ประธานคุรุสภาห่วงวิชาชีพครูเสื่อมถอย จี้พัฒนาทั้งคุณภาพและภาพลักษณ์

13 สิงหาคม 2556

ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ รักษาการคณบดีวิทยาลัยครุศาสตร์ ในฐานะประธานกรรมการคุรุสภา เปิดเผยว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้เข้าร่วมการเสวนาเรื่องอนาคตการศึกษาไทย ซึ่งตนได้เสนอประเด็นการพัฒนาครูในอนาคตว่า ขณะนี้การพัฒนาครูยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ถูกสะสมมาอย่างยาวนาน เนื่องจากที่ผ่านมาเราไม่ได้คนเก่งมาเป็นครู และคนส่วนใหญ่ที่มาสมัครเป็นครูก็มักจะมาจากคนที่เรียนอะไรไม่ได้แล้วก็มาทำอาชีพครู จึงส่งผลให้โรงเรียนได้ครูที่ไม่มีคุณภาพมาสอนเด็ก ตลอดจนสังคมเกิดการวิจารณ์อย่างหนักไม่ว่าจะเป็นการสอบบรรจุครูที่เกิดการทุจริต หรือแม้แต่มีข่าวครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน ดังนั้นไม่เพียงแต่เร่งเดินหน้าพัฒนาครูแต่เราต้องสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่ครูด้วย ซึ่งตนคิดว่าระบบการคัดเลือกครูจะต้องมีการสอบไม่ใช่การสมัครเข้ามาเป็นครู เพราะเท่าที่พบข้อมูลสถานศึกษาบางแห่งรับสมัครครูแต่ไม่มีการวัดคุณภาพครูด้วยวิธีการสอบแต่อย่างใด จึงส่งผลให้คุณภาพครูเกิดความอ่อนแอ

ศ.ดร.ไพฑูรย์ กล่าวต่อไปว่า ตนอยากให้มีการส่งเสริมสนับสนุนในด้านงบประมาณแก่สถาบันผู้ผลิตและพัฒนาครูให้มากขึ้น เพื่อจะทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาครูมีความเข้มข้นและเกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาภาครัฐยังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากนัก ซึ่งอาจทำให้การผลิตครูทำได้ไม่เต็มที่ ขณะเดียวกันก็อยากให้มีการส่งเสริมการทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาครูให้มากขึ้นด้วย เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะผลักดันให้สถาบันที่ผลิตครูเป็นสถาบันที่มีคุณภาพอย่างเต็มที่ได้
“เมื่อเราสามารถสร้างครูให้เป็นคนที่มีความสามารถสูงได้แล้ว ต่อไปจะต้องยกระดับวิชาชีพครูให้มีมาตรฐานสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคุรุสภาจะต้องเป็นหน่วยงานหลักที่มีความเข้มแข็ง และมีทิศทางการพัฒนาครูอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการทำงานของ คุรุสภาและครูในอนาคตจะต้องทำงานในพื้นฐานรูปแบบงานวิจัย เพราะจะทำให้คนที่เกี่ยวข้องได้รับความรู้ใหม่ และจะทำให้การพัฒนาวิชาชีพเป็นไปอย่างกว้างขวางและมีคุณภาพ ซึ่งผมคิดว่าประเด็นทั้งหมดนี้จำเป็นต่อการพัฒนาครูโดยตรง” ประธานกรรมการคุรุสภากล่าว.

–เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 13 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33665&Key=hotnews

ดันยืดเกษียณแก้ขาด’ครู’ห่วงเอกชนลาออกสอนรัฐ

13 สิงหาคม 2556

อีก 5 ปีครูแห่เกษียณกว่า 1 แสนคน ‘เสริมศักดิ์’ เสนอ ก.พ.ขอคืนอัตรา 100% บรรจุใหม่แทนทันที นายกสมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่ฯ แนะขยายอายุครูเกษียณเป็น 65 ปี

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า กรณีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด ศธ.จะเกษียณอายุราชการในอีก 5 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2556-2560 หนังสือพิมพ์มติชนรายวันจำนวน 104,108 คน แบ่งเป็น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 99,890 คน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 3,320 คน สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 311 คน สถาบันการพลศึกษา 236 คน สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 205 คน สถาบันบัณฑิต พัฒนศิลป์ 129 คน และสำนักบริหารงานวิทยาลัยชุมชน (วชช.) 17 คน นั้น ศธ.คงต้องเสนอขออัตรากำลังคืน 100% สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) และ สพฐ.ควรต้องหารือกับสำนักงาน คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เพราะการทยอยบรรจุอัตราทดแทนทำให้เสียเวลา แต่หากได้อัตราคืนมาทั้งหมด แล้วบรรจุแทนที่เกษียณทั้งหมด จะไม่เสียเวลา จะมีครูมาสอนได้ทัน

“ส่วนที่จะมีผู้บริหารระดับ (ซี) 11 ของ ศธ.เกษียณ ในเดือนกันยายน 2 คน คือนาง พนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. และนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นั้น นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังไม่ได้เรียกหารือ แต่โดยหลักการแล้ว หากจะโยกย้ายผู้บริหารซี 11 ในหน่วยงานที่ผมกำกับดูแล อย่างสำนักงานคณะกรรมการการ

อุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) น่าจะต้องหารือกันก่อน ส่วนตัวเห็นว่าช่วงเดือนสิงหาคมนี้ หากจะแต่งตั้งผู้บริหารซี 11 แทนตำแหน่งปลัด ศธ.และเลขาธิการ กพฐ.ก็ทำได้ เพราะเมื่อแต่งตั้งซี 11 แล้ว จะแต่งตั้งซี 10 และ 9 ตามลำดับ” นายเสริมศักดิ์กล่าว

ด้านนายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) กล่าวว่า ปัจจุบันครูโรงเรียนเอกชนขาดแคลนอยู่แล้ว โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ เชื่อว่าจะขาดแคลนต่อเนื่องไปอีกพอสมควร จากการดูข้อมูลการรับนักศึกษาเข้าเรียนในสาขาครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่เปิดสอน น่าจะมีครูที่เพิ่มมากขึ้นช่วง 3-5 ปีจากนี้ แต่การรับนักศึกษาเข้าเรียนในสายดังกล่าว ไม่ใช่สาขาที่ขาดแคลน แต่เป็นสาขาที่มีคนเรียนกันมากอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่มีข้าราชการครู ของโรงเรียนรัฐเกษียณจำนวนมาก น่าจะมีครูโรงเรียนเอกชนบางส่วน ที่ลาออกเพื่อไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการครูโรงเรียนรัฐแทน

นายธวัชชัย พิกุลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) กาญจนบุรี เขต 4 และนายกสมาคมผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบเกิดขึ้นแน่นอน เพราะข้าราชการครูที่เกษียณ มีประสบการณ์และมีความรู้ ต้องใช้เวลานาน ในการสร้างข้าราชการครูมาทดแทน นอกจากนี้ ยังน่าเป็นห่วงในส่วนของผู้บริหารโรงเรียนที่เกษียณด้วย หากไม่สร้างผู้บริหารโรงเรียนรุ่นใหม่มาทดแทนแล้ว จะมีผลกระทบในการบริหารโรงเรียนแน่นอน เพราะการบริหารโรงเรียนถือเป็นสิ่งสำคัญ และต้องอาศัยประสบการณ์ที่สั่งสมกันมา

“ผมคิดว่าการแก้ปัญหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เกษียณ นอกจากการได้อัตราคืนมาทันทีแล้ว อยากให้ต่ออายุราชการข้าราชการครูออกไปถึง 65 ปี เช่นเดียวกับ อาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งระยะแรกอาจจะเน้นเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลนก่อน เพราะสมัยนี้คนอายุ 60 ปียังแข็งแรงมาก อีกทั้งการขออัตราเกษียณคืนจาก ก.พ.นั้น ต้องใช้เวลา 1-2 ปี ถึงจะได้อัตราคืนมา และเมื่อได้มาก็ต้องเปิดสอบบรรจุอีก ทำให้เกิดปัญหากับโรงเรียนอย่างมาก เพราะไม่มีใครมาสอนนักเรียนในช่วงที่ยังไม่ได้อัตราคืน” นายธวัชชัยกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเดือนกันยายน 2556 จะมีผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด ศธ.เกษียณจำนวนมาก โดยมีผู้บริหารซี 11 และซี 10 เกษียณหลายคน ได้แก่ นางพนิตา, นายชินภัทร, นางเบญจลักษณ์ น้ำฟ้า รองเลขาธิการ กพฐ., นางอรทัย มูลคำ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม สพฐ., นายสมบัติ สุวรรณพิทักษณ์ รองปลัด ศธ., นายธวัช ชลารักษ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ., นายเกียรติศักดิ์ เสนไสย ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด ศธ., นายสุรพล รัตนชัย ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด ศธ. และนางสุนันทา แสงทอง ที่ปรึกษา สกอ. ทั้งนี้ เฉพาะบุคลากรสังกัด สพฐ.เกษียณ มากถึง 10,451 คน สังกัดสถานศึกษา สอศ. 355 คน สังกัด กศน. 53 คน และสังกัดวิทยาลัยชุมชน 2 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ยังมีผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพฯ ที่เกษียณได้แก่ นายวิศรุต สนธิชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, นางจำนงค์ แจ่มจันทรวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวิทยา, นายสำเร็จ แก้วกระจ่าง ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล, นางจิรา อ่อนไสว ผู้อำนวยการโรงเรียนราชนันทาจารย์ สามเสนวิทยาลัย 2, นายสนั่น ชนันทวารี ผู้อำนวยการอิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย, นางอารีย์ ชินสุวรรณ ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวัดระฆัง, นายธงชาติ วงษ์วรรค์ ผู้อำนวยการโรงเรียนหอวัง, นางถนอมจิตต์ ขุททะกะพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเจ้าพระยาวิทยาคม, นายจีระศักดิ์ จันทุดม ผู้อำนวยการโรงเรียนราชดำริ, นายเฉลียว พงศาปาน ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิตบางเขน, นายนคร เดชพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพลีลา, นายเฉลิมชัย จันทรมิตรี ผู้อำนวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย และนายจารึก ศรีเลิศ ผู้อำนวยการโรงเรียน วัดเขมาภิรตาราม เป็นต้น

