บุรินทร์ รุจจนพันธุ์

บทบาทในการกำกับและดูแลความเสี่ยงของกรรมการรัฐวิสาหกิจและปัจจัยสาเหตุ โดย ทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร

abstract by thankawin

23 ก.ย.58 มีโอกาสได้อ่าน วารสารการจัดการ (journal of management)
WMS : Walailak Management School ของ Walailak University
ปีที่ 4 ฉบับที่ 3 (กันยายน – ธันวาคม 2558)
http://wmsjournal.wu.ac.th/index.php/wms/issue/view/17/showToc
และในวารสารมีบทความเรื่อง

บทบาทในการกำกับและดูแลความเสี่ยงของกรรมการรัฐวิสาหกิจและปัจจัยสาเหตุ
Roles in Governing Risks of State Enterprise Directors and Their Antecedents
เขียนโดย ทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร (Thankawin Ratthawatankul)

สามารถอ่านแบบออนไลน์ได้ที่
http://wmsjournal.wu.ac.th/index.php/wms/article/view/181/163
และ
https://www.facebook.com/download/1608594836074928/181-568-1-PB.pdf

บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้นำเสนอบทบาทในการกำกับและดูแลความเสี่ยงของกรรมการรัฐวิสาหกิจและปัจจัย สาเหตุ ที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการแสดงบทบาทนั้น บทพื้นฐานของ Grounded Theory การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยบูรณาการเครื่องมือทางการวิจัย ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกต ผ่านกรณีศึกษาที่จัดเตรียมขึ้น เพื่อทำการศึกษาในการฝึกอบรมกรรมการรัฐวิสาหกิจ จำนวน 34 คน และดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการตรวจสอบข้อมูลสามเส้า

ผลการศึกษาพบว่ากรรมการรัฐวิสาหกิจแสดงบทบาทตามเกณฑ์มาตรฐานซึ่งได้แก่ การกำหนดกรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การทำความเข้าใจกับความเสี่ยงที่องค์กรเผชิญอยู่ และกำกับให้มีมาตรการในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม และการพิจารณาความเสี่ยงทุกครั้งที่มีการตัดสินใจ

WMS : Walailak Management School ของ Walailak University
WMS : Walailak Management School ของ Walailak University

ธุรกรรมที่มีนัยสำคัญ  นอกจากนี้กรรมการยังแสดงบทบาทเพิ่มเติมอีก 3 ประการ ได้แก่ การเป็นตัวกลางเชื่อมโยง และทำความเข้าใจระหว่างฝ่ายบริหารกับผู้ถือหุ้นหรือหน่วยงานต้นสังกัด การระแวดระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้วแจ้งเตือนให้ฝ่ายบริหารเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงนั้น และการไม่แสดงบทบาททับซ้อนกับฝ่ายบริหาร สำหรับปัจจัยสาเหตุที่สนับสนุนความสามารถ ในการกำกับและดูแลความเสี่ยงประกอบด้วยปัจจัย 5 ประการ ได้แก่ ความรู้ทางการบริหารธุรกิจ ประสบการณ์ตรง เครือข่าย ข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อสถานการณ์ และความไวต่อความเสี่ยง
คำสำคัญ การกำกับและดูแลกิจการที่ดี ความเสี่ยง การบริหารความเสี่ยง รัฐวิสาหกิจ

ชอบเนื้อหาหน้า 52 ในบทความ
หัวข้อ 5.2 ปัจจัยสาเหตุที่สนับสนุนความสามารถในการกำกับและดูแลความเสี่ยง
1. ความรู้ทางการบริหารธุรกิจ : ควรรู้การเงิน การตลาด และการดำเนินงาน
2. ประสบการณ์ตรง : ทำไมคนที่จบมาจากสถาบันที่ดีไม่มาเหมือนในอดีต .. ค่าตอบแทนต่ำ
3. เครือข่าย : ใช้เครือข่ายสรรหาผู้บริหารสูงสุดที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสม
4. ข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อสถานการณ์ : การมีข้อมูลข่าวสารที่ทันต่อสถานการณ์ .. เป็นสิ่งจำเป็นต่อการตัดสินใจ
5. ความไวต่อความเสี่ยง : ระแวดระวังที่ดีพอย่อมส่งผลต่อความสามารถในการทำความเข้าใจความเสี่ยง
อ่านดูแล้วก็คล้อยตามว่า
ถ้ามีความสามารถทั้ง 5 ข้อข้างต้น ก็จะสนับสนุให้การกำกับและดูแลความเสี่ยงได้ดีกว่า
อ่านงานของ ดร.ทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร ในวารสารการจัดการ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10153569923168895&set=a.10150460359323895.382898.814248894
แล้วนึกถึงงานของ ดร.วันชาติ นภาศรี
เรื่องการพัฒนาตัวแบบปัจจัยความสำเร็จสหกิจศึกษาแบบมีส่วนร่วม
http://www.thaiall.com/e-book/coop/

