สพฐ. หนุน ร.ร.นิติบุคคลบริหารคล่องเปิดช่องเชื่อม อ.ก.ค.ศ.เขตคัด ผอ. – ปรับวิธีจัดงบฯ

23 พฤษภาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการโครงการโรงเรียนนิติบุคคล มาตั้งแต่ปี 2555 โดยนำร่อง 58 โรงเรียน แบ่งเป็นประถม 28 โรง มัธยม 30 โรง ซึ่งหลังจากที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 1 ปี ก็มีความคืบหน้า และมีโรงเรียนนิติบุคคล เพิ่มขึ้นโดยรุ่นที่ 2 คัดเลือกอีก 56 โรง เป็นประถม 29 โรง และมัธยม 27 โรง หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกรุ่นที่ 2 มี 4 ด้าน คือ 1.มีความนิยมและอัตราแข่งขันสูง 2.โรงเรียนมีความพร้อม ด้านบุคลากรผู้สอน อุปกรณ์การเรียนการสอน 3.เป็นโรงเรียนที่ผ่านการประเมินในระดับดีมาก และ 4.เป็นโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2556 จะมีโรงเรียนนิติบุคคลจำนวน 114 โรง ซึ่งสพฐ.จะส่งเสริมให้โรงเรียนเหล่านี้มีการบริหารที่ยืดหยุ่น คล่องตัว นำไปสู่เป้าหมายให้ได้ โดยเมื่อเป็นนิติบุคคล โรงเรียนเหล่านี้จะมีสิทธิพิเศษคือ

1.ทางวิชาการ สามารถเปิดห้องเรียนพิเศษได้มากขึ้น ซึ่งจะประเมินจากความพร้อมของครู และห้องปฏิบัติการทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยา ศาสตร์ ภาษาอังกฤษ

2.การบริหารงานบุคคล จะมีความคล่องตัวของบุคลากร สามารถใช้เงินรายได้ของโรงเรียนจ้างครูเฉพาะด้าน และจะมีส่วนสรรหาผอ.โรงเรียนได้หรือไม่ เรื่องนี้สพฐ.ใช้แนวทางจากโรงเรียนในประเทศนิวซีแลนด์ ที่คณะกรรมการโรงเรียนเป็นผู้คัดเลือกผู้บริหารโรงเรียน ดังนั้น สพฐ.จะหาช่องทางว่า จะเชื่อมโยงกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กับอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ได้อย่างไร ในการคัดเลือกผู้บริหารโรงเรียน

3.การบริหารงบประมาณ สพฐ.เสนอให้โรงเรียนนิติบุคคลเป็นหน่วยเบิกตรง แต่มีโรงเรียนที่สมัครเป็นหน่วยเบิกตรงจำนวน 106 โรง แต่จากการประชุมแล้วต้องมีเงื่อนไขความพร้อมหลายอย่าง ทำให้มีโรงเรียนยกเลิกไป จึงเหลือประมาณ 37 โรง โดยโรงเรียนเหล่านี้จะได้รับเป็นหน่วยเบิก และจะปรับวิธีการจัดสรรงบฯ ให้เป็นก้อน ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาว่างบฯ ดำเนินงาน และงบฯ ค่าวัสดุจะรวมเป็นก้อนเพื่อให้โรงเรียนคล่องตัวได้อย่างไร

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 24 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32799&Key=hotnews

กมธ. ศึกษารับปาก ศธ. ดันเพิ่มงบฯ 57

23 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้มาประชุมสัญจรร่วมกับผู้บริหารสำนักงานปลัด (สป.ศธ.) โดย นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธาน กมธ.การศึกษาฯ กล่าวว่ากมธ.การศึกษาฯ ได้เดินสายประชุมสัญจรเยือนหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่เป็นภารกิจหลัก 3 เรื่อง ได้แก่ การติดตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน มีปัญหาอุปสรรคใดบ้าง, ติดตามว่ามีโครงการสำคัญใดบ้างที่องค์กรหลักของ ศธ.ได้ของบประมาณไปแล้ว แต่ถูกตัดงบฯจนส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา เพื่อจัดทำเป็นข้อสังเกตไปยังประธานพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ สป.ศธ. โดยภาพรวมทั้งหมดจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ตนได้ซักถามถึงการปรับเพิ่มเงินเดือนครูเอกชนระดับปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งทราบว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการปรับเพิ่ม ดังนั้นจะต้องเร่งจัดสรรงบฯให้ครูเอกชนได้รับเงินดังกล่าวโดยเร็ว สำหรับเรื่องงบฯ ในภาพรวมที่ถูกตัดไปนั้น กมธ.การศึกษาฯ ได้รับไปหารือในชั้นแปรญัตติงบฯ ให้

