Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สพฐ.เปิดซองทีโออาร์แท็บเล็ต มิ.ย.นี้ -เตรียมอบรมครู ป.2

23 พฤษภาคม 2556

สพฐ.เตรียมเปิดซองทีโออาร์ จัดซื้อแท็บเล็ตเดือน มิ.ย.นี้ เผยหลังทำสัญญาต้องส่งล็อตแรก 25% ภายใน 35 วัน พร้อมเตรียมแผนงบจัดอบรมครู ป.2 สอนโดยใช้แท็บเล็ตเล็งปรับวิธีการใช้หลักจิตวิทยาให้ครูได้เรียนรู้ร่วมกับเด็ก เหตุเงินไม่พอรอหาเกลี่ยงบจากส่วนอื่นๆ ก็จะจัดอบรมตามกระบวนการ

นายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ในฐานะประธานกรรมการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างขอบเขตงาน หรือ ทีโออาร์ (Terma of Reference : TOR) ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แทบเล็ต) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออกชัน) ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการสรุปครั้งสุดท้ายของร่างทีโออาร์จัดซื้อเครื่องแทบเล็ต ป.1 และ ม.1 จำนวนกว่า 1.6 ล้านเครื่อง หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำร่างทีโออาร์ ไปเปิดประชาพิจารณ์ในเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง ครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ได้ทำประชาพิจารณ์ไปแล้วได้มีบริษัทที่เกี่ยวข้องเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวเครื่องแท็บเล็ต แต่คณะกรรมการฯเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ จึงยื่นตามร่างทีโออาร์เดิม

อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างทีโออาร์ได้ข้อสรุปแล้ว ช่วงเวลาต่อจากนี้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค.ถึงต้นเดือน มิ.ย.ก็จะช่วงเป็นของการดำเนินการเพื่อเตรียมการอีออกชัน โดยเบื้องต้นกำหนดให้วันที่ 17 มิ.ย.บริษัทต่างๆ ต้องยื่นซองประมูลเข้ามาและประกาศผู้ผ่านการประมูลในวันที่ 19 มิ.ย.และเมื่อคณะกรรมการตรวจสอบความครบของเอกสารแล้วก็เสนอหัวหน้าส่วนราชการอนุมัติจัดซื้อและเสนอต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเป็นผู้อนุมัติ ก็จะส่งเรื่องให้กับทาง สพฐ.ในฐานะผู้ว่าจ้างให้เรียกบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกมาทำสัญญาจัดซื้อเครื่องแทบเล็ต อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเซ็นสัญญาแล้วบริษัทที่ได้รับการประมูลก็จะต้องจัดส่งเครื่องแท็บเล็ต 4 ล็อตภายหลังการทำสัญญา 90 วัน โดยล็อตแรก ต้องจัดส่งไม่น้อยกว่า 25% หรือหลังจากทำสัญญา 35 วัน

“ในการประมูลจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตขึ้นอยู่ว่า แต่ละบริษัทได้มีข้อเสนอตามที่ทีโออาร์กำหนดหรือไม่ และงบประมาณที่เสนอมาต้องต่ำที่สุด ซึ่งไม่ได้มีการกำหนด หรือผูกขาดการประมูลกับบริษัทใด เนื่องจากการจัดซื้อแบ่งออกเป็น 4 โซน บริษัทหนึ่งอาจจะยื่นประมูลทั้ง 4 โซนก็ได้ หรือจะยืนประมูลแค่โซนใดโซนหนึ่ง ซึ่งการประมูลครั้งนี้ทำตามระเบียบของราชการทุกขั้นตอน มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้” นายเอนก กล่าว

นายเอนก กล่าวว่า ขณะนี้ สพฐ.กำลังเตรียมจัดทำแผนอบรมครูผู้สอนชั้น ป.2 ในการสอนโดยใช้แท็บเล็ตให้เร็วที่สุด เพราะเดิมมีการอบรมครูเฉพาะชั้น ป.1 เท่านั้น แต่ขณะนี้เด็กชั้น ป.1 เลื่อนชั้นไปอยู่ชั้น ป.2 แล้วแต่ครูประจำชั้น ป.2 ก็เป็นครูคนใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับเด็กและไม่คุ้นเคยกับการใช้เครื่องแท็บเล็ต เพราะยังไม่ได้ผ่านการอบรม แต่ขณะนี้ติดขัดในเรื่องของงบประมาณ เนื่องจากในรอบที่ผ่านมาในการอบรมครูชั้น ป.1 มีการใช้งบประมาณสูงถึง 170 ล้านบาท ในการอบรมวิทยากรขั้นเทพ 50 คน วิทยากรแกนนำ 100 คน และครู 50,000 คน แต่ขณะนี้ สพฐ.มีงบในการดำเนินงานเพียง 108 ล้านบาท ซึ่งกำลังดูว่าจะไปเกลี่ยงบประมาณจากส่วนใดมาได้บ้าง ทั้งนี้ต้องดูงบประมาณที่จะต้องใช้ในการอบรมครูชั้น ม.1 ด้วย

