เกณฑ์คำนวณครูต่อนักเรียนในระดับประถมและมัธยม

teacher criteria
teacher criteria

การคำนวณอัตรากำลังข้าราชการครู
โรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษา

แบบ 1
โรงเรียนประถมศึกษาที่มีนักเรียน 120 คน ลงมา
และจัดการเรียนการสอน อ.1-ป.6 หรือ ป.1-ป.6

– นักเรียน 1 -20 คน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีครูผู้สอนได้ 1 คน
– นักเรียน 21 -40 คน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีครูผู้สอนได้ 2 คน
– นักเรียน 41 -60 คน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีครูผู้สอนได้ 3 คน
– นักเรียน 61 -80 คน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีครูผู้สอนได้ 4 คน
– นักเรียน 81 -100 คน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีครูผู้สอนได้ 5 คน
– นักเรียน 101 -120 คน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีครูผู้สอนได้ 6 คน

แบบ 2
โรงเรียนประถมศึกษาที่มีนักเรียน 121 คนขึ้นไป
และจัดการเรียนการสอน อ.1-ป.6 หรือ ป.1-ป.6

อัตราส่วน (อนุบาล) ครู : นักเรียน = 1 : 25
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 30 : 1
อัตราส่วน (ประถม) ครู : นักเรียน = 1 : 25
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 40 : 1

จำนวนบุคลากรสายบริหาร
– นักเรียน 121 – 359 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง
– นักเรียน 360 – 719 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 1 ตำแหน่ง
– นักเรียน 720 – 1,079 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 2 ตำแหน่ง
– นักเรียน 1,080 – 1,679 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 3 ตำแหน่ง
– นักเรียน 1,680 คนขึ้นไป มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 4 ตำแหน่ง

เงื่อนไข
– การคิดจำนวนห้องเรียน (โดยใช้จำนวนนักเรียน : ห้อง หารจำนวนนักเรียน) แต่ละชั้น
หากมีเศษตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เพิ่มอีก 1 ห้อง
– การคิดจำนวนครูให้ปัดเศษตามหลักคณิตศาสตร์ (0.5ขึ้นไปปัดเป็น 1 , ไม่ถึง 0.5 ปัดทิ้ง)

แบบ 3
โรงเรียนประถมศึกษาที่มีนักเรียน 121 คนขึ้นไป
และจัดการเรียนการสอน อ.1-ม.3 หรือ ป.1-ม.3

อัตราส่วน (อนุบาล) ครู : นักเรียน = 1 : 25
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 30 : 1
อัตราส่วน (ประถม) ครู : นักเรียน = 1 : 25
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 40 : 1
อัตราส่วน (มัธยม) ครู : นักเรียน = 1 : 20
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 40 : 1

จำนวนบุคลากรสายบริหาร
– นักเรียน 121 – 359 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง
– นักเรียน 360 – 719 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 1 ตำแหน่ง
– นักเรียน 720 – 1,079 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 2 ตำแหน่ง
– นักเรียน 1,080 – 1,679 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 3 ตำแหน่ง
– นักเรียน 1,680 คนขึ้นไป มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 4 ตำแหน่ง

เงื่อนไข
– การคิดจำนวนห้องเรียน (โดยใช้จำนวนนักเรียน : ห้อง หารจำนวนนักเรียน) แต่ละชั้น
หากมีเศษตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เพิ่มอีก 1 ห้อง
– การคิดจำนวนครูให้ปัดเศษตามหลักคณิตศาสตร์ (0.5ขึ้นไปปัดเป็น 1 , ไม่ถึง 0.5 ปัดทิ้ง)

แบบ 4 โรงเรียนมัธยมศึกษา

อัตราส่วน (มัธยม) ครู : นักเรียน = 1 : 20
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 40 : 1

จำนวนบุคลากรสายบริหาร
– นักเรียน 121 – 359 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง
– นักเรียน 360 – 719 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 1 ตำแหน่ง
– นักเรียน 720 – 1,079 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 2 ตำแหน่ง
– นักเรียน 1,080 – 1,679 คน มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 3 ตำแหน่ง
– นักเรียน 1,680 คนขึ้นไป มีผู้บริหารได้ 1 ตำแหน่ง มีผู้ช่วยได้ 4 ตำแหน่ง

