ศธ.ดึง ตร.คุมสอบครูผู้ช่วย 398 สนามทั่วประเทศ/ใช้ไฮเทคตรวจโลหะ-ตัดสัญญาณมือถือกันโกง

21 มิถุนายน 2556

ศึกษาธิการ * “สพฐ.” ประสานตำรวจ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ดูแล 398 สนามสอบครูผู้ช่วยทั่วประเทศ คุมเข้มใช้เครื่องตรวจจับโลหะ ตัดสัญญาณมือถือกันโกง ชี้หากเฉลยข้อสอบรั่วอีก เขตพื้นที่ฯ ต้องรับผิดชอบ “เสริมศักดิ์” กำชับผู้บริหาร สพฐ. ระบุ “ยิ่งลักษณ์” กำชับ ศธ.ห้ามปล่อยซ้ำรอยทุจริตสอบครูอีก

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยการเตรียมความพร้อมการจัดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วยทั่วไป ประจำปีการศึกษา 2556 จำนวน 1,070 อัตรา ใน 79 เขตพื้นที่การศึกษา ใน 34 กลุ่มวิชาเอก ซึ่งจะดำเนินการสอบในวันที่ 22-24 มิถุนายน 2556 ว่า การจัดสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ได้กระจายอำนาจให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) เป็นผู้ดำเนินการจัดสอบ โดยให้รวมกลุ่มดำเนินการตามเขตตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้สั่งการให้ สพท.ทั้ง 79 เขตฯ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และให้รายงานผลมาที่ สพฐ.เป็นระยะ ตั้งแต่วันที่ 7, 14 มิ.ย. และในวันที่ 21 มิ.ย.นี้ จะให้ทุกเขตสรุปผลการเตรียมความพร้อมรายงานมายังส่วนกลางอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมเรื่องของสถานที่สอบ การประสานงานกับสถาบันอุดมศึกษาที่ออกข้อสอบให้ การเตรียมมาตรการป้องกันการทุจริต รวมถึงการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเข้ามาช่วยดูแลการจัดสอบทั้ง 398 สนามสอบที่เป็นโรงเรียน ขณะที่วันสอบจริง ตนจะมาประจำอยู่ศูนย์อำนวยการด้วย

เลขาธิการ กพฐ.กล่าวอีกว่า จากการติด ตามสถานการณ์จนถึงขณะนี้ ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีรายงานแค่ 1 กรณีคือ กรณีของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 40 เพชรบูรณ์ ได้รับข้อมูลว่ามีการเปิดติวข้อสอบ เบื้องต้นก็ได้สั่งการให้เขตพื้นที่ฯ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เสร็จก่อนวันสอบ ซึ่งการสอบครูผู้ช่วยครั้งนี้ สพฐ.ได้มอบอำนาจให้เขตพื้นที่ฯ เป็นผู้ดำเนินการจัดสอบ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น เขตพื้นที่ฯ มีอำนาจหน้าที่เข้าไปดูแลจัดการปัญหาโดยตรง

อย่างไรก็ดี สำหรับการป้องกันการทุจริตสอบนั้น สพฐ.ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มาให้ข้อมูลเขตพื้นที่ฯ เกี่ยวกับการตรวจจับการทุจริตสอบผ่านเครื่องมือสื่อสารต่างๆ และให้แต่ละเขตพื้นที่ฯ ประสานสถานีตำรวจภูธรในพื้นที่นำเครื่องมือตรวจจับโลหะ เครื่องมือตัดสัญญาณโทรศัพท์มาติดตั้งในวันสอบด้วย เพื่อป้องกันการทุจริตสอบผ่านเครื่องมือสื่อ สาร ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานปัญหาเรื่องข้อสอบรั่วเข้ามา ขณะที่เรื่องการป้องกันข้อสอบรั่วนั้นเป็นความรับผิดชอบของเขตพื้นที่ฯ โดยตรง เพราะการสอบครั้งนี้กระจายอำนาจให้เขตพื้นที่ฯ จัดสอบ

