เพราะมุ่งมั่น .. จากเด็กไร้บ้านรับจ้างถูพื้นโรงเรียน สู่ ม.ฮาร์วาร์ด

Dawn Loggins
Dawn Loggins

จากเด็กจรจัดไร้บ้านรับจ้างถูพื้นโรงเรียน
สู่รั้วมหาวิทยาลัยชื่อก้องโลก . . . . ม.ฮาร์วาร์ด
โดย Hachapan Uachotikoon

http://www.facebook.com/photo.php?fbid=421295361247089&set=a.145571708819457.22782.100000998871234

ที่โรงเรียนเบิร์นส์ไฮสกูล ในเมืองลอนเดล รัฐนอร์ธแคโรไลน่า
สาวน้อยดอว์น ลอกกินส์ (Dawn Loggins)
กำลังถูพื้นอย่างขมีขมัน เพื่อหารายได้จุนเจือการเรียน
…เธอเป็นนักเรียนเกียรตินิยม A รวดทุกวิชา
นอกเวลาเรียน ดอว์นต้องถูพื้นทั่วทั้งโรงเรียน ไม่เว้นแม้ห้องน้ำ
ก่อนหน้านี้ พ่อแม่เธอติดยา และได้หนีเธอไป ทอดทิ้งเธอให้ไร้บ้าน
ครูและชาวบ้านต้องบริจาคเสื้อผ้าและข้าวของจำเป็นให้
และหางานภารโรงที่โรงเรียนให้ เพื่อหารายได้
เธอถูพื้นทำความสะอาด อย่างไม่เคยบ่นรำพัน
ซาบซึ้งที่มีงานหารายได้เล็กๆ น้อยๆ มาประทังชีวิตได้
ดอว์นเติบโตมาอย่างยากจนข้นแค้น บ่อยครั้งที่ไม่มีน้ำไฟให้ใช้
ไม่มีแสงสว่างที่จะทำการบ้านอ่านหนังสือได้
จนครูในโรงเรียนต้องหาเทียนไขให้เธอใช้ในยามค่ำมืด
….ด้วยเทียนไขนี้ เธออ่านหนังสือทำการบ้านอย่างหมั่นเพียรไม่เคยย่อท้อ
….จนผลการเรียนดีเด่น ได้รับเลือกให้เข้าค่ายศึกษาวิทยาศาสตร์ร่วม 6 สัปดาห์
ซึ่งเป็นค่ายวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนที่มีผลการเรียนระดับยอดเยี่ยมของทั้งรัฐ

แต่ระหว่างที่เข้าร่วมค่ายนี้เอง ที่เป็นเวลาที่พ่อแม่ได้ทิ้งเธอไป
เธอกลับบ้านมาพบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แถมมีติดประกาศไล่ที่จากเจ้าบ้าน
…..ทำให้ดอว์นไร้บ้าน ขาดพ่อขาดแม่

ตอนที่ดอว์นได้ข่าวว่า พ่อแม่ย้ายหนีไปอยู่อีกรัฐหนึ่งเสียแล้ว
เธอบอกว่า “ไม่เคยนึกคิดว่า พ่อเลี้ยงกับแม่จะทิ้งหนีหนูไปได้ง่ายๆ อย่างนั้น
แต่หนูก็ไม่ได้นึกโกรธพ่อแม่นะ
เขาคงคิดว่า ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้หนูแล้ว

ความจริงหนูก็รู้ว่า ทั้งพ่อกับแม่มีปัญหาที่ต้องแก้ไขให้ได้ด้วยตัวเอง
หนูรู้ว่าพ่อกับแม่รักหนู เพียงแต่แสดงออก เหมือนที่ชาวบ้านทั่วไปเขาทำกันไม่เป็นเท่านั้นเอง

หลังจากนั้น เธอต้องระเหเร่ร่อน ไปอาศัยนอนตามบ้านเพื่อน
….บางครั้งก็ต้องนอนกับพื้นบ้าน

ตอนนั้น ดอว์นยังไม่บรรลุนิติภาวะ จึงต้องมีผู้ปกครองดูแลจนกว่าอายุจะครบ 18 ปี
และเนื่องจากเธอเลือกที่จะไม่ตามไปอยู่กับพ่อแม่ที่ต่างรัฐ
แต่เลือกที่จะอยู่กับเมืองนี้ เพื่อเรียนหนังสือต่อไป
ทำให้ทั้งชุมชนและบรรดาครูโรงเรียน ต่างรับหน้าที่เป็นผู้ปกครองของเธอกันทั่วหน้า

คณะครูได้ขอให้คู่สามีภรรยาคนขับรถโรงเรียน ให้เธออาศัยพักที่บ้าน
โดยครูต่างสมทบค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน
ชีวิตเธอก็เริ่มเข้าที่เข้าทางโดยมีหลังคาคลุมหัว
และมีงานพิเศษทำ เพื่อให้เรียนหนังสือต่อไปได้

ย่างเข้าปีสุดท้ายในไฮสกูล ดอว์นตัดสินใจเด็ดขาด
ที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
เธอเลือกที่จะเดินบนทาง ที่ต่างจากพ่อและแม่

เมื่อเด็ก หนูได้มีโอกาสเห็นหนทางที่เลวร้ายทั้งหลายอยู่ต่อหน้า
ทั้งยาเสพติด ทั้งชีวิตที่เลื่อนลอย และสิ่งแย่ๆ อื่นๆ
แต่หนูตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะไม่เดินบนทางเหล่านั้นเด็ดขาด
หนูรู้ว่า การศึกษาจะพาให้หนูพ้นจากวังวนเลวร้ายทั้งหลายได้
อาจมีคนมากมายที่โทษสิ่งแวดล้อมรอบตัว
แต่หนูใช้สถานการณ์แย่ๆ พวกนั้น มาเป็นพลังใจ
ที่จะผลักดันให้หนูหลุดพ้นออกมาให้ได้

นอกจากที่ตั้งใจเรียนดีแล้ว เธอยังเลือกทำกิจกรรมต่างๆ เป็นประธานชมรมถ่ายรูป
และริเริ่มทำโครงการบริการสังคม
เพื่อรวบรวมจดหมายเขียนให้กำลังใจทหารที่อยู่ประจำการในแนวรบ
พร้อมทั้งเป็นสมาชิกสมาคมเกียรติยศแห่งชาติ และร่วมชมรมดุริยางค์
แล้วก่อนหน้านี้เธอยังวิ่งมาราธอนอีกด้วย

ในปีสุดท้ายในโรงเรียน เธอส่งใบสมัครเรียนไปมหาวิทยาลัยธรรมดา 4 แห่ง
ภายในรัฐนอร์ธแคโรไลน่า และที่ ม.ฮาร์วาร์ด รวมเป็นแห่งที่ 5
….ที่โรงเรียนของเธอ ตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมา
ยังไม่เคยมีใครได้ไปเเรียนมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าสุดๆ ในอเมริกามาก่อนเลย
ดอว์นก็เลยตัดสินใจท้าทายความเชื่อ
โดยส่งใบสมัครไปที่สุดยอดมหาวิทยาลัยในฝัน คือที่ ฮาร์วาร์ด ด้วย

ครูแลรี่ การ์ดเนอร์ ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์
เป็นคนเขียนจดหมายรับรอง เพื่อประกอบการสมัครเรียนที่ฮาร์วาร์ด
เขาเขียนในจดหมายว่า