เล่าเรื่องสุดโต่ง กับบทบาทที่ต้องพูดเรื่องสุดโต่ง .. ผมว่าธรรมดานะ

อ่านความเห็นของท่านหนึ่งบอกว่า
หลายปีที่ผ่านมา ผมสังเกตเห็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง
ในระบบความคิดและการนำเสนอของสื่อไทย โดยเฉพาะ
แนวสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ว่าจะเป็นบทความหรือบทสัมภาษณ์
ตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จก็คือ มักชอบสร้างสตอรี่ดราม่า
ให้ค่ากับความ ‘สุดโต่ง’ มากเกินไป
อ่านมาจาก http://storylog.co/story/55990ab560a1c1e968c6ab94

แต่ผมมองเห็นอีกมุมนะ และคิดว่าเป็นปกติของบทบาท
ของผู้พูด ผู้เขียน ที่ต้องสร้างแรงบันดาลใจแบบสุดโต่ง
.. เขาได้รับบทบาทมาอย่างนั้น

1. พวกเขาก็เป็นเพียง ผู้นำเสนอ ที่มีบทบาท มีเป้าหมายสร้างแรงบันดาลใจ
ไม่ได้รับมอบหมายมาให้รับผิดชอบต่อการพูด ไม่เหมือนพ่อแม่
สั่งสอนลูกอย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ได้มีอาชีพรับจ้างพูดหรือรับเขียน
ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องสร้างความประทับใจให้ฮือฮา
2. ตัวอย่าง ที่ยกมาอาจเป็นหนึ่งในสิบ ร้อน พัน หมื่น แสน ล้าน
ก็เป็นปกติที่ต้องหาเรื่องผิดปกติมาเล่า แต่ทำได้ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ
ย้อนกับไปข้อ 1 เขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อชะตากรรมผู้ฟัง
เหมือนพ่อแม่ที่สั่งสอนลูก จะให้คาดหวังอะไรจากผู้พูด
ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ได้มีบทบาท หรือหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตน
3.  ตัวอย่างของบทสัมภาษณ์ในบทความ
“.. ชีวิตมันสั้น อย่าไปกลัวอดตาย ทำตามความฝันเลย
อย่าไปคิดเรื่องหากิน หรือเงินทองมากนัก ..”
ส่วนใหญ่เขาก็แค่พูดหรือเขียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
ให้รู้สึกว่าเขาพูดน่ะ ผิดปกติ เพราะพูดปกติก็คงไม่มีใครฟัง
แล้วผลจากการพูด การเขียน ก็คงได้รับสิ่งตอบแทนที่ดี ไม่ทางตรง หรือทางอ้อม
4. จะให้พูดปกติหรือครับ
– ตั้งใจเรียนนะลูก หนทางอีกยาวไกล พยายามให้มาก และมากกว่าที่ทำอยู่
– ชีวิตไม่มีอะไรง่าย อ่านหนังสือ แล้วจะสอบได้ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
– ชีวิตแบบ steve jobs น่ะ หนึ่งในล้าน อย่าคิดเอาอย่างเชียว เราคงไม่โชคดี
– ชีวิตแบบ นักกีฬา นักร้อง นักแสดง ที่สำเร็จน่ะ หนึ่งในล้าน อย่าหลงเชื่อเชียว เราคงไม่โชคดี
พูดแบบนี้ พ่อแม่พูดกรอกหูทุกฟัง เด็กที่ไหนจะไปฟัง

สิ่งที่ต้องแลกระหว่างผลได้ทางเศรษฐกิจกับผลเสียทางสังคมและวัฒนธรรม

จาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ 8 กรกฎาคม 2558
บ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็น
กันอย่างกว้างขวางในช่วงที่ผ่านมา

http://bit.ly/1Uv2ZN2

สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยเนชั่น ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 980 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 56.18 % ไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนถูกกฎหมายในประเทศไทย โดยให้เหตุผลมากที่สุดคือ การเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทยนั้นจะเป็นการมอมเมาให้ประชาชน ซึ่งรวมถึงเยาวชนติดการพนัน ไม่ใส่ใจทำงาน เป็นการสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น และย่อมมีผลให้ครอบครัวแตกแยก และอีกเหตุผลหนึ่งที่ให้ความเห็นในจำนวนที่ใกล้เคียงกันคือ แม้การเปิดบ่อนกาสิโนจะทำให้ถูกกฎหมาย แต่การพนันก็ยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่ดี