เงื่อนไข
– การคิดจำนวนห้องเรียน (โดยใช้จำนวนนักเรียน : ห้อง หารจำนวนนักเรียน) แต่ละชั้น
หากมีเศษตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ให้เพิ่มอีก 1 ห้อง
– การคิดจำนวนครูให้ปัดเศษตามหลักคณิตศาสตร์ (0.5ขึ้นไปปัดเป็น 1 , ไม่ถึง 0.5 ปัดทิ้ง)

แบบ 5 การคำนวณอัตรากำลังข้าราชการครูโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์
อัตราส่วน ครู : นักเรียน = 1 : 12
จำนวนนักเรียน : ห้อง = 35 : 1

จำนวนครูรวม = (35 x จำนวนห้องเรียน) / 12

จำนวนครูปฏิบัติการสอน = จำนวนครูรวม – จำนวนบุคลากรสายบริหาร

จำนวนบุคลากรสายบริหาร
1 – 2 ห้องเรียน มีผู้บริหารได้ 1 คน
3 – 6 ห้องเรียน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีผู้ช่วยผู้บริหารได้ 1 คน
7 – 14 ห้องเรียน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีผู้ช่วยผู้บริหารได้ 2 คน
15 – 23 ห้องเรียน มีผู้บริหารได้ 1 คน มีผู้ช่วยผู้บริหารได้ 3 คน
24 ห้องเรียนขึ้นไป มีผู้บริหารได้ 1 คน มีผู้ช่วยผู้บริหารได้ 4 คน

หมายเหตุ ในการคำนวณตามสูตรหากมีเศษตั้งแต่ 0.1 ขึ้นไปให้ปัดเป็น 1
! http://www.saraeor.org/Job%20school3/km.kumlungkroo.htm
http://www.kroobannok.com/14836

อาชีวะเปิดสอนปริญญาตรี

2 เมษายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยระหว่างมอบนโยบายการดำเนินงานขับเคลื่อนสถาบันการอาชีวศึกษา แก่นายกสภาสถาบันฯ 19 แห่งและผู้เกี่ยวข้อง ว่า ตนอยากให้สถาบันการอาชีวศึกษาแต่ละแห่งไปกำหนดสัดส่วน หรือกำหนดสาขาที่จะผลิตให้ดีโดยเลือกเปิดสอนในสาขาที่เป็นความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการในพื้นที่ ซึ่งได้มอบให้กรรมการการอาชีวศึกษา เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานกับสถาบันการอาชีวศึกษาทั้ง 19 แห่ง เพื่อวางแผนการผลิตคนไม่ให้ซ้ำซ้อนกันและให้ตรงกับความต้องการของพื้นที่ เพราะตนไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ ขณะเดียวกันไม่ต้องการให้เกิดกรณีหลอกเด็กมาเรียนแต่พอเรียนจบแล้วไม่มีงานทำ ดังนั้น สถาบันการอาชีวศึกษาจะต้องจัดระบบให้ดีผลิตคนตามต้องการและผู้ที่มาเรียนมีงานทำหลังเรียนจบ อย่างไรก็ตาม การวางแผนดังกล่าวต้องมีการทำงานร่วมกับภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ด้านนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) กล่าวว่า หลังจากนี้คณะกรรมการสภาสถาบันฯ แต่ละแห่งจะต้องไปพิจารณาหลักสูตรที่ได้มีการยกร่างไว้แล้ว และนำเสนอต่อคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (บอร์ด กอศ.) ในวันที่ 10 เม.ย.2556 เพื่อให้ความเห็นชอบ และเปิดรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ปีการศึกษา 2556 ทั้งนี้ในปีแรกมีแผนที่จะเปิดรับปริญญาตรี 85 วิทยาลัยใน 19 สถาบันฯ จำนวน 16 สาขาวิชา รับวิทยาลัยละประมาณ 20 คน รวม 1,720 คน โดยแต่ละวิทยาลัยจะเปิดสอน 1 สาขาในวิชาที่ตนเองมีความพร้อมที่สุด ซึ่งการรับนักศึกษาจะเปิดรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จากทุกสังกัด แต่ไม่การันตีว่าเด็กที่สมัครจะได้เรียนทุกคน เพราะจะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32321&Key=hotnews