ด้าน นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า โครงการสำคัญที่ต้องของบฯ เพิ่ม คือ โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะของ กศน. ตั้งงบฯ ไว้ 900 ล้านบาท ถูกตัดเหลือ 450 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง แต่ดำเนินการไปได้เพียงครึ่งของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด นอกจากนี้ สช.ยังจำเป็นต้องของบฯมาสนับสนุนเงินเดือนครูเอกชนปริญญาตรี ให้ได้รับ 15,000 บาท โดยขณะนี้ใช้งบฯ ปี 2556 มาชดเชยแต่ก็ยังไม่ถึง 15,000 บาท รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะระบบการเรียนการสอนทางไกลมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ตั้งงบฯ200 ล้านบาท แต่ก็ถูกตัดงบฯ ไปเช่นกัน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32798&Key=hotnews

สพฐ.เปิดซองทีโออาร์แท็บเล็ต มิ.ย.นี้ -เตรียมอบรมครู ป.2

23 พฤษภาคม 2556

สพฐ.เตรียมเปิดซองทีโออาร์ จัดซื้อแท็บเล็ตเดือน มิ.ย.นี้ เผยหลังทำสัญญาต้องส่งล็อตแรก 25% ภายใน 35 วัน พร้อมเตรียมแผนงบจัดอบรมครู ป.2 สอนโดยใช้แท็บเล็ตเล็งปรับวิธีการใช้หลักจิตวิทยาให้ครูได้เรียนรู้ร่วมกับเด็ก เหตุเงินไม่พอรอหาเกลี่ยงบจากส่วนอื่นๆ ก็จะจัดอบรมตามกระบวนการ

นายเอนก รัตน์ปิยะภาภรณ์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ในฐานะประธานกรรมการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 1 เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างขอบเขตงาน หรือ ทีโออาร์ (Terma of Reference : TOR) ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แทบเล็ต) ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (อี-ออกชัน) ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการสรุปครั้งสุดท้ายของร่างทีโออาร์จัดซื้อเครื่องแทบเล็ต ป.1 และ ม.1 จำนวนกว่า 1.6 ล้านเครื่อง หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้นำร่างทีโออาร์ ไปเปิดประชาพิจารณ์ในเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง ครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่ได้ทำประชาพิจารณ์ไปแล้วได้มีบริษัทที่เกี่ยวข้องเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวเครื่องแท็บเล็ต แต่คณะกรรมการฯเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ จึงยื่นตามร่างทีโออาร์เดิม

อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างทีโออาร์ได้ข้อสรุปแล้ว ช่วงเวลาต่อจากนี้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค.ถึงต้นเดือน มิ.ย.ก็จะช่วงเป็นของการดำเนินการเพื่อเตรียมการอีออกชัน โดยเบื้องต้นกำหนดให้วันที่ 17 มิ.ย.บริษัทต่างๆ ต้องยื่นซองประมูลเข้ามาและประกาศผู้ผ่านการประมูลในวันที่ 19 มิ.ย.และเมื่อคณะกรรมการตรวจสอบความครบของเอกสารแล้วก็เสนอหัวหน้าส่วนราชการอนุมัติจัดซื้อและเสนอต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเป็นผู้อนุมัติ ก็จะส่งเรื่องให้กับทาง สพฐ.ในฐานะผู้ว่าจ้างให้เรียกบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกมาทำสัญญาจัดซื้อเครื่องแทบเล็ต อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากเซ็นสัญญาแล้วบริษัทที่ได้รับการประมูลก็จะต้องจัดส่งเครื่องแท็บเล็ต 4 ล็อตภายหลังการทำสัญญา 90 วัน โดยล็อตแรก ต้องจัดส่งไม่น้อยกว่า 25% หรือหลังจากทำสัญญา 35 วัน