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ตนได้กำชับ สพฐ.ให้ดูแลการสอบครูผู้ช่วยที่จะมีขึ้นในปลายสัปดาห์นี้ ส่วนผู้บริหาร สพฐ.เองก็ทราบดีว่าจะต้องควบคุมดูแลเรื่องนี้อย่างรัดกุมที่สุด เพราะหากทราบว่ามีเบาะแสใดที่อาจจะมีปัญหา ต้องรีบแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต และขอบอกว่าคนที่ทุจริตการสอบ สุดท้ายก็จะไม่ได้เป็นครูและอาจจะถูกดำเนินการคดีอาญาด้วย อยากให้ผู้เข้าสอบทุกคนเข้าสอบด้วยความรู้ความสามารถของตนเอง
นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ. กล่าวว่า ได้มอบให้นายพิษณุ ตุลสุข ผู้ตรวจราชการ ศธ. รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ กพฐ. ไปดูแลการสอบครูผู้ช่วยที่จะถึงนี้ โดยได้ขอให้ลงพื้นที่ตรวจสอบในช่วงที่จะมีการสอบด้วย

“การสอบครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก จึงต้องมีการคุมเข้มเพื่อไม่ให้มีการทุจริต เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กำชับมาว่าอย่าให้เกิดซ้ำอีก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีข่าวมาเรื่อยๆ ว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะได้ประสานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ให้ช่วยกันดูแลแล้ว แต่ก็อยากให้ประชาชนทุกคนช่วยกันสอดส่องด้วย” นายเสริมศักดิ์กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33096&Key=hotnews

ชงดีเอสไอลงดาบจ้างทำวิทยานิพนธ์’ภาวิช’จี้มหาวิทยาลัยเอาจริงวางระบบแก้ไข

21 มิถุนายน 2556

นายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษา รมว.ศธ. กล่าวว่า ตามที่ตนได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีการรับจ้างทำดุษฎีนิพนธ์ของปริญญาเอก ทุกสาขาวิชา โดยรับบริการทำทั่วประเทศ ประกาศผ่านทางเว็บไซต์ www.researchthailand.com โดยพบรายละเอียดผู้รับจ้างของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่รับทำ และยังมีข้อความการันตีผลงานนั้น ความคืบหน้าเรื่องนี้ตนได้หารือกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว โดยดีเอสไอบอกให้นำข้อมูลมาจะดำเนินการต่อให้ ที่ห่วงเรื่องนี้เพราะเข้ามาในวงการศึกษา ส่วนจะเป็นคดีพิเศษหรือไม่ตนไม่ทราบ

นายภาวิชกล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ หากมหาวิทยาลัยดูแลเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ตนมีข้อแนะนำให้มหาวิทยาลัยควรปฏิบัติ คือ 1.อย่ารับนักศึกษาเกินจำนวนที่กำหนด เช่น วิทยานิพนธ์จะมีกฎเกณฑ์ว่าอาจารย์ที่ปรึกษา 1 คนจะรับวิทยานิพนธ์ได้ไม่เกิน 5 เรื่อง แต่ในทางปฏิบัติจะเลี่ยงทำเป็นกลุ่ม จึงกลายเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา 1 คนรับวิทยานิพนธ์ 20-30 เรื่อง ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ซึ่งบางมหาวิทยาลัยที่ดีก็เป็นห่วงในเรื่องนี้

ที่ปรึกษา รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า 2.มหาวิทยาลัยต้องมีกระบวนการจัดทำวิทยานิพนธ์ที่มีประสิทธิภาพ ให้หลักประกันได้ เช่น มหาวิทยาลัยบางแห่งเด็กเรียนมาจนใกล้จบการศึกษา ส่งแผนการทำวิทยานิพนธ์ จากนั้นอีก 2 อาทิตย์ก็ส่งวิทยานิพนธ์แล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อครั้งที่ตนเคยปฏิบัตินั้นจะออกระเบียบว่า เมื่อเข้ามาเรียนบัณฑิตศึกษาจะกำหนดวันที่ส่งหัวข้อวิทยานิพนธ์ จากนั้นจะส่งวิทยานิพนธ์เลยไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดคือผ่านไป 1 ภาคการศึกษา

“หากสร้างกระบวนการที่เข้มแข็งสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิด แม้แต่เวลาที่ผมเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ต่างประเทศต้องส่งเป็นลายมือ และทยอยส่ง อาจารย์ที่ปรึกษาต้องดูแล ถ้ามหาวิทยาลัยมีความจริงใจต่อการดูแลคุณภาพสิ่งเหล่านี้จะป้องกันได้ ผมว่านี่คือประเด็นที่สำคัญ สิ่งที่มีคน มารับจ้างทำวิทยานิพนธ์เป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น” นายภาวิชกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33095&Key=hotnews