“มศว”สอนวิชาชีวิตนิสิตครูชูเรียนสร้างแรงบันดาลใจ

2 เมษายน 2556

ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า การจะแก้ไขปัญหาสังคมได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่สถาบันการศึกษาต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย ตลอดถึงการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน และความคิดเกี่ยวกับการผลิตบัณฑิต ต้องเปลี่ยนไป การเน้น เรียนแบบเดิม ที่เรียนในชั้นเรียนจึงต้องเปลี่ยนไปแม้เจาจะต้องผลักดันให้มหาวิทยาลัยก้าวสู่ความเป็นนานาชาติ หากแต่การแก้ปัญหาสังคมของตัวเองบนฐานคิดปัญหาของสังคมไทยก็ต้องทำด้วยเช่นกัน และต้องทำให้มากขึ้นด้วย ภายใต้สภาพปัญหาสังคม ที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไข มากขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 เมษายนนี้ เวลา 13.00-16.00 น. ได้จัดเสวนาวิชาการเรื่อง “วิชาตน” หรือ SAC 2013 ขึ้น ณ อาคารนวัตกรรม ศ.ดร. สาโรช บัวศรี ชั้น 4 (หอดนตรีและศิลปะ 1 ห้องใหญ่ ) โดยการให้นิสิตเรียนรู้วิธีคิดของคนที่เป็นครูทั้งในระบบและนอกระบบ ว่าเขาผ่านปัญหาอุปสรรคอย่างไรบ้างในการสอนเด็ก อะไรทำให้ครูที่มีประสบการณ์สอนเด็กนอกระบบที่ใครต่อใครเรียกว่าเด็กมีปัญหาเกิดแรงบันดาลใจอยากเป็นคนดีได้ สิ่งเหล่านี้มหาวิทยาลัยต้องจัดวิชาเรียนรู้ประสบการณ์ผ่านเรื่องเล่าให้นิสิตได้มีโอกาสรับรู้รับฟัง และร่วมแลกเปลี่ยน จึงเรียกวิชานี้ว่า วิชาตน

“หากเราต้องการให้แวดสงการศึกษาไทย เปลี่ยนแปลง รูปแบบการเรียนการสอนแบบเดิม ที่เรียนกันในชั้นเรียนคงต้องเปลี่ยนไป รูปแบบการจัดงานวิชาการของ มศว. ก็ต้องเปลี่ยน จะเน้นนวัตกรรมทางสังคม เรียกว่า Social Innovation ให้มากขึ้น ถือเป็นการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงมากขึ้น นิสิตและบุคลากรจะเกิดพลังและแรงบันดาลใจ ในการเปลี่ยนตัวเองและเปลี่ยนสังคม ประสบการณ์ของคนต้นแบบ ถือเป็นเรื่องเล่าที่ทำให้ผู้ฟังได้ตระหนักและเริ่มเปลี่ยนตัวเองได้

อย่างไรก็ตาม อยากทำให้นักวิชาการอาจารย์ในสถาบันการศึกษาเรียนรู้ว่า การเรียนรู้วิชาชีวิตในการเสวนา “วิชาตน” ไม่จำเป็นต้องเรียนเพียงแค่ในชั้นเรียน หรือในตำราเรียน และ เป็นวิชาสำคัญอย่างมากที่ทุกสถาบันการศึกษาต้องให้ความสำคัญ การพูดคุยหรือฟังเรื่องราว ดี ๆ หรือเรื่องที่ยากลำบากของคนบางคน ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนในตัวผู้คนได้อย่างดีมาก ต้องการให้นิสิตเรียนรู้วิชาตนและถือเป็นนวัตกรรมทางสังคมที่สามารถเปลี่ยนคนได้