“ในการประมูลจัดซื้อเครื่องแท็บเล็ตขึ้นอยู่ว่า แต่ละบริษัทได้มีข้อเสนอตามที่ทีโออาร์กำหนดหรือไม่ และงบประมาณที่เสนอมาต้องต่ำที่สุด ซึ่งไม่ได้มีการกำหนด หรือผูกขาดการประมูลกับบริษัทใด เนื่องจากการจัดซื้อแบ่งออกเป็น 4 โซน บริษัทหนึ่งอาจจะยื่นประมูลทั้ง 4 โซนก็ได้ หรือจะยืนประมูลแค่โซนใดโซนหนึ่ง ซึ่งการประมูลครั้งนี้ทำตามระเบียบของราชการทุกขั้นตอน มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้” นายเอนก กล่าว

นายเอนก กล่าวว่า ขณะนี้ สพฐ.กำลังเตรียมจัดทำแผนอบรมครูผู้สอนชั้น ป.2 ในการสอนโดยใช้แท็บเล็ตให้เร็วที่สุด เพราะเดิมมีการอบรมครูเฉพาะชั้น ป.1 เท่านั้น แต่ขณะนี้เด็กชั้น ป.1 เลื่อนชั้นไปอยู่ชั้น ป.2 แล้วแต่ครูประจำชั้น ป.2 ก็เป็นครูคนใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับเด็กและไม่คุ้นเคยกับการใช้เครื่องแท็บเล็ต เพราะยังไม่ได้ผ่านการอบรม แต่ขณะนี้ติดขัดในเรื่องของงบประมาณ เนื่องจากในรอบที่ผ่านมาในการอบรมครูชั้น ป.1 มีการใช้งบประมาณสูงถึง 170 ล้านบาท ในการอบรมวิทยากรขั้นเทพ 50 คน วิทยากรแกนนำ 100 คน และครู 50,000 คน แต่ขณะนี้ สพฐ.มีงบในการดำเนินงานเพียง 108 ล้านบาท ซึ่งกำลังดูว่าจะไปเกลี่ยงบประมาณจากส่วนใดมาได้บ้าง ทั้งนี้ต้องดูงบประมาณที่จะต้องใช้ในการอบรมครูชั้น ม.1 ด้วย

“ที่ผ่านมาเงินงบประมาณในส่วนที่จะนำมาใช้ในการอบรมครู สำนักงบประมาณไม่ได้ตั้งไว้ ส่วนงบของสำนักงานพัฒนาบุคลากรครูก็มีการอบรมหลายเรื่องอยู่แล้ว หากจะนำงบส่วนนั้นมาก็อาจจะกระทบกับงานส่วนอื่นได้ส่วนทางแก้ปัญหาเบื้องต้น ครูชั้น ป.2 อาจจะต้องปรับวิธีการเรียนรู้ โดยใช้จิตวิทยามากขึ้นในการเรียนรู้จากเด็ก เช่น ครูอาจจะบอกให้เด็กๆช่วยกันสอนครู เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้รวมกัน การเรียนรู้เกิดจากเด็กทำให้ครูดู แต่หากมีงบประมาณก็จะต้องมีก็จะต้องมีการอบรมตามกระบวนการ” นายเอนก กล่าวและว่า ส่วนการบรรจุเนื้อหาชั้น ป.2 ได้ทำหนังสือสั่งการไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต่างๆ ให้แจ้งโรงเรียนในสังกัดในลบโปรแกรมเนื้อหาของชั้น ป.1 ออกก่อน เพราะหน่วยความจำเครื่องแท็บเล็ต ป.1 เดิมมีเพียง 8 กิกะไบต์ แต่เนื้อหา ป.1 ลงไปแล้ว 6 กิ๊ก จึงมีไม่เพียงพอ เมื่อลบเนื้อหาเก่าแล้วจึงลงโปรแกรมเนื้อหาของชั้น ป. 2 ใหม่ได้ทันที โดยสามารถโหลดเนื้อหาได้ทางเซิร์ฟเวอร์ของกระทรวงศึกษา ซึ่งมีเนื้อหา ป.2 จำนวน 354 เรื่อง แบ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ จำนวน 348 เรื่อง และ E-Book จำนวน 6 เรื่อง มีความจุรวม 5 กิกะไบต์