“ที่ผ่านมาเงินงบประมาณในส่วนที่จะนำมาใช้ในการอบรมครู สำนักงบประมาณไม่ได้ตั้งไว้ ส่วนงบของสำนักงานพัฒนาบุคลากรครูก็มีการอบรมหลายเรื่องอยู่แล้ว หากจะนำงบส่วนนั้นมาก็อาจจะกระทบกับงานส่วนอื่นได้ส่วนทางแก้ปัญหาเบื้องต้น ครูชั้น ป.2 อาจจะต้องปรับวิธีการเรียนรู้ โดยใช้จิตวิทยามากขึ้นในการเรียนรู้จากเด็ก เช่น ครูอาจจะบอกให้เด็กๆช่วยกันสอนครู เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้รวมกัน การเรียนรู้เกิดจากเด็กทำให้ครูดู แต่หากมีงบประมาณก็จะต้องมีก็จะต้องมีการอบรมตามกระบวนการ” นายเอนก กล่าวและว่า ส่วนการบรรจุเนื้อหาชั้น ป.2 ได้ทำหนังสือสั่งการไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ ให้แจ้งโรงเรียนในสังกัดในลบโปรแกรมเนื้อหาของชั้น ป.1 ออกก่อน เพราะหน่วยความจำเครื่องแท็บเล็ต ป.1 เดิมมีเพียง 8 กิกะไบต์ แต่เนื้อหา ป.1 ลงไปแล้ว 6 กิ๊ก จึงมีไม่เพียงพอ เมื่อลบเนื้อหาเก่าแล้วจึงลงโปรแกรมเนื้อหาของชั้น ป. 2 ใหม่ได้ทันที โดยสามารถโหลดเนื้อหาได้ทางเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงศึกษา ซึ่งมีเนื้อหา ป.2 จำนวน 354 เรื่อง แบ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ จำนวน 348 เรื่อง และ E-Book จำนวน 6 เรื่อง มีความจุรวม 5 กิกะไบต์

กรุงเทพฯ–23 พ.ค.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32797&Key=hotnews

 

ร.ร.ดังขยับรับทรงผมใหม่ ‘เทพศิรินทร์’ ยัน ‘เกรียน’

23 พฤษภาคม 2556

หลาย ร.ร.เดินเครื่องปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงเรื่องทรงผม อนุญาตให้ผู้ชายไว้รองทรง ผู้หญิงไว้ผมยาว ขณะที่อีกหลาย ร.ร.ดัง ‘ยื้อ’ รอร่างกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ก่อน

ความคืบหน้ากรณีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำหนังสือแจ้งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั่วประเทศ เพื่อแจ้งสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. เรื่องการซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนและขอให้สถานศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนเป็นแนวทางเดียวกัน โดยระหว่างที่รอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ…. ขอให้ถือกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 เป็นหลัก กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวให้นักเรียนไว้ผมรองทรงได้ หรือไว้ผมยาวได้ตามที่กำหนด ไม่แตกต่างกับร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ…. เพียงแต่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในบางประเด็น ทั้งนี้ เนื่องจากปรากฏว่าสถานศึกษาบางแห่งมีความเข้าใจในเรื่องของทรงผมนักเรียนไม่เป็นไปในแนวทางเดียวนั้น

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายวันชัย ทองเกิด ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ กล่าวว่า ขณะนี้โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ กทม. เริ่มดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมของนักเรียนแล้ว อนุญาตให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรงหรือทรงสั้นเกรียนก็ได้ ส่วนนักเรียนหญิง ถ้าจะไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย ส่วนกรณีอนุญาตให้นักเรียนซอยทรงผมได้นั้น ทางโรงเรียนไม่ได้ห้าม แต่เน้นให้นักเรียนตัดสินใจเอง โดยคำนึงถึงความสุภาพ เรียบร้อย เหมาะสมและรู้กาลเทศะเป็นสำคัญ แต่เท่าที่ดูยังไม่เห็นทรงผมที่เป็นปัญหาไม่เรียบร้อย หรือดูไม่เหมาะสมเกินไป

นางฎาทกาญจน์ อุสตัส ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กทม. กล่าวว่า โรงเรียนเริ่มปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงแล้ว นักเรียนชายให้สามเสนวิทยาลัย กทม. กล่าวว่า โรงเรียนเริ่มปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงแล้ว นักเรียนชายให้ไว้รองทรงได้ จากเดิมที่นักเรียนชายชั้น ม.ต้น ให้ตัดทรงสั้นเกรียน ส่วนนักเรียนหญิงเดิมไม่อนุญาตให้ไว้ยาว ก็ให้ไว้ยาวได้ แต่ต้องรวบให้เรียบร้อย ผูกด้วยริบบิ้นสีดำ ขาว และน้ำตาล ขอให้คำนึงถึงความสุภาพเรียบร้อย และวัฒนธรรมองค์กรเป็นสำคัญ แต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนซอยผมทรงแฟชั่น เนื่องจากทางโรงเรียนตีความว่า การที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ตัดคำว่า “ห้ามซอย” ออกเพราะเข้าใจว่าการซอยเป็นส่วนหนึ่งของการตัดผม แต่ไม่ได้หมายความว่าอนุญาตให้นักเรียนซอยผมทรงแฟชั่นได้

