ความหมาย และความจำเป็น กับคำว่ามืออาชีพ

แต่งหน้า อย่างกับมืออาชีพ
แต่งหน้า อย่างกับมืออาชีพ

ความหมาย และความจำเป็น ที่ต้องใช้มืออาชีพ
1. ความหมายของมืออาชีพ ของ สุรชัย เทียนส่ง ใน blog คณะเภสัชศาสตร์ ศิลปากร
มืออาชีพ คือ มือ + อาชีพ เอาคำสองคำนี้มาประสานกัน การทำงานคงต้องใช้มือในการลงมือทำ มือทำตามสมองและจิต  การงานใดที่เรามองว่ามันคืออาชีพ เราควรจะทำมันเต็มกำลังสามารถและควรจะพยายามรักษาอาชีพที่เราทำนั้นไว้ให้ดีที่สุด เมื่อเราทำเช่นนี้ เราก็จะมีความสามารถในงานที่เราทำเหนือใคร ๆ จนสามารถสอน บอกเล่า งานการที่เราทำนั้นแก่ผู้อื่นได้ ซึ่งอาจหมายถึงคำที่เขาเรียกกันว่า ผู้มีประสบการณ์
http://blog.pharm.su.ac.th/content/%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E

2. ความจำเป็นที่ต้องใช้ มืออาชีพ มาเป็น อาจารย์พิเศษ ของ ผศ.ชัยชาญ ถาวรเวช นิเทศ ศิลปากร
ตอบคำถามเรื่อง “อะไรคือ ความตั้งใจแรกที่ คณะไอซีที ต้องอยู่บางรัก และมีอาจารย์พิเศษ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ สกอ. ประเมิน ไม่ผ่าน”
ว่า “คณะมีความตั้งใจ คือ ต้องการให้นักศึกษาจบไปแล้วทำงานเป็นเลย เพราะอย่างที่ทราบกันดี นายจ้างต้องเสียเวลาฝึกพนักงานใหม่เป็นเดือน พอเป็นงานแล้ว ก็เปลี่ยนงานใหม่ เพื่อปรับฐานเงินเดือน”
“เพราะเหตุนี้ มหาวิทยาลัยจึงต้องการผลิตบัณฑิต เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดี บัณทิตที่จบไป ต้องทำงานได้ทันที นี่คือ ความจำเป็นที่ต้องใช้ มืออาชีพ มาเป็น อาจารย์พิเศษ ”
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1365152611&grpid=03&catid=03

แถลงการณ์จากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มศก.
เรื่อง การรับนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2556

http://thainame.net/edu/?p=708

3. ถ้าหลักสูตรมีผู้มีประสบการณ์แสดงว่าเป็นจุดขาย ของ ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ นิเทศฯ หอการค้าไทย
“ต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรจำนวนมาก แต่อาจารย์สอนมีจำนวนจำกัด ทำให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องจ้างอาจารย์พิเศษมาสอน ซึ่งการจ้างอาจารย์พิเศษมาสอนถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้นักศึกษาได้เห็นมุมมอง ประสบการณ์ ความคิดใหม่ๆ จากอาจารย์พิเศษที่ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้ความสามารถ อยู่ในแวดวงการทำงานธุรกิจนั้นจริงๆ”
คมชัดลึก ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32449&Key=hotnews


แต่งหน้าแบบมืออาชีพ

กพฐ.เดินหน้าตั้ง ผอ.โรงเรียนกลุ่มพรีเมียม

18 เมษายน 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยความคืบหน้าการแต่งตั้งผู้อำนวยการโรงเรียนกลุ่มพรีเมียม ที่ประกอบด้วยโรงเรียนคุณภาพพิเศษ และโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษที่ยังไม่ได้ดำเนินการแต่งตั้ง เนื่องจากต้องรอให้มีการแต่งตั้ง กพฐ.ชุดใหม่ว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)ได้พิจารณาในข้อกฎหมายแล้วพบว่า แม้จะยังไม่มี กพฐ.ชุดใหม่ แต่ กพฐ.ชุดเก่า ยังสามารถทำหน้าที่ได้ต่อไป

ดังนั้น สพฐ.จะต้องเดินหน้าพิจารณาแต่งตั้ง เนื่องจากโรงเรียนคุณภาพพิเศษและโรงเรียนวัตถุประสงค์พิเศษ จำนวนหนึ่งไม่มีผู้อำนวยการโรงเรียน มาประมาณ 5-6 เดือน ซึ่งในช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ คณะกรรมการกลั่นกรองที่ทำหน้าที่ในการพิจารณากลั่นกรองจะประชุมกัน และคาดว่าในเดือน พ.ค.จะสามารถส่งรายชื่อไปให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาแต่งตั้งต่อไป