กรุงเทพฯ–23 พ.ค.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32797&Key=hotnews

 

ร.ร.ดังขยับรับทรงผมใหม่ ‘เทพศิรินทร์’ ยัน ‘เกรียน’

23 พฤษภาคม 2556

หลาย ร.ร.เดินเครื่องปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงเรื่องทรงผม อนุญาตให้ผู้ชายไว้รองทรง ผู้หญิงไว้ผมยาว ขณะที่อีกหลาย ร.ร.ดัง ‘ยื้อ’ รอร่างกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ก่อน

ความคืบหน้ากรณีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำหนังสือแจ้งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ทั่วประเทศ เพื่อแจ้งสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. เรื่องการซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนและขอให้สถานศึกษาปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนเป็นแนวทางเดียวกัน โดยระหว่างที่รอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ…. ขอให้ถือกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 เป็นหลัก กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวให้นักเรียนไว้ผมรองทรงได้ หรือไว้ผมยาวได้ตามที่กำหนด ไม่แตกต่างกับร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ…. เพียงแต่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในบางประเด็น ทั้งนี้ เนื่องจากปรากฏว่าสถานศึกษาบางแห่งมีความเข้าใจในเรื่องของทรงผมนักเรียนไม่เป็นไปในแนวทางเดียวนั้น

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายวันชัย ทองเกิด ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ กล่าวว่า ขณะนี้โรงเรียนมัธยมวัดมกุฏกษัตริย์ กทม. เริ่มดำเนินการตามร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมของนักเรียนแล้ว อนุญาตให้นักเรียนชายไว้ผมรองทรงหรือทรงสั้นเกรียนก็ได้ ส่วนนักเรียนหญิง ถ้าจะไว้ผมยาวต้องรวบให้เรียบร้อย ส่วนกรณีอนุญาตให้นักเรียนซอยทรงผมได้นั้น ทางโรงเรียนไม่ได้ห้าม แต่เน้นให้นักเรียนตัดสินใจเอง โดยคำนึงถึงความสุภาพ เรียบร้อย เหมาะสมและรู้กาลเทศะเป็นสำคัญ แต่เท่าที่ดูยังไม่เห็นทรงผมที่เป็นปัญหาไม่เรียบร้อย หรือดูไม่เหมาะสมเกินไป

นางฎาทกาญจน์ อุสตัส ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย กทม. กล่าวว่า โรงเรียนเริ่มปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงแล้ว นักเรียนชายให้สามเสนวิทยาลัย กทม. กล่าวว่า โรงเรียนเริ่มปฏิบัติตามร่างกฎกระทรวงแล้ว นักเรียนชายให้ไว้รองทรงได้ จากเดิมที่นักเรียนชายชั้น ม.ต้น ให้ตัดทรงสั้นเกรียน ส่วนนักเรียนหญิงเดิมไม่อนุญาตให้ไว้ยาว ก็ให้ไว้ยาวได้ แต่ต้องรวบให้เรียบร้อย ผูกด้วยริบบิ้นสีดำ ขาว และน้ำตาล ขอให้คำนึงถึงความสุภาพเรียบร้อย และวัฒนธรรมองค์กรเป็นสำคัญ แต่ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้นักเรียนซอยผมทรงแฟชั่น เนื่องจากทางโรงเรียนตีความว่า การที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ตัดคำว่า “ห้ามซอย” ออกเพราะเข้าใจว่าการซอยเป็นส่วนหนึ่งของการตัดผม แต่ไม่ได้หมายความว่าอนุญาตให้นักเรียนซอยผมทรงแฟชั่นได้