“ข้าพเจ้าไม่ทราบจะหาสรรหาคำมาบรรยายในจดหมายรับรองนี้อย่างไร
ให้ได้ดังใจคิด
ข้าพเจ้าไม่เคยเขียนจดหมายรับรองฉบับใดเหมือนฉบับนี้มาก่อนเลย
….และคงไม่ได้เขียนอย่างนี้เป็นฉบับที่สองอีกแน่นอน

นักเรียนส่วนมาก เมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบาก
แม้เพียงเศษเสี้ยวของที่ดอว์นต้องประสบมา ก็คงท้อถอยยอมแพ้ไม่เป็นท่า
แต่สาวน้อยผู้นี้ ที่แม้ต้องผ่านเหตุการณ์แสนสาหัส ต้องพบกับความหิวโซ
ระเหเร่ร่อนไร้บ้านอยู่อาศัย และเผชิญความลำบากอีกนานัปการ
แต่เธอก็ลุกขึ้นยืนผงาดเหนืออุปสรรคชีวิตทั้งปวงนั้น
….ยืนตระหง่านเป็นสตรีสาวน้อย ที่โดดเด่นเหนือหมู่คน”

เหตุการณ์ในเดือนต่อๆ มา
.. เธอได้รับคำตอบรับเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยในรัฐนอร์ธแคโรไลน่าทั้ง 4 แห่ง
เป็นจดหมายตอบรับที่แนบมาพร้อมกับเอกสารมหาวิทยาลัยอีกปีกใหญ่ๆ ทั้งสิ้น

แต่เมื่อมีจดหมายจากฮาร์วาร์ดส่งมา
กลับเป็นแค่จดหมายบางๆ เพียงฉบับเดียว ไม่มีเอกสารอื่นแนบมาด้วยเลย
ซึ่งเป็นลักษณะจดหมายตอบปฏิเสธที่นักเรียนไม่อยากได้รับกันเลย
เมื่อเปิดจดหมายออกอ่าน พบใจความว่า

ถึงคุณดอว์น ลอกกินส์ ข้าพเจ้ามีความยินดีจะแจ้งให้ทราบว่า
คณะกรรมการคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียน ได้ให้ข้าพเจ้ามาแจ้งว่า
ท่านได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดของเราแล้ว
….โดยปรกติทางมหาวิทยาลัยจะส่งสัญญาณมาบอกก่อนเวลาอันควรเช่นนี้
สำหรับนักเรียนที่โดดเด่นมากๆ เท่านั้น….

นอกจากจะได้รับเลือกเข้าเรียนแล้ว….เธอยังได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอีกด้วย

เมื่อเรื่องราวของเธอได้กลายเป็นข่าว “From Homeless to Harvard
เธอได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ WBTV ว่า
“เมื่อคุณมีความฝัน คุณสามารถบุกบั่นให้ฝันเป็นจริงได้ โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น
มีแต่ตัวคุณเองเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะสร้างฝันของตัวคุณเองให้เป็นจริงขึ้นมาได้”

นับแต่ที่เรื่องราวของเธอกลายเป็นข่าว มีผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ
และได้ส่งกำลังใจมาให้เธอมากมาย มีผู้ส่งเงินสนับสนุนให้เธอมาด้วย
ดอว์นบอกว่า ไม่ได้ต้องการเงินเหล่านั้น
เพราะเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย หนูได้ทุนค่าเล่าเรียน ค่าที่พักและอาหาร
ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าตำราเรียน หนูสามารถหางานพิเศษทำเพื่อหาเงินมาได้
เธอตั้งความหวังไว้ว่า จะสามารถจัดตั้งองค์กรการกุศลที่จะช่วยเหลือเด็กวัยรุ่น
ที่ประสบอุปสรรคขัดขวางการศึกษา โดยใช้เงินที่มีผู้บริจาคให้เธอมาเป็นทุนก่อตั้ง
ยังมีเด็กอีกมากมายที่อนาคตยังมืดมน
และพวกเขาต้องการความช่วยเหลือมากกว่าหนูอีก
หนูอยากให้พวกเขาได้ใช้เรื่องราวของหนูเป็นแรงจูงใจ
และอยากทำให้ผู้คนทั่วไปรับรู้ว่า
ยังมีเด็กจรจัดไร้บ้านที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่อีกมาก

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2012 ที่ผ่านมา เป็นวันพิธีจบการศึกษาของโรงเรียน
ตอนที่สาวน้อย ดอว์นเดินขึ้นรับประกาศนียบัตร เพื่อนนักเรียนทั้งโรงเรียน
ต่างได้ลุกขึ้นยืน ปรบมือดังกึกก้องโดยพร้อมเพรียงกัน
เพื่อแสดงความชื่นชมและให้เกียรติอย่างสูง
แก่สาวน้อย-ดอว์น ลอกกิ้นส์ผู้เด็ดเดี่ยว ที่ทอฝันให้เป็นจริง……

.. เราขอยืนขึ้นเพื่อปรบมือให้เธอ และขอส่งใจให้เธอจงสำเร็จสัมฤทธิ์ผล
ในการสร้างสานฝัน ให้ตนเอง และให้โลกต่อไป….

เรียบเรียงจากข่าว abc และ CNN โดย หัชพันธ์ เอื้อโชติคุณ
Hachapan Uachotikoon

http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2538833
http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F12371878/F12371878.html
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=367240450062251&set=a.292826234170340.68274.278907118895585
http://www.thefrisky.com/2012-05-07/dawn-loggins-overcomes-homelessness-to-attend-harvard/

Subject : Dawn Loggins Overcomes Homelessness To Attend Harvard
Dawn Loggins spent the summer before her senior year of high school at the prestigious North Carolina Governors School, but when the summer was over, nobody from her family came to pick her up. Her troubled parents, plagued by poverty and drug abuse, had abandoned her, and Dawn was left homeless. She was forced to rely on the kindness of friends and school faculty for a place to stay. She got a job at her high school as a janitor to support herself and continued to apply herself in school. And it paid off: Loggins was accepted to Harvard University’s class of 2016. “If there is anybody at all who has a dream,” Dawn told a local TV station,”then they can definitely make it happen. There are no excuses. It depends on you and no one else.”

http://www.dailymail.co.uk/news/article-2156881/Dawn-Loggins-Harvard-bound-teen-abandoned-parents-sets-homeless-charity-graduating-high-school.html