สำหรับตำแหน่ง ผอ.สถานศึกษา สายมัธยมศึกษา ที่ยังว่างประกอบด้วย รร.สตรีวิทยา 2 ในพระราชูปถัมภ์ (กทม.) รร.สวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี จ.นนทบุรี รร.กาญจนาภิเษกวิทยาลัย เพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ รร.กาญจนาภิเษกวิทยาลัยชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ รร.เฉลิมพระเกียรติศรีนครินทร์ ภูเก็ต จ.ภูเก็ต รร.เฉลิมพระเกียรติศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด รร.ทีปังกรวิทยาพัฒน์ (ทวีวัฒนา) ในพระราชูปถัมภ์ กทม.

ส่วนตำแหน่ง ผอ.สถานศึกษา สายประถมศึกษา ได้แก่ รร.สุขานารี จ.นครราชสีมา
สำหรับตำแหน่ง รอง ผอ.สถานศึกษา สายมัธยมศึกษา ประกอบด้วย รร.ทวีธาภิเษก กทม. รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ กทม. รร.วัดสุทธิวราราม กทม. รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) 2 กทม. รร.เบญจมราชูทิศ จ.นครศรีธรรมราช รร.หาดใหญ่วิทยาลัย จ.สงขลา รร.กาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ จ.กาฬสินธุ์ รร.อำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ รร.พิษณุโลกพิทยาคม จ.พิษณุโลก รร.มัธยมสังคีตวิทยากรุงเทพมหานคร จ.ปทุมธานี รร.อุบลรัตน์ราชกัญญาราชวิทยาลัยนครราชสีมา จ.นครราชสีมา

ส่วนตำแหน่ง รอง ผอ.สถานศึกษา สายประถมศึกษา ได้แก่ รร.อนุบาลสุรินทร์ จ.สุรินทร์ รร.สุขานารี จ.นครราชสีมา รร.ราชวินิต กทม. รร.ทีปังกรณ์วิทยาพัฒน์ (วัดโบสถ์) ในพระราชูปถัมภ์ กทม. รร.พระตำหนักสวนกุหลาบ กทม.

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32451&Key=hotnews

‘มทส.’ แจกทุนปริญญาเอก ดึงนักศึกษาอาเซียนเรียนร่วม

18 เมษายน 2556

“ประสาท สืบค้า” เร่งสร้างความร่วมมือทางวิชาการ จับมือประเทศอาเซียน ดึงนักศึกษาผ่านสถานทูตในไทย ร่วมเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พร้อมให้ทุนปริญญาเอก เล็งขยายทุนปริญญาตรี-โทเพิ่ม…

เมื่อวันที่ 17 เม.ย.56 ศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ศิษย์เก่าที่สำเร็จปริญญาโทและปริญญาเอก จาก มทส. เมื่อจบไปเป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยของเขา จะมีบทบาทสูงมากในการสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับ มทส. เช่น ศาสตราจารย์ ดร.เว่ย เว่ย (WeiWei) เป็นคณบดี วิทยาลัยวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยกุ้ยโจว (Collegeof Science, Guizhou University) ดร.สมจัน บุนพันมี (Dr.SomchanPounphanmy) เป็นรองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว เป็นต้น ดังนั้น ด้วยตระหนักว่าการศึกษาเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างมิตรภาพและทัศนคติที่ดีต่อกัน ในระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน กับทั้ง มทส. มีที่ตั้งบนเส้นทางเชื่อมโยงอาเซียน (ASEAN Connectivity) มีอุปกรณ์เครื่องมือวิจัยขั้นสูงอยู่พร้อม และมีห้องปฏิบัติการระดับชาติ เช่น ห้องปฏิบัติการแสงสยามของสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) หอดูดาว เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษาของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เป็นต้น ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัย

มทส.จึงได้จัดสรรทุนการศึกษาให้ต่างชาติในระดับปริญญาเอก ที่รวมทั้งค่าเล่าเรียน ค่าทำวิจัย และค่าเลี้ยงชีพปีละ 9 ทุน จาก 9 ประเทศสมาชิกอาเซียน ตั้งแต่ปีการศึกษา 2555 ปรากฏว่าในปีการศึกษา 2555 มีผู้สมัคร 44 คน คัดเลือกตามเกณฑ์ความสามารถทางภาษา (TOEFL ตั้งแต่ 500 ขึ้นไปหรือ IELTS ตั้งแต่ 5.0 ขึ้นไป) และความสามารถทางวิชาการ มีคะแนนเฉลี่ยสะสมระดับปริญญาโท ตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไป และการสัมภาษณ์ทางไกลผ่านสไกป์ (skype) มีผู้ผ่านเข้ารับทุน 8 คน
สำหรับในปีการศึกษา 2556 มทส. ได้ดำเนินการเชิงรุกโดยเข้าพบเอกอัครราชทูต และอุปทูตด้านการศึกษา ที่สถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยของ 9 ประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัย ปรากฏว่า มีผู้สมัครเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น 68 คน เป็นอินโดนีเซีย 18 คน เวียดนาม 14 คน และฟิลิปปินส์ 13 คน นอกจากนั้นเป็นประเทศอื่น และผ่านการคัดเลือกโดยเกณฑ์ที่กำหนดจำนวน 16 คน ได้รับเลือกรับทุนเต็มรูปแบบ 9 คน และได้รับทุนยกเว้นค่าเล่าเรียน 7 คน นักศึกษาทั้ง 16 คน จะมาศึกษาที่ มทส. ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2556 นี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิวัฒ ไทยอุดม ผู้อำนวยการศูนย์กิจการนานาชาติ มทส. กล่าวเพิ่มเติมว่า “เท่าที่ติดตามผลการศึกษาของนักศึกษารุ่นแรกที่ผ่านไป การเรียน coursework หนึ่งปีการศึกษา ปรากฏว่า ทำคะแนนได้สูงมาก ต่อไปคงต้องดูศักยภาพของการทำวิจัย เป็นที่น่าสังเกตว่า นักศึกษาจากอินโดนีเซีย ชอบสมัครเรียนทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ขณะที่นักศึกษาจากเวียดนามส่วนใหญ่ สมัครเรียนทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร ส่วนฟิลิปปินส์เลือกวิทยาศาสตร์พื้นฐาน การมีนักศึกษาต่างชาติเพิ่มขึ้นสร้างความเป็นนาชาติในมหาวิทยาลัยไม่ว่าการสื่อสาร ศาสนาและวัฒนธรรม การจัดกิจกรรมนอกหลักสูตรเสริมให้ก็ไม่มากนัก เนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่ยังบอกว่า เรียนหนักมาก ที่พอจัดได้ เช่น พาเที่ยวพิมาย เขาใหญ่ วังน้ำเขียว ชายทะเลพัทยา International Night, ASEAN week เป็นต้น กับสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย เช่น บายศรีสู่ขวัญ ไหว้ครู เป็นต้น ในอนาคตอันใกล้หากมีการจัดระบบการศึกษา ปฏิทินการศึกษา การรับรองวิทยฐานะ และการเทียบโอนหน่วยกิจระหว่างประเทศอาเซียน ที่เป็นระบบยอมรับมาตรฐานซึ่งกันและกัน มทส. จะขยายการรับในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทด้วย

ที่มา: http://www.thairath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32450&Key=hotnews

จี้เลิกยืมชื่ออาจารย์ดังดึงนักศึกษาเรียน

18 เมษายน 2556

คณบดีนิเทศศาสตร์ มกค. ชี้ภาพรวมอุดมศึกษาวิ่งแข่งในสนามเดียว เปิดหลักสูตร ตามกระแส เพื่อหารายได้ไม่คำนึงถึงคุณภาพ สอดรับกับบริบทของมหาวิทยาลัยจี้เลิก “ยืมชื่ออาจารย์ดัง” มาแอบอ้างสอน โฆษณาเป็นจุดขายดึงนักศึกษาเข้าเรียน ชี้เข้าข่ายหลอกลวง แนะนักศึกษา พ่อแม่ตรวจสอบข้อมูล สัมผัสมหาวิทยาลัยจริงๆ ก่อนตัดสินใจ

ผศ.ดร.รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์ของสถาบันอุดมศึกษาไทยไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยรัฐหรือเอกชนต่างวิ่งแข่งในสนามเดียวกัน มุ่งเน้นเปิดหลักสูตรตามกระแสเพื่อหาเงิน หารายได้เข้ามหาวิทยาลัย เป็นการเปิดออกมาเพื่อขายของ โดยไม่ได้สอดคล้องกับบริบทของมหาวิทยาลัย ทำให้ภาวะการแข่งขันในระดับอุดมศึกษาเพิ่มสูงยิ่งขึ้น เพราะมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต่างเหมือนกันไม่มีหลักสูตรที่หลากหลายให้เด็กได้เลือก ทำให้มหาวิทยาลัยต่างวางกลยุทธ์ โฆษณา เพื่อดึงนักศึกษาเข้าเรียนสถาบันของตนเอง โดยวิธีที่สถาบันการศึกษานิยมใช้อยู่ในขณะนี้ คือ การยืมชื่ออาจารย์ นักวิชาการเก่ง ดัง ผู้มีประสบการณ์ในสาขาหลักสูตรนั้นๆ มาเป็นจุดขาย

โฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นอาจารย์สอนประจำอยู่ที่คณะนั้น มหาวิทยาลัยนี้ แต่ไม่ได้มาสอนจริง หรือบางคนเป็นเพียงอาจารย์พิเศษ ที่มาสอนในบางคลาสเรียนเท่านั้นซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวงนักศึกษา

“ต้องยอมรับว่ามหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรจำนวนมากแต่อาจารย์สอนมีจำนวนจำกัด ทำให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องจ้างอาจารย์พิเศษมาสอน ซึ่งการจ้างอาจารย์พิเศษมาสอนถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้นักศึกษาได้เห็นมุมมอง ประสบการณ์ ความคิดใหม่ๆ จากอาจารย์พิเศษที่ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีความรู้ความสามารถ อยู่ในแวดวงการทำงานธุรกิจนั้นจริงๆ แต่การที่มหาวิทยาลัยพยายามโฆษณากันมากเพื่อให้เข้าถึงนักเรียน ผู้ปกครองให้มาเรียน โดยไม่บอกข้อมูลให้รู้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นอยากฝากมหาวิทยาลัยอย่าเปิดหลักสูตรเป็นแฟชั่นหรือว่าแข่งกับใคร แต่ควรคำนึงถึงคุณภาพการศึกษา ตรงกับบริบทของมหาวิทยาลัย เปิดออกมาแล้วต้องแน่ใจว่าเราทำสิ่งที่มีคุณภาพจริงๆ ควรดูศักยภาพความพร้อมของตนเองด้วย ส่วนนักศึกษา พ่อแม่ควรตรวจสอบข้อมูล หรือเข้ามาสัมผัสมหาวิทยาลัยจริงๆ ดูเรื่องของหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนก่อนตัดสินใจเรียน อย่าเลือกเพียงเพราะดูอาคารเรียน มีชื่ออาจารย์ดังๆ สอนเท่านั้น” คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มกค.กล่าว

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32449&Key=hotnews

ดูแลเด็กด้อยโอกาส ดึงเด็กออกกลางคันทำงานพร้อมเรียนได้ด้วย

18 เมษายน 2556

สอศ.ขานรับนโยบายนายกฯ ให้ดูแลเด็กด้อยโอกาส ผู้สูงวัย เตรียมประสานสถานประกอบการดึงเด็กที่ออกกลางคันมาทำงานพร้อมเรียนได้ด้วย ส่วนผู้สูงอายุ เตรียมใช้ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพของวิทยาลัย ฝึกอาชีพให้ผู้สูงอายุ พร้อมเร่งผลิตบุคลากรด้านดูแลผู้สูงวัย

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาแรงงานเข้าร่วมประชุม พร้อมกำชับให้ดูแลกลุ่มสตรี ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงวัย เป็นพิเศษ โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้รับนโยบายให้ดูแลกลุ่มผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงวัย ในส่วนของผู้ด้อยโอกาสนั้น ที่ประชุมหยิบยกประเด็นเด็กที่เรียนจบม.3 และต้องการทำงานแต่ติดปัญหากฎหมายแรงงานหารือกัน ซึ่ง สอศ.วางแผนไว้ว่าจะประสานกับสถานประกอบการเพื่อดึงเด็กกลุ่มนี้มาทำงานควบคู่กับการเรียนอาชีวะ ส่วนผู้สูงอายุนั้น สอศ.จะจัดโครงการฝึกอบรมอาชีพ โดยคาดว่า จะใช้ศูนย์อบรมอาชีพในสถานศึกษาของ สอศ.จำนวน 121 ศูนย์ทั่วประเทศซึ่งเปิดอบรมให้บุคคลทั่วไปที่ต้องการเรียนอาชีพมาใช้เป็นสถานที่อบรมด้วย

นายชัยพฤกษ์ กล่าวต่อว่า ศูนย์ดังกล่าวเป็นโครงการของรัฐบาล ที่ให้วิทยาลัยที่มีศักยภาพโดดเด่นเฉพาะด้าน เปิดอบรมอาชีพแก่ประชาชน เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่เด่นเรื่องอาหารนานาชาติ ก็เปิดอบรมด้านอาหารเป็นต้น โดยแต่ละหลักสูตรใช้เวลาอบรมไม่น้อยกว่า 75 ชั่วโมงแต่การันตีว่านำไปประกอบอาชีพได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฝึกอบรมอาชีพของสอศ.นั้นจะไม่ซ้ำซ้อนกับการฝึกอบรมอาชีพของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เพราะสอศ.มีจุดต่างในเรื่องความพร้อมของเครื่องไม้เครื่องมือในการอบรมอาชีพเฉพาะด้าน เช่น อาชีพสาขาช่างต่างๆ เป็นต้น