–คมชัดลึก ฉบับวันที่ 2 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32320&Key=hotnews

แนะ กยศ. ปรับวิธีจัดการเงินกู้เรียน

2 เมษายน 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) ในฐานะผอ.สำนักงานคณะอนุบัญชีที่ 1 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) มีนักศึกษาที่จบการศึกษาไปแล้วติดต่อกลับมาประมาณร้อยละ 70 โดยในจำนวนดังกล่าวมีผู้ที่ทยอยใช้เงินคืนต่อเนื่องแล้วร้อยละ 50 ส่วนผู้ที่ไม่ติดต่อมาเลยมีร้อยละ 25 ทำให้กองทุนต้องแบกรับภาระ เพราะถ้านักศึกษาเก่าที่จบไปแล้วนำเงินมาใช้คืน นักศึกษารุ่นใหม่ก็จะได้กู้เงินเรียนต่อไป ตนจึงอยากให้สถานศึกษารณรงค์สร้างจิตสำนึกให้แก่นักศึกษาในการใช้คืนเงินกู้ด้วย

นายบัณฑิตย์ กล่าวต่อไปว่า ที่เป็นปัญหามากคือนักศึกษาที่จบสายสามัญ เพราะหางานทำลำบาก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ทางกยศ.ไม่ได้มีการส่งจดหมายติดต่อไปยังผู้กู้ยืมในช่วงที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา แต่จะมีหนังสือไปถึงผู้กู้ยืมเพื่อแจ้งให้ชำระเงินกู้ยืม พร้อมส่งจดหมายฟ้องร้องแนบไปด้วย จึงทำให้เป็นปัญหาขึ้นมา ตนจึงเสนอบอร์ด กยศ.ให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะผู้กู้ยืมบางคนอาจลืมไปว่า ยังค้างชำระเงินกู้อยู่

“เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้กู้ยืมกับ กยศ.ในระหว่าง 2 ปี ไม่ใช่พอครบ 4 ปี ก็มีจดหมายไปถึงนักศึกษาว่าจะฟ้องร้องแล้วนะ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้ามีจิตสำนึก เมื่อทวงเงินกู้ยืมครั้งแรกก็จะเริ่มใช้คืนแล้ว ดังนั้นเราต้องติดต่อกันบ่อย ๆ จะได้เข้าใจกันมากขึ้น” นายบัณฑิตย์ กล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 3 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32318&Key=hotnews

สอศ.ปรับลุกส์ลบปมเด็กตีกัน

2 เมษายน 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยภายหลังสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จัดประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง อนาคตภาพอาชีวศึกษา ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) และม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อนำข้อสรุปมาจัดทำแผนการศึกษาอาชีวศึกษาว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าการผลิตบุคลากร ต้องยึดความต้องการของสถานประกอบการเป็นหลัก ดังนั้นผู้สำเร็จอาชีวศึกษาต้องทำงานได้จริง และต้องมีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวอย่างยุทธศาสตร์ที่จะนำมาขับเคลื่อน มีทั้งการพัฒนาระบบภาษีที่เอื้อต่อภาคเอกชนที่มาช่วยจัดการอาชีวศึกษา การพัฒนาหลักสูตร กำหนดรายได้และเส้นทางอาชีพ การประกันการมีงานทำผู้เรียนสายอาชีพ

“ที่เร่งด่วนคือการลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในเด็กอาชีวะ เร่งสร้างความตระหนัก และส่งเสริมค่านิยมเชิงบวกกับระบบอาชีวศึกษา ซึ่งการระดมความเห็นดังกล่าวเป็นการมองอนาคตอาชีวะในระยะ 10 ปีข้างหน้า โดยผมจะนำมาปรับแผนพัฒนาอาชีวศึกษา และแผนปฏิบัติการประจำปี 2556 และ 2557 ของสอศ. อาทิ เรื่องการเน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การขยายระบบทวิภาคี โดยนำมาเชื่อมโยงกับหลักสูตรที่ปรับปรุงใหม่ เป็นต้น”

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 3 เม.ย. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32319&Key=hotnews