อ.ก.ค.ศ.เขตไม่กล้าฟันธงทุจริตครู

5 เมษายน 2556

นายกิตติพศ พลนิลา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาการประถมศึกษา (สพป.)ขอนแก่น เขต 4 เปิดเผยว่า กรณีที่ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีมติให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วย นั้น ในส่วนของ สพป.ขอนแก่น เขต 4 กำลังอยู่ระหว่างการสอบทางลับ พร้อมตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสรุปผลการสอบข้อเท็จจริงเสนอบอร์ด อ.ก.ค.ศ.ขอนแก่น เขต 4 ที่จะมีการประชุมในวันที่ 9 เม.ย.นี้ เพื่อให้บอร์ด อ.ก.ค.ศ.เป็นผู้ชี้ขาด อย่างไรก็ตามจากที่พูดคุยกับ อ.ก.ค.ศ.หลายคน มีความเห็นว่า หลักฐานที่ สพฐ.ส่งมาให้ซึ่งมีแค่คะแนนของผู้เข้าสอบนั้น ไม่เป็นหลักฐานที่แน่นพอจะตัดสินใครได้ แม้ความรู้สึกส่วนตัว จะเห็นว่า ผู้ผ่านการคัดเลือกของ สพป.ขอนแก่นเขต 4 ทั้ง 4 ราย ส่อผิดปกติจริง เพราะได้คะแนนเต็มวิชาเดียวกันทุกคน ส่วนที่อีก 3 วิชา ก็มีคะแนนสูงทิ้งห่างผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ แต่เมื่อไม่มีหลักฐานที่แน่นหนารองรับแล้วก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขตพื้นที่ฯ ต้องการมากที่สุด คือ คำตอบของผู้เข้าสอบ ซึ่งจะเป็นหลักฐานชี้ชัดว่า มีการทุจริตหรือไม่ ถ้าดูจากกระดาษคำตอบแล้วพบว่า ผู้ที่ได้คะแนนผิดปกติ ทำข้อสอบผิดในข้อเดียวกัน หรือพบว่า คะแนนดิบที่นับได้จากกระดาษคำตอบไม่ตรงคะแนนรวมที่ สพฐ.ส่งมาให้นั้น ก็ชี้ชัดได้ทันที ว่า มีการทุจริต นอกจากนั้น อยากให้กระทรวงศึกษาธิการส่งผลการตรวจสอบของดีเอสไอ มาให้ด้วย

“ถ้ามีข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ คงไม่พอฟันธงว่า ใครทุจริตสอบได้ เพราะจะส่งผลต่อการตัดสินใจของ อ.ก.ค.ศ.ที่จะไม่กล้าตัดสินใจยกเลิกผลสอบใครเพราะกลัวถูกฟ้อง สุดท้ายอาจไม่มีผู้เข้าสอบรายใดถูกยกเลิกซักคน” ผอ.สพป.ขอนแก่น เขต 4 กล่าว.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32388&Key=hotnews

สภาการศึกษาจัดงาน “วันหนังสือเด็กแห่งชาติ” มีผู้สนใจเข้าร่วมงานเกินความคาดหมาย

5 เมษายน 2556

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ให้วันที่ ๒ เมษายน ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพในสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็น “วันหนังสือเด็กแห่งชาติ” ด้วยตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อการส่งเสริมให้เด็กนักเรียน และโดยเฉพาะเด็กระดับปฐมวัย รักการอ่าน และมีโอกาสอย่างทั่วถึงที่จะได้อ่านหนังสือที่เหมาะสมกับวัย เสริมสร้างปัญญา ได้ความรู้ และความเพลิดเพลินไปในเวลาเดียวกัน

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการที่รับผิดชอบฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนา เด็กปฐมวัยแห่งชาติ จึงได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็น “วันหนังสือเด็กแห่งชาติ : เด็กดี เด็กฉลาด ตามรอยพระบาทรักการอ่าน” ขึ้น ระหว่างวันที่ ๑ – ๒ เมษายน ๒๕๕๖ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอนด์ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ และคาราวานส่งเสริมเด็กไทยให้รักการอ่าน ๑๒ จังหวัด ทั่วประเทศ

สกศ. ได้จัดกิจกรรมต่างๆ มากมายที่เสริมการเรียนรู้ในเด็กปฐมวัยและส่งเสริมให้เด็กไทยรักการอ่าน ผ่านการเล่านิทานและอ่านหนังสือ ทั้งกิจกรรมที่ให้สาระกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และผู้ดูแลเด็ก รวมถึงกิจกรรม “สาระหรรษา” ที่สอดแทรกความสนุกสนานควบคู่ไปกับการปลูกฝังให้เด็กๆ “รักการอ่าน” ตามรอยพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พระผู้ทรงเป็นนักอ่านและนักเขียน อาทิ
ปฐมวัยกับกิจกรรม ๔ มุม
มุม “แบ่งกันอ่านสำราญใจ”
มุม “แต้มสีเล่นลาย”
มุม “ก๊อก ก๊อก ก๊อก เปิดประตู”
มุม “เงางุนงง”
จากภาพบรรยากาศเด็กๆ เกือบ ๕๐๐ คน วิ่งเข้ามุมโน้น ออกมุมนี้ ดูจะเป็นภาพที่สนุกสนานระคนความวุ่นวาย แต่ใบหน้าเด็กๆ ทุกคนต่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ความสนุกสนาน และเสียงหัวเราะให้ผู้ใหญ่ อย่างเราๆ ได้ยินตลอดเวลาของการจัดงาน

นิทรรศการ “มุมสุขภาพและโภชนาการเด็ก” เป็นนิทรรศการที่เสริมความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลเด็ก ปฐมวัย
นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จากสำนักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานโครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และโรงเรียนในโครงการตามแนวพระราชดำริ

กิจกรรม “หนอนน้อยนักเล่า” เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กปฐมวัยเล่านิทานประกอบการแสดงน่ารักๆ ที่ทำให้ ผู้ใหญ่ทั้งหลายยิ้มได้อย่างมีความสุข

งานหนังสือและของเล่นเสริมพัฒนาการเด็กจากสำนักพิมพ์ต่างๆ
งาน “วันหนังสือเด็กแห่งชาติ” ที่ สกศ. จัดขึ้นในครั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัย แห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานและปล่อยขบวนรถ “คาราวาน ส่งเสริมเด็กไทยให้รักการอ่าน” ที่มีเป้าหมายครอบคลุม ๑๒ จังหวัด ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก รวมถึงบรรยายพิเศษ เรื่อง “เด็กปฐมวัยกับอนาคตของชาติ” พร้อมทั้งได้ย้ำถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลว่า งานด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นภารกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญ การพัฒนาเด็กวัยนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของประเทศ และเห็นว่าการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัยในเรื่องการส่งเสริมการอ่านในครั้งนี้ เป็นการพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยให้เติบโตเป็นเยาวชนไทย ให้สามารถคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาได้ เป็นคนดีและคนเก่งของสังคมในอนาคต
การดำเนินงานของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาในครั้งนี้เป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรม ที่มุ่งพัฒนาเด็ก พ่อแม่ ครู ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ด้วยกิจกรรมการส่งเสริมการอ่าน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการอ่านที่กำหนดให้วันที่ ๒ เมษายน ของทุกปีเป็นวันหนังสือเด็กแห่งชาติ และถือว่าสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม สังเกตจากมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า ๑,๒๐๐ คน อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงกลวิธีที่หลากหลายในการส่งเสริม ให้เด็กไทยรักการอ่านอีกด้วย

ภายในงานมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ อาทิ การอภิปราย “การดำเนินงานโครงการพัฒนาตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” โดยว่าที่ร้อยตรี กิตติ ขันธมิตร และ ดร.ทองอยู่ แก้วไทรฮะ ที่แสดงให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์ พระปรีชาสามารถ และพระราชกรณียกิจอันงดงามในการพัฒนาการศึกษาให้กับผู้ด้อยโอกาสทุกประเภท รวมถึงการเสริมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา การอภิปราย “การเสริมสร้างความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” โดย รองศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญและ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ที่ฉายภาพให้เห็นถึงความเป็นครูของพระองค์ท่าน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างครบถ้วน