นางเบญญาภา คงรอด ผู้อำนวยการโรงเรียนโพธิสารพิทยากร กทม. กล่าวว่า กำลังรอมติ ครม.พิจารณาเห็นชอบร่างกฎกระทรวง รวมถึงรอหนังสือจาก ศธ. หลังได้รับแล้วจะนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาและที่ประชุมสมาคมผู้ปกครองเพื่อพิจารณา หลังได้ข้อสรุปจะจัดทำเป็นคู่มือ แต่ระหว่างนี้ได้แจ้งให้นักเรียนไว้ทรงผมให้เรียบร้อย ไม่ถึงกับสั่งให้นักเรียนชายตัดเกรียน หรือนักเรียนหญิงต้องตัดสั้นถึงติ่งหู เพียงแต่ให้ไปตัดให้เรียบร้อย ส่วนตัวมองว่า เรื่องทรงผมไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เรื่องสำคัญคือความปลอดภัยและระเบียบวินัย หากปล่อยเด็กไว้ผมยาวจนเกินความพอดี หรือทำตามแฟชั่น อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเด็ก ที่สำคัญค่านิยมของผู้ปกครองยังต้องการให้เด็กมีระเบียบวินัย และตัดผมให้เรียบร้อย

นายปรเมษฐ์ โมลี ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ กทม. กล่าวว่า คณะกรรมการนักเรียนได้หารือร่วมกันจนได้ข้อสรุปที่จะไว้ทรงผมเช่นเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง เราจึงนำมากำหนดเป็นนโยบายของโรงเรียนเช่นเดียวกับเรื่องการแต่งกาย ก็ไม่เปลี่ยนแปลง คนภายนอกอาจมองว่าเชย แต่นั่นคือเอกลักษณ์ของโรงเรียนที่เริ่มตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนในปี 2428 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ถึงตอนนี้เป็นเวลา 128 ปีแล้ว

ด้านผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนสตรีวิทยาคนหนึ่ง กล่าวว่า ทางโรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนไว้ผมสั้นและผมยาวตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ.2518 ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ส่วนการอนุญาตให้นักเรียนซอยผมได้นั้น ยังไม่อนุญาต เพราะต้องรอให้ร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมนักเรียน พ.ศ….ประกาศใช้ก่อน
นายวิวัฒน์ชัย เศรษฐชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนสุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ขณะนี้มีเพียงความชัดเจนเป็นหนังสือแจ้งให้ทราบจาก สพฐ.เท่านั้น ฉะนั้น มาตรการดูแลระเบียบวินัย นักเรียนหญิงกว่า 4,500 คน ยังคงยึดกฎระเบียบเดิม แต่ในวาระการประชุมร่วมกับบุคลากรทางการศึกษา ได้กำชับครูผู้สอนให้เน้นเดินทางสายกลาง ไม่ควรเข้มงวดมากนัก หากพบความไม่เหมาะสม ให้ชี้แจงทำความเข้าใจ เกรงจะมีผลกระทบต่อความรู้สึกของนักเรียน และเครือข่ายผู้ปกครองซึ่งมีส่วนหนึ่งเข้าใจตามกระแสข่าว

“แม้พบนักเรียนหญิงไว้ผมยาวหรือแอบซอยผม เราก็รับได้ แต่เพื่อความเป็นระเบียบและไม่ขัดหูขัดตาต้องรวบผมหรือผูกโบให้เรียบร้อย” นายวิวัฒน์ชัยกล่าว

นายวิษณุ ไชยแก้วเมร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด และเป็นสถาบันการศึกษาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยศึกษาชั้นมัธยมปลาย ปี 2524-2526 กล่าวว่า ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องทรงผมนักเรียน ส่วนใหญ่นักเรียนและผู้ปกครองเข้าใจกฎระเบียบที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2518 นักเรียนชายไว้รองทรงสั้น นักเรียนหญิงรวบผมผูกโบ แต่บางรายไว้ผมยาวและโกรกสี จะให้ครูที่ปรึกษาประจำชั้นเรียกมาพูดคุยและตักเตือน ถ้าฝ่าฝืนเชิญผู้ปกครองมาพบ แต่ไม่ลงโทษเด็กรุนแรง ทั้งนี้ ให้ครู 1 คน ดูแลนักเรียน 20 คน ทั้งเรื่องการแต่งกาย ทรงผม จริยธรรมและคุณธรรมด้วย