รมว.ศธ.ชูร.ร.วังไกลกังวลต้นแบบแก้ปัญหาขาดครู

21 มิถุนายน 2556

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่โรงเรียนวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการเยี่ยมชมการจัดการศึกษาโรงเรียนวังไกลกังวลว่า ได้รับคำเชิญจากนายขวัญแก้ว วัชรโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง ให้เยี่ยมชมตัวอย่างการจัดการศึกษาของโรงเรียนวังไกลกังวล เพื่อเป็นต้นแบบให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ จากการเยี่ยมชมพบว่ามีการจัดการเรียนการสอนที่น่าชื่นชม เด็กมีวินัย และใช้ครูที่มีความเชี่ยวชาญมาสอน นอกจากนี้ยังถ่ายทอดผ่านระบบโทรทัศน์ ไปยังโรงเรียนอื่น โดยเฉพาะโรงเรียนที่ขาดแคลนครู โรงเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่สามารถควบรวมได้ เช่น โรงเรียนใน จ.สุพรรณบุรี ได้ใช้ประโยชน์จากโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมวังไกลกังวลด้วย ซึ่งทำให้ ผลการเรียนของเด็กสูงขึ้น

“การเรียนรู้ผ่านระบบโทรทัศน์ดาวเทียม เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งโรงเรียนที่ไม่มีปัญหาขาดแคลนครูก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ เพราะครูสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ ทั้งนี้มีผลวิจัยว่าโรงเรียนที่คุณภาพไม่ถึงเกณฑ์ เมื่อมาใช้ระบบดังกล่าว ทำให้ผลการเรียนของเด็กดีขึ้น” นายพงศ์เทพกล่าว และว่า ศธ.ได้สนับสนุนจานดาวเทียมและอุปกรณ์รับสัญญาณให้โรงเรียนทั่วประเทศประมาณ 10,000 แห่ง ขณะนี้บางแห่งใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ เพราะอาจมีปัญหาชำรุด ดังนั้น จึงมอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซ่อมแซม แต่หากเกินความสามารถ ก็ให้ช่างผู้เชี่ยวชาญแก้ไข และหากแก้ไขไม่ได้ ค่อยเสนอของบประมาณเพื่อจัดซื้อและนำมาทดแทนต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33094&Key=hotnews

นิสิตนิติจุฬาฯ ร้องไม่เป็นธรรม ถูกรีไทร์ย้อนหลัง 5 คน อ้างเกรดออกช้า 2 ปี

nisit chula
nisit chula

http://nisitchula.weebly.com/

19 มิ.ย.56 รายงานข่าวแจ้งว่ามีกลุ่มนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  5 คน ถูกแจ้งย้อนหลังให้พ้นสถานภาพการเป็นนิสิต ในวิชาที่เรียนในระดับชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2 วิชาหนึ่ง ซึ่งเป็นวิชาบังคับที่นิสิตทุกคนต้องเรียน  เพราะเหตุจากการที่อาจารย์ผู้สอน ส่งผลคะแนนการศึกษาในวิชาดังกล่าวล่าช้ามากกว่า 2 ปี หรือกว่า 5 ภาคการศึกษา  โดยในขณะนั้นนิสิตกลุ่มดังกล่าวกำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่หนึ่ง  ในรายวิชา “กฏหมายกับสังคม” ซึ่งเป็นวิชาที่เรียนในระดับชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2 โดยผลคะแนนของวิชาดังกล่าวเพิ่งออกมาเมื่อไม่นานมานี้ รวมระยะเวลามากกว่า 2 ปี

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1371628676&grpid=01&catid=01