–มติชน ฉบับวันที่ 13 ส.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33664&Key=hotnews

แฝดสามใบเถาขวัญใจของประชาคมออนไลน์ในเวียดนาม

น้อง ๆ เขามีกฎว่า
“จะต้องช่วยกันทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จด้วยกัน”

learning
learning

แฝดสามใบเถาขวัญใจของประชาคมออนไลน์ในเวียดนาม แม้จะรู้จักชื่อทั้งสามคนก็ยังยากที่จะเรียกให้ถูกตัว นอกจากจะเรียกตามสีหรือตามลายเสื้อ แต่สามสาวเติบโตมาด้วยกัน ช่วยกันทำการบ้าน ช่วยกันติว ทำให้เรียนเก่ง เป็นนัก “เด็กท็อป” มาด้วยกัน และในวันนี้ประสบความสำเร็จด้วยกันในด่านแรก ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ภาคภูมิใจได้มากมายเท่านี้ ถึงแม้ว่าค่าเล่าเรียนของนักศึกษาแพทย์แต่ละคนตลอด 6 ปีข้างหน้า จะเป็นเงินมากมายมหาศาลสักเพียงไรก็ตาม. — ภาพ: เตื่อยแจ๋ออนไลน์.

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9560000100183

ASTV ผู้จัดการออนไลน์ — ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามพากันชื่นชม นักเรียนหญิงอายุ 18 ปีพี่น้องแฝดสาม ที่สอบเอ็นทรานซ์เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ได้ยกทีม มารดาเผยตั้งใจเรียนกันและติวกันเองมาตลอดแฝดทั้งสามมีความตั้งจะให้ประสบความสำเร็จร่วมกัน และไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ชาวเน็ตต่างชื่นชมผลงานการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่และความสามารถของน้องแฝด ขณะเดียวกันก็แสดงความหนักใจกับค่าเล่าเรียนตลอด 6 ปีข้างหน้า

เหวียนเจิวแทง (Nguyen Chau Thanh) เหวียนซเวินแทง (Nguyen Dan Thanh) กับเหวียนบ๋าวแทง (Nguyen Bao Thanh) ได้กลายเป็นแฝดสามรายแรกของประเทศที่ทำได้เช่นนี้ ในการสอบเอ็นทรานซ์ที่ประกาศผลปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งสามคนผ่านเกณฑ์คัดเลือกเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการแพทย์และการเภสัชนครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City Medicine and Pharmacy University) สถาบันที่สร้างบุคคลากรทางการแพทย์ชั้นนำของประเทศมาแล้วเป็นจำนวนมาก

สถาบันการศึกษาเก่าแก่แห่งนี้กำลังเฉลิมฉลอง 66 ปีการก่อตั้ง และจะรับเฉพาะนักศึกษาที่ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ที่ได้คะแนนสูงเท่านั้น สำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรสกล่าว

อย่างไรก็ตาม สามใบเถาไม่ได้มีความประสงค์จะเรียนคณะแพทย์ศาสตร์แม้แต่คนเดียว ซเวินแทงกับเจิวแทงเลือกคณะการเภสัช ส่วนบ๋าวแทงเลือกคณะทันตแพทย์

ทั้งสามเป็นนักเรียนท็อปมาตลอด 12 ปีที่เรียนมัธยมศึกษา” นางจีงถิทูบา (Trinh Thi Thu Ba) คุณแม่ที่ประกอบอาชีพค้าขายกล่าวกับสำนักข่าวยอดนิยมภาษาเวียดนาม

ครอบครัวของแฝดสามใบเถาพื้นเพเป็นชาว จ.โด่งนาย (Dong Nai) ซึ่งอยู่ติดนครโฮจิมินห์ แต่ส่งลูกสาวทั้งสามไปเรียนมัธยมศึกษาในนครใหญ่ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ คุณแม่บอกว่าทั้งสามคนจะช่วยกันทำการบ้านมาตั้งแต่เล็กๆ หากการบ้านของใครคนใดคนหนึ่งไม่เสร็จก็จะไม่นอน หากไม่เข้าใจก็จะช่วยกันอธิบายจนเข้าใจ พ่อแม่ไม่เคยบอกให้สนใจหรือตั้งใจเรียน ไม่เคยถามเรื่องทำการบ้าน แต่จะทำกันเอง ดูแลกันเอง และกลายเป็นนักเรียนเรียนดีทั้งสามพี่น้อง

พวกเขามีกฎที่ไม่ประกาศอยู่เรื่องหนึ่งคือ จะต้องช่วยกันทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จด้วยกัน” นางทูบากล่าว

คุณแม่กล่าวว่าภูมิใจที่สุดในชีวิตที่ได้เลี้ยงลูกทั้งสาม เพราะตอนคลอดมีคนขอ “ซื้อ” ไปเลี้ยง เนื่องจากไม่เชื่อว่าเธอจะมีปัญญาเลี้ยงลูกแฝดสาม และถึงแม้ว่าค่าเล่าเรียนในอีก 6 ปีข้างหน้าจะเป็นเงินมากมายมหาศาลเพียงไรก็ตาม เธอกับสามีจะฟันฝ่ากันต่อไปเพื่อให้ทั้งสามสาวมีอนาคตที่ดี

ตอนนี้ฉันภูมิใจเป็นที่สุด ลูกๆ โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว มีคนจำนวนมากที่ทราบข่าวและมาแสดงความยินดีกับครอบครัวของเรา” นางทูบากล่าว

เรื่องนี้ยังเป็นที่กล่าวถึงกันมาในประชาคมออนไลน์เวียดนาม หลายคนถึงกับชมว่าแฝดสามใบเถาสามารถเป็น “โรลโมเดล” ให้กับเยาวชนของทั้งประเทศได้ ชาวเน็ตจำนวนมากอำนวยชัยให้พรขอให้ประสบความสำเร็จ มีอนาคตอันสดใส เพื่อรับใช้สังคมและช่วยเหลือประชาชนในอนาคต

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ แฝดสามใบเถาสอบได้คะแนนสูงมาก ไม่เพียงแต่จะผ่านเกณฑ์แอดมิสชั่นของมหาวิทยาลัยการแพทย์และการเภสัชฯ เท่านั้น คะแนนของเจิวแทงกับบ๋าวแทงยังผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์นครโฮจิมินห์ ในขณะที่ซเวินแทงผ่านเกณฑ์คัดเลือกของมหาวิทยาลัยการค้าต่างประเทศ นครโฮจิมินห์เช่นกัน

ทั้งสองสถาบันนี้เป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำในระดับต้นๆ ของเวียดนาม และคัดเอาเฉพาะนักเรียนที่ผ่านการสอบเอ็นทรานซ์ที่ได้คะแนนสูงมาก สื่อออนไลน์กล่าว

สำหรับมหาวิทยาการแพทย์และการเภสัชโฮจิมินห์ ก่อตั้งขึ้นในยุคที่ภาคใต้เวียดนามยังเป็นดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส โดยแต่เดิมแยกกันเป็น 2 วิทยาลัยที่เป็นอิสระต่อกันและพัฒนาต่อมาในหลายยุค จนถึงช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2518 จึงรวมเป็นสถาบันเดียวกัน ปัจจุบันมหาวิทยาลัยการแพทย์ฯ เปิดสอนเพียง 7 คณะที่เกี่ยวกับการแพทย์และยาล้วนๆ

สถาบันแห่งนี้ยังร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลของไทย กับมหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งของมาเลเซีย เพื่อจัดการประชุมการเภสัชแห่งอาเซียนขึ้นเดือน ธ.ค.2556 ในนครโฮจิมินห์

ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล (TV digital peel)

ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล (TV digital peel)
ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ เจ้าของวิทยานิพนธ์ Digital TV in Thailand
ที่มา: เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

! http://mediamonitor.in.th/archives/3708
! http://www.sikares.com/
! http://www.nstda.or.th/news/12133-nstda

ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ Digital TV
ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ Digital TV

หากถามถึงการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับ ระบบโทรทัศน์ใหม่ที่กำลังจะเกิดในประเทศไทยอย่าง ‘ระบบดิจิทัล’ หรือที่เราเรียกกันสั้นว่า ‘ทีวีดิจิทัล’ นั้น คนไทยส่วนมากก็พอจะรับทราบกันในระดับหนึ่ง และเป็นช่วงระยะเวลามาช่วงหนึ่งพอสมควร

ที่สำคัญ ล่าสุด ซึ่งคงถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนไทยคือ มีการยืนยันจาก พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) แล้วว่า คนไทยจะได้ชมภาพและฟังเสียงจาก ‘ทีวีดิจิทัล’ เป็นครั้งแรกในวันที่ 5 ธันวาคม 2556 นี้อย่างแน่นอน

โดยในการประมูลช่องทีวีดิจิทัลทั้ง 30 ช่อง ในช่วงปี 2556 นี้ จะแบ่งเป็นช่องธุรกิจ 24 ช่อง และช่องสาธารณะ 6 ช่อง จากทั้งหมดที่จัดสรร 12 ช่องในกลุ่มสาธารณะ ส่วนช่องอื่นๆ ที่เหลือรวมทั้งทีวีดิจิทัล ประเภทชุมชน จะมีการจัดสรรใบอนุญาตให้ในปีหน้าฟ้าใหม่ต่อไป รวมเป็น 48 ช่อง

อย่างไรก็ดี ยังมีแง่มุมของความห่วงใยจากนักวิชาการ ที่ต้องเรียกว่า เชี่ยวชาญด้านทีวีดิจิทัลเลยก็ว่าได้ นั่นคือ ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ ผู้เป็นเจ้าของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก หัวข้อ Digital TV in Thailand ผู้ที่ได้ดีกรีดอกเตอร์ PhD in International Communication Macquarie University Sydney Australia

โดยระหว่างที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) คงกำลังคร่ำเคร่งให้การประมูลครั้งที่จะเกิดขึ้นผ่านไปด้วยดี นั้น ค่าที่ได้ศึกษาบทเรียนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง เนชั่นสุดสัปดาห์จึงได้โอกาสเข้าสัมภาษณ์ เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ แนวคิด ความคิดเห็น ในเชิงเปรียบเทียบว่า ในการเปลี่ยนผ่านจากโทรทัศน์ระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิทัลทีวี หรือเรียกว่า ‘อนาล็อคสวิทช์ออฟ ดิจิทัลสวิชท์โอเวอร์’ ที่กำลังจะเกิดในประเทศไทย แตกต่างหรือเหมือนหรือมีแนวโน้มที่จะเดินตามรอยทีวีดิจิทัลในต่างประเทศอย่างไร

เบื้องต้นต้องบอกว่า สิ่งที่ได้จาก ดร.สิขเรศ ในฐานะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญไม่แค่เรื่องทีวีดิจิทัล แต่ยังรวมไปถึงนิวมีเดีย และองค์ความรู้ทางสื่อสารมวลชนในด้านต่างๆ คือการฉายภาพให้เข้าใจกันง่ายๆ พร้อมตั้งคำถามหลายๆ คำถามไปพร้อมๆ กัน เกี่ยวกับภาพของอนาคตทีวีดิจิทัลไทย แบบเป็น Scenario Thinking หรือ กระบวนการคิดและคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคต เนื่องจากได้ศึกษาทีวีดิจิทัลมาแล้วด้วยตัวเองถึงโมเดลของประเทศต่างๆ อีกหลายประเทศ

อนึ่ง ปัจจุบัน ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ มีตำแหน่งเป็น ผู้อำนวยการ หลักสูตรนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา ‘การบริหารจัดการสื่อใหม่’ (Master of Communication Arts Program in New Media Management : NMM) ที่มหาวิทยาลัยเนชั่น อันเป็นหลักสูตรแรกในประเทศไทย ที่ใช้กรณีศึกษาจากที่เกิดขึ้นจริงในโลกนิวมีเดียสมัยใหม่มาให้นักศึกษาระดับปริญญาโทได้เรียนรู้การบริหารจัดการให้พัฒนาและอยู่รอด ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสื่อยุคใหม่ที่รวดเร็ว

ยังมีสาระข้อมูลอีกมากเกี่ยวกับนิวมีเดีย และกระบวนทัศน์ต่างๆ ทางสื่อสารมวลชน และเทคโนโลยีสื่อฯ ที่ ดร.สิขเรศ นำเสนอไว้อย่างน่าสนใจ ติดตามได้ที่ http://www.sikares-digitalmedia.blogspot.com, https://twitter.com/sikares และ https://www.facebook.com/drsikares อาจารย์ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง Digital TV in Thailand ทำไมสนใจเรื่องนี้

ครับ ผมทำทีสิส (Thesis) เล่มนี้ในช่วงปี 2004-2007 โดยประมาณ แล้วด้วยความที่ผมทำงานด้านโปรดักชั่นมาก่อน จนถึงโปรดิวเซอร์ สิ่งที่สนใจอย่างน้อยๆ มันก็ต้องแบ็คกราวด์ของตัวเราเอง แบ็คกราวด์ของเราก็อยู่ในแวดวงโทรทัศน์ ภาพยนตร์มาก่อน เพราะฉะนั้นเลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และช่วงนั้นเป็นช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อคไปสู่ดิจิทัลพอดี ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลีย เหมือนบ้านเราตอนนี้ เขาเริ่มมีกระบวนทัศน์ตรงนี้เกิดขึ้นแล้ว แต่ทีนี้ เข้าเนื้อหาก็คือว่า กระบวนทัศน์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลบ้านเรา จริงๆ แล้วมีมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1990 ก็คือช่วง 1998-99 ตอนนั้นเป็นช่วงที่เป็นการแข่งกันของเจ้าพ่อเทคโนโลยีของโลก เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นตอนนั้นเป็นเรื่องของการชิงธงความเป็นเจ้าพ่อทางด้านเทคโนโลยีบรอดคาสติ้ง จากยุคอนาล็อคมาสู่ยุคดิจิทัล

เป็นเจ้าพ่อเพื่ออะไร

ก็คือตอนนั้นใครที่จะสามารถโน้มน้าวใจ พูดง่ายๆว่า พวกนี้คือสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ทั้งหมด คำว่าเทคโนโลยีที่จริงก็คือสินค้านั่นเอง คือกระบวนการทุนนิยมนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะลองตีความนัยทางเศรษฐศาสตร์การเมืองก็ได้ จะเห็นว่ามันเป็นกระบวนการที่เราจะผ่องถ่ายเทคโนโลยีตรงนี้มาอย่างไร ในที่สุดก็รบกันซักพักหนึ่ง แต่ละประเทศก็ใช้ระบบและวิธีคิดของตัวเอง จนมีการเปลี่ยนผ่านจริงๆ ก็ในช่วงปลายปี 1990-2000 เริ่มมีการก่อตัวของนโยบายสาธารณะ เริ่มมีการพูดคุยกันในรัฐสภาของแต่ละที่ เริ่มมีการวางแผนของเรกกูเลเตอร์ หรือว่าองค์กรกำกับดูแลของแต่ละที่

มาสู่ความสนใจเรื่องทีวีดิจิทัลของบ้านเรา

จากงานของผมจะเห็นว่า แต่ละประเทศมีประสบการณ์ในการเปลี่ยนผ่านมา มีทั้งประสบการณ์ความสำเร็จ ประสบการณ์ความล้มเหลว นี่จึงเป็นแรงจูงใจของผม ที่ผมคิดว่า เรื่อง อนาล็อคสวิทช์ออฟ ดิจิทัลสวิทช์โอเวอร์ หรือว่าการเปลี่ยนผ่านมาสู่ระบบดิจิทัลมันน่าสนใจนะ มันสนุกและมันจะเห็นความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

อาจารย์ตั้งหัวข้อในเชิงเปรียบเทียบ จากช่วงเวลาแล้ว ตอนนั้นบ้านเรายังไม่มีทีวีดิจิทัลให้เปรียบเทียบหรือเปล่า

บ้านเราหลายคนเข้าใจผิดว่า โทรทัศน์ดิจิทัลมันเพิ่งเกิด และมันกำลังจะเกิด ไม่ใช่นะครับ(ยิ้ม) ประเด็นของเราถ้าพูดถึงคำว่าโทรทัศน์ดิจิทัล ผมอยากจะให้นิยามแก่คนอ่านให้ถูกต้องก่อนนิดหนึ่งก็คือว่า อันที่หนึ่งคำว่าโทรทัศน์ดิจิทัล ถ้าจะแบ่งตามแพลตฟอร์มหรือหมายถึงการแบ่งตามวิธีการส่งสัญญาณ ผมคิดว่าเราต้องมาบอกก่อนว่าโทรทัศน์ มันมีการส่งอยู่ 3-4 ลักษณะ หนึ่งส่งผ่านคลื่นความถี่ทางภาคพื้นดิน หรือ Terrestrial Television หรือโทรทัศน์ภาคพื้นดินนั่นเอง สองคือผ่านดาวเทียม หรือ Satellite Television อันที่สามก็คือผ่านสายเคเบิล หรือเคเบิลทีวีนั่นเอง และมันยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกนะ เช่น ไอพีทีวี หรือ Internet Protocal Television ก็คือโทรทัศน์ที่ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต แล้วยังมีเรื่องเกี่ยวกับ Second screen เพิ่มเติมเข้ามาอีก นี่คือระบบนิเวศของโทรทัศน์ มันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าจะแบ่งอย่างง่ายๆ 1.แบบใช้คลื่นความถี่ และ 2.แบบไม่ใช้คลื่นความถี่นั่นเอง