“จากเพลงกล่อมพระบรรทม สู่คนดี วิถีไทย” เป็นการนำเสนอของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ญาดา อารัมภีร ที่ได้เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงกล่อมพระบรรทมที่ท่านผู้หญิงสง่า อิงคุลานนท์ ร้องถวายกล่อมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้นทรง พระเยาว์ ซึ่งในแต่ละเพลงจะเป็นการสอนที่มีความหมายในแง่มุมต่างๆ การเสวนา “พระราชกรณียกิจในการส่งเสริมความเสมอภาคทางการศึกษาและการศึกษาตลอดชีวิต และได้รับการถวายพระเกียรติคุณจากองค์การ UNESCO ให้เป็น (UNESCO Goodwill Ambassador)” โดย Mr. Gwang-Jo Kim Director, UNESCO Asia and Pacific Bureau for Education Bangkok และนางสาวิตรี สุวรรณสถิตย์ อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

Mr. Gwang-Jo Kim Director, UNESCO Asia and Pacific Bureau for Education Bangkok ได้นำเสนอพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูตสันถวไมตรีแห่งองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ซึ่งได้รับการถวายจาก UNESCO เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยกล่าวถึงพระวิสัยทัศน์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในการพัฒนาการศึกษาแบบองค์รวม (Holistic Approach) กล่าวคือการพัฒนาความพร้อมด้านร่างกายผ่านโครงการโภชนาการเด็ก และโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียน รวมถึงการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ด้วยการพัฒนาครู สื่อการสอน และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา จนเป็นที่มาของโครงการโรงเรียนเครือข่ายเพื่อการศึกษา (ASIA – Pacific) ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ราชกุมารี ให้การอุปถัมภ์กว่า ๘๐ ประเทศ

ด้านนางสาวิตรี สุวรรณสถิตย์ อดีตรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้นำเสนอกลวิธีในการพัฒนาการศึกษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า พระองค์ทรงเป็นต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาโดยผู้เรียนต้องมีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม โดยจะเห็นว่าโครงการต่างๆ ของพระองค์ท่าน จะเป็นการสร้างความพร้อมในเด็กและสถานศึกษา อาทิ โครงการอาหารกลางวัน โครงการพฤกษ์ศาสตร์ในโรงเรียน ซึ่งเป็นโครงการที่เสริมความพร้อมของปัจจัยหลักในการพัฒนาการศึกษา และทำให้โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างครบวงจรภายในงานมีการแสดง “หนูฉลาด” ที่ได้นักแสดงจากข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาตั้งแต่ระดับอ่อนวัยจนถึงสูงวัย มาร่วมเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ รวมถึงมาสคอตทั้งหมีพูห์ ช้างน้อย กระต่าย วัว มิคกี้เมาส์และมินนี่เมาส์ ที่มาสร้างสีสันให้กับงานและสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆ
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ได้สตาร์ทรถและปล่อยขบวนรถคาราวานสร้างเสียงฮือฮาให้กับเด็กๆ และผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก พร้อมได้มอบของขวัญให้กับเด็กๆ ทั้งหนังสือดีๆ ที่สร้างสรรค์ความรู้ เป้ ตุ๊กตา และอีกมากมาย เล่นเอาเด็กๆ ยิ้มแก้มปริกันทั่วหน้า

งานนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาดูจะเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษ แต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะมีรอยยิ้มและเป็นสุขใจที่ได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมดีๆ เช่นนี้
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32387&Key=hotnews

คอลัมน์: มองอาเซียน 360 : ฤๅการศึกษาไทย…จะมองผ่านอาเซียน

5 เมษายน 2556

สิริรัตน์ นาคิน คณะครุศาสตร์ มรภ.นครราชสีมา
teachervoice@matichon.co.th
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN) ของการศึกษาไทยทุกระดับ ทุกภาคส่วน ไม่ว่ารัฐหรือเอกชนก็ตาม ล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่มีสมาชิกทั้งหมดด้วยกัน 10 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ บรูไนดารุสซาลาม เวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา และ ไทย ในระยะเวลากว่า 40 ปี แห่งการก่อตั้ง จากการเริ่มต้นของการมุ่งเน้นที่จะสร้างความร่วมมือกันทุกๆ ด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการเรียนรู้ที่ไม่เพียงการเน้นแต่เปลือกนอกจนเกินไป แต่อยากให้มองไปที่แก่นแท้ของความสำคัญของ

อาเซียน ความสำคัญของการเรียนรู้ว่าเรารวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนเพื่ออะไร หากเราพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องราวของวัฒนธรรมของแต่ละชาติก็คงไม่ผิด แต่การเรียนรู้และรักษาความสำคัญของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ เรียนรู้ทางภาษา และมุมมองของการพัฒนาไปพร้อมกัน มีความกลมเกลียวรวมตัวกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงไปสู่ภาพอนาคตของการเป็นประชาคมอาเซียนที่หลายๆ คนได้ให้ความสนใจกันอยู่ในขณะนี้ ไม่เพียงแต่เราที่ได้ให้ความสนใจ แต่ทั่วโลกต่างก็จับตามองการรวมตัวกัน เพื่ออะไร เพื่อใคร และประโยชน์สูงสุดในครั้งนี้ ใครกันจะได้เปรียบเสียเปรียบ

จากประสบการณ์การไปศึกษาดูงานที่กัมพูชาเมื่อไม่นานนี้ จะเห็นได้ว่าบ้านเมืองเขาก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเข้าไปเยี่ยมชมวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสาย เดินผ่านไปมาก็ไม่พ้นกรุ๊ปชาวไทยที่ไปเยือนเพื่อนบ้านด้วยกันเองเสียแล้ว มองในด้านเศรษฐกิจ ก็นับว่าดีมีความตื่นตัว หากมองด้านอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้อีกมากมายทั้งวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม วิถีชีวิต และการเลือกใช้ภาษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ หากไปเยือนบ้านไหนก็ต้องปรับเปลี่ยนเรียนรู้ (เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม) ภาษิตนี้ยังคงใช้ได้อยู่ดีทีเดียว และความแตกต่างเหล่านี้เองจะเชื่อมโยงกันอย่างไร การเรียนรู้ในระดับภาครัฐและเอกชน บางแห่งก็สร้างความร่วมมือกันโดยมีโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษา ครู อาจารย์ ให้ไปศึกษา ดูงาน หรือไม่ก็ทำโครงการแลกเปลี่ยนที่หลายๆ มหาวิทยาลัยก็เริ่มมีบ้างแล้ว เป็นการกระตุ้นส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของการศึกษาที่มีมานาน และควรสานต่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างความเป็นมิตรแท้ทั้งในและนอกประเทศให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในหน่วยงาน องค์กรร่วมมือกันสร้าง และผลิตบัณฑิตให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ เรียนจบออกไปเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน

เพราะจากที่ได้ไปเห็นและเรียนรู้จากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้สะท้อนถึงสิ่งที่เราจะต้องนำมาสร้างกลยุทธ์ในการจัดสภาพการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเป็นจริง วิถีชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เรียนรู้แต่เปลือกนอกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเรียนรู้แก่นแท้ของความเป็นอาเซียนให้ลึกลงไปด้วย ให้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของเราโดยธรรมชาติ เรียนรู้อย่างจริงจังไม่ใช่เพียงแค่เรียนรู้ตามกระแสที่กำลังนิยม ถึงเวลาที่เข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างน้อยเราก็ไม่น้อยหน้าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะด้านภาษาที่นับว่าเรายังด้อยอยู่มาก แต่เชื่อว่าหากเราพร้อมที่จะเรียนรู้ก็คงไม่สายเกินไป