ปัจจุบันนิสิตกลุ่มดังกล่าวกำลังศึกษาในชั้นปีที่ 4 ภาคการศึกษาต้น ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การขยับขึ้นชั้นเรียนในชั้นปีที่2-3 แม้ว่าผลคะแนนวิชาดังกล่าวจะยังไม่ประกาศผล ระบบการลงทะเบียนเรียน ก็อนุญาตให้นิสิตกลุ่มดังกล่าว สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนในชั้นปีที่ 2- 3 ได้โดยปกติ เมื่อขึ้นชั้นปี 4 นิสิตกลุ่มดังกล่าว ได้ทำการลงทะเบียนเรียนปกติ แต่ภายหลังกลับถูกแจ้งว่า ให้พ้นสถานภาพการเป็นนิสิต เนื่องจากผลคะแนนวิชา “กฎหมายกับสังคม” ที่เคยเรียนเมื่อชั้นปีที่ 1 ภาคการศึกษาที่ 2 เมื่อหลายปีก่อนได้ประกาศผล โดยเป็นการประกาศผลคะแนนถึงสามชั้นปีในครั้งเดียว (เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.2556)  ทำให้เมื่อนำผลคะแนนวิชาดังกล่าว มาคำนวณผลคะแนนเฉลี่ยรวมสมัยชั้นปีที่ 1 ทั้งสองภาคการศึกษาแล้ว ปรากฏว่า ผลการเรียน ไม่ผ่านเกณฑ์ที่จะได้ศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ อีกต่อไป

เมื่อตรวจสอบเว็บไซต์ของ สำนักงานการทะเบียนและประมวลผล ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายหลักเกณฑ์ การจำแนกสภาพนิสิต ว่าต้องกระทำครั้งแรกเมื่อสิ้นภาคการศึกษาที่สอง ซึ่งตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผลคะแนนของ วิชา “กฎหมายกับสังคม” กลับไม่สามารถประกาศได้ทัน จนเวลาล่วงเลยมามากกว่า 2 ปี ซึ่งไม่สามารถจำแนกสภาพนิสิตครั้งแรกได้ กลับมาจำแนกสภาพนิสิตในการประกาศผลคะแนนวิชาดังกล่าวเมื่อขึ้นชั้นปีที่ 4

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นิสิตกลุ่มดังกล่าว ได้พยายามที่จะติดต่ออาจารย์ผู้สอนรายวิชาดังกล่าว เพื่อติดตามผลคะแนน แต่ก็ได้รับคำตอบว่า กำลังเร่งในการตรวจอยู่ เมื่อสอบถามไปยังหน่วยงาน และ บุคคลที่เกี่ยวข้องก็ได้รับคำตอบว่า จะประสานงานกับอาจารย์ผู้สอนให้ ซึ่งนิสิตเองก็มีความกังวลกับผลคะแนนที่ประกาศช้าเป็นอย่างมาก เพราะมีผลต่อการวางแผนการศึกษาในชั้นปีต่อไป และเมื่อล่าสุดผลคะแนนได้ประกาศออกมา ก่อนเปิดภาคการศึกษาที่ 1 ชั้นปีที่ 4 ทำให้ผลการเรียนเฉลี่ยรวมในสองภาคการศึกษาของชั้นปีที่ 1 ต่ำกว่าเกณฑ์และต้องถูกถอนสถานภาพนิสิต ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในอนาคตของนิสิตกลุ่มดังกล่าวอย่างมาก รวมทั้งครอบครัว ของนิสิตด้วย

หลังเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น ทางคณะกรรมการบริหารคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ประชุมปรึกษาหารือกัน  รวมทั้งเชิญนิสิตที่ได้รับผลกระทบทั้ง 5 คน เข้าพบหารือ เพื่อหาทางออก พร้อมทั้งได้เปิดเวทีชี้แจงให้นิสิตทุกชั้นปีรับฟัง และในคราวการประชุมคณะกรรมการบริหารคณะนิติศาสตร์ ครั้งที่ 12/2556 ได้มีมติออกมา  โดยมีใจความสำคัญ คือ การยอมรับผิดที่คณะได้ส่งคะแนนการศึกษาล่าช้า  และมีมาตราการในการเยียวยาออกมา 4 ข้อ  คือ