ดร.วินัย ทองมั่น ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เปิดเผยว่า ในส่วนของโรงเรียนไม่มีกฎระเบียบอะไรเพิ่มเติมจากที่กระทรวงกำหนด การให้เด็กไว้ผมยาวได้บ้าง ก็ไม่มีปัญหา ที่ผ่านมาโรงเรียนบังคับเด็กให้ไว้ผมสั้น เด็กก็ต้องการไว้ผมยาว แต่การไว้ผมยาวต้องมัดให้เรียบร้อย ยกเว้นเด็กที่ผมหยิก ฟู มัดไม่ได้ ก็อนุโลมกันไป กฎระเบียบใหม่ของกระทรวงแม้ว่าสมาคมผู้ปกครอง ครู ไม่เห็นด้วย แต่ต้องทำตามคำสั่ง หากมองรอบด้านในข้อเท็จจริง ถึงแนวการปฏิบัติของเด็กในต่างจังหวัด น่าจะให้โรงเรียน ชุมชน ผู้ปกครอง เป็นผู้กำหนดความเหมาะสมเอง จะนำเด็กต่างจังหวัดไปเปรียบเทียบกับเด็กในเมืองไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดแตกต่างกัน เช่นอากาศ จะนำเด็กต่างจังหวัดไปเปรียบเทียบกับเด็กในเมืองไม่ได้ เพราะมีข้อจำกัดแตกต่างกัน เช่นอากาศ ความสะอาด ความพร้อม เป็นต้น” ดร.วินัยกล่าว

นายสุพจน์ อภิศักดิ์มนตรี ผู้อำนวยการโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้ปรึกษาสมาคมผู้ปกครอง และสมาคมศิษย์เก่าแล้ว เห็นพ้องต้องกันว่าจะใช้กฎระเบียบโรงเรียนเป็นหลัก ซึ่งไม่คลาดเคลื่อนไปจากกฎของกระทรวง

“เคยได้สอบถามความเห็นของนักเรียนแล้ว พบว่าเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชายพอใจกฎระเบียบของโรงเรียนมาก เมื่อทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันก็ลงตัวพอดี ก่อนหน้านี้เราเคยปล่อยให้นักเรียนไว้ผมยาวกันได้ สภาโรงเรียนในเวลานั้นเละเทะสิ้นดี เราก็ต้องหันมายึดกฎระเบียบกันใหม่ กว่าจะทำให้ลงตัวได้ใช้เวลานาน” นายสุพจน์กล่าว

นายพงศ์ชนก ไชยนุรัตน์ นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช กล่าวว่า เรียนมาตั้งแต่ชั้น ม.1 การแต่งกายและทรงผมยังเป็นเหมือนเดิม เป็นทรงผมเกรียนดูเรียบร้อยดี แต่เมื่อขึ้นชั้น ม.4 ผมยาวขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่ไว้ผมยาวได้ไม่นานก็คงต้องตัดอีก เนื่องจากต้องเรียน ร.ด. คิดว่าทรงผมเดิมไม่เป็นปัญหา ทุกคนยึดกฎของโรงเรียนเป็นหลัก สิ่งที่เป็นปัญหาคือจะทำอย่างไรให้เรียนเก่งมากกว่า

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32796&Key=hotnews

ระบบจัดเก็บเอกสารฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์ (TDC)

ระบบจัดเก็บเอกสารฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์  (TDC)
ระบบจัดเก็บเอกสารฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์ (TDC)

สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) ให้จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการใช้ระบบจัดเก็บเอกสารฉบับเต็มในรูปอิเล็กทรอนิกส์ (Thai Digital Collection) : TDC  และสืบค้นบริการเอกสารวิชาการ ในวันที่ 26 มิถุนายน 2556 ณ ห้องช้องนาง สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ รับจำกัดเพียง 30 คน

thai digital collection
thai digital collection

สมัครได้ที่ ! http://www.uni.net.th/tdc/train/zmc_trainlist.php?sel=view&c=4
หากจะสืบค้นก็เข้าไปที่ http://www.thailis.or.th/

ข้อมูลตามมาตรฐานข้อมูลอุดมศึกษา

ข้อมูลตามมาตรฐานข้อมูลอุดมศึกษา
ข้อมูลตามมาตรฐานข้อมูลอุดมศึกษา

ประเทศไทยได้จัดทำข้อมูลให้เป็นมาตรฐานมาหลายปีแล้ว แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ข้อมูลด้านนักศึกษา ข้อมูลด้านบุคลากร และข้อมูลด้านหลักสูตร ซึ่งสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทุกแห่งต้องส่ง .. ในเวลาต่อมาก็เพิ่มข้อมูลการมีงานทำของบัณฑิต และการเงินอุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา  และปีนี้จะนำไปใช้ร่วมกับข้อมูลกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