นางเบญญาภา คงรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนโพธิสารพิทยากร กทม. กล่าวว่า กำลังรอมติ ครม.พิจารณาเห็นชอบร่างกฎกระทรวง รวมถึงรอหนังสือจาก ศธ. หลังได้รับแล้วจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาและที่ประชุมสมาคมผู้ปกครองเพื่อพิจารณา หลังได้ข้อสรุปจะจัดทำเป็นคู่มือ แต่ระหว่างนี้ได้แจ้งให้นักเรียนไว้ทรงผมให้เรียบร้อย ไม่ถึงกับสั่งให้นักเรียนชายตัดเกรียน หรือนักเรียนหญิงต้องตัดสั้นถึงติ่งหู เพียงแต่ให้ไปตัดให้เรียบร้อย ส่วนตัวมองว่า เรื่องทรงผมไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เรื่องสำคัญคือความปลอดภัยและระเบียบวินัย หากปล่อยเด็กไว้ผมยาวจนเกินความพอดี หรือทำตามแฟชั่น อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเด็ก ที่สำคัญค่านิยมของผู้ปกครองยังต้องการให้เด็กมีระเบียบวินัย และตัดผมให้เรียบร้อย

นายปรเมษฐ์ โมลี ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ กทม. กล่าวว่า คณะกรรมการนักเรียนได้หารือร่วมกันจนได้ข้อสรุปที่จะไว้ทรงผมเช่นเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง เราจึงนำมากำหนดเป็นนโยบายของโรงเรียนเช่นเดียวกับเรื่องการแต่งกาย ก็ไม่เปลี่ยนแปลง คนภายนอกอาจมองว่าเชย แต่นั่นคือเอกลักษณ์ของโรงเรียนที่เริ่มตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนในปี 2428 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ถึงตอนนี้เป็นเวลา 128 ปีแล้ว

ด้านผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสตรีวิทยาคนหนึ่ง กล่าวว่า ทางโรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนไว้ผมสั้นและผมยาวตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ส่วนการอนุญาตให้นักเรียนซอยผมได้นั้น ยังไม่อนุญาต เพราะต้องรอให้ร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ….ประกาศใช้ก่อน
นายวิวัฒน์ชัย เศรษฐชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้มีเพียงความชัดเจนเป็นหนังสือแจ้งให้ทราบจาก สพฐ.เท่านั้น ฉะนั้น มาตรการดูแลระเบียบวินัย นักเรียนหญิงกว่า 4,500 คน ยังคงยึดกฎระเบียบเดิม แต่ในวาระการประชุมร่วมกับบุคลากรทางการศึกษา ได้กำชับครูผู้สอนให้เน้นเดินทางสายกลาง ไม่ควรเข้มงวดมากนัก หากพบความไม่เหมาะสม ให้ชี้แจงทำความเข้าใจ เกรงจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของนักเรียน และเครือข่ายผู้ปกครองซึ่งมีส่วนหนึ่งเข้าใจตามกระแสข่าว

“แม้พบนักเรียนหญิงไว้ผมยาวหรือแอบซอยผม เราก็รับได้ แต่เพื่อความเป็นระเบียบและไม่ขัดหูขัดตาต้องรวบผมหรือผูกโบให้เรียบร้อย” นายวิวัฒน์ชัยกล่าว

นายวิษณุ ไชยแก้วเมร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด และเป็นสถาบันการศึกษาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยศึกษาชั้นมัธยมปลาย ปี 2524-2526 กล่าวว่า ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องทรงผมนักเรียน ส่วนใหญ่นักเรียนและผู้ปกครองเข้าใจกฎระเบียบที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2518 นักเรียนชายไว้รองทรงสั้น นักเรียนหญิงรวบผมผูกโบ แต่บางรายไว้ผมยาวและโกรกสี จะให้ครูที่ปรึกษาประจำชั้นเรียกมาพูดคุยและตักเตือน ถ้าฝ่าฝืนเชิญผู้ปกครองมาพบ แต่ไม่ลงโทษเด็กรุนแรง ทั้งนี้ ให้ครู 1 คน ดูแลนักเรียน 20 คน ทั้งเรื่องการแต่งกาย ทรงผม จริยธรรมและคุณธรรมด้วย

ดร.วินัย ทองมั่น ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เปิดเผยว่า ในส่วนของโรงเรียนไม่มีกฎระเบียบอะไรเพิ่มเติมจากที่กระทรวงกำหนด การให้เด็กไว้ผมยาวได้บ้าง ก็ไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาโรงเรียนบังคับเด็กให้ไว้ผมสั้น เด็กก็ต้องการไว้ผมยาว แต่การไว้ผมยาวต้องมัดให้เรียบร้อย ยกเว้นเด็กที่ผมหยิก ฟู มัดไม่ได้ ก็อนุโลมกันไป กฎระเบียบใหม่ของกระทรวงแม้ว่าสมาคมผู้ปกครอง ครู ไม่เห็นด้วย แต่ต้องทำตามคำสั่ง หากมองรอบด้านในข้อเท็จจริง ถึงแนวการปฏิบัติของเด็กในต่างจังหวัด น่าจะให้โรงเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง เป็นผู้กำหนดความเหมาะสมเอง จะนำเด็กต่างจังหวัดไปเปรียบเทียบกับเด็กในเมืองไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดแตกต่างกัน เช่นอากาศ จะนำเด็กต่างจังหวัดไปเปรียบเทียบกับเด็กในเมืองไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดแตกต่างกัน เช่นอากาศ ความสะอาด ความพร้อม เป็นต้น” ดร.วินัยกล่าว

นายสุพจน์ อภิศักดิ์มนตรี ผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้ปรึกษาสมาคมผู้ปกครอง และสมาคมศิษย์เก่าแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าจะใช้กฎระเบียบโรงเรียนเป็นหลัก ซึ่งไม่คลาดเคลื่อนไปจากกฎของกระทรวง