สิ่งที่เรากำลังพูดถึง คือ โทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน

ใช่ ถามว่า ทีวีดิจิทัลภาคพื้นดิน เพิ่งเริ่มมีการขยับเขยื้อนมีการปรับเปลี่ยน มีการทำตรงนี้ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ หลายคนรู้ ผู้ใหญ่ในวงการโทรทัศน์เรารู้ดี หลักฐานหนังสือช่วงปี 2543 มีการทดลอง ส่งสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดินระบบดิจิทัลเกิดขึ้น กี่ปีมาแล้วครับ ปีนี้ กสทช. บอกว่าจะทำการส่งสัญญาณทีวีดิจิทัล คือ 5 ธันวาคม 2556 ก็นับมาได้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว เรามีแล้วทีวีดิจิทัล เป็นโมเดลคล้ายกัน การทดลองออกอากาศเหมือนกัน ผู้ประกอบการผู้บริหารสถานีใหญ่ๆ ทั้งหมดทุกท่านทราบอยู่แล้ว จะเข้าร่วมโครงการตรงนี้อยู่แล้ว ถามว่า โทรทัศน์ดิจิทัล ภาคพื้นดินเพิ่งมีในประเทศไทยหรือเปล่า ผมตอบเลยไม่ใช่นะ มีการรับทราบ มีการอิมพลีเมนเตชั่นมาเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เราเป็นประเทศในกลุ่มแรกๆ เสียด้วยซ้ำไป ที่ได้เริ่มสัมผัสกับเทคโนโลยีโทรทัศน์ดิจิทัลภาคพื้นดิน

ความพร้อมของผู้ประกอบการในช่วงนั้นเป็นอย่างไร

ตอนนั้นผมทำวิทยานิพนธ์ปี 2004 -2007 โดยประมาณ ผมได้มีโอกาสไปสถานีโทรทัศน์ไทยเกือบทั้งหมด ได้มีโอกาสไปดูไปสังเกตการณ์ และได้คุยกับผู้บริหาร ซึ่งต้องขอขอบคุณ ถามว่าพร้อมไหม พร้อมนะครับ มันเหมือนกับการสับสวิทช์นะครับ ยกตัวอย่าง ช่วงนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างเทคโนโลยีการผลิตของโทรทัศน์อนาล็อคไปสู่ดิจิทัล ช่วงนั้นสวิทเชอร์ทั้งหมดรออยู่แล้ว เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมดแล้ว คือจะบอกว่าเป็นเชนที่ตลก คือสมัยนั้นเราทำงานทั้งหมดเลยด้วยเครื่องตัดต่อ ด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ด้วยเวอร์ชวลสตูดิโอ อะไรทุกอย่าง แต่เวลาเราเอาท์พุท เราต้องเอาท์พุทด้วยเทปเบต้าแคมคืออนาล็อค ต้องไปใส่เทปเพลย์เยอร์แล้วส่งสัญญาณออกอากาศอีกทีหนึ่ง ซึ่งในการส่งสัญญาณออกอากาศบางทีเราส่งขึ้นดาวเทียมเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งดาวเทียมสมัยนั้น ไทยคมก็เป็นดิจิทัลเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

แต่บ้านเราไม่เกิดเพราะอะไรคงต้องย้ำกันอีกที

ครับ เพราะเป็นช่วงสุญญากาศของ กสทช. เรามีเต็มที่คือ กทค. (คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม) ก็ไม่สามารถจะทำ บทบาทอะไรบางอย่างของ กสทช.ได้ เพราะการเปลี่ยนผ่านมันต้องใช้กลไกทางกฎหมาย มันต้องใช้กลไกทางการบังคับบัญชา มันต้องใช้กลไกลทางรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราจะมาบอก เอ้าช่อง 3 ส่งเลยนะดิจิทัล ไม่ได้ เพราะฉะนั้นในงานวิจัยของผมจึงบอกว่าถึงสิ่งเหล่านี้ว่า ที่เราไม่สามารถมีทีวีดิจิทัลได้เพราะเราไม่มีเรกกูเลเตอร์ หรือ กสทช. ที่มีอำนาจเปลี่ยนผ่านเด็ดขาด สิ่งเหล่านั้นคืออุปสรรค

ในต่างประเทศการเปลี่ยนผ่านของเขาติดปัญหาทำนองนี้ไหม

ร้อยแปดเหมือนกัน ยกตัวอย่างในอเมริกา แบบเขามีอีโก้ของตนเองมากในการเปลี่ยนผ่าน ช่วงปี 2002 เขาอยากจะทำ แต่ก็ทำไม่ได้ จนเลื่อนมาเรื่อยๆ จนปี 2009 คิดดูว่าเขาเริ่มพูดกันช่วงต้นปี 1999 กี่ปี ทศวรรษหนึ่งเลยนะ กว่าอเมริกาจะสวิทช์ออฟระบบอนาล็อคได้ เขามีเงินขนาดไหนเขายังใช้เวลา 10 ปีโดยประมาณ เพราะอะไร พูดเลยว่าเป็นแค่จุดเล็กๆ หลายเรื่องที่เราคิดไม่ถึง เช่น เพราะเขาไม่สามารถบริหารจัดการในการแจกคูปองสนับสนุนโทรทัศน์ดิจิทัลได้ และเซตท็อปบ๊อกซ์หรือกล่องรับสัญญาณ ไม่สามารถนำส่ง หรือไม่สามารถแจกจ่ายให้กับประชาชนได้ คือปัญหานี้ ต้องบอกเลยว่ามันคิดได้ไง (หัวเราะ)

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการยอมรับนวัตกรรม มันมีหลายระดับนะ สิ่งที่จูงใจของคนนะ อันที่ 1 ถ้ากลไกราคา ไม่เป็นที่พึงพอใจสำหรับผู้บริโภค เขาก็ปฏิเสธ เพราะฉะนั้นอเมริกาก็พยายามคิดเรื่องแจกคูปอง อันที่ 2 ถ้าคุณลักษณะหรือคุณภาพของมันเปรียบเทียบไม่แตกต่าง ประชาชนก็ยอมรับนวัตกรรมตรงนี้ไม่ได้ แล้วเราอย่าลืมว่าในเส้นเคิฟของนวัตกรรม มันมีกลุ่มคน 4-5 กลุ่ม จากคนที่รับนวัตกรรมได้เลย จนถึงคนที่ไม่เอาเลย เพราะฉะนั้นที่อเมริกา ปลายปี 2009 ตอนแรกต้องสวิทช์ออฟกุมภาฯ 2009 เลื่อนไปเป็นมิถุนายน 2009 โอบาม่าคนเซ็นกุมขมับเลย เลื่อนเพราะอะไร เพราะในช่วงสุดท้ายเขาทำการสำรวจ มีประชากรอเมริกาประมาณร้อยละเกือบ 15 เปอร์เซ็นต์ ไม่สนใจการเปลี่ยนตรงนี้ ถือว่าเยอะนะครับ เพราะอเมริกาประเทศใหญ่ ผลคือบางบ้านเขายังพอใจระบบเดิมอยู่ แล้วก็เรื่องคูปองที่ตกสำรวจอะไรก็แล้วแต่ นี่แค่ประเทศเดียวนะ ทางญี่ปุ่นเขาก็เลื่อนๆ เหมือนกัน (หัวเราะ)

บ้านเราถ้าเอาเรื่องการยอมรับนวัตกรรม

บ้านเรายังไม่มีการสำรวจตัวเลขที่แท้จริงเรื่องการยอมรับนวัตกรรมตรงนี้ ว่าคนยอมรับเทคโนโลยีตรงนี้ขนาดไหน อย่างไร แต่เรามีนะ ยังมีคนที่ไม่ยอมรับ คนไม่สนใจเลย เพราะฉะนั้น ถ้าถามถึงโทรทัศน์ดิจิทัล ถ้ามองง่ายๆ ก็บอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเปลี่ยนผ่าน แค่สับสวิทช์ แต่ถ้ามองยากก็คือว่า เราอย่าลืมว่าเรายังมีคนไม่พร้อม ยอมรับนวัตกรรม อย่างอเมริกาคนที่เขาคอนเซอร์เวทีฟก็เยอะและคนที่เขาไม่มีความจำเป็นก็มี เอาง่ายๆ ร้านผัดข้าวข้างตึกเรา ป้าเขาขอเปิดแค่ฟังเสียงล่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องยอมนับว่าเรามีประชาชนที่คิดแบบนี้ แล้วเราถูกหล่อหลอมมาด้วยโทรทัศน์ 3 5 7 9 มา 50-60 ปีแล้ว เราก็คิดว่าไม่จำเป็นไม่เป็นไร