 

 

 

สกอ. จึงจัดประชุมชี้แจง
เรื่อง “การจัดทำข้อมูลตามมาตรฐานข้อมูลอุดมศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๕๖
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม 2556 เวลา 9.30 – 15.00น. ณ ห้องคอนแวนชั่น A-B ชั้น 1
โรงแรมแอมบาสเดอร์ กรุงเทพฯ

สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา

เมื่อสกอ. ได้ข้อมูล ก็จะนำไปเผยแพร่สู่สาธารณะ
โดยข้อมูลต้องมีการแปลงให้อยู่ในรูปแบบที่เขากำหนดก่อน
ที่เผยแพร่คือ http://www.info.mua.go.th/information/

ตารางมาตรฐานต่าง ๆ ที่
http://interapp.mua.go.th/NewreferenceTable/

สช.หนุนอาชีวะเปิดสอนในอาเซียนเล็งนำร่องพม่า-กัมพูชา-ย้ำทวิภาคีไม่ตกงาน

22 พฤษภาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยถึงการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ด้านความร่วมมือกับภาคเอกชน ว่า โดยภาพรวมมีหลายองค์กรหลายบริษัทเข้ามาร่วมมือจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคีจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีของผู้เรียน เนื่องจากจบการศึกษาไม่เท่าใด ก็มีงานทำทุกคนไม่ตกงาน เช่น มูลนิธิฟันเฟืองพัฒนา ของบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำข้อตกลงความร่วมมือกับสช. สะท้อนตัวเลขความต้องการมาที่สช.ว่า ปัจจุบันยังขาดแรงงานระดับฝีมือจำนวนหลายหมื่นคน ฉะนั้นปีการศึกษา 2556 ซึ่งถือเป็นปีแห่งการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน ตนจึงรับประกันได้เลยว่า ใครมาเรียนอาชีวศึกษาเอกชนจะมีงานทำ เพราะมีคุณภาพตามความต้องการของตลาด

เลขาธิการ กช. กล่าวต่อว่า พร้อมกันนี้สช. ยังมีแนวทางส่งเสริมให้สถานศึกษาเอกชนต่างๆ ขยายไปเปิดการเรียนการสอนในภูมิภาคอาเซียน โดยขณะนี้มีอาชีวะบางแห่งวางแผนไปเปิดวิทยาลัยแห่งใหม่ที่ท่าเรือทวาย ประเทศพม่า หลังจากรัฐบาลพม่าเตรียมกำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตพิเศษ เพื่อดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน จึงคาดการว่าพื้นที่ท่าเรือทวายจะเจริญเติบโตเหมือนกับท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี หรือท่าเรือต่างๆ ในประเทศไทย ที่พอเกิดท่าเรือขึ้นแล้ว โรงเรียนอาชีวะในพื้นที่นั้นๆ จะมีคนสนใจเข้ามาเรียนจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังมีอาชีวะบางแห่งมีโครงการขยายไปเปิดการเรียนการสอนภายในเมืองหลวงของประเทศพม่า ตลอดจนภายในประเทศกัมพูชาด้วย เพราะเล็งเห็นว่าประเทศเหล่านี้ ยังมีความต้องการพัฒนาฝีมือแรงงานด้านนี้ เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศในอนาคตหลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเป็นทางการในปี 2558

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 23 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32789&Key=hotnews

ครม.ไฟเขียว กศน.เรียน ‘รด.’