“เคยได้สอบถามความเห็นของนักเรียนแล้ว พบว่าเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชายพอใจกฎระเบียบของโรงเรียนมาก เมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็ลงตัวพอดี ก่อนหน้านี้เราเคยปล่อยให้นักเรียนไว้ผมยาวกันได้ สภาโรงเรียนในเวลานั้นเละเทะสิ้นดี เราก็ต้องหันมายึดกฎระเบียบกันใหม่ กว่าจะทำให้ลงตัวได้ใช้เวลานาน” นายสุพจน์กล่าว

นายพงศ์ชนก ไชยนุรัตน์ นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช กล่าวว่า เรียนมาตั้งแต่ชั้น ม.1 การแต่งกายและทรงผมยังเป็นเหมือนเดิม เป็นทรงผมเกรียนดูเรียบร้อยดี แต่เมื่อขึ้นชั้น ม.4 ผมยาวขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่ไว้ผมยาวได้ไม่นานก็คงต้องตัดอีก เนื่องจากต้องเรียน ร.ด. คิดว่าทรงผมเดิมไม่เป็นปัญหา ทุกคนยึดกฎของโรงเรียนเป็นหลัก สิ่งที่เป็นปัญหาคือจะทำอย่างไรให้เรียนเก่งมากกว่า

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32796&Key=hotnews

สช.หนุนอาชีวะเปิดสอนในอาเซียนเล็งนำร่องพม่า-กัมพูชา-ย้ำทวิภาคีไม่ตกงาน

22 พฤษภาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยถึงการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ด้านความร่วมมือกับภาคเอกชน ว่า โดยภาพรวมมีหลายองค์กรหลายบริษัทเข้ามาร่วมมือจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคีจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีของผู้เรียน เนื่องจากจบการศึกษาไม่เท่าใด ก็มีงานทำทุกคนไม่ตกงาน เช่น มูลนิธิฟันเฟืองพัฒนา ของบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำข้อตกลงความร่วมมือกับสช. สะท้อนตัวเลขความต้องการมาที่สช.ว่า ปัจจุบันยังขาดแรงงานระดับฝีมือจำนวนหลายหมื่นคน ฉะนั้นปีการศึกษา 2556 ซึ่งถือเป็นปีแห่งการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน ตนจึงรับประกันได้เลยว่า ใครมาเรียนอาชีวศึกษาเอกชนจะมีงานทำ เพราะมีคุณภาพตามความต้องการของตลาด

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้สช. ยังมีแนวทางส่งเสริมให้สถานศึกษาเอกชนต่างๆ ขยายไปเปิดการเรียนการสอนในภูมิภาคอาเซียน โดยขณะนี้มีอาชีวะบางแห่งวางแผนไปเปิดวิทยาลัยแห่งใหม่ที่ท่าเรือทวาย ประเทศพม่า หลังจากรัฐบาลพม่าเตรียมกำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพิเศษ เพื่อดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน จึงคาดการว่าพื้นที่ท่าเรือทวายจะเจริญเติบโตเหมือนกับท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี หรือท่าเรือต่างๆ ในประเทศไทย ที่พอเกิดท่าเรือขึ้นแล้ว โรงเรียนอาชีวะในพื้นที่นั้นๆ จะมีคนสนใจเข้ามาเรียนจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังมีอาชีวะบางแห่งมีโครงการขยายไปเปิดการเรียนการสอนภายในเมืองหลวงของประเทศพม่า ตลอดจนภายในประเทศกัมพูชาด้วย เพราะเล็งเห็นว่าประเทศเหล่านี้ ยังมีความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านนี้ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศในอนาคตหลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในปี 2558

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 23 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32789&Key=hotnews

ครม.ไฟเขียว กศน.เรียน ‘รด.’

22 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภัควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สม.) เสนอทั้งหมด 7 ข้อ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ รับข้อเสนอแนะของ สม.รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปประกอบการพิจารณา อาทิ ขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เร่งประสานงานและหารือไปยังหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาประเด็นการเรียนวิชาทหารการเรียนรักษาดินแดน (รด.) โดยแก้ไขกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และให้สิทธิกับผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย ในการสมัครเรียน รด.ได้

–มติชน ฉบับวันที่ 23 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32787&Key=hotnews

ชงสพฐ.ยก 49 ร.ร.ขนาดเล็กรณรงค์เป็นโรงเรียนชุมชน

22 พฤษภาคม 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนและการศึกษาทางเลือกไทย เพื่อดูแลปัญหาและแนวทางการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนทางเลือก โรงเรียนบ้านเรียนแล้ว โดยคณะกรรมการฯ ประกอบด้วยผู้แทนจากหลายส่วน ทั้งภาคราชการ นักวิชาการ ผู้แทนโรงเรียนขนาดเล็กจากภาคต่าง ๆ ผู้แทนกลุ่มการศึกษาทางเลือก ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างไรก็ตามขณะนี้สภาการศึกษาทางเลือก ได้ส่งรายชื่อโรงเรียนขนาดเล็กที่จะรณรงค์เพื่อให้เป็นโรงเรียนชุมชนใน 4 ภูมิภาค จำนวน 49 แห่งมายังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แล้ว ซึ่งจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนฯนัดแรก เร็ว ๆ นี้