การส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทย สามารถทำได้ในทางอื่น แทนที่จะส่งเสริมบ่อนกาสิโน  ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เห็นด้วย 43.82 % นั้น ให้เหตุผลว่า การเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในประเทศ ช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น และในเมื่อมีการลักลอบเล่นกันอยู่แล้ว หากทำให้มีการเปิดอย่างถูกกฎหมายก็จะทำให้สามารถควบคุมและจัดระเบียบได้

ถ้าดูสัดส่วนระหว่างผู้ที่เห็นด้วยกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยนี้ คงจะไม่สามารถบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ผู้คนคัดค้านการเปิดบ่อนถูกกฎหมายอย่างชัดเจน เพราะจริงๆ แล้ว ผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็มีสัดส่วนเกิดครึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงจะพูดยากว่า การที่ผู้คนไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายนั้น เพราะคัดค้านกับการเล่นการพนัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้เองก็เคยมีประสบการณ์เล่นการพนันมาก่อน คงจะเป็นที่รู้กันว่า ในสังคมไทยก็ยังมีผู้นิยมการเสี่ยงโชคและการพนัน และยังมีการลักลอบเล่นกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบ่อนใต้ดิน หวยใต้ดิน หรือ การเล่นพนันบอล ก็ในเมื่อเป็นที่ทราบกันอยู่โดยทั่วไป และยังไม่สามารถจัดการหรือควบคุมได้ ก็น่าจะตัดสินใจทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย และให้มีการจัดระเบียบกันอย่างจริงจัง

ข้อค้นพบอย่างหนึ่งจากการสำรวจครั้งนี้พบว่า ประเด็นเรื่องบ่อนกาสิโนในสังคมไทยนั้น เป็นเรื่องของศีลธรรม เมื่อขอให้กลุ่มตัวอย่างประเมินความเห็นว่า “การพนันเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม” ผลการทดสอบทางสถิติพบว่า ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย มีความตระหนักในศีลธรรมในระดับที่สูง กว่าผู้ที่เห็นด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญ และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศ คัดค้านอย่างชัดเจนว่า การเปิดบ่อนนี้ไม่ได้ทำให้เกิดผลได้ทางเศรษฐกิจดังที่กล่าวอ้างกัน ผลการวิเคราะห์นี้อาจจะตีความได้ว่า หากจะมีการเล่นการพนัน ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของการลักลอบเล่นไป ไม่ควรมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้สิ่งที่ผิดศีลธรรมนี้ ขึ้นมาเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผลจากการสำรวจของสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยเนชั่น มิได้ต้องการเพียงสะท้อนถึงความเห็นของคนกรุงเทพฯ ที่มีต่อการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทยเท่านั้น แต่ต้องการนำเสนอให้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจในเชิงนโยบายว่า สิ่งที่คนกรุงมีทัศนคติจากประเด็นนี้ก็คือ การเปิดบ่อนกาสิโนนั้น แม้จะมีผลได้ทางเศรษฐกิจ แต่ก็คงจะไม่คุ้มค่ากับต้นทุนทางศีลธรรมของสังคมที่จะเสียไป ทั้งยังจะเกิดผลกระทบอันเป็นการบ่อนทำลายสังคมไปอีกทางหนึ่ง

ผลจากการสำรวจนี้จึงชี้ให้เห็นว่า การเปิดบ่อนกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย เป็นสิ่งที่ผู้บริหารประเทศต้องเลือกหรือแลกกัน ระหว่าง ผลได้ทางเศรษฐกิจ กับ ผลเสียทางสังคมและวัฒนธรรม ในฐานะที่มหาวิทยาลัยเนชั่นเป็นสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ชี้นำสังคม คงต้องอ้างอิงตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่นำเสนอว่าการกำหนดนโยบายใดๆ ต้องคำนึงถึงผลได้ทั้ง 4 ด้านประกอบกัน คือ ผลได้ทางเศรษฐกิจ ผลได้ทางสังคม ผลได้ทางสิ่งแวดล้อม และผลได้ทางวัฒนธรรม ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องแลกระหว่างอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเมื่อประเทศไทยกำลังมุ่งแสวงหาแนวทางที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน เราก็ควรที่จะกำหนดนโยบายอย่างอื่นที่สร้างจุดเด่นให้กับประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าในทางเศรษฐกิจ และยังเป็นการส่งเสริมให้สังคมน่าอยู่ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี และวัฒนธรรมที่งดงามมิใช่หรือ?

เขียนโดย อ.ดร.ทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยเนชั่น
http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/634978

เธอ(เคย)น่าเห็นอกเห็นใจ .. หัวหน้าเตือนสติว่า .. อย่าเกลียดชีวิตที่เหลืออยู่

เธอ