1.มาตรการเยียวยาทางการเงิน เห็นควรให้นิสิตได้รับการเยียวยา ดังต่อไปนี้
1.1 คืนค่าธรรมเนียมทางการศึกษานับตั้งแต่เวลาที่พ้นสภาพ  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
1.2 ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นในการศึกษาตามความเป็นจริง เป็นรายกรณีไป
1.3 ชดเชยค่าเสียโอกาส
2. เห็นควรเสนอให้มหาวิทยาลัยให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ในกรณีดังกล่าว
3.ทั้งนี้ในส่วนของรายวิชาดังกล่าว คณะกรรมการเห็นพ้องให้มีการเปลี่ยนอาจารย์ผู้สอน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 นี้เป็นต้นไป
4.ในส่วนของการส่งคะแนนช้าในรายวิชาต่างๆนั้น  ที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเพิ่มมาตราการ ดังต่อไปนี้
4.1ให้มีการออกหนังสือทวงถาม ครั้งที่1 และ 2 ถึงอ.ผู้สอนในรายวิชา เมื่อครบ 1 ถึง 2 เดือน นับแต่วันสอบวันสุดท้ายของภาคนั้น
4.2 หากครบสามเดือนแล้ว พึงมีการตั้งกรรมการสอบวินัยอาจารย์ผู้สอนต่อไป เว้นแต่มีเหตุจำเป็นบางประการที่ทำให้ส่งคะแนนภายในกำหนดไม่ได้

ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกตั้งคำถามจาก ศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่าจำนวนมากถึงเรื่องความรับผิดชอบของคณะที่ควรจะมีมากกว่านี้ตั้งแต่คณะผู้บริหารจนกระทั่งถึงอาจารย์ผู้สอน  เพราะเมื่อนิสิตกลุ่มดังกล่าวได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ ต้องถูกรีไทร์ (Retire) ตั้งแต่การเรียนในชั้นปีที่ 1 นิสิตก็ควรจะต้องรู้ตั้งแต่เวลานั้น การปล่อยให้เวลาล่วงเลยจนถึงปีสี่ แล้วเกรดปีหนึ่งจึงได้ประกาศ และมารู้ตัวตอนปี 4 ว่าต้องถูกรีไทร์  ซึ่งคณะจะเยียวยาโดยจ่ายเงินตั้งแต่ปี 2 ถึง ปี 4 นั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องแล้วหรือ เมื่อเป็นอาจารย์ระดับมหาวิทยาลัย มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ชัดเจน ทำไมจึงไม่มีเวลาในการตรวจข้อสอบนิสิต

นอกจากนี้ยังมีการตั้งคำถามจากศิษย์เก่ากันอีกว่ามาตรการดังกล่าวที่ออกมานอกจากเป็นการไม่ช่วยเหลือนิสิตทั้งห้าคนแล้วยังเป็นการลอยตัวของผู้บริหารคณะ ที่ให้อาจารย์เพียงท่านเดียวแบกความรับผิดชอบ โดยมิได้ตระหนักว่า ในคณะมีอาจารย์เพียงไม่ถึงสิบท่านที่ออกเกรดตรงเวลา โดยจำนวนมากตั้งคำถามและวิพากษ์กับความเป็นมาตรฐานและตัวระบบโครงสร้างการคิดคะแนนและการจัดการเรียนการสอนของคณะที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรงดังกล่าว

เรื่องดังกล่าวนี้น่าจะเป็นที่จับตามองของประชาคมจุฬาทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันอย่างกว้างขวาง   โดยปัญหาดังกล่าว สะท้อนระบบการบริหารงาน และการจัดหลักสูตรการศึกษา ของ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ที่ส่งผลกระทบต่อ “นิสิต” เพราะจะไม่ใช่เพียง 5 คน ที่ได้รับผลกระทบกับเรื่องที่เกิดขึ้น หากแต่อาจส่งผลกระทบกับ “นิสิต” รุ่นต่อไป  และเรื่องนี้อาจต้องไปต่อสู้ในศาลปกครองกลางต่อไป

สพฐ.ไม่ปิดกั้นเด็กไร้สัญชาติชี้ยุบรวม ‘ร.ร.เล็ก’ ผลดีเกินคาด

20 มิถุนายน 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงกรณีที่นายประแสง มงคลศิริ เลขานุการรมว.ศึกษาธิการ ระบุว่าการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งล้มเหลว เพราะท้องถิ่นตั้งโรงเรียนแข่งขัน เกิดการแย่งชิงเด็กจนทำให้โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องดึงเด็กไร้สัญชาติเข้ามาเรียนแทนว่า เรื่องการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลายหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบคงไม่ใช่เรื่องการแย่งเด็ก จึงอยากให้มองเรื่องนี้เป็นการส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันมากกว่า เพราะในหลักการและนโยบายแล้ว เด็กไร้สัญชาติที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินไทยจะต้อง

ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง โดยไม่มีการปิดกั้นโอกาสทางการศึกษาแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อเด็กเหล่านี้ไม่ได้เข้าสู่ระบบการจัดการศึกษาที่ดีก็อาจเป็นภาระทางสังคมและประเทศชาติได้สพฐ. จึงจำเป็นต้องดูแลเด็กเหล่านี้ให้เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อไม่มีตัวป้อนให้กับโรงเรียน สพฐ.จะต้องไปดึงเด็กไร้สัญชาติเหล่านี้มาเข้าเรียนแทน แต่การให้การศึกษากับเด็กไร้สัญชาตินั้นเป็นไปตามหน้าที่และนโยบายการจัดการศึกษาอย่างทั่วถึง

“ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก องค์กรปกครองส่วนปกครองท้องถิ่น (อปท.)ก็เข้ามามีส่วนร่วมอย่างมาก เช่น เข้ามาอยู่ในคณะกรรมการภาคีเครือข่ายการศึกษาทางเลือกโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียนของชุมชนด้วยทั้งนี้ จากการวิเคราะห์โมเดลที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กของพื้นที่ต่างๆ ก็พบว่า ประสบความสำเร็จด้วยดี และเห็นผลที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนครูเพราะเมื่อนำเด็กจากโรงเรียนต่างๆ มารวมกันแล้ว ทำให้ปัญหาขาดแคลนครูลดน้อยลงและหมดไป นอกจากนี้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กก็เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจุดนี้ถือเป็นความสำเร็จอย่างชัดเจน”

นายชินภัทร กล่าวและว่า การที่มองว่าการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กล้มเหลวคงต้องขอข้อมูลที่เป็นรูปธรรม ว่าไม่ประสบความสำเร็จในจุดใด เพื่อที่ สพฐ.จะได้นำกลับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33087&Key=hotnews

หลักสูตรใหม่ได้เด็กมีคุณภาพเสริมกิจกรรมเพิ่มทักษะ-ไม่เน้นท่องจำ

20 มิถุนายน 2556

กรุงเทพฯ : “วันชัย” ย้ำหลักสูตรใหม่ แม้เวลาเรียนในห้องน้อยแต่กิจกรรมเพิ่มทักษะเยอะ สร้างเด็กมีคุณภาพไม่ใช่เก่งแต่ท่องจำ สรุปเสนอรัฐมนตรี 3 ก.ค.

รศ.ดร.วันชัย ดีเอกนามกูล เลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตร เปิดเผยว่า ในการประชุมของคณะกรรมการปฏิรูปฯในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ จะได้ทราบกรอบใหญ่ที่ประชุมจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้และหลักสูตรได้สรุปมาจนตกผลึก โดยทักษะเน้นไปที่ผู้เรียน เป็นกรอบกลุ่มความรู้ 6 ด้านที่มีความชัดเจน และมีเป้าหมายไปตามความรู้ ก่อนสรุปรายงานต่อคณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้

“เราต้องการความมั่นใจจากคณะกรรมการเหล่านี้ว่าแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับประเทศ แต่การปรับหลักสูตรต้องทำให้ต่อเนื่อง จึงเตรียมเสนอให้เป็นคณะกรรมการแห่งชาติ โดยมี อ.ภาวิช ทองโรจน์ เป็นประธานกรรมการ ซึ่งจะนำร่องในโรงเรียนจำนวนหนึ่งก่อน เพื่อให้หลักสูตรใหม่นี้ใช้แทนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีความสมบูรณ์และรายละเอียดมากกว่าเดิม และให้ครูอาจารย์ในโรงเรียนสามารถใช้แนวปฏิบัติหรือไปประยุกต์ต่อยอดได้อีก ซึ่งหลักสูตรนี้ครูระดับหนึ่งสามารถสอนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้”