“ในวันที่ 24 พ.ค.นี้ สพฐ.จะรวบรวมแผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กทั้ง 182 เขตพื้นที่ และจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ ให้สำนักนโยบายและแผน สพฐ. ประมวลภาพรวมทั้งหมดเสนอ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) และ รมช.ศธ. ว่า ในปี 2556 นี้จะมีแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอย่างไร และจะมีโรงเรียนที่เข้าข่ายยุบรวม ยุบเลิกกี่แห่ง แต่ยืนยันว่าคงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าจะเดินหน้ายุบโรงเรียน โดยใช้ข้อมูลของภาคราชการเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องอาศัยคณะกรรมการฯมาช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้ด้วย” ดร.ชินภัทร กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32786&Key=hotnews

‘พงศ์เทพ’ นัดถกปัญหาครูต่างชาติ ยืดอายุวีซ่าแก้ปมขาดคน-สร้างรายได้ไทย

22 พฤษภาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเร็วๆ นี้ เรื่องครูต่างชาติที่เข้ามาเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนในประเทศไทย เพื่อหาแนวทางดำเนินการให้ดีที่สุด เนื่องจาก รมว.ศึกษาธิการให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะในปี 2558 ประเทศก็จะก้าวเข้าสู่การเปิดการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลกลุ่มนี้มากขึ้น

ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ก็กำลังขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะอาจารย์สอนภาษาต่างประเทศ สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่ผ่านมา จะติดขัดกฎระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) หรือติดขัดในเรื่องของความมั่นคง

“การอำนวยความสะดวกจะเป็นการขอวีซ่า หรือระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งครูต่างชาติจะได้วีซ่าอยู่ประเทศไทยแค่ 2 ปี หลังจากนั้นจะต้องเดินทางออกนอกประเทศ และครูบางคนต้องเดินทางไปประเทศลาว เพื่อขอประทับตราออกนอกประเทศและกลับเข้าไทยใหม่ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น เราจะมีแนวทางปรับเปลี่ยนกรณีเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ครูหรือนักเรียนต่างชาติได้อยู่ในประเทศไทยได้นาน บางประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะถือเป็นการส่งออกทางการศึกษา ที่สร้างรายได้อย่างหนึ่ง เนื่องจากครูและนักเรียนต่างชาติเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยยาวนานกว่านักท่องเที่ยว เพราะต้องมีค่า ใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อขออยู่ในประเทศ ซึ่งก็ถือว่าจะทำรายได้เข้าประเทศได้มากมาย” เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32785&Key=hotnews

ศธ.สั่งสอบวินัยเลขาฯ กพฐ. แล้ว

22 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศธ. กล่าวถึงการลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ) ว่า ขณะนี้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศธ. ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการแล้ว เพื่อสอบสวนฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย มีนายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เป็นประธาน ซึ่งการตั้งคณะกรรมการดังกล่าวไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพราะช่วงนี้มีกระแสข่าวว่า การสอบครูผู้ช่วยรอบใหม่มีการรับเงินกันแล้ว ก็ยิ่งทำให้ตนไม่สบายใจ จึงอยากให้ผลการสอบออกมาโดยเร็ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดจึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ นายชินภัทรคนเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คน นายเสริมศักดิ์กล่าวว่า คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ที่มีนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. ชี้มูลชัดเจนแล้วว่า เลขาธิการกพฐ. เป็นผู้บริหารสูงสุดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ) แต่กลับไม่ตรวจสอบทั้งๆ ที่มีมูลก่อนหน้านี้แล้วว่า มีการเฉลยข้อสอบ และข้อสอบรั่ว แต่กลับปล่อยให้มีการสอบแข่งขัน และบรรจุแต่งตั้ง กรณีนี้หากตรวจสอบ และยกเลิกการสอบ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายไม่มาก ส่วนผู้เกี่ยวข้องอีก 3 ราย ที่เป็นผู้รับคำสั่ง ก็จะต้องสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไป

ด้านนายพงศ์เทพกล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกับนายชินภัทรนั้น ไม่ใช่เพราะว่านายชินภัทรทุจริต แต่ตั้งเพราะนายชินภัทรไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนราชการ ตามที่มีการชี้มูลและเสนอของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง สำหรับข้าราชการระดับสูง สพฐ.ที่เกี่ยวข้องอีก 3 คน จริงๆ ก็มีการเสนอขึ้นมา แต่เมื่อดูข้อเท็จจริงต่างๆ แล้ว ก็เสนอว่าให้กลับไปสอบสวนเพิ่มเติมต่อไปก่อน

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32784&Key=hotnews

สพฐ.ย้ำเกณฑ์ทรงผมนักเรียน

22 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ทำหนังสือแจ้งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทุกเขต เพื่อแจ้งไปยังสถานศึกษาในสังกัด เรื่องทรงผมของนักเรียน และขอให้สถานศึกษาปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน โดยให้ถือกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 เป็นหลัก เพราะกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวให้นักเรียนไว้ผมรองทรงได้ หรือไว้ผมยาวได้ตามที่กำหนด ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่ไม่ต่างกับร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ. … เพียงแต่มีรายละเอียดเพิ่มเติมบ้าง และร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่นี้อยู่ระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และน่าจะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2556

นายชินภัทร กล่าวว่าขอให้สถานศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนเป็นแนวทางเดียวกัน ได้แก่

