าวระดับสูงจาก ศธ.กล่าวว่า สาเหตุที่ ก.ค.ศ.มีมติให้ 129 เขตพื้นที่ฯที่เข้าข่ายทุจริตสอบครูผู้ช่วย ไปพิจารณาเองว่าจะยกเลิกการสอบหรือไม่นั้น มีกระแสข่าวว่ามีสามีของแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาลคนหนึ่ง ได้ประสานมายังฝ่ายการเมือง ขอไม่ให้เอาผิดกับผู้บริหารระดับสูงใน สพฐ.บางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตสอบครูผู้ช่วยครั้งที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า ผู้บริหารคนดังกล่าวพยายามวิ่งเต้นกับนักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อไม่ให้ถูกย้ายออกจาก สพฐ.

— มติชน ฉบับวันที่ 26 มี.ค. 2556 (กรอบบ่าย) —