กกศ.ผ่านร่างแผนการศึกษาชาติฉบับใหม่

2 เมษายน 2556

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า จากการประชุมสภาการศึกษา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนกรอบและทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของประเทศ พ.ศ. 2555-2558 สู่การปฏิบัติ ใน 3 ประเด็น ได้แก่

1. ให้มีการประสานความร่วมมือและจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ บรรจุกรอบและทิศทางการวิจัยทางการศึกษาของประเทศ พ.ศ. 2555-2558 เข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2555-2559 และยึดเป็นกรอบในการพิจารณาส่งเสริม สนับสนุน และจัดสรรงบประมาณดำเนินการวิจัยของหน่วยงานทางการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา

2. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาเป็นหน่วยประสานงานเพื่อสร้างความเชื่อมโยง ของหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการวิจัยทางการศึกษา และ

3.ให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นหน่วยงานในการสร้างกลไกและช่องทางเผยแพร่ทุกรูปแบบ เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้มีการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาต่อไป

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบ ร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 2 พ.ศ.2556-2559 ซึ่งผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคมแล้ว โดยมีการกำหนดเป้าหมาย ให้คนไทยเป็นคนดี เก่ง มีภูมิคุ้มกัน มีความสุข มีความรู้เชิงวิชาการและสมรรถนะทางวิชาการ มีคุณธรรม จริยธรรม ใฝ่เรียนรู้และแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง ดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มีความสำนึกรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม และพร้อมเป็นประชาคมอาเซียน นอกจากนี้แผนดังกล่าวกำหนดให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระหลักเกินกว่าร้อยละ 50 สถานศึกษาได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) มีจำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นจาก 9.1 ปี ในปี 2555 เป็น 12 ปี ในปี 2559 รวมถึงภาคเอกชนเข้าร่วมจัดการศึกษาเพิ่มขึ้น และมีสัดส่วนผู้เรียนสายอาชีวศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 50 : 50 ในปี 2559.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32317&Key=hotnews

ปรับหลักสูตรแก้ตกงาน

2 เมษายน 2556

จี้ปรับหลักสูตรแก้ตกงาน

นายสุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ในฐานะประธานสภาคณบดี คณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) กล่าวถึงการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน และช่วยให้บัณฑิตมีคุณภาพ ว่า หลักสูตรจะต้องช่วยให้เด็กรู้จักตนเอง และเลือกอาชีพได้ก่อนจบ ม.3 หลังจากนั้นให้เลือกเรียนในสายที่เหมาะสมกับความถนัด ความสามารถ และจะทำให้มีงานทำเลี้ยงชีพได้ หลังสำเร็จการศึกษาภาคบังคับแล้ว ผู้เรียนจะต้องจะมีทางเลือก 3 ทาง คือ 1.สายวิชาการ อาทิ แพทย์ เภสัชกร ผู้พิพากษา เป็นต้น 2.สายอาชีพ อาทิ ช่างอุตสาหกรรม ช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสายอาชีพเฉพาะทาง เช่น ตำรวจ ทหาร 3.สายประกอบอาชีพ สำหรับผู้มีความสามารถเป็นพิเศษ เช่น นักกีฬา ศิลปินนักร้อง นักแสดง หากผู้เรียนต้องการทำงานสายวิชาการ ก็ให้เข้าเรียนสายสามัญ ซึ่งไม่ควรเกินร้อยละ 40 จากนั้นเป็นสายอาชีพ ส่วนสายประกอบอาชีพ ก็เรียนนอกระบบ และตามอัธยาศัย อาชีพทั้ง 3 เส้นทาง มีระบบที่ให้ศึกษาต่อจนถึง ป.เอกได้

“หลักสูตรพื้นฐานจะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จประเทศ ตราบใดที่นักเรียนสายสามัญศึกษา ยังมีมากกว่าร้อยละ 60 เหมือนปัจจุบัน จะเกิดปัญหาแย่งชิงที่เรียน มหาวิทยาลัยไม่มีคุณภาพ ขณะนี้เด็กไม่รู้จักตนเอง ครูก็ไม่รู้จักนักเรียน พ่อแม่ก็ต้องส่งลูกเรียนสายสามัญไว้ก่อนและตกงาน หลักสูตรการเรียนการสอน จะต้องช่วยให้เด็กรู้จักตนเองและเลือกงานทำได้” นายสุรวาทกล่าว