1.นักเรียนชายให้ไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ หากไว้ผมยาวด้านข้างและด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม เช่น แบบทรงผมรองทรง และ

2.นักเรียนหญิง ให้ไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32783&Key=hotnews

สพฐ.ตัด Google Play ใน TOR แท็บเล็ตนร. ป.1

google play
google play

 

ประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน ถ้าซื้อ tabletpc 1.6 ล้านเครื่อง + 9.3 แสนเครื่อง รวมเป็น 2.53 ล้านเครื่อง หรือเท่ากับร้อยละ 3.6 ของประชากร ที่จะมี TabletPC ของรัฐบาลใช้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.)เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต)ต่อ 1 นักเรียน ได้อนุมัติร่างข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) ในการจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตปีการศึกษา 2556 แจกนักเรียนชั้น ป.1 และ ม.1 จำนวน 1.6 ล้านเครื่อง เสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนนำออกประชาพิจารณ์ทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อเตรียมเปิดจำหน่ายซองประกวดราคา และประกวดราคาด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-ออกชั่น (E-Auction) ต่อไปนั้น ขณะนี้ต้องถือว่า TOR น่าจะนิ่งแล้ว เพราะได้มีการปรับร่างรายละเอียดที่มีข้อท้วงติงออกแล้ว โดยเฉพาะกรณีแอพพลิเคชัน(application) จะเน้นเฉพาะแอพพลิเคชันที่ส่วนราชการกำหนดเป็นตัวอย่างให้ไปลองโหลดกับเครื่องตัวอย่างแล้วมาเสนอวันที่ยื่นซองเทคนิค เพราะเชื่อว่าแอพพลิเคชันตัวอย่างที่ทำขึ้นมาเพื่อไปใช้กับเครื่องตัวอย่างน่าจะเพียงพอ เนื่องจากเราเน้นว่าอย่างน้อยต้องใช้งานกับแอพพลิเคชันที่บรรจุไว้ในเครื่องได้ ส่วนเรื่องการดาวน์โหลดจะเป็นเรื่องรอง
เมื่อตัดแอพพลิเคชันที่ทำให้เป็นกังวลไปแล้ว โดยเฉพาะ Google Play บริษัทผู้ผลิตก็ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายค่า license ให้กับทาง Google Play เครื่องละราคา 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก็น่าจะทำให้ต้นทุนตัวเครื่องลดลง แต่ราคาจะลดลงหรือไม่คงต้องรอวันที่มาเคาะราคาแข่งกัน ซึ่งโดยหลักการ เวลายกเลิกเงื่อนไขอะไรไปทุกบริษัทก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน เพราะทุกอย่างคือค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้น เมื่อลดส่วนนี้ลง การแข่งขันก็น่าจะลดลง แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูวันจริง ไม่อยากคาดคะเนอะไรมาก“เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะมีการปรับร่าง TOR สพฐ. ได้ทำประชาพิจารณ์ เพื่อให้มีการแสดงความคิดเห็นการจัดทำคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องแท็บเล็ต ซึ่งมีผู้แสดงความไม่เห็นด้วยกับการเปิดให้ผลิตภัณฑ์ต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้ผลิตระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งในเครื่องแท็บเล็ต ซึ่งบริษัทผู้ผลิตจะต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นค่า license ให้กับผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่จะใช้งานบนแท็บเล็ตบนระบบปฏิบัติการ Android อย่าง Google play เครื่องละ 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ต้องเสียเงินเป็นค่าใช้จ่ายแฝงรวมแล้วเกือบ 100 ล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32743&Key=hotnews

 

เปิดอัพโหลดเนื้อหาแท็บเล็ต ป.2 .. 354 + เดิม 50 = 404

one tabletpc per child
one tabletpc per child

          นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มอบหมายให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปสรุปถึงจำนวนเนื้อหาใหม่ที่จะสามารถบรรจุใส่ในแท็บเล็ตตามโครงการคอมพิวเตอร์มือถือสำหรับนักเรียนทุกคน(One Tablet PC Per Child) ของรัฐบาลสำหรับนักเรียนชั้น ป.1 ที่เลื่อนขึ้นชั้น ป.2 เพราะแต่ละกลุ่มสาระวิชาหลัก มีแอพพลิเคชันให้เลือกค่อนข้างมาก ซึ่งขณะนี้ สพฐ.ได้เตรียมวิธีการอัพเดทข้อมูลเนื้อหาใหม่ไว้เรียบร้อย เมื่อได้ข้อสรุปว่าจะเอาเนื้อหาใดมาใส่บ้าง ก็จะมีการอบรมครู และศึกษานิเทศก์เกี่ยวกับการอัพโหลดข้อมูลดังกล่าวต่อไป
ด้านนายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สพฐ.กล่าวว่า ขณะนี้มีเนื้อหาใหม่ที่จะใส่ในแท็บเล็ตของนักเรียนชั้นป.2 จำนวน 354 เรื่อง แบ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ 348 เรื่อง และอีบุ๊ก 6 เรื่อง มีความจุรวม 5 กิกะไบต์ โดยหลังจากนี้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง จะต้องดาวน์โหลดและคัดลอกเนื้อหา เพื่อให้โรงเรียนนำแท็บเล็ตของนักเรียนชั้น ป.2 ไปอัพโหลดเนื้อหาใหม่ซึ่งได้มีการนำร่องดำเนินการไปแล้ว 5 เขตพื้นที่ อย่างไรก็ตาม แม้จะเปิดภาคเรียนไปแล้ว แต่การที่ยังไม่ได้อัพเนื้อหาใหม่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะแท็บเล็ตไม่ได้เอามาแทนครูและแท็บเล็ตนำมาใช้ประกอบการเรียนการสอนแค่บางวิชาเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32773&Key=hotnews