ก็ไม่แปลกถ้าบ้านเราจะมีอุปสรรครออยู่

แน่นอน เหมือนกัน อย่างตอนนี้บ้านเราจะพูดคำว่า ‘สงครามแพลตฟอร์ม’ กันพร่ำเพรื่อ ผมจะบอกว่า ถ้าเราไม่เรกกูเลเตอร์ ภาคอุตสาหกรรมให้ร่วมมือกัน ทั้งภาคอุตสาหกรรมโทรทัศน์ อุตสาหกรรมผู้ผลิต ผมคิดว่าการเปลี่ยนผ่านจะมีอุปสรรค เพราะทุกวันนี้ดู มีวาทกรรม มีแนวโน้ม หรือมีอะไรก็แล้วแต่ มีการขีดเส้นระหว่างโทรทัศน์ดาวเทียม โทรทัศน์เคเบิล และโทรทัศน์ภาคพื้นดิน อันนี้จะเป็นจุดวิกฤติที่เป็นอุปสรรค เลิกพูดเลยคำว่าสงครามแพลตฟอร์ม เลิกพูดได้แล้ว เราคิดว่าเรายิ่งใหญ่จนต้องมาขีดเส้นกันขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะอะไร อังกฤษมีประสบการณ์นี้มาแล้วพยายามจะเตะคนออกไปจากวงโคจร คือสมัยที่เขาทำโทรทัศน์ดิจิทัลใหม่ๆ เขาล้มเลย ไอทีวียูเค คือถ้าเราเตะคนออกจากวงการ ลองคิดดูนะ เคเบิลกับแซทเทลไลท์จะเป็นตัวเล่นโทรทัศน์ภาคพื้นดินอย่างมาก เพราะตอนนี้ตัวเลขอยู่ 52 ความเป็นจริงไม่รู้เท่าไหร่ กลุ่มนี้มีพลังนะ ถึงแม้ว่าเราจะวิจารณ์เนื้อหาเขาว่าไร้สาระอะไรก็แล้วแต่ โทรทัศน์ป้าเช็งนะ โทรทัศน์โอนามิ อย่าไปดูถูกลีน่าจังนะ เพราะฉะนั้นเราจะมีวิธีไหนไหม ในการสมานพวกนี้เข้ามาด้วยกัน เพราะในที่สุดแล้วมันคือคอนเวอร์เจนซ์มันต้องรวมกันหมด ไอแพด สมาร์ทโฟนเป็นตัวอย่าง มันคอนเวอร์เจนท์กันหมดเรียบร้อยแล้ว ถ้าพูดคำว่าสงครามแพลตฟอร์ม มันคือแบ่งแยก เราต้องนิยามใหม่ แล้วมาคิดกันว่าเราจะไดรฟ์กันอย่างไรในอีก 15 ปีข้างหน้า ตามระยะเวลาของไลเซนส์ของทีวีจิทัลที่จะประมูลได้กัน

เรามีโอกาสเดินพลาดเหมือนประเทศต่างๆ ที่เล่ามานี้

การศึกษาเปรียบเทียบในสาขาที่ผมเรียนมาหรือว่าอินเตอร์เนชั่นแนลคอมมิวนิเคชั่น มันให้ข้อดีกับผมคือเราเรียนรู้ร่วมกัน คือตอนนี้สังคมไทยวิพากษ์อย่างเดียว ไม่เสนอทางออก ผมก็อยากจะนำเสนอทางออกในส่วนของคนเล็กๆ มุมเล็กๆ เป็นลูกชาวบ้านนี่แหละ ถามว่าผมสนับสนุนไหมทีวีดิจิทัล เต็มที่เลย แต่ผมไม่อยากให้ หนึ่ง-เราเสียเงินเปล่าโดยใช่เหตุ คิดดูนะครับ ราคาประมูลตั้งต้น 20,000 กว่าล้านมันมาจากไหน นอกจากนี้ยังมีค่ามัลติเพล็กซ์ คือค่าเช่าโครงข่ายส่งสัญญาณ ซึ่งยังไม่เปิดเผยข้อมูลที่มันเป็นทางการ ซึ่งถ้ามันราคาตามที่เราได้ยิน ผมว่าผู้ประกอบการตาย อันที่ 3 ค่าประกอบการ สามขา ไม่ว่าจะภาคไหน แต่ผมเนี่ย รักภาคประชาชนมากๆ แต่ถ้าใครบอกว่า ภาคพาณิชย์ ไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่นะ ภาคพาณิชย์ก็หมายถึงภาคประชาชนด้วย เพราะอะไร คือถ้าเขาเจ๊ง คนเป็นร้อยตกงานไหม

เพราะฉะนั้นง่ายๆ เลย ผมถาม สูตร หรือฟอร์มูล่าในการประมูล เคยเปิดเผยก่อนที่จะประกาศไหม เมืองนอกไม่มีหรอกครับ จะโกรธผมก็ได้นะ เมืองนอกไม่มีหรอกนะที่จะจ้างที่เดียวให้ทำ เขาต้องมีจัดสาธารณะ หมายถึง เรื่องเกี่ยวกับงานวิจัย การตั้งราคาประมูล มันเหมือนกับ 3 จี ผมอ่านงานวิจัยสิบกว่าหน้า ผมเชื่อเลยว่า คณาจารย์ทั้งหมด หวังดีกับประเทศ และมีการนำเสนอออพชั่น มีการนำเสนอข้อมูลอย่างดี แต่อาจมีการหยิบยกแค่พารากราฟเดียว หน้าเดียว เอาไปใช้

ซึ่งโทรทัศน์ดิจิทัลยิ่งกว่าอีก คือผมไม่เคยเห็นเลย ถามว่ามันถึงจุดหนึ่ง มันก็ต้องมีการวิพากษ์กันทั้งนั้น ผมว่ามันทุกฝ่ายด้วยนะ ผู้ประกอบการจะได้ดีเฟนด์ได้ อุ๊ยราคาถูกไป ราคาสูงไป โอเคคุณจะเอาเศรษฐศาสตร์แบบไหนมาจับ ผมเชื่อว่าคนประเทศนี้เก่งเศรษฐศาสตร์และวิศวะที่คำนวณตรงนี้ได้เยอะมาก ซึ่งผมอาจจะแค่ปลายแถว แต่ผมถามว่าราคาตรงนี้มาจากไหน และกลไกอื่นๆ อีก

อาจารย์ศึกษาความล้มเหลวของต่างประเทศมา เห็นอะไรของบ้านเรา

สามส่วนนี้ คุณต้องมองซีนารีโออีก 15 ปี ของประเทศนี้ ถามว่ามันจะล้มไหม ผู้ประกอบการ กิจการ ผมเชื่อว่ามันจะมีล้ม มีลุกไหม มี ถามว่าอาจารย์ไปยุ่งอะไรกับเขา อาจารย์มาเข้าข้างเชิงพาณิชย์ไปไหม ผมก็คิดว่าโอย ถ้าอย่างนั้นไม่ถูกแล้ว ผมเป็นคนเดียวด้วยซ้ำไปในเวลานี้ ที่ขออนุญาตเลยนะ โทรทัศน์ชุมชน โทรทัศน์ภาคประชาชน ยังไม่มีใครพูดถึงเลย อย่างช่องสาธารณะที่ทำอยู่ มันก็ลับลวงพรางกันอยู่หรือเปล่า เพราะกำลังเงี้ยวๆๆ อยู่ แต่อีก 12 ช่องของประชาชนไม่มีใครพูดถึงเลย เหมือนกับประชาชนถูดเตะออกหมด เรามัวแต่เถียงกันเรื่องช่องสาธารณะ ช่องพาณิชย์ แต่ช่องบริการชุมชนล่ะ ผมกราบเรียน วิงวอนเถอะใครก็ได้ช่วยพูดเรื่องนี้ที ช่วยนำมาเป็นประเด็นสาธารณะในสังคมที
คำถาม คือ มันจะล้มได้ไหม อังกฤษล้มมาแล้ว สเปนล้มมาแล้ว เพราะเชื่อมั่นในตัวเองตัดสินใจผิด ฝรั่งเศสไปดูงานวิจัยของไทยพาณิชย์ 5-6 ปี กว่าผู้ประกอบการจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ เหมือนกัน มันจะเป็นเคิฟเหวเลยครับ กว่าจะขึ้นมา บางประเทศเป็นรูปตัววี บางประเทศเป็นรูปตัวยู เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ได้มาพูดเพื่อไซโค ถามว่าสิขเรศ คุณแหม ไม่ใช่ครับ ผมกำลังถามว่าพวกเรามาย้อนคิดกันอีกทีไหม ในส่วนที่เรายังไม่ได้กำหนดหรือประกาศอะไรก็แล้วแต่ มาช่วยกัน ได้ไหม