อย่างไรก็ตาม หากมองผ่านการศึกษาไทยสู่ประชาคมอาเซียน ต้องยอมรับความจริงกันเสียทีว่า เราต้องเตรียมพร้อมและยอมรับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เป็นไปในทางที่ดี และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ทันต่อเหตุการณ์ที่เป็นไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และสร้างความแปลกใหม่ให้เป็นที่ยอมรับในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะสร้างเวทีการเรียนรู้ให้เกิดความเสถียรภาพ และมั่นคงแก่นักเรียน นักศึกษาไทยของเราให้กล้าพอที่จะก้าวหน้าไปด้วยกัน ในมุมมองของนักวิชาการ มีหลากหลายแง่มุมที่ต่างก็ยังคงเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ และคงต้องร่วมด้วยช่วยกันสร้างฝัน สานงานให้เป็นจริงในอนาคตอันใกล้นี้

อีกไม่นานเราคงจะมีเพื่อนบ้านเดินเข้าออกท่องเที่ยวทั้งในรั้วมหาวิทยาลัย ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนทางความคิด ความเชื่อ ที่มาเติมเต็มให้กันไม่มากก็น้อย แล้วเราจะละเลยไปได้อย่างไร
เริ่มแรกต้องปรับที่ตัวเราเอง และค่อยๆ ปรับแปลี่ยนความคิดความเชื่อให้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามสังคมที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน การเตรียมงาน เตรียมคนเพื่อรองรับอาเซียนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะการค้าขาย เศรษฐกิจในระดับภูมิภาคต่อไปคงได้พึ่งแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านนี่เอง เพราะความสามารถของการใช้ภาษาก็เห็นได้ชัดเจนว่า มีศักยภาพในการสื่อสาร และแลกเปลี่ยนกับชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี การจ้างงานก็ไม่แพงเกินควร จึงไม่แปลกใจนักที่เจ้าของกิจการทั้งหลายจะให้ความสนใจกับคนกลุ่มนี้ที่ต้องการเข้ามาทำงานในเมืองไทย เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงาน การเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรมไทยรู้เขารู้เรา ก็ไม่เสียหาย มีแต่ได้ประโยชน์มากกว่า
มองย้อนกลับมาที่ตัวเราล้วนแต่ต้องเร่งรีบ เสริมสร้างศักยภาพให้กับนิสิต นักศึกษาที่เรียนจบไปให้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นคง และเกิดเสถียรภาพในการทำงานอย่างจริงจัง เป็นมนุษย์งานมากกว่ามนุษย์เงินเดือนที่เรียกร้องเงินเดือนแต่ไม่ทำงานเพียงอย่างเดียวคงจะไปสู้ใครเขาไม่ได้ หากอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ทำงาน แต่เงินเดือนไม่เรียกร้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเจ้าของกิจการ แบบนี้สิน่าคิดว่าคู่แข่งของเราคงมาแรงน่าดูทีเดียว โดยพื้นฐานคนไทยมีความเมตตาอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่เป็นเรื่องยากเลยสำหรับการเอาอกเอาใจจากงานเป็นต้นทุน และขยับขยายกิจการต่อไปเผื่อมีโอกาสเติบโตในเมืองไทย นั่นหมายถึงว่าถึงเวลาแล้วที่บ้านเราต้องให้ความสำคัญกับระบบการศึกษาอย่างใส่ใจ

ในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานนี้หลายๆ โรงเรียนเตรียมรองรับสู่อาเซียน แต่ภายนอกไม่ได้คำนึงถึงความสำคัญของแก่นแท้ที่อยู่ภายใน เด็กๆ ของเราจะต้องเรียนรู้เพื่อผลักดันตนเองให้ก้าวทันเพื่อนบ้าน ก่อนที่จะสายเกินไป สิ่งที่เห็นได้ชัด คือการเปรียบเทียบด้านการเรียนภาษาอังกฤษที่เราขาดความใส่ใจมายาวนาน พอใกล้ตัวก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นต้องหวนกลับมาสนใจและให้ความสำคัญกับภาษาอีกครั้ง หากเรารู้เท่าทันก็คงไม่ต้องอยู่ในสภาพที่กำลังเดินตาม แต่จะเป็นคนที่เดินนำ และพร้อมจะสร้างความก้าวหน้าทางวิชาการ ขยายวงกว้างออกไปสู่เพื่อนบ้างได้อย่างภาคภูมิใจ เพียงแต่เราเดินให้ถูกทางและเปลี่ยนฐานความคิดจากที่ทำไม่ได้ เป็นทำได้ก็จะไม่น้อยหน้าใครและยังเป็นการส่งเสริมตนเอง เพื่อให้ทะยานขึ้นสู่ระดับมืออาชีพ

สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นตัวชี้วัดการทำงาน การปรับเปลี่ยนความคิด ความเชื่อให้ก้าวไปสู่อีกระดับได้อย่างมั่นใจ และไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปสักกี่ครั้งเราก็หมุนตามทันอย่างรู้เนื้อรู้ตัว ไม่เพียงแต่นักศึกษาที่ได้ประโยชน์ หน่วยงาน องค์กรก็ได้รับความภาคภูมิใจในการผลิตบัณฑิตที่มีคุณค่าออกไปสู่สังคมได้อย่างไม่อายใคร อย่าให้การศึกษาไทยล้าหลังจนวิ่งตามไม่ทัน คิดจะทำอะไรช่วยเร่งรีบ ประสานตัวประสานใจร่วมมือกันจริงจังเสียที จะได้ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอีกต่อไป…

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32386&Key=hotnews

คอลัมน์: รายงาน: กศน.กาฬสินธุ์..แปลงโฉม ชูธงสู่..เอซี

5 เมษายน 2556

ชมพิศ ปิ่นเมือง
เป็นอีกก้าวที่ท้าทาย หากแต่เป็นการย่างก้าวที่มั่นใจ หวังเป็นบันไดนำไปสู่ความมั่นคงของ “ศูนย์บริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จังหวัดกาฬสินธุ์” โดยการนำของ นายประสิทธิ์ แสงพินิจ ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์ ในยุคที่มีการบุกเบิกก้าวสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community เอซี) ซึ่งได้ตระเตรียมความพร้อมอย่างพร้อมมูล ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของบุคลากร ผลสัมฤทธิ์จากการจัดการเรียนการสอน ศักยภาพขององค์กร และคุณภาพนักเรียนนักศึกษา