ที่มา: http://www.matichon.co.th/khaosod

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32316&Key=hotnews

 

สจล.ติดอาวุธสู่ 1 ใน 10 อุดมศึกษาอาเซียน วิเคราะห์ทุกประเทศหวังผลิตบัณฑิตตรงตลาด

2 เมษายน 2556

ผศ.ดร.สุรินทร์ คำฝอย ผู้ช่วยอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่เป้าหมายสำคัญคือ เป็น 1 ใน 10 ของสถาบันการศึกษาชั้นแนวหน้าแห่งประชาคมอาเซียนในปี 2558 ว่า สิ่งสำคัญที่ สจล.กำลังพยายามปรับตัวเพื่อสร้างความเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมความมีคุณภาพนั้น ในปี 2556 นี้ สถาบันได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ ให้ตรงตามความต้องการของในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การจัดหลักสูตรนานาชาติอย่างจริงจัง โดยเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนในวิชาพื้นฐาน เพื่อให้นักศึกษซึมซับกับภาษาอังกฤษและสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดหลักสูตรพื้นฐานทางวิชาการและหลักสูตรเทคโนโลยีเพื่อวิชาชีพให้แก่นักศึกษาทุกระดับชั้น ตลอดจนการเพิ่มเติมหลักสูตรใหม่ที่น่าสนใจ

“ทั้งนี้ได้มองถึงปัญหาว่าแต่ละประเทศมีปัญหาพื้นฐานอย่างไร และยังขาดบุคลากรในด้านไหนที่จะไปพัฒนา หรือประเทศนั้นๆ มีทรัพยากรใดที่จะนำมาพัฒนาประเทศเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตได้ จึงต่อยอดหลักสูตรต่างๆ ขึ้น อาทิ หลักสูตรวิศวกรรมปิโตรเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ หรือหลักสูตรวิศวกรรมชีวการแพทย์ ที่ส่งเสริมด้านการขยายฐานความรู้วิศวกรรมให้สามารถประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขของประเทศ ช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ เป็นต้น” ผศ.ดร.สุรินทร์กล่าว

ผู้ช่วยอธิการบดี สจล. กล่าวด้วยว่า ในส่วนของนโยบายการบริหารประจำปี 2556 สจล.จะมุ่งพัฒนาแบบก้าวกระโดด โดยเร่งสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก ในรูปแบบต่างๆ อาทิ การทำวิจัยร่วม การจัดประชุมทางวิชาการนานาชาติ การแลกเปลี่ยนอาจารย์ นักวิจัยและนักศึกษา โดยคาดว่าในปีนี้จะมีสถาบันการศึกษาชั้นนำในหลายประเทศเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนการเรียนการสอนเพิ่มขึ้นกว่า 20-30 แห่ง พร้อมการผลักดันให้มีงานวิจัยใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งในปีนี้ คาดว่าจะมีงานวิจัยชิ้นใหม่ของคณาจารย์กว่า 1,000 ชิ้น และให้อาจารย์นำงานวิจัยเหล่านั้นมาสอนควบคู่ไปกับเทคโนโลยีสมัยใหม่แก่นักศึกษา ตลอดจนการสร้างความร่วมมือให้มากขึ้นกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้นักศึกษาในทุกระดับรวมไปถึงบุคลากรได้เรียนรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกในแวดวงอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตัวนักศึกษาเอง เมื่อจบการศึกษาก็สามารถออกไปทำงานได้ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32315&Key=hotnews

ทุ่มงบฯ จุดละ 200 ล้าน – เพิ่มโอกาสเด็กชนบท

2 เมษายน 2556

สอศ.เปิดวิทยาลัย 1 อำเภอ เพิ่ม 15 แห่ง ทุ่มงบฯจุดละ 200 ล้าน – เพิ่มโอกาสเด็กชนบท