 

+ | + | + | + | +

 

ยลโฉม”แท็บเล็ตเสิ่นเจิ้น” โชว์50แอพ ตำราเรียนเด็กป.1
ข่าว 30 พ.ค.2555

และแล้วความฝันของเด็กป.1 ทั่วประเทศ ก็เป็นจริง เมื่อคอมพิวเตอร์พกพา หรือ “แท็บเล็ต” ล็อตแรก จำนวน 2,000 เครื่อง ตามโครงการ One Tablet PC Per Child ของรัฐบาล ที่ต้องการจะแจกแท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 8.5 แสนคน ทั่วประเทศ ทุกสังกัด ในปีการศึกษา 2555 มาถึงเมืองไทยแล้ว

ขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการตรวจรับที่มี นายสมบูรณ์ เฆมไพบูลย์วัฒนา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริม และพัฒนาการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นประธาน จะตรวจสอบสเป๊กทั้ง 2,000 เครื่อง โดยมีทีมงานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นผู้ตรวจนับ

โครงการแจกแท็บเล็ตให้เด็กป.1 กระทรวงเทคโนโลยีสาร สนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับ บริษัท เสิ่นเจิ้น สโคปไซ แอนทิฟิก ดีเวลลอปเมนต์ ประเทศจีน ลงนามเซ็นสัญญาจัดซื้อแท็บเล็ตร่วมกัน เมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา

โดยตกลงจัดซื้อแท็บเล็ตชุดแรก 4 แสนเครื่อง ราคาเครื่องละ 82 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,700 บาท) จากทั้งหมด 9.3 แสนเครื่อง มูลค่าราว 948 ล้านบาท ภายใต้งบประมาณ 1,900 ล้านบาท กำหนดส่งมอบใน 60 วัน โดยบริษัทจะทยอยส่งเครื่องล็อต ละ 1 แสนเครื่อง ซึ่งจะครบกำหนดสิ้นเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ ก่อนที่จะมีคำสั่งซื้อเพิ่มเติมส่วนที่เหลืออีก 5.3 แสนเครื่อง

สําหรับคุณสมบัติแท็บเล็ตในสัญญา ประกอบด้วย หน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว หน่วยบันทึกข้อมูล 8 GB หน่วยประมวลผลกลาง หรือซีพียูแบบดูอัล คอร์ 1.2 GHz ซีพียูเพิ่มจาก 1 เป็น 1.2 กิกะเฮิร์ตซ์

ความจุของแรมเพิ่มจาก 512 MB เป็น 1 GB แบตเตอรี่ ชนิด Lithium Polymer 3,600 มิลลิแอมป์ ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.0 (Ice Cream Sandwich) พร้อมติดตั้งจีพีเอส มูลค่า 2,000-3,000 บาท ให้ฟรี และรับประกัน 2 ปี ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สูงกว่าที่คณะกรรมการจัดซื้อกำหนดไว้

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) บอกว่า ได้รายงานความคืบหน้าโครงการ ต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแล้ว ขณะนี้ ศธ.ดำเนินการพร้อม เมื่อไอซีทีตรวจสอบเครื่องแล้วจะนำแท็บเล็ต 1,000 เครื่อง ไปจัดอบรมการใช้เครื่องให้แก่วิทยากรครูแกนนำทั้ง 183 เขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เพื่อนำไปขยายผล ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดทำคู่มือการใช้แท็บเล็ต 10 เล่ม อาทิ การใช้แท็บเล็ตเบื้องต้น การเปิด-ปิดเครื่อง การแก้ไขปัญหา และคู่มือเชื่อมโยงบทเรียนกับหลักสูตร และมาตรฐานการเรียนรู้ โรงเรียนสามารถดาวน์โหลดคู่มือดังกล่าวได้ที่เว็บไซต์ สพฐ. www.obec.go.th

หากได้รับเครื่องล็อตแรก 100,000 เครื่องแล้ว ไอซีทีจะตรวจสอบเครื่องก่อนส่งมาที่สพฐ. เพื่อกระจายไปยัง สพป. เขต 1 ก่อน โดยเรียงลำดับตามพยัญชนะไทย และจะให้สพป.มารับแท็บเล็ตที่ส่วนกลาง โดยค่าใช้จ่ายในการขนส่งจะใช้งบฯ สพฐ. เมื่อสพป.กระจายไปยังโรงเรียนต่างๆ แล้ว โรงเรียนจะต้องตรวจสอบความเรียบร้อย และบันทึกข้อมูล เช่น หมายเลขเครื่อง เพื่อส่งข้อมูลไปยัง สพป.ให้ลงบันทึกในฐานข้อมูลต่อไป” นายชินภัทรกล่าว

เลขาธิการกพฐ.กล่าวด้วยว่า นายกฯ ต้องการให้ใช้แท็บเล็ตแบบพี่สอนน้อง โดยให้นักเรียนรุ่นพี่มาช่วยสอนน้องป.1 ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครู เพราะในช่วงแรกการใช้เครื่องอาจมีปัญหา และครูคนเดียวก็อาจจะดูแลไม่ทั่วถึง