“นอกจากการอบรมเพื่อสร้างอาชีพแก่ผู้สูงอายุแล้วนั้น ในส่วนของการดูแลเด็กและผู้สูงอายุนั้น สอศ.พยายามผลิตกำลังคนที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเปิดสอนหลักสูตรการดูแลเด็กและผู้สูงอายุ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) แต่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากมองว่า อาชีพนี้ไม่มั่นคง ทั้งๆ ที่อาชีพบริการผู้สูงอายุนั้น ในปัจจุบันเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างมาก โดยปีการศึกษา 2555 มีสถานศึกษาเปิดสอนทั้งสิ้น 4 แห่ง คือ วิทยาลัยการอาชีพ (วก.) เชียงราย มีผู้เรียน 17 คน วก.พล 8 คน วิทยาลัยเทคนิค (วท.) เดชอุดม 3 คน และ วท.สุวรรณภูมิ 1 คน ดังนั้น สอศ.จึงเตรียมไปจับมือกับผู้ประกอบการที่ทำงานด้านนี้อยู่แล้ว ซึ่งนอกจากจะยกระดับฝีมือของผู้เรียนแล้ว ยังเพิ่มคุณวุฒิให้กับผู้ประกอบการได้อีกด้วย” นายชัยพฤกษ์ กล่าว

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32448&Key=hotnews

สช.ตั้งเป้าเด็ก ป.4 สื่อสารอังกฤษคล่อง

เมษายน 2556

สช.เดินหน้ายกระดับคุณภาพ ร.ร.เอกชนทั้งใน-นอกระบบ ตั้งเป้าปี 56 เด็ก ป.3 ต้องอ่านเขียนคล่อง ป.4 พูดอังกฤษได้ ขณะที่ ร.ร.ที่อยู่นอกระบบไม่น้อยกว่า 1,500 โรงต้องผ่านประเมินคุณภาพภายใน

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กำหนดให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเพิ่มคุณภาพการศึกษาเอกชน โดยมีเป้าหมายให้โรงเรียนให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเรียน ให้มีกระบวนการคิดอย่างถูกต้องและสร้างสรรค์ โดยการนำนวัตกรรมการสอนที่เหมาะสมมาปรับใช้ รวมทั้งส่งเสริมให้มีทักษะการใช้ชีวิต เพื่อให้ผู้เรียนคิดวิเคราะห์เป็น มีลักษณะผู้เรียนที่ดี และพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น กำหนดให้ปีนี้นักเรียนชั้นป.3 ต้องอ่านคล่อง เขียนคล่อง ป.4 ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษได้ เป็นต้น โดยโรงเรียนต้องลดเวลาเรียนลงเพื่อให้เด็กทำกิจกรรมมากขึ้น ในส่วนของโรงเรียนนานาชาติ จะต้องผ่านรับการรับรองมาตรฐานสากล ขณะที่โรงเรียนนอกระบบ ก็จะต้องผ่านการประกันคุณภาพภายใน อย่างน้อย 1,500 โรง

ขณะนี้ สช.มีมาตรการส่งเสริมการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้ผู้เรียน โดยรูปแบบหนึ่งที่นำมาใช้คือ การสนับสนุนสื่อการเรียนรู้ ทั้งการแจกฮาร์ดดิสที่มีข้อมูลการเรียนรู้แบบอี-ลิร์นนิงทั้งหมด 5 วิชาหลัก ประกอบด้วย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคมศึกษา ระดับง ป.3-ป.6 และ ม.1-ม.3 ให้กับโรงเรียนสังกัดทุกโรง พร้อมกันนี้ยังแจกให้นักเรียนนำกลับไปฝึกทำเองที่บ้านด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีสื่อสำหรับครูนำไปใช้ในการเรียนการสอนด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ปกครองเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชน และเชื่อมั่นว่าบุตรหลานจะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดี โดยนโยบายนี้จะเริ่มใช้ในปีการศึกษา 2556 นี้” เลขาธิการ สช.กล่าว

. –ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32447&Key=hotnews

องค์การค้ายันส่งหนังสือเรียนทันเวลา

18 เมษายน 2556

นายสมมาตร มีศิลป์ ผู้อำนวยการองค์การค้า(อค.) สำนักงานคณะกรรมการสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ อค.สกสค. ได้จัดพิมพ์หนังสือเรียน แบบเรียนของปีการศึกษา 2556 เสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยปีนี้ อค.สกสค.มียอดพิมพ์ทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ประมาณ 40 ล้านเล่ม แต่สำหรับปีนี้ อค. สกสค.ได้ปรับแผนการจัดส่งหนังสือใหม่ โดยเริ่มทะยอยจัดส่งหนังสือไปยังตัวแทนจำหน่ายของ อค.สกสค. และร้านศึกษาภัณฑ์พานิชย์ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2556 เพราะฉะนั้น ยืนยันว่าปีนี้จะไม่เกิดปัญหาการจัดส่งหนังสือเรียนไม่ทันเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 อย่างแน่นอน