“กศน.ยุคใหม่ มิใช่แต่จะเป็นเพียงสถาบันการศึกษาที่รองรับ หรือให้บริการด้านการศึกษาแก่ผู้ขาดโอกาส ผู้พลาดโอกาส หรือผู้ด้อยโอกาสอย่างที่เป็นมา แต่ กศน.ยังให้โอกาส เปิดโอกาส สร้างโอกาส และขยายโอกาส ให้แก่ผู้ที่ใฝ่รู้ รักการเรียน ได้เข้ามาศึกษาหาความรอบรู้อย่างที่เรียกว่า เรียนตามอัธยาศัย ไม่มีลิมิต ไม่มีปิดกั้น เพราะเรียนที่ กศน.แล้วไม่อึดอัด เรียนแล้วสนุก จบจาก กศน.แล้วมีอาชีพ มีอนาคต…” นายประสิทธิ์กล่าวเดิมทีภารกิจ กศน.ได้เปิดประตูเพื่อบริการการศึกษาแก่กลุ่มผู้ขาดโอกาส หรือที่มีภูมิลำเนาอยู่ห่างไกลจากสถานศึกษา กลุ่มที่พลาดโอกาส หรือสอบเข้าที่อื่นไม่ได้ หรือออกจากสถานศึกษาอื่นด้วยสาเหตุใดก็ตาม และกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ทั้งทางสภาพร่างกาย หรือฐานะยากจน โดยจัดการศึกษาระดับมัธยมต้น มัธยมปลาย อุดมศึกษา ถึงระดับปริญญาตรี มีการปฏิรูปการเรียนการสอนให้สอดรับกับยุคสมัย และความต้องการของผู้เรียน กศน.ยุคใหม่จึงเดินหน้าทำงานในเชิงรุก มุ่งเน้นพัฒนาทักษะอาชีพที่หลากหลาย ให้เลือกเรียนเลือกฝึกปฏิบัติตามความถนัด ทั้งนี้ ได้กำหนดเป้าประสงค์ว่า นักเรียนนักศึกษาที่จบ หรือจะออกจากรั้ว กศน.นอกจากจะมีใบประกาศรับรองวุฒิการศึกษาแล้ว จะต้องมีวิชาชีพติดตัวทุกคน

ทั้งนี้ การบริหารจัดการศึกษาของ กศน.ยึด ผู้เรียนเป็นหลัก ผู้เรียนจะเลือกเรียนแบบใดก็ตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเลือกเรียนที่บ้าน ก็มีศูนย์การเรียนรู้ชุมชน หรือ ศรช.ประจำหมู่บ้าน มีเป้าหมาย มีจุดประสงค์ ตรงตามนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ มีการจัดการศึกษา 3 ส่วน ส่วนแรกคือ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกอบด้วยระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนที่สองคือ การศึกษาต่อเนื่องเช่น เปิดหลักสูตรการสอนทักษะชีวิต มีคุณธรรม จริยธรรม สอนให้มีอาชีพ ให้รู้กฎระเบียบสังคม ข้อกฎหมายบ้านเมือง เพื่อการดำรงอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และส่วนที่สามคือการเรียนตามอัธยาศัย โดยจัดให้มีห้องสมุดประชาชน ให้บริการยืมหนังสือ วีดิทัศน์ สื่อการเรียนการสอนที่จำเป็น

“นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ในการจัดกิจกรรมนอกสถานที่ เช่น จัดรถโมบายห้องสมุดเคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ จัดบูธแสดงนิทรรศการ ให้ชุมชนทุกหนแห่งได้สัมผัส ได้ศึกษาเรียนรู้กับ กศน.ตามคอนเซ็ปต์ที่ว่าที่ไหนมีคน กศน.ไปถึงที่นั่น”

ซึ่งผลสัมฤทธิ์ที่ผ่านมา สามารถการันตีคุณภาพของสถาบัน และศักยภาพของผู้เรียนได้ว่า คุณภาพไม่อ่อนด้อยไปกว่าสถาบันการศึกษาอื่นๆ เพราะนักเรียน นักศึกษา สังกัด กศน.จ.กาฬสินธุ์ 18 อำเภอ หรือในระดับขั้นพื้นฐาน ประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับอุดมศึกษา ประมาณ 1 แสนคน นั้นมีงานทำมีรายได้ ทั้งในกลุ่มของลูกจ้าง บริษัทห้างร้าน ข้าราชการท้องถิ่นหรือทั่วไป ทุกคนจึงมีวุฒิภาวะ มีความรับผิดชอบ มีรายได้ สามารถส่งเสียตัวเองเรียน กศน.ยุคใหม่จึงเพียบพร้อมทุกด้าน
“การที่จะก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 กศน.จึงมิใช่อยู่ในห้วงตั้งไข่ หรือขั้นตอนตระเตรียมการ แต่ กศน.กำลังดำเนินการอย่างเต็มที่ทุกคน ทั้งในส่วนผู้บริหาร กศน.อำเภอ บุคลากรสำนักงาน ครู กศน.ตำบล นักเรียน นักศึกษา มีการตื่นตัว กระตือรือร้น เริ่มจากบุคลากร และครู มีการอบรมพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้เท่าทัน ให้มีทักษะ ความรู้ นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน”

“ครู” เป็นหัวจักรสำคัญในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน หลายๆ อย่างจึงเริ่มต้นที่ครู ส่วนความรู้เกิดจากการศึกษาค้นคว้า ครูเป็นผู้ชี้แนะนำแนวทาง ทั้งนี้ ได้นำครู กศน.ไปศึกษาดูงานประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม สปป.ลาว เพื่อเปิดโลกทรรศน์ ให้เกิดความตระหนัก รู้เขารู้เรา ดูความแตกต่าง เอกลักษณ์ของแต่ละชาติ เช่น ด้านศิลปวัฒนธรรม ภาษา การแต่งกาย ฯลฯ นำประสบการณ์มาบอกสอนผู้เรียน

ประเด็นสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน “ภาษา” เป็นเรื่องสำคัญ จึงได้จัดการเปิดค่าย และจัดห้องเรียนโปรแกรมภาษาอังกฤษ และภาษาจีน มีการแลกเปลี่ยนครูต่างชาติ นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มข้นในการฝึกอาชีพ เพราะเมื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน จะเกิดการแข่งขันด้านฝีมือแรงงาน คนมีฝีมือจึงได้เปรียบ จึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์โอท็อปให้มีคุณภาพ

ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ กศน. จ.กาฬสินธุ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “บริบทใหม่ของ กศน.ใน พ.ศ.นี้จึงให้ความมั่นใจกับผู้เรียน ให้อนาคตกับผู้ที่เข้ามาศึกษาอย่างเต็มพร้อม เพราะทั้งบุคลากร ครู มีคุณภาพทุกคนทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ระดมกำลังความคิด เป็นฟันเฟือง เป็นกลไกร่วมกันขับเคลื่อน ทำงานในเชิงรุก เต็มที่กับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ภูมิใจกับผลสัมฤทธิ์ที่ประจักษ์ นักเรียน นักศึกษา มีความรับผิดชอบสูง สามารถเรียนรู้ได้ดี จึงเป็นผู้มีวุฒิภาวะ เป็นบุคคลคุณภาพ พร้อมที่จะนำพาสังคม ชุมชน ท้องถิ่น ประเทศชาติ ให้เจริญรุ่งเรือง ได้ด้วยวิชาความรู้ที่ได้รับการปลูกฝังจากรั้ว กศน.”