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการจัดตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษา 1 อำเภอ 1 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการของผู้เรียน ว่า ในปีงบประมาณ 2557 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เตรียมเสนอของบประมาณผูกพัน 3 ปี จัดตั้งวิทยาลัย เพิ่มเติมอีก 15 แห่ง แห่งละ 200 ล้านบาท หลังจากนำร่องจัดตั้งไปแล้ว 5 แห่ง สำหรับการจัดตั้งวิทยาลัยทั้ง 15 แห่งนี้ สอศ.ได้สำรวจความต้องการของผู้เรียนในพื้นที่ห่างไกลที่มีประชากรอาศัยอยู่มาก และพื้นที่ชายแดน และพื้นที่พิเศษ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน สำหรับพื้นที่ห่างไกลมีทั้งหมด 6 อำเภอใน 6 จังหวัด ประกอบด้วย อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ห่างจากสถานศึกษา สอศ.ที่ใกล้ที่สุด 40 ก.ม. มีนักเรียน ม.3 ที่เป็นตัวป้อน 2,815 คน อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ห่าง 45 ก.ม. มีตัวป้อน 2,519 คน อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ ห่าง 50 ก.ม. มีตัวป้อน 2,386 คน อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ ห่าง 60 ก.ม. มีตัวป้อน 2,254 คน อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ห่าง 40 ก.ม. มีตัวป้อน 2,183 คน อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ห่าง 45 ก.ม. มีตัวป้อน 2,142 คน

เลขาธิการ กอศ. กล่าวต่อว่า อำเภอตามแนวชายแดนอีก 9 แห่ง คือ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ห่าง 45 ก.ม. มีตัวป้อน 2,332 คน อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ ห่าง 40 ก.ม. มีตัวป้อน 2,042 คน อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ห่าง 40 ก.ม. มีตัวป้อน 1,767 คน อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ ห่าง 100 ก.ม. มีตัวป้อน 1,050 คน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ห่าง 120 ก.ม. มีตัวป้อน 1,088 คน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ห่าง 100 ก.ม. มีตัวป้อน 1,060 คน อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ห่าง 30 ก.ม. มีตัวป้อน 1,085 คน อ.สะเดา จ.สงขลา ห่าง 50 ก.ม. มีตัวป้อน 1,100 คน อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ห่าง 50 ก.ม. มีตัวป้อน 991 คน โดยเบื้องต้นทุกแห่งที่จัดตั้งใหม่จะเปิดสอนใน 3 สาขาวิชา คือ ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า และพาณิชยการ มีเพียง อ.เกาะสมุย เท่านั้นที่เปิดสอนเฉพาะสาขาท่องเที่ยวและการโรงแรม ส่วนจำนวนผู้เรียนนั้น สอศ.ไม่ได้ตั้งเป้าที่จำนวน แต่ตั้งใจนำโอกาสเข้าไปยังพื้นที่เหล่านี้

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32313&Key=hotnews

สทศ.ประกาศผล เอ็นเน็ต-บีเน็ต ทางเว็บไซต์

สทศ.ประกาศแล้วผลสอบเอ็นเน็ต-บีเน็ต ปีการศึกษา 55 ทางเว็บไซต์

รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สทศ.ได้ดำเนินการประมวลผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน (เอ็นเน็ต) ระดับประถมศึกษา (ป.6) มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ครั้งที่2 ปีการศึกษา 2555 และการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ด้านพระพุทธศาสนา (บีเน็ต) ระดับมัธยมศึกษา 3 และ 6 ปีการศึกษา 2555 และประกาศผลผ่านเว็บไซต์ สทศ.ที่ www.niets.or.thในวันนี้ (31 มี.ค.) พร้อมกันนี้ทำการวิเคราะห์ค่าสถิติของการสอบเอ็นเน็ต ในระดับประถมศึกษา พบว่า สาระทักษะการเรียนรู้ ผู้เข้าสอบ 18,278 คน เฉลี่ย 43.10 คะแนน สูงสุด 86.67 ต่ำสุด 0.00 สาระความรู้พื้นฐาน ผู้เข้าสอบ 18,322 คน เฉลี่ย 37.97 คะแนน สูงสุด 88.33 ต่ำสุด 0.00 สาระการประกอบอาชีพ ผู้เข้าสอบ 18,275 คน เฉลี่ย 48.60 คะแนน สูงสุด 83.33 ต่ำสุด1.67 สาระทักษะการดำเนินชีวิต ผู้เข้าสอบ 18,273 คน เฉลี่ย 52.60 คะแนน สูงสุด 96.67 ต่ำสุด 0.00 และสาระการพัฒนาสังคม ผู้เข้าสอบ 18,211 คน เฉลี่ย 49.46 คะแนน สูงสุด 93.33 ต่ำสุด 0.00