รศ.ดร.วันชัยกล่าวอีกว่า หลักสูตรใหม่แม้จะมีเวลาเรียนอยู่ในห้องเรียนน้อยลง แต่กิจกรรมช่วงบ่ายเป็นกิจกรรมเสริมด้านอื่นๆ ทำให้เกิดทักษะอื่นๆมาเสริมความรู้ทั่วไปเพื่อสร้างเด็กคู่ขนาน ต่อไปมหาวิทยาลัยจะต้องปรับเปลี่ยนการวัดผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากมีการปรับรื้อหลักสูตร เพราะหากการวัดผลไม่สอดคล้องกันถือว่าล้มเหลว มหาวิทยาลัยน่าจะพึงพอใจ เพราะไม่ได้เด็กเก่งแค่ท่องจำไปสอบ แต่จะได้เด็กที่มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เป็น

ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33086&Key=hotnews

หนุนเรียนภาษาฝรั่งเศส

20 มิถุนายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. กล่าวว่า ตนได้หารือกับนาง อนิสสา บาร์รัก (Anissa Barrak) ผู้แทนถาวรองค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศสมาชิกที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส หรือโอไอเอฟ ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งโอไอเอฟมีสมาชิกและสมาชิกสมทบ 57 ประเทศ/รัฐท้องถิ่น มีผู้สังเกตการณ์อีก 20 ประเทศ/รัฐท้องถิ่น มีเป้าหมายส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ซึ่งไทยเข้าเป็นผู้สังเกตการณ์เมื่อปี 2551 จึงต้องการให้ไทยเปลี่ยนสถานะเป็นสมาชิกสมทบ ต้องการให้ไทยส่งเสริมการเรียนภาษาฝรั่งเศส จะทำให้เกิดผู้เชี่ยวชาญ ในการจัดการเรียนการสอนภาษาฝรั่งเศสในไทย

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ตนหารือกับรมว.การต่างประเทศ ถึงการยกระดับเป็นสมาชิกโอไอเอฟแล้ว ส่วนการเรียนภาษาฝรั่งเศสนั้น เดิมนักเรียนไทยเรียนภาษาฝรั่งเศสจำนวนมาก โดยใช้ภาษาฝรั่งเศสและเยอรมันเป็นภาษาที่ 3 แต่ปัจจุบันมีภาษาที่ 3 ให้เลือกจำนวนมาก ทั้งภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ทำให้การเรียนภาษาฝรั่งเศสลดลง ศธ. จะพยายามสร้างครูฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น ได้รับความร่วมมือจากฝรั่งเศสส่งครูมาสอนภาษาและฝึกครู ศธ.ยังได้จัดโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน เพื่อส่งนักเรียนที่ผ่านการคัดเลือกไปเรียนในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ทำให้มีนักเรียนจำนวนมากเลือกที่จะไปเรียนที่ฝรั่งเศส โดยศธ.จะพยายามส่งเสริมให้คนไทยเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33083&Key=hotnews

จี้สถาบันอาชีวะส่งหลักสูตร ป.ตรี ให้ ‘สกอ.’ รับรอง

20 มิถุนายน 2556

นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ได้อนุมัติหลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยี/สายปฏิบัติการ ทำให้มีข้อสงสัยว่าจะต้องส่งหลักสูตรให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) รับทราบก่อนหรือไม่นั้น โดยหลักการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตีค่าเงินเดือนของปริญญาบัตร ต่อเมื่อ สกอ.รับทราบหลักสูตรแล้ว หากไม่รับทราบ ก.ค.ศ.และ ก.พ.จะไม่รับรองและไม่ตีค่าเงินเดือนให้ ทำให้ไม่สามารถรับราชการได้

“ตามกฎหมาย สกอ.มีหน้าที่ดูแลมาตรฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษา ส่วนอาชีวศึกษาดูแลต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ดังนั้น หลักสูตรปริญญาตรี ต้องส่งให้ สกอ.รับทราบ ซึ่งขณะนี้วิทยาลัยบางแห่งได้ทยอยส่งหลักสูตรให้ สกอ.รับทราบแล้ว” เลขาธิการ กกอ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33082&Key=hotnews

ทปอ.ถกลดค่าเทอม 23 มิ.ย.