กศน.ยุคใหม่ที่ให้โอกาส เปิดโอกาส สร้างโอกาส และขยายโอกาส จึงให้หลักประกันชีวิตผู้เรียนมีความมั่นคง จึงพร้อมแล้วที่จะชูธงนำไทยสู่อาเซียนอย่างสง่างาม

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32385&Key=hotnews

ทุ่ม 5 หมื่นล้านปั๊ม 2.5 หมื่น ป.เอก เหตุอีก 10 ปี เกษียณหมดมหา’ลัย

5 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 4 เมษายน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ก.พ.อ.) ว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะอาจารย์ระดับปริญญาเอก ที่ในช่วงประมาณ 10-15 ปีข้างหน้าจะมีอาจารย์ที่มีวุฒิระดับปริญญาเอกเกือบทุกสาขาเกษียณอายุจำนวนมาก จึงต้องเตรียมบุคลากรระดับปริญญาเอกในสาขาต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยรัฐ และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ ซึ่งที่ประชุมได้เสนอแนวทางการพัฒนา โดยให้ทุนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเรียนต่อระดับปริญญาเอกทั้งในและต่างประเทศ 25,000 ทุน ในเวลา 15 ปี ใช้งบประมาณกว่า 5 หมื่นล้านบาท

นายพงศ์เทพกล่าวว่า ทั้งนี้ ที่ประชุมได้อภิปรายเรื่องดังกล่าวอย่างกว้างขวาง เช่น กำหนดช่วงเวลาให้สั้นลงเหลือประมาณ 10 ปี เพราะ 15 ปีอาจนานเกินไป และเพื่อให้มีอาจารย์หมุนเวียนมาสอนในมหาวิทยาลัยได้เรื่อยๆ นอกจากนี้ ยังขอให้พิจารณาในส่วนของการให้ทุน โดยตั้งข้อสังเกตว่ามหาวิทยาลัยหลายแห่งเป็นมหาวิทยาลัยดั้งเดิม และมีอาจารย์ปริญญาเอกจำนวนมาก มีรายได้ของตนเอง รวมถึงได้รับงบต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาสูง ขณะเดียวกันมีมหาวิทยาลัยเกิดใหม่เพิ่มขึ้น และมีอาจารย์ปริญญาเอกน้อย แถมยังได้รับงบแต่ละปีน้อยกว่ามหาวิทยาลัยเก่าแก่ค่อนข้างมาก จึงต้องให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยใหม่ก่อน ดังนั้น ที่ประชุมได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปปรับแก้ตามข้อเสนอดังกล่าว

“มหาวิทยาลัยที่เข้มแข็ง อัตราส่วนของอาจารย์ที่จบปริญญาเอกมีมากกว่ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ มากอยู่แล้ว บางแห่งมีรายได้มาก จึงมีกำลังส่งอาจารย์ไปเรียนต่อมากกว่าบางมหาวิทยาลัยที่ไม่มีรายได้อื่นนอกจากการสอน หรืองานวิจัย ซึ่งต้องถือว่าไม่เข้มแข็ง ทั้งนี้ การให้ทุนจะเน้นให้ทุกสาขา เพราะมหาวิทยาลัยให้เหตุผลว่าในอีก 15 ปีจะขาดแคลนอาจารย์ปริญญาเอกทุกสาขา” นายพงศ์เทพกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32384&Key=hotnews

ขาดสอบ ‘1 อ. 1 ทุน’ 2 พันคน คาดหนีรับตรงเข้ามหา’ลัย

5 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 4 เมษายน แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ ศธ.เปิดรับสมัครผู้เข้ารับคัดเลือกโครงการ 1 อำเภอ 1 ทุน รุ่นที่ 4 (ปีงบประมาณ 2556-2563) ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม – 22 กุมภาพันธ์ 2556 พบว่า มีผู้ให้ความสนใจสมัครร่วมโครงการ 20,381 คน แบ่งเป็น ทุนประเภทที่ 1 ผู้รับทุนมีผลการเรียนดี ครอบครัวมีรายได้ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี จะได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ 928 ทุน/อำเภอ/เขต ไปศึกษาในกลุ่มประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ มีผู้สมัคร 5,053 คน จาก 884 อำเภอ 77 จังหวัด และอำเภอที่ไม่มีผู้สมัคร 54 อำเภอ ใน 34 จังหวัด ทุนประเภท 2 ทุนเรียนดี ไม่จำกัดรายได้ครอบครัว ได้รับทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นสาขาวิชาที่ขาดแคลนด้านวิทยาศาสตร์ 928 ทุน/อำเภอ/เขต มีผู้สนใจสมัคร 15,328 คน จาก 921 อำเภอ ใน 77 จังหวัด มีอำเภอที่ไม่มีผู้สมัคร 7 อำเภอใน 6 จังหวัด

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับจังหวัดที่มีผู้สมัครทุนประเภทที่ 1 มากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ จ.สุรินทร์ 200 คน นครราชสีมา 194 คน ศรีสะเกษ 188 คน กรุงเทพฯ 178 คน บุรีรัมย์ 165 คน อุบลราชธานี 156 คน เชียงใหม่ 147 คน เชียงราย 145 คน ขอนแก่น 140 คน และร้อยเอ็ด 117 คน ส่วนทุนประเภทที่ 2 จังหวัดที่มีผู้สมัครมากที่สุด 10 จังหวัดแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ 847 คน เชียงราย 540 คน เชียงใหม่ 517 คน นครราชสีมา 508 คน ขอนแก่น 424 คน อุบลราชธานี 400 คน ศรีสะเกษ 348 คน ร้อยเอ็ด 334 คน ลำปาง 328 คน และอุดรธานี 324 คน

“ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าจำนวนผู้สมัครปีนี้สูงกว่ารุ่นที่ 3 เนื่องจากเปิดรับสมัครถึง 2 ประเภท การประชาสัมพันธ์ไปยังโรงเรียนต่างๆ ทั่วถึงมากขึ้น ขณะเดียวกัน นักเรียนสมัครได้โดยตรงที่โรงเรียน ทั้งนี้ พบมีผู้สนใจสมัครสอบแข่งขันคัดเลือกในทุนประเภทที่ 2 มากกว่าประเภทที่ 1 เพราะเปิดกว้างโดยไม่กำหนดรายได้ครอบครัว นอกจากนี้ พบว่าในการสอบข้อเขียนวันที่ 17 มีนาคม มีผู้สมัครขาดสอบ 2,000 กว่าคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก เป็นเพราะวันสอบของโครงการ ตรงกับวันสอบรับตรงของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ดังนั้น เด็กอาจเลือกสอบรับตรงของมหาวิทยาลัยมากกว่า โดยจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบข้อเขียน วันที่ 19 เมษายน โดยจะประกาศรายชื่อผู้ที่มีคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรกของแต่ละอำเภอ และผู้ที่คะแนนสูงสุดจะได้รับเลือกให้สอบสัมภาษณ์เป็นลำดับแรก และประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิรับทุนวันที่ 8 พฤษภาคม” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32383&Key=hotnews

ไม่จบ ม.3 สมัครเรียน ปวช.ได้

5 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 4 เมษายน นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เปิดรับสมัครนักเรียนนักศึกษา ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประจำปีการศึกษา 2556 ระหว่างวันที่ 15-19 มีนาคมที่ผ่านมานั้น ได้รับรายงานผลการรับนักเรียนนักศึกษาแล้ว ดังนี้ ระดับ ปวช. ตั้งเป้าไว้ 128,687 คน มาสมัครทั้งสิ้น 66,464 คน ยังต่ำกว่าแผนประมาณ 60,000 คน ระดับ ปวส. ตั้งเป้า 188,956 คน มาสมัคร 148,223 คน ยังต่ำกว่าแผนอีก 40,000 คน สำหรับสาขาที่มีผู้สนใจมาสมัครเป็นจำนวนมาก ได้แก่ สาขาการโรงแรมและการท่องเที่ยว ร้อยละ 97.13 รองลงมา เป็นสาขาพาณิชยกรรม ร้อยละ 80.26 สาขาอุตสาหกรรม ร้อยละ 79.72 สาขาคหกรรมศาสตร์ ร้อยละ 75.5 และสาขาเกษตรกรรม ร้อยละ 45.61