“ปีนี้ส่งหนังสือเรียนทันแน่นอน เนื่องจากยอดการพิมพ์ของเราเฉลี่ยอยู่ที่ 4 แสน เล่มต่อวัน จึงมั่นใจได้ และหากโรงเรียนต้องการสั่งหนังสือเพิ่ม ขอเพียงออเดอร์เข้ามา เราก็จะจัดพิมพ์และส่งให้ได้ทันที โดยที่จะไม่มีปัญหาให้กังวลว่าหนังสือเหลือค้างสต็อกแบบปีที่ผ่านๆ มา เช่นปีที่แล้วเรามีหนังสือเหลือค้างสต็อกถึง 12 ล้านเล่ม เป็นมูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่ง อค.สกสค.ได้กู้เงินเพื่อมาดำเนินการเมื่อเกิดปัญหาไม่สามารถขายหนังสือได้ แต่เรายังมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายอีกก็เลยเกิดปัญหาเงินจมเป็นเหตุให้ขาดทุน แต่ปีนี้มั่นใจว่าจะขายหนังสือได้ไม่เหลือค้างสต็อก” นายสมมาตร กล่าว

ผอ.อค.สกสค. กล่าวต่อว่า เป้าหมายในปีนี้ อค.สกสค.จะต้องเพิ่มยอดจำหน่ายหนังสือทั้ง 8 กลุ่มสาระ ซึ่งเดิมนั้นเฉพาะ 3 สาระหลัก คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาไทย ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่อีก 5 กลุ่มสาระที่เหลือเราจะต้องกระตุ้นยอดจำหน่ายโดยมีส่วนลดให้โรงเรียนตามที่สั่งซื้อหนังสือตามที่ ศธ.อนุญาต 25% ด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานั้นมีการให้ส่วนลด 31% แต่นั่นส่งผลให้ อค.สกสค.ขาดทุน ต้องควักเนื้อตัวเอง ทั้งนี้ จากการดำเนินการทั้งหมดคาดว่า เมื่อสรุปยอดการจำหน่ายในปีนี้ประมาณการอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายอยู่ประมาณ 1,600 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ อค.สกสค.ได้เตรียมมาตรการป้องกันการปลอมแปลงหนังสือด้วย โดยจะออกใบรับรองการสั่งซื้อหนังสือให้แก่ร้านค้า และโรงเรียนไว้ใช้เป็นหลักฐาน ซึ่งในช่วงหลังหยุดยาวสงกรานต์ อค.สกสค.จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ลงไปสุ่มตรวจสอบหากพบว่าไม่มีหนังสือรับรองก็จะดำเนินการในมาตรการต่อไป นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 7-14 พฤษภาคม 2556 อค.สกสค.จะจัดงานแบ็คทูสคูล (Back To School) ที่โรงพิมพ์องค์การค้า ลาดพร้าว จำหน่ายเสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน สื่อการเรียนการสอน และอื่นๆ ในราคาถูกให้กับ 00ผู้ปกครอง สถานศึกษาและประชาชนทั่วไปด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32446&Key=hotnews

ก.ค.ศ.เล็งออกร่างเงินวิทยพัฒน์ จ่าย 1 แสน – ครูปฏิบัติงานดีเด่น ปีละ 10 รางวัล -สร้างขวัญกำลังใจ

18 เมษายน 2556

นางรัตนา ศรีเหรัญ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ.กำลังดำเนินการจัดทำร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินวิทยพัฒน์ พ.ศ…. เพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของผู้ที่มีผลงาน หรือผลการปฏิบัติงานดีเด่น หรือผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติสมควรได้รับเงินวิทยพัฒน์ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการในลักษณะของการประชาพิจารณ์ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นเกี่ยวกับร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูฯแล้ว มีรายละเอียดที่สำคัญได้แก่ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับเงินวิทยพัฒน์จะได้รับเข็มเชิดชูเกียรติ โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินจำนวน 100,000 บาท จำนวน 10 รางวัล เพียงครั้งเดียว

โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาผลงานดีเด่น หรือผลการปฏิบัติงานดีเด่น หรือการยกย่องเชิดชูเกียรติ เพื่อให้ได้รับเงินวิทยพัฒน์ อาทิ 1.ผลงานดีเด่น จะต้องเป็นผลงานที่มีคุณประโยชน์ต่อการศึกษาเป็นที่ประจักษ์เป็นผลงานที่เกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่วงการวิชาชีพ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เป็นผลงานที่แสดงออกทางความคิด มีการสร้างองค์ความรู้ใหม่ มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย 2.ผลการปฏิบัติงานดีเด่น จะต้องปฏิบัติงานตามหน้าที่ที่ได้ผลดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ ทุ่มเทและเสียสละ เป็นแบบอย่างที่ดี มีจิตวิญญาณของวิชาชีพ มีความเป็นเลิศพิเศษ เป็นต้น
เลขาธิการ ก.ค.ศ.กล่าวต่อว่า ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จะได้รับพิจารณาให้ได้เงินวิทยพัฒน์ นอกจากจะต้องมีผลงานดีเด่น หรือได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติแล้วยังต้องเป็นผู้ที่มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ และต้องไม่ถูกลงโทษทางวินัย หรืออยู่ระหว่างดำเนินการทางวินัย หรือไม่เคยถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษในคดีอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ อย่างไรก็ตาม สำหรับการออกร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการครูฯ ได้รับเงินวิทยพัฒน์อาศัยอำนาจตามมาตรา 19(4) และมาตรา 75 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ทั้งนี้ตนจะขอดูร่างระเบียบดังกล่าวนี้ก่อน จากนั้นจะนำเสนอให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาวิสามัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และจากนั้นนำเสนอที่ประชุม ก.ค.ศ.พิจารณาเห็นชอบต่อไปโดยอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้อีก

ด้านนางสุพร คมขำ ผู้อำนวยการภารกิจกองทุนและสวัสดิการทางการศึกษา สำนักงาน ก.ค.ศ. กล่าวว่า การผลักดันเรื่องนี้ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้แล้วและมีความคาดหวังว่าภายในปีนี้น่าจะผลักดันร่างระเบียบ ก.ค.ศ.ฉบับดังกล่าวออกมาให้สำเร็จเพื่อจะได้เป็นขวัญและกำลังใจแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งได้มีการสอบถามเรื่องนี้กันมาโดยตลอดว่าเมื่อไรจะดำเนินการเสร็จ

–มติชน ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32445&Key=hotnews

สกอ.ขอคืนอำนาจคุมมหาวิทยาลัย หวังแก้สภาผูกขาดบริหารงาน

18 เมษายน 2556

นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้เกิดปัญหาอำนาจการบริหารมหาวิทยาลัยผูกขาดอยู่ที่สภามหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น อาทิ ปัญหาการสรรหาอธิการบดี ที่มีกรณีการสลับกันดำรงตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะ มรภ.และยังมีปัญหาที่สภามหาวิทยาลัยไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัย ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไม่สามารถเข้าไปกำกับดูแลได้ เพราะได้กระจายอำนาจไปให้มหาวิทยาลัยดูแลบริหารจัดการเอง โดยสาเหตุที่ต้องกระจายอำนาจ เพราะต้องการให้มหาวิทยาลัยมีอิสระในการบริหารจัดการ และให้คนดีเข้ามากำกับดูแล แต่ลืมนึกไปว่ากรณีที่มีคนไม่ดีเข้ามาบริหารจะทำอย่างไร

รองเลขาธิการ กกอ.กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันใน พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัยทุกแห่งได้กำหนดไว้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ซึ่งหมายความว่า หากมีใครไม่ปฏิบัติตามที่ พ.ร.บ.กำหนด รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการลงโทษได้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีรัฐมนตรีว่าการคนใดใช้อำนาจในการกำกับดูแลดังกล่าว ดังนั้นเร็วๆ นี้ ตนจะเสนอต่อนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ว่าต่อไปหากมีการปรับแก้กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุดมศึกษา อาทิ พ.ร.บ.อุดมศึกษา จะขอให้คืนอำนาจให้ สกอ. สามารถกำกับดูแล อย่างน้อยให้สามารถลงโทษถอดถอนนายกสภามหาวิทยาลัย หรือกรรมการสภามหาวิทยาลัย ที่ทำหน้าที่บกพร่องหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขาดประชุมบ่อยครั้งทำให้การบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยเกิดความเสียหาย

“ถ้าเป็นไปได้ สกอ.ควรจะมีบัญชีรายชื่อกรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิรวมถึงนายกสภามหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง เพื่อให้สามารถควบคุมการทำงานได้ โดยเป็นการขอคืนอำนาจกลับมาเพื่อให้เข้าไปกำกับดูแลให้การบริหารงานของมหาวิทยาลัยมีธรรมาภิบาลมากขึ้น ทาง สกอ.ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปก้าวก่ายการบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด” นพ.กำจรกล่าว