22 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภัควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สม.) เสนอทั้งหมด 7 ข้อ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ รับข้อเสนอแนะของ สม.รวมทั้งความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไปประกอบการพิจารณา อาทิ ขอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เร่งประสานงานและหารือไปยังหน่วยบัญชาการรักษาดินแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาประเด็นการเรียนวิชาทหารการเรียนรักษาดินแดน (รด.) โดยแก้ไขกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และให้สิทธิกับผู้เรียนจากการศึกษาโดยครอบครัว ผู้เรียนจากการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ผู้เรียนจากการศึกษาทางเลือก และผู้เรียนจากการศึกษาตามอัธยาศัย ในการสมัครเรียน รด.ได้

–มติชน ฉบับวันที่ 23 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32787&Key=hotnews

ชงสพฐ.ยก 49 ร.ร.ขนาดเล็กรณรงค์เป็นโรงเรียนชุมชน

22 พฤษภาคม 2556

ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า ตนได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนและการศึกษาทางเลือกไทย เพื่อดูแลปัญหาและแนวทางการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนทางเลือก โรงเรียนบ้านเรียนแล้ว โดยคณะกรรมการฯ ประกอบด้วยผู้แทนจากหลายส่วน ทั้งภาคราชการ นักวิชาการ ผู้แทนโรงเรียนขนาดเล็กจากภาคต่าง ๆ ผู้แทนกลุ่มการศึกษาทางเลือก ผู้แทนองค์กรชุมชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิ อย่างไรก็ตามขณะนี้สภาการศึกษาทางเลือก ได้ส่งรายชื่อโรงเรียนขนาดเล็กที่จะรณรงค์เพื่อให้เป็นโรงเรียนชุมชนใน 4 ภูมิภาค จำนวน 49 แห่งมายังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แล้ว ซึ่งจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการชุมชนฯนัดแรก เร็ว ๆ นี้

“ในวันที่ 24 พ.ค.นี้ สพฐ.จะรวบรวมแผนการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กทั้ง 182 เขตพื้นที่ และจะใช้เวลา 1 สัปดาห์ ให้สำนักนโยบายและแผน สพฐ. ประมวลภาพรวมทั้งหมดเสนอ รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) และ รมช.ศธ. ว่า ในปี 2556 นี้จะมีแผนบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอย่างไร และจะมีโรงเรียนที่เข้าข่ายยุบรวม ยุบเลิกกี่แห่ง แต่ยืนยันว่าคงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายว่าจะเดินหน้ายุบโรงเรียน โดยใช้ข้อมูลของภาคราชการเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องอาศัยคณะกรรมการฯมาช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้ด้วย” ดร.ชินภัทร กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32786&Key=hotnews

‘พงศ์เทพ’ นัดถกปัญหาครูต่างชาติ ยืดอายุวีซ่าแก้ปมขาดคน-สร้างรายได้ไทย

22 พฤษภาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ จะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเร็วๆ นี้ เรื่องครูต่างชาติที่เข้ามาเป็นอาจารย์สอนโรงเรียนในประเทศไทย เพื่อหาแนวทางดำเนินการให้ดีที่สุด เนื่องจาก รมว.ศึกษาธิการให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างมาก เพราะในปี 2558 ประเทศก็จะก้าวเข้าสู่การเปิดการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว จึงจำเป็นที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้กับบุคคลกลุ่มนี้มากขึ้น

ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ก็กำลังขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะอาจารย์สอนภาษาต่างประเทศ สาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ที่ผ่านมา จะติดขัดกฎระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) หรือติดขัดในเรื่องของความมั่นคง

“การอำนวยความสะดวกจะเป็นการขอวีซ่า หรือระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งครูต่างชาติจะได้วีซ่าอยู่ประเทศไทยแค่ 2 ปี หลังจากนั้นจะต้องเดินทางออกนอกประเทศ และครูบางคนต้องเดินทางไปประเทศลาว เพื่อขอประทับตราออกนอกประเทศและกลับเข้าไทยใหม่ ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น เราจะมีแนวทางปรับเปลี่ยนกรณีเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ครูหรือนักเรียนต่างชาติได้อยู่ในประเทศไทยได้นาน บางประเทศให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะถือเป็นการส่งออกทางการศึกษา ที่สร้างรายได้อย่างหนึ่ง เนื่องจากครูและนักเรียนต่างชาติเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในประเทศไทยยาวนานกว่านักท่องเที่ยว เพราะต้องมีค่า ใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อขออยู่ในประเทศ ซึ่งก็ถือว่าจะทำรายได้เข้าประเทศได้มากมาย” เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32785&Key=hotnews