แต่ทุกอย่างไม่ได้มาฟรีๆ

ใช่ แต่ถามว่า 20,000 ล้านราคาตั้งต้น มาจากไหน หรือจะเอามาช่วยเรื่องเซตท็อปบ๊อกซ์ ถามว่ามันเป็นโมเดลอย่างนั้นใช่ไหม ถามประชาชนหรือยังว่าเขาอยากได้เซตท็อปบ็อกซ์หรือเปล่า มันมีวิธีอื่นไหมในการรับสัญญาณ โมเดลการแจกจ่ายทำไมถึงใช้โมเดลอเมริกา ยังมีโมเดลอังกฤษอีกนะ มันไม่มีเวทีสาธารณะให้นักวิชาการ หรือคนที่มีประสบการณ์อยู่ที่ประเทศนั้น หรือที่เขาผ่านประสบการณ์มาได้รู้ ว่ามันมีข้อดี-ข้อเสียอะไร ผมไม่เคยได้ยิน มีแต่มติออกมา มติออก มติออก ง่ายๆ เลยประชาพิจารณ์ ผมไปมาหลายที่ ตอนเช้าจบ ตอนบ่ายจบ มีคนพรีเซ้นต์ เปเปอร์ มีเวที เปิดไมค์แป๊บหนึ่ง ครึ่งวัน หรือเกือบวัน ผมว่าอันนี้ไม่ใช่ประชาพิจารณ์ ไม่ใช่การรับฟัง

สรุปง่ายๆ คนไทยยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ ที่ควรรับรู้ นอกเหนือจากฉันจะมีทีวีดูชัดขึ้น จะได้กล่องแจกฟรี

เอาภาพกว้างนะ ต่างประเทศที่ผมศึกษามา เขาจะเน้นเลยว่า กระบวนการเปลี่ยนผ่านที่ประสบความสำเร็จคืออะไร สิ่งหนึ่งเลยคือ การรณรงค์โครงการสื่อสารให้ภาคประชาชนได้รับทราบ ที่ไม่ใช่งานเปิดผ้าคลุมป้ายอย่างเดียว หรืองานตัดริบบิ้น หรืองานจัดโชว์ที่ศูนย์การประชุมใหญ่ๆ อย่างเดียว มันต้องมีกลยุทธ์ในเชิงรุก ที่ กสทช. บางทีรับงานอะไรจนล้นภาระจนเกินไป ตัวเองน่าจะทำเรื่องการวางกรอบนโยบายให้ดีและมีเหตุผลที่สุด เป็นผู้คุมกฎที่ดีที่สุด เมืองนอกทุกที่ครับ เขาใช้หน่วยงานภาคเอกชน เขาให้เอกชนเป็นตัวไดรฟ์ เรื่องเกี่ยวกับกระบวนการการรณรงค์ รัฐก็เปิดทางไฟเขียว แล้วก็ดึงภาคอุตสาหกรรมมา เช่น ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์ กับผู้ประกอบการของภาคอุตสาหกรรมเครื่องรับโทรทัศน์ ตั้งเป็นกลุ่มขับเคลื่อนโทรทัศน์ดิจิทัล และมีหน่วยงานที่คุ้มครองสิทธิประชาชน คุ้มครองผู้บริโภค แล้วจัดตั้งหน่วยงานแบบ ดิจิทัลยูเค คือเขามีกันแล้วทุกประเทศ ออสเตรเลียก็มี อเมริกาก็มี เป็นหน่วยงานที่ขับเคลื่อนพลวัตของโทรทัศน์ดิจิทัลภาคประชาชน เพื่อทำแคมเปญ เดินสาย โรดโชว์ ให้ข้อมูล คอลเซ็นเตอร์ วิทยากร ทุกอย่าง

ยังมีเรื่องเซตท็อปบ๊อกซ์ เพราะตอนนี้ มีหากกล่องหลากสีมาก เซตท็อปบ๊อกซ์มาจากไหน เสิ่นเจิ้นอินดัสตรีไหม มันคืออะไร มันคือเงินทองรั่วไหลไป ผมไม่เชื่อหรอกว่าประเทศไทยผลิตไม่ได้ ทำไมภาครัฐไม่เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมเรา การที่เราอยู่ดีๆ ให้ล็อตใหญ่ บิ๊กล็อต สั่งมาจากเมืองจีน อันนี้ผมคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญนะครับ สิทธิของนักวิชาการ สามารถพูดได้ไม่ต้องมาฟ้องนะครับ คืออะไร เราพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเราสิ เรารู้อยู่แล้ว แต่เรามีวิธีไหนไหมที่เราจะเอาเงินมาผ่องถ่ายตรงนี้ สัก 30% เป็นค่าแรงงานของคนในประเทศ 30% ของหมื่นล้านได้เท่าไหร่

ยังมีอะไรจะฝากถึง กสทช. อีกไหม

ที่จะฝากนะ กสทช. ไปเอาโมเดลของอเมริกาที่สิบปีที่แล้ว ซึ่งมันไม่เข้ากับสังคม ตอนนี้ถ้าจะมองซีนาริโอแบบหยาบๆ นะ โมเดลมันมีอยู่ 4 กลุ่มเรียบร้อยแล้ว (ทีวีภาคพื้นดิน ทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ไอพีทีวี ) แล้วยังมีจอที่สองอีก ถ้าคุณจะเอาโมเดล 48 ช่อง แบบสมัยโบราณ ยกตัวอย่าง ‘ฮอร์โมนส์’ผมถามเด็กที่ผมสอนเลยว่าดูยังไง เขาบอกแนวมาก เขาบอกว่ารีโมทหาไม่เจอแล้ว แต่ดูย้อนหลังผ่านยูทูบ ถามว่าดูบนไหน ดูบนจอที่สอง คือ แทบเล็ต สมาร์ทโฟน เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจกันใหม่เรื่อง ภูมิสถาปัตย์ หรือระบบนิเวศของสื่อมันเปลี่ยนไปแล้ว ผมยังไม่รู้เลยว่า ประมูลมาเพื่ออะไร แต่ถามผมว่าทีวีดิจิทัล ดีไหม ผมสนับสนุนทำเลย แต่ทำยังไงล่ะที่บอก ทำให้ดี ถ้าสถานีโทรทัศน์เราล้มรายหนึ่ง เกิดอะไรขึ้น เอาง่ายๆ ของเนชั่น พนักงานกี่คน เป็นพันไหม (ยิ้ม) ส่งเงินให้พ่อ-แม่กี่คน เลี้ยงลูกกี่คน แล้วมันไม่ใช่แต่สถานีอย่างเดียว ยังมี เอเยนซี โปรดักชั่นเฮาส์ ทั้งหมดนี้ แค่ไม่จ่ายเงินเดือนๆ เดียว พังทั้งระบบ นี่ล่อไป 48 ช่อง ตัวอย่างมันมีอยู่แล้ว ไอทีวีของอังกฤษล้ม เป็นหมื่นๆ ล้านเลยเงินตรงนี้

อีกกลุ่มคือ โทรทัศน์ภาคประชาชน หรือชุมชนที่อาจารย์บอกก็ห่วง กสทช. จะทำยังไง

ผมคิดว่าคนที่จะต้องเข้ามาช่วยจริงๆ เลยนะ ผมแหย่จริงๆ เลยนะ คือแทนที่ กสทช.สุภิญญา จะมาแง้ว ๆ ๆ อยู่ตลอดเวลานะ ถ้าเป็นผม ผมจะเดินเกมตรงนี้ให้ชัด เพราะตอนนี้ถ้าดูแล้ว กสทช. สุภิญญา กับ หมอประวิทย์นะ (สุภิญญากลางณรงค์ กรรมการกสทช และนพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค) แพ้ทุกรูป โหวต ก็ 8 ต่อ 2 หรือ 4 ต่อ 1 หรือ 3 ต่อ 2 ยังไงคุณก็แพ้ ถ้าเอาประเด็นเรื่องทีวีดิจิทัล ขอกลับมาตั้งหลัก ผมส่งสัญญาณเลยนะ รีบกลับมาตั้งหลักเลย มาช่วยกันดูโทรทัศน์บริการชุมชนซะตั้งแต่วันนี้เลย ช่วยโพรเทค ช่วยมาสร้างระบบอย่างที่บอก มันต้องมีเฟรมมิ่งก่อนนะ มันต้องมีการพัฒนาก่อน

แต่ยังไงเสียเดือนธันวาคมนี้เราจะได้เห็นทีวีดิจิทัล แน่ๆ ใช่ไหม

ผมเชื่อว่าในความหมายของ กสทช. ที่เขาอยากจะให้เกิด มันเกิดได้ มันแพร่ภาพได้แน่นอน ในเชิงเทคนิค ดีเดย์วันนั้นก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ฝากง่ายๆ เลย ว่า ผมยังไม่เคยเห็น สวิทช์โอเวอร์โพลิซี หรือแผนการเปลี่ยนผ่าน จริงๆ ผมยังไม่เห็นเลยว่าเฟสต่างๆ ที่ทำมันเป็นยังไง มีอะไรบ้าง ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมอยากจะเห็นโรดแมพจริงๆ กลวิธี มันมีเยอะหลายโมเดลในการสวิทช์ออฟอนาล็อค คุณช่วยนำเสนอสู่สาธารณะนิดหนึ่งสิ เอาโมเดลของคุณแหละ และตีโจทย์อื่นๆ เช่น เซตท็อปบอกซ์ ทำไมเอาโมเดลอเมริกา คุณถอดองค์ความรู้ของโมเดลอเมริกามามากน้อยขนาดไหน ยังมีเรื่องอื่นอีกนะที่ไม่ได้พูด ถามว่าธันวานี้ไปได้ไหม ไปได้ แต่ไปได้อย่างประเทศได้ประโยชน์หรือเปล่า ผมไม่ค่อยแน่ใจ สุดท้ายขีดเส้นใต้ ผมสนับสนุนทีวีดิจิทัลร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเข้าใจทุกซีนาริโอว่าทำไมมันต้องเปลี่ยน แต่ไส้กลางที่ต้องนำมาวิพากษ์กันสู่สาธารณะ คือประโยชน์ของชาติ

ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล โดย ดร.สิขเรศ ศิรากานต์
ปอกเปลือกทีวีดิจิทัล โดย ดร.สิขเรศ ศิรากานต์

อาชีวะทุ่มงบฯ ช่วยอุทกภัย

9 สิงหาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมใน 21 จังหวัดตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จึงจัดงบประมาณให้วิทยาลัยในพื้นที่น้ำท่วมรวม 10.5 ล้านบาท เพื่อประสานผู้ว่าราชการจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอให้นักเรียน นักศึกษาได้ลงพื้นที่นำประสบการณ์จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ไปช่วยเหลือประชาชน ถือเป็นการฝึกภาคสนามได้คะแนน และมีอยู่ในการเรียนการสอนปกติ

สำหรับช่วง 3 เดือนจากนี้ ไทยมีโอกาสเสี่ยงต่อผลกระทบจากพายุอีกหลายลูก จึงสั่งการให้วิทยาลัยในสังกัดเตรียมพร้อมทั้งยานพาหนะ เครื่องมือจำเป็น หากเกิดเหตุวิทยาลัยที่อยู่ในพื้นที่สามารถลงไปช่วยเหลือประชาชนทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

“อาชีวะลงพื้นที่หลายครั้ง พบว่าสิ่งที่ชาวบ้านต้องการให้ช่วยเหลือมากที่สุด คือ การซ่อมแซมเครื่องรถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า สอศ.ได้สนับสนุนงบประมาณ 16 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้กับวิทยาลัยแห่งละ 5 หมื่นบาท ช่วง 3 เดือนนี้ หากเกิดเหตุขึ้น เด็กอาชีวะจะลงพื้นที่ได้ทันที สอศ.จะจัดสรรงบฯ เพิ่มให้อีกก้อน” เลขาธิการ กอศ.กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33652&Key=hotnews

 

จี้ยกเครื่อง สคบศ.-เวิร์กช็อปองค์กร ‘อ๋อย’ สั่งเร่งปฏิรูปหลักสูตร-พัฒนาครู-ขยับพิซ่า

9 สิงหาคม 2556

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ขณะนี้ผู้บริหารแต่ละองค์กรรับนโยบายตนไปคิดวิเคราะห์กันต่อ และเตรียมที่จะขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ในนโยบายหลักๆ ทุกองค์กรมีความเห็นสอดคล้องกัน โดยขณะนี้ก็กำลังจะจัดเวิร์กช็อปรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีโอกาสซักถามเสนอแนะ พอแต่ละองค์กรไปจัดเวิร์กช็อปกันแล้วก็จะจัดสัมมนาขนาดใหญ่ที่จะจัดร่วมกัน โดยมีสำนักงานปลัดศธ. เป็นเจ้าภาพหลักในช่วงกลางเดือนก.ย.นี้ โดยให้แต่ละองค์กรนำเสนอแผนปฏิบัติการ เป้าหมาย ตัวชี้วัด ที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นว่าการยกระดับการศึกษา ปฏิรูปการเรียนการสอน การสร้างคนให้ตรงกับความต้องการของประเทศจะดำเนินการอย่างไร

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า สัญญาณที่ดี คือ ภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสมาคม องค์กรที่จัดการศึกษาเอกชนที่มาหารือกับตนไปแล้ว ก็จะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกัน ในเร็วๆ นี้ โดยศธ.ต้องการได้ความร่วมมือ และพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนจัดการศึกษาอย่างเต็มที่ และต้องการให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นร.ร.ที่มีคุณภาพมาเป็นต้นแบบให้คำแนะนำ

“การปฏิรูปหลักสูตรจะทำต่อ โดยเชิญสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และ ผู้เชี่ยวชาญในการทำหลักสูตรเข้ามาร่วมด้วย แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือการปฏิรูปการเรียนการสอน พัฒนาครูทั้งระบบ ซึ่งจะต้องคุยกันเพื่อยกเครื่องสถาบันพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) เรื่องที่จะทำให้หลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องขับเคลื่อนร่วมกัน คือ การยกระดับให้ไทยเลื่อนอันดับการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ PISA เร็วๆ นี้จะมีคณะกรรมการขับเคลื่อนขึ้นมา เป็นครั้งแรกของประเทศ ที่มีการตั้งเป้าว่าจะเลื่อนอันดับ PISA สูงขึ้นให้ได้” นายจาตุรนต์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33651&Key=hotnews

ศธ.รื้อเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน

9 สิงหาคม 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “จาตุรนต์”สั่ง สกศ.รวมปัญหาอุดหนุนรายหัวทุกสังกัด วางระบบอุดหนุนรายหัวใหม่โยนหินถามทางควรกำหนดเพดานนร.ต่อห้องให้มีผลต่อการจัดสรรเงินด้วยหรือไม่ ชี้รัฐอาจต้องอุดหนุนเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ร.ร.เพิ่มอีกทางหนึ่ง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า ตนได้มอบโจทย์ให้ สกศ.ไปรวบรวมข้อมูลปัญหาเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนในสถานศึกษาทุกสังกัด จากที่ตนได้รับฟังปัญหาต่างๆ ของทุกหน่วยงานพบว่ามีการเสนอขอปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้สูงขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและมีผลต่อการพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ ตนมองว่านี่เป็นเพียงมิติหนึ่งเท่านั้นแต่ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่นการอุดหนุนโดยไม่คำนึงถึงขนาดของสถานศึกษาจนส่งผลต่อคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ เช่น ร.ร.ขนาดเล็ก จำนวนเด็ก 50 คนคูณด้วยเงินอุดหนุนพบว่าเงินที่ร.ร.ขนาดเล็กได้ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือทำกิจกรรมใดได้เลย ส่วนอาชีวะพบว่าเงินอุดหนุนรายหัวไม่สอดคล้องกับกรณีผู้เรียนในสาขาช่างบางสาขา ซึ่งต้องมีอุปกรณ์การเรียนเฉพาะและมีราคาสูงเพราะฉะนั้น ต้องมาคิดว่าควรจะมีเงินอุดหนุนต่อโรงเรียนด้วยหรือไม่ แทนที่จะมีเงินอุดหนุนรายหัวเพียงอย่างเดียว

“อีกปัญหา ร.ร.ขนาดใหญ่ดูดเด็กจาก ร.ร.ขนาดเล็กไปจนทำอะไรไม่ได้และกลายเป็นว่า ร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็กมากได้เงินรายหัวมาก ถ้าเราต้องการให้ร.ร.ขนาดเล็กยังคงอยู่จะต้องหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้ โดยอาจจะต้องมาดูว่าต่อไปการอุดหนุนรายหัวควรจะต้องกำหนดเพดานจำนวนเด็กต่อห้องหรือไม่ เช่นไม่เกิน 45 คนต่อห้องเพราะไม่เช่นนั้นหากร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็ก 60 คนต่อห้องมีเงินอุดหนุนมากแต่กลับกันคุณภาพการศึกษายังต่ำก็จะเกิดปัญหา ตรงนี้ต้องให้นักการศึกษาช่วยวิเคราะห์ว่าจำนวนเท่าใดจึงจะเหมาะสม ขณะเดียวกัน อาจต้องมาดูเพิ่มเติมว่ารัฐต้องอุดหนุนในกิจกรรมพื้นฐานใดบ้างนอกเหนือจากเงินรายหัวเด็ก” นายจาตุรนต์ กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ตนให้ สกศ.รวบรวมปัญหาและวิเคราะห์จัดทำระบบวิธีการ หลักเกณฑ์การอุดหนุนรายหัวที่เหมาะสมกับสถานศึกษาแต่ละประเภทใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเพิ่มหรือไม่เพิ่มงบประมาณอุดหนุนรายหัว ซึ่งหากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ2557 แต่หากต้องมีการปรับเปลี่ยนวงเงินงบประมาณต้องดูว่าสำนักงบประมาณจะช่วยจัดหางบเพิ่มเติมได้หรือไม่หากไม่ได้คงไม่ทันปีการศึกษา 2557

ด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ สกศ. กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ให้โจทย์ สกศ.ไปดูว่านอกเหนือจากการอุดหนุนใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่ากิจกรรม เราจะต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อสนับสนุน ร.ร. บ้างซึ่งจะให้พิจารณาตามขนาดของร.ร.ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่รวมไปถึงระยทางใกล้ หรือไกลด้วยเมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะไปคุยทุกสังกัดอย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ความสรุปภายใน 2 สัปดาห์จากนั้นจะรายงานให้รมว.ศธ.รับทราบต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33650&Key=hotnews