ส่วนระดับม.ต้น พบว่า สาระทักษะการเรียนรู้ ผู้เข้าสอบ 57,789 คน เฉลี่ย 45.16 คะแนน สูงสุด 90.00 ต่ำสุด 0.00 สาระความรู้พื้นฐาน ผู้เข้าสอบ 58,135 คน เฉลี่ย 37.26 คะแนน สูงสุด 87.08 ต่ำสุด 0.00 สาระการประกอบอาชีพ ผู้เข้าสอบ 57,775 คน เฉลี่ย 46.33 คะแนน สูงสุด 88.33 ต่ำสุด 0.00 สาระทักษะการดำเนินชีวิต ผู้เข้าสอบ 57,769 คน เฉลี่ย 47.48 คะแนน สูงสุด 90.00 ต่ำสุด 0.00 และสาระการพัฒนาสังคม ผู้เข้าสอบ 57,675 คน เฉลี่ย 37.27 คะแนน สูงสุด 80.00 ต่ำสุด 0.00 และระดับม.ปลาย มีคะแนนดังนี้ สาระทักษะการเรียนรู้ ผู้เข้าสอบ 78,956 คน เฉลี่ย 52.98 คะแนน สูงสุด 93.33 ต่ำสุด 0.00 สาระความรู้พื้นฐาน ผู้เข้าสอบ 79,368 คน เฉลี่ย 35.41 คะแนน สูงสุด 85.83 ต่ำสุด 0.00 สาระการประกอบอาชีพ ผู้เข้าสอบ 78,932 คน เฉลี่ย 39.91 คะแนน สูงสุด 76.67 ต่ำสุด 3.33 สาระทักษะการดำเนินชีวิต ผู้เข้าสอบ 78,925 คน เฉลี่ย 47.46 คะแนน สูงสุด 90.00 ต่ำสุด 0.00 และสาระการพัฒนาสังคม ผู้เข้าสอบ 78,833 คน เฉลี่ย 36.64 คะแนน สูงสุด 76.67 ต่ำสุด 3.33

รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับค่าสถิติของการสอบสอบบีเน็ต ระดับม.3 พบว่า วิชาพุทธประวัติและธรรมวินัย ผู้เข้าสอบ 7,479 คน คะแนนเฉลี่ย 41.08 คะแนน คะแนนสูงสุด 78.57 ต่ำสุด 11.43 วิชาศาสนปฏิบัติ ผู้เข้าสอบ 7,470 คน เฉลี่ย 42.77 คะแนน สูงสุด 90.00 ต่ำสุด 0.00 วิชาภาษาบาลี ผู้เข้าสอบ 7,471 คน เฉลี่ย 35.66 คะแนน สูงสุด 94.00 ต่ำสุด 11.00 และระดับม.6 พบว่า วิชาพุทธประวัติและธรรมวินัย ผู้เข้าสอบ 2,799 คน คะแนนเฉลี่ย 44.31 คะแนน คะแนนสูงสุด 85.71 ต่ำสุด 8.57 วิชาศาสนปฏิบัติ ผู้เข้าสอบ 2,798 คน เฉลี่ย 33.82 คะแนน สูงสุด 73.33 ต่ำสุด 3.33 วิชาภาษาบาลี ผู้เข้าสอบ 2,793 คน เฉลี่ย 39.38 คะแนน สูงสุด 94.00 ต่ำสุด 10.00

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000038879