เลขาธิการ กอศ.กล่าวต่อว่า สอศ.มีกำหนดการให้นักเรียนนักศึกษาไปรายงานตัว ในวันที่ 7 เมษายน และจะสำรวจที่นั่งว่างอีกครั้งในวันที่ 10 เมษายน หลังจากนั้นจะเปิดรับสมัครรอบ 2 ในวันที่ 20-30 เมษายน โดย สอศ.มีนโยบายให้สถานศึกษาทุกแห่งรับนักเรียนที่เรียนชั้น ม.3 แต่ยังไม่จบการศึกษา เนื่องจากติด ร หรือติด มส ได้เข้าเรียนต่อในสถานศึกษาสังกัด สอศ. ด้วยแต่จะมีสถานภาพเป็นนักเรียน ปวช.โดยสมบูรณ์เมื่อเรียนจบชั้น ม.3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนการรับนักศึกษาระดับ ปวส.นั้น ให้สถานศึกษาเป็นผู้พิจารณาดำเนินการรับตามความเหมาะสม แต่ทั้งนี้ต้องให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32382&Key=hotnews

‘กำจร’ชี้ศูนย์นอกที่ตั้งตกประเมิน90% ‘ไขศรี’แจงมศก.เล็งหาพื้นที่รองรับน.ศ. ยันการสอน’คณะไอซีที’ได้มาตรฐาน

5 เมษายน 2556

เมื่อวันที่ 4 เมษายน คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ นายกสภามหาวิทยาลัยศิลปากร (มศก.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มศก. ออกประกาศงดรับนักศึกษาหลักสูตรนิเทศศาสตร์ ในระบบแอดมิสชั่นส์กลาง นอกสถานที่ตั้ง ณ ศูนย์การศึกษา อาคาร กสท. โทรคมนาคม บางรัก และหันไปรับตรงใน 2 สาขาวิชาเอก คือ สายวิชาลูกค้าสัมพันธ์ และสายวิชาวารสารและหนังสือพิมพ์ ที่สถานที่ตั้งหลักที่วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรีแทน ภายหลังสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีมติยืนยันผลการตรวจประเมินการจัดการศึกษานอกที่ตั้ง ณ ศูนย์การศึกษา อาคาร กสท. โทรคมนาคม บางรัก ว่าไม่ผ่านนั้นว่า นายชัยชาญ ถาวรเวช อธิการบดี มศก. ยังไม่ได้รายงานปัญหาดังกล่าวให้ที่ประชุมสภา มศก. รับทราบ ดังนั้น ตนยังไม่ทราบรายละเอียดทั้งหมด แต่คาดว่าภายในเร็วๆ นี้อธิการบดีคงชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กรรมการสภารับทราบ อย่างไรก็ดี เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวทางนายชัยชาญและคณะเทคโนโลยีสารสนเทศฯจะพยายามแก้ปัญหาให้ดีที่สุด และคงไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนักศึกษา

“เมื่อ สกอ.สั่งงดรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่ดิฉันก็ยังเชื่อมั่นว่าระบบการเรียนการสอนของเรายังมีมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ในอนาคตทางมหาวิทยาลัยกำลังจัดทำแผนในการก่อสร้างวิทยาเขตและอาคารเรียนใหม่เพิ่มเติม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาพื้นที่และทำแผนก่อสร้าง ซึ่งหลังจากก่อสร้างอาคารเรียนแห่งใหม่เสร็จ ก็จะย้ายศูนย์นอกที่ตั้งมารวมอยู่จุดเดียว เพื่อให้ระบบการเรียนการ สอนมีคุณภาพมากขึ้น” คุณหญิงไขศรีกล่าว

ด้าน นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า จากการประเมินศูนย์การจัดการศึกษานอกที่ตั้ง พบว่ามีหลักสูตรผ่านแค่ 10% เท่านั้น ที่เหลือต้องปรับปรุง และที่ปรับปรุงไม่ได้ ก็ทยอยปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก กรณีของ มศก.ก็เป็นตัวอย่างที่ดี ที่พอปรับปรุงไม่ได้ ก็งดรับนักศึกษาที่ศูนย์แห่งนั้น

รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ สกอ.ประเมินการจัดการศึกษานอกสถานที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษา ปีงบประมาณ 2555 ซึ่งประเมินระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ – 30 พฤศจิกายน 2555 จำนวน 110 ศูนย์ 285 หลักสูตร จากจำนวนทั้งสิ้น 313 ศูนย์ 661 หลักสูตร ภายหลัง สกอ.เริ่มออกประเมิน พบว่ามีศูนย์ปิดตัวลงจำนวนมาก คงเหลือจำนวนรวม 213 ศูนย์ 545 หลักสูตร ดังนั้น ในปี 2556 จึงมีศูนย์ที่ต้องตรวจประเมินต่อ 103 ศูนย์ 260 หลักสูตร โดยที่ประชุม กกอ.เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เห็นชอบผลการตรวจประเมินแล้ว 285 หลักสูตร โดยมีหลักสูตรที่ผ่าน 35 หลักสูตร ต้องปรับปรุง 64 หลักสูตร และไม่ผ่าน 186 หลักสูตร

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32381&Key=hotnews

สอศ.เผยผลประเมินอาชีวะ

4 เมษายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ประเมินประสิทธิภาพสถานศึกษาสังกัด สอศ.ในการผลิตกำลังคนให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการเป็นประจำทุกปี โดยมีเกณฑ์ประเมิน 3 ด้าน คือ

1.สถานศึกษาต้องทำข้อมูลเด็กอาชีวะที่เข้าใหม่ และที่กำลังจะจบการศึกษาให้เป็นปัจจุบัน ก่อนเผยแพร่ทางเว็บไซต์ศูนย์กำลังคนอาชีวศึกษา www.v-cop.net

2.สร้างความรู้ความเข้าใจ และแนะแนวทางอาชีพให้กับเด็กอาชีวะ และ

3.ประชาสัมพันธ์ให้สถานประกอบการประกาศตำแหน่งว่างงานผ่านเว็บไซต์ทั้งหลายทั้งปวงเพื่อให้สถานศึกษา นักเรียน นักศึกษา และสถานประกอบการ ได้เข้าถึงแหล่งทำงานและแก้ปัญหาความต้องการกำลังคนร่วมกัน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า ในปีการศึกษา 2555 ที่ผ่านมา สอศ.พบว่ามีสถานศึกษาที่ผ่านเกณฑ์ระดับดีมาก 6 กลุ่ม 25 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคทุ่งสง นครศรีธรรมราช มาบตาพุด สระแก้ว กาญจนาภิเษกปัตตานี บุรีรัมย์ ป่าพะยอม วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงใหม่ เพชรบุรี นครศรีธรรมราช ปัตตานี เชียงราย วิทยาลัยการอาชีพวาปีปทุม ไชยา ปะเหลียน ปัว พิมาย ร้อยเอ็ด วิทยาลัยสารพัดช่างชัยภูมิ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร และวิทยาลัยพณิชยการบางนา

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 5 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32368&Key=hotnews