ศธ.รื้อเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียน

9 สิงหาคม 2556

ASTVผู้จัดการรายวัน – “จาตุรนต์”สั่ง สกศ.รวมปัญหาอุดหนุนรายหัวทุกสังกัด วางระบบอุดหนุนรายหัวใหม่โยนหินถามทางควรกำหนดเพดานนร.ต่อห้องให้มีผลต่อการจัดสรรเงินด้วยหรือไม่ ชี้รัฐอาจต้องอุดหนุนเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ร.ร.เพิ่มอีกทางหนึ่ง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ว่า ตนได้มอบโจทย์ให้ สกศ.ไปรวบรวมข้อมูลปัญหาเงินอุดหนุนรายหัวของนักเรียนในสถานศึกษาทุกสังกัด จากที่ตนได้รับฟังปัญหาต่างๆ ของทุกหน่วยงานพบว่ามีการเสนอขอปรับเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้สูงขึ้น โดยอ้างว่าเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและมีผลต่อการพัฒนาการศึกษา ทั้งนี้ ตนมองว่านี่เป็นเพียงมิติหนึ่งเท่านั้นแต่ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้อง เช่นการอุดหนุนโดยไม่คำนึงถึงขนาดของสถานศึกษาจนส่งผลต่อคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาต่ำ เช่น ร.ร.ขนาดเล็ก จำนวนเด็ก 50 คนคูณด้วยเงินอุดหนุนพบว่าเงินที่ร.ร.ขนาดเล็กได้ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาหรือทำกิจกรรมใดได้เลย ส่วนอาชีวะพบว่าเงินอุดหนุนรายหัวไม่สอดคล้องกับกรณีผู้เรียนในสาขาช่างบางสาขา ซึ่งต้องมีอุปกรณ์การเรียนเฉพาะและมีราคาสูงเพราะฉะนั้น ต้องมาคิดว่าควรจะมีเงินอุดหนุนต่อโรงเรียนด้วยหรือไม่ แทนที่จะมีเงินอุดหนุนรายหัวเพียงอย่างเดียว

“อีกปัญหาร.ร.ขนาดใหญ่ดูดเด็กจาก ร.ร.ขนาดเล็กไปจนทำอะไรไม่ได้และกลายเป็นว่า ร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็กมากได้เงินรายหัวมาก ถ้าเราต้องการให้ร.ร.ขนาดเล็กยังคงอยู่จะต้องหาวิธีการช่วยเหลือเพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้ โดยอาจจะต้องมาดูว่าต่อไปการอุดหนุนรายหัวควรจะต้องกำหนดเพดานจำนวนเด็กต่อห้องหรือไม่ เช่นไม่เกิน 45 คนต่อห้องเพราะไม่เช่นนั้นหากร.ร.ขนาดใหญ่มีเด็ก 60 คนต่อห้องมีเงินอุดหนุนมากแต่กลับกันคุณภาพการศึกษายังต่ำก็จะเกิดปัญหา ตรงนี้ต้องให้นักการศึกษาช่วยวิเคราะห์ว่าจำนวนเท่าใดจึงจะเหมาะสม ขณะเดียวกัน อาจต้องมาดูเพิ่มเติมว่ารัฐต้องอุดหนุนในกิจกรรมพื้นฐานใดบ้างนอกเหนือจากเงินรายหัวเด็ก” นายจาตุรนต์ กล่าว

รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อว่า ตนให้ สกศ.รวบรวมปัญหาและวิเคราะห์จัดทำระบบวิธีการ หลักเกณฑ์การอุดหนุนรายหัวที่เหมาะสมกับสถานศึกษาแต่ละประเภทใหม่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเพิ่มหรือไม่เพิ่มงบประมาณอุดหนุนรายหัว ซึ่งหากไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในปีงบประมาณ2557 แต่หากต้องมีการปรับเปลี่ยนวงเงินงบประมาณต้องดูว่าสำนักงบประมาณจะช่วยจัดหางบเพิ่มเติมได้หรือไม่หากไม่ได้คงไม่ทันปีการศึกษา 2557

ด้าน น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการ สกศ. กล่าวว่า รมว.ศึกษาธิการ ให้โจทย์ สกศ.ไปดูว่านอกเหนือจากการอุดหนุนใน 5 รายการ ได้แก่ ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน ค่ากิจกรรม เราจะต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อสนับสนุน ร.ร. บ้างซึ่งจะให้พิจารณาตามขนาดของร.ร.ตั้งแต่ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่รวมไปถึงระยทางใกล้ หรือไกลด้วยเมื่อได้ข้อสรุปแล้วจะไปคุยทุกสังกัดอย่างไรก็ตาม คาดว่าจะได้ความสรุปภายใน 2 สัปดาห์จากนั้นจะรายงานให้รมว.ศธ.รับทราบต่อไป

ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33650&Key=hotnews

เข้มปล่อยกู้ ช.พ.ค.เหลือเงินเดือน 30%

9 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกู้ยืมเงิน ช.พ.ค.ใหม่แล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมและวิถีชีวิตในปัจจุบัน โดยเงื่อนไขใหม่ของโครงการสวัสดิการเงินกู้ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท และเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท กำหนดให้ผู้กู้ต้องกันเงินเดือนสุทธิหลังจากหักการชำระหนี้แล้วต้องเหลือ ไม่น้อยกว่า 30% ตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และยังได้กำหนดคุณสมบัติ ผู้กู้ใหม่ ได้แก่ อายุการเป็นสมาชิก ช.พ.ค.1 ปีขึ้นไป กู้ได้ไม่เกิน 6 แสนบาท อายุการ เป็นสมาชิก 2 ปีขึ้นไปกู้ได้ไม่เกิน 1.2 ล้าน บาท และอายุการเป็น สมาชิก 3 ปีขึ้นไป กู้ได้ไม่เกิน 3 ล้านบาท

เลขาธิการ สกสค. กล่าวต่อว่า การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อเป็นหลัก ประกันในเรื่องหนี้ เสียและยังเป็นการเฝ้าระวังวินัยทางการเงินของข้าราชการครูที่เป็นสมาชิก ช.พ.ค.ด้วย ซึ่งการกำหนดให้เหลือเงินไม่น้อยกว่า 30% ถือเป็นเงื่อนไขที่ดีในการแก้ไขเรื่องหนี้ได้ ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ สกสค.จะเสนอจัดตั้งธนาคารครูนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ อยู่

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33649&Key=hotnews

คุรุสภาเล็งถอนตั๋วครูผช.ถูกปลดออกก.ค.ศ.แจ้งชื่อล็อตแรกให้กมว.แล้วกว่า 20 ราย บอร์ดหารือยกเลิก ‘ตลอดชีพ-ชั่วคราว’ 20ส.ค.

9 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม นายพลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้แจ้งให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การศึกษา พิจารณาปลดออกครูผู้ช่วย 344 ราย ตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ระบุว่าทุจริตในการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 นั้น คุรุสภาไม่ได้นิ่งนอนใจในการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูผู้ช่วยที่ถูกปลดออก โดยได้ประสานขอรายชื่อ ข้อมูลต่างๆ ของครูผู้ช่วย ที่ ผู้อำนวยการโรงเรียนสั่งให้ออกจากราชการจาก ก.ค.ศ.แล้ว ซึ่งขณะนี้ได้ทยอยแจ้งชื่อมาให้คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ซึ่งตนเป็นประธาน ในรอบแรกประมาณ 20 ราย แล้ว และจะทยอยส่งรายชื่อมาให้อีก โดย ขั้นตอนการพิจารณานั้น ทางคณะอนุกรรมการของ กมว.จะเป็นผู้พิจารณาก่อนในขั้นแรก จากนั้นจะนำเสนอให้ กมว.พิจารณา เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาพิจารณาเห็นชอบเพิกถอนต่อไป และหลังจากเพิกถอนแล้ว จะต้องแจ้งให้ผู้ถูกเพิกถอนทราบต่อไป

“ขั้นตอนการพิจารณาของ กมว.จะต้องให้คณะอนุกรรมการ กมว.ด้านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพพิจารณาข้อมูล เอกสาร หลักฐาน สำนวน ที่ได้รับมาว่าจะเข้าข่าย ความผิดตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพใดบ้าง ซึ่งเบื้องต้นน่าจะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติในเรื่องคุณธรรม จริยธรรม จากนั้นจะได้พิจารณาฐานความผิดว่าจะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูตลอดชีวิต หรือถูกสั่งพักการใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูชั่วคราว 3-5 ปี” นายพลสัณห์กล่าว

นายพลสัณห์กล่าวอีกว่า ส่วนตัวเห็นว่ากลุ่มครูผู้ช่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มปลายเหตุ เหมือนตกเป็นเหยื่อของขบวนการทุจริตที่มีข้าราชการนำข้อสอบไปขาย ซึ่งคงต้องดูว่ามีความผิดหนักมากแค่ไหน และจะเข้าข่ายต้องถูกเพิกถอนในอนุญาตประกอบวิชาชีพตลอดไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 20 สิงหาคม จะประชุม กมว.แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะนำเรื่อง ดังกล่าวพิจารณาหรือไม่

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33646&Key=hotnews