20 มิถุนายน 2556

แหล่งข่าวจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสามัญ ทปอ. ครั้งที่ 3/2556 วันที่ 23 มิถุนายน ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะมีวาระการประชุมเรื่องการลดค่าธรรมเนียมในการเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศด้วย

นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า ปัจจุบันค่าธรรมเนียมในการเข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาเป็นปัญหาเพิ่มมากขึ้น และส่วนตัวเห็นด้วยหากจะลดค่าเล่าเรียน ถ้าไม่ลดก็ไม่ควรเพิ่มค่าเล่าเรียนอีก และอัตราค่าเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยประกาศเป็นรุ่นๆ ควรใช้อย่างน้อย 4 ปี และทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เคยเสนอว่าควรประชาสัมพันธ์ให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชนได้รับรู้ด้วยหากมีการปรับเพิ่มอัตราค่าเล่าเรียน ทั้งนี้ ปัจจุบันค่าเล่าเรียนของแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายและต้นทุน แต่โดยหลักค่าเล่าเรียนของแต่ละคณะ/สาขาวิชา ในแต่ละมหาวิทยาลัยไม่ควรแตกต่างกันมาก

“สังคมกลัวว่าค่าเล่าเรียนจะสูงขึ้นเมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ แต่ความจริง แต่ละมหาวิทยาลัยปรับขึ้นค่าเล่าเรียนก่อนนี้แล้วไม่ว่าจะออกนอกระบบหรือไม่ออกนอกระบบก็ตาม และตอนนี้หลายๆ แห่งใช้ระบบเหมาจ่ายซึ่งเหมาะสมกรณีที่นักศึกษาไม่มากอย่างระดับปริญญาโท แต่หากเป็นระดับปริญญาตรีที่มีนักศึกษามากก็ไม่ควรใช้ระบบนี้” รองเลขาธิการ กกอ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33081&Key=hotnews

‘สภาครุ’ ห่วงปรับหลักสูตรมั่ว เชิญ ‘ภาวิช-คณะยกร่าง’ แจง 3 ก.ค.

20 มิถุนายน 2556

นางประพันธ์ศิริ สุเสารัจ คณะบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ในฐานะกรรมการสภาคณบดีครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) เปิดเผยกรณีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ตั้งนาย ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปหลักสูตรและตำราการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมีการตั้งคณะทำงานร่างหลักสูตรขึ้น 6 กลุ่มสาระวิชา ได้แก่ 1.กลุ่มภาษาและวรรณกรรม 2.วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี 3.เทคโนโลยีสารสนเทศ 4.สังคมและความเป็นมนุษย์ 5.โลก ภูมิภาคและอาเซียน และ 6.ชีวิตกับโลกของงาน นั้นว่า ส.ค.ศ.ท.มีความเป็นห่วง เพราะยังไม่ทราบว่าการปรับหลักสูตรครั้งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ผ่านการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ และที่สำคัญ ผู้เป็นประธานยกร่างหลักสูตรทั้ง 6 กลุ่มสาระ มีความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรหรือไม่

“เรื่องนี้ส่งผลกระทบทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ต้องเตรียมความพร้อมครูเพื่อรองรับหลักสูตรใหม่ คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานผลิตครู ก็ต้องปรับการเรียนการสอนจากเดิมที่ผลิตครูตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ซึ่งแบ่งเป็นรายวิชา แต่ต่อไปหลักสูตรใหม่จะแบ่งเป็น 6 กลุ่มสาระวิชา และควบรวมรายวิชาเข้าด้วยกัน ซึ่งจะไม่ตรงตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ หรือทีคิวเอฟ ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กำหนด ขณะเดียวกันทีคิวเอฟ ก็ล้อมาจาก 9 มาตรฐานวิชาชีพครูของคุรุสภา ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาเรื่องการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูด้วยที่จะไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ที่คุรุสภากำหนด” นางประพันธ์ศิริกล่าว

นางประพันธ์ศิริกล่าวต่อว่า การพัฒนาหลักสูตรจะต้องเริ่มจากการประเมินหลักสูตรเก่าว่ามีปัญหาอย่างไร แล้วจึงกำหนดประเด็นปัญหาในการร่างหลักสูตรและต้องเปิด โอกาสให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้น ในวันที่ 3 กรกฎาคม จะจัดเสวนาเรื่องหลักสูตรใหม่ : วิกฤตหรือโอกาส โดยจะเชิญนายภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธาน รวมถึงเชิญประธานร่างหลักสูตรทั้ง 6 กลุ่มสาระ มาให้ข้อมูลและกระบวนการจัดทำหลักสูตรด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33080&Key=hotnews