สำหรับเนื้อหาหลักสูตร 4 ส่วน ที่จะปรากฏอยู่บนหน้าจอหลักของแท็บเล็ตก็เป็นส่วนสำคัญ ขณะนี้สพฐ.ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์แล้ว ประกอบด้วย

ส่วนที่ 1 อีบุ๊ก (e-Book) เมื่อเด็กและผู้ปกครองเปิดเข้าไปจะพบว่า เป็นสิ่งที่คุ้นตาดีอยู่แล้ว เพราะเป็นการแปลงเนื้อหาในหนังสือเดิม โดยจัดทำเป็นรูปแบบไฟล์ PDF 8 เล่ม ครบ ทั้ง 5 กลุ่มสาระหลักคือ วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ เป็นไฟล์เข้าไปไว้ แต่จะเปิดอ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขหรือขีดเขียนได้

ส่วนที่ 2 อีเลิร์นนิ่ง (e-Learning) หรือบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์มี 336 บท ส่วนนี้ถูกออกแบบเป็นสื่อมัลติมีเดียมีเนื้อหาภาพ เสียง ให้ตอบโต้กับผู้ใช้หรือนักเรียนได้  เช่น นักเรียนใช้นิ้วคลิกเข้าไปฟังเสียงหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม ขีดเขียนลงไปในบางบทได้ ส่วนใหญ่ประยุกต์มาจากที่ สพฐ.เคยออกแบบไว้ในโครงการสื่อการเรียน อีเลิร์นนิ่งเดิม และเป็นส่วนที่มีเนื้อหาที่ใช้ประกอบการเรียนรู้เรื่องต่างๆ ประกอบการอธิบายหรือสร้างความเข้าใจ ขณะที่บางบทอาจจะจำเป็นต้องมีครูผู้สอน หรือผู้ปกครองแนะนำเพิ่มเติม จึงจะเข้าใจเรื่องนั้นๆ

ส่วนที่ 3 มัลติมีเดีย (Multimedia) จะมีเนื้อหาภาพนิ่ง คลิปภาพเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นไฟล์เสียงเพลงสำหรับเด็ก และเพลงของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ส่วนนี้สพฐ.ยอมรับว่า ยังไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังมีส่วนที่อาจจะต้องปรับปรุงแก้ไข ในส่วนของเพลงสำหรับเด็กบางเพลงยังต้องรอขอลิขสิทธิ์จากผู้เป็นเจ้าของด้วย

ส่วนสุดท้าย แอพพลิเคชั่น (Application) หรือโปรแกรมที่ออกแบบมาใช้งานตามจุดประสงค์การออกแบบ โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน ส่วนนี้เป็นทั้งแบบฝึกหัด แบบทดสอบ เช่น การคัดลายมือ วาดภาพ ระบายสี ข้อสอบต่างๆ เกม การเรียนรู้ทั้งหมดประมาณ 50 แอพพลิเคชั่น ที่สพฐ. คัดเลือกและรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆ

เนื้อหาหลักสูตรดังกล่าวจะใช้ความจุ 4 กิกะไบต์ จากทั้งหมด 8 กิกะไบต์ ส่วนที่เหลือ สพฐ.จะให้นักเรียนดาวน์โหลดเนื้อหาการเรียนอื่นๆ แต่นักเรียนหรือผู้ปกครองอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดาวน์โหลดเอง

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศธ. กล่าวว่า การนำคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนจะเป็นผู้กำหนดระยะเวลาการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับนักเรียน เพราะยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเรียนรู้ ส่วนการใช้งานที่บ้าน ผู้ปกครองจะช่วยดูแลอยู่แล้ว

ทั้งนี้ศธ.จะให้นักเรียนใช้เรียนจนจบชั้น ป.1 และนำไปใช้ต่อเนื่องในชั้น ป.2 ได้ ศธ.คาดหวังว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนในโรงเรียน และช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กป.1 ได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนมาตรการจำกัดการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง โดย นางอาทิตยา สุธาธรรม ผอ.ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ไอซีที เผยว่า หากเป็นการใช้งานที่โรงเรียน จะมีระบบป้องกันไม่ให้นักเรียนเข้าเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่หากเป็นการใช้แท็บเล็ตที่บ้าน ควรเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองดูแล

ไอซีทีเตรียมพร้อมรองรับปัญหาโดยเปิดคอลเซ็นเตอร์ โทร.1111 บริการให้คำปรึกษาการใช้งาน ประสานการแก้ไขปัญหา แจ้งซ่อมแจ้งเสีย และแก้ไขปัญหาเบื้องต้น นอกจากนี้ บริษัทเสิ่นเจิ้นฯ จะตั้งศูนย์บริการเป็นจุดรับซ่อมแท็บเล็ต 30 แห่งทั่วประเทศ ในสิ้นปีนี้ และอาจขยายเพิ่มตามจำนวนการสั่งซื้อในอนาคต

โครงการแจกแท็บเล็ตเด็กป.1 จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีทางการศึกษาให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคม 2555 จะส่งแท็บเล็ตถึงมือนักเรียนชั้นป.1 ทั่วประเทศทุกคน

ที่มา : ข่าวสด

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNVE13TURVMU5RPT0=