–มติชน ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32444&Key=hotnews

ร่างกฎคุมประพฤติ – ผมนักเรียน ศธ.ประชาพิจารณ์ก่อนใช้

18 เมษายน 2556

ศธ.ยกร่างคุมความประพฤติ-การแต่งกาย-ทรงผม นักเรียน-น.ศ.ใหม่ ไม่ให้’ชู้สาวในที่สาธารณะ-เที่ยวกลางคืน’ ผมห้าม’ดัด-ซอย-ทำสี’

เมื่อวันที่ 16 เมษายน นางศิริพร กิจเกื้อกูล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมของนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. … ว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีการประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียในร่างกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติ การแต่งกาย และแบบทรงผมของนักเรียนและนักศึกษา ปี พ.ศ. … มีผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้แทน จากเขตพื้นที่ทางการศึกษา นักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง เข้าร่วมเสนอความคิดเห็น ซึ่งจะมีการประชุมระดมความคิดเห็นกันอีกครั้ง จากนั้นจะสรุปและนำเสนอให้ปลัด ศธ.พิจารณาต่อไป

นางศิริพรกล่าวว่า ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงประกอบด้วย 3 หมวด ได้แก่ หมวดความประพฤติ หมวดการแต่งกาย และหมวดทรงผม โดยข้อมูลและความคิดเห็นที่ได้รับจะนำไปประกอบการจัดทำร่างฯดังกล่าวเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และจะนำไปประกาศบังคับใช้ต่อไป

แหล่งข่าวระดับสูง ศธ.กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดร่างกฎกระทรวง อาทิ ในหมวดที่ 1 ความประพฤติ นักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตนอยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่สังกัดอยู่และต้องไม่ประพฤติตน ดังต่อไปนี้ 1.หนีเรียนหรือออกนอกสถานศึกษาโดยไม่ได้รับอนุญาตในช่วงเวลาเรียน
2.เล่นการพนัน จัดให้มีการเล่นการพนัน หรือมั่วสุมในวงการพนัน
3.พกพาอาวุธหรือวัตถุระเบิด
4.ซื้อจำหน่าย แลกเปลี่ยน เสพสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ สิ่งมึนเมา บุหรี่หรือยาเสพติด
5.ลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ หรือบังคับขืนใจเพื่อเอาทรัพย์บุคคลมึนเมา บุหรี่หรือยาเสพติด
6.ลักทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่ หรือบังคับขืนใจเพื่อเอาทรัพย์บุคคลอื่น
7.ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เตรียมการหรือกระทำการใดๆ อันน่าจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
8.แสดงพฤติกรรมทางชู้สาวที่ไม่เหมาะสมในที่สาธารณะ
9.เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี
10.ออกนอกสถานที่พักเวลากลางคืน เพื่อเที่ยวเตร่หรือรวมกลุ่ม อันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับหมวด 2 การแต่งกาย นักเรียนและนักศึกษาต้องไม่แต่งกายไม่สมควรแก่วัยหรือไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา นักเรียนต้องแต่งกาย หรือแต่งเครื่องแบบนักเรียนตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษาต้องแต่งกายหรือแต่งเครื่องแบบนักศึกษาตามข้อบังคับหรือระเบียบของสถานศึกษานั้น และนักเรียน นักศึกษาต้องไม่ใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งแปลกปลอมเพื่อเสริมสวย

แหล่งข่าวกล่าวว่า ส่วนหมวด 3 แบบทรงผม นักเรียนต้องไว้ทรงผมแบบสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ ดังนี้
1. นักเรียนชายไว้ผมด้านข้างและด้านหลังยาวไม่เลยตีนผม เช่น แบบทรงผมรองทรง
2. นักเรียนหญิงให้ไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีที่ไว้ยาวก็ให้รวบให้เรียบร้อย ห้ามนักเรียนดัดผม ซอยผม ทำสีผม ไว้หนวดเครา หรือทำการอื่นใดที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการเป็นนักเรียน
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องไว้ทรงผมแตกต่างจากที่กำหนดเนื่องจากความจำเป็นทางศาสนา ประเพณีหรือความจำเป็นอื่นใด ก็ให้อยู่ในอำนาจของสถานศึกษานั้นเป็นผู้พิจารณา นอกจากนี้ โรงเรียนหรือสถานศึกษาอาจกำหนดแบบทรงผมของนักเรียนและนักศึกษาเพื่อผ่อนคลายได้แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎกระทรวงนี้

–มติชน ฉบับวันที่ 18 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32443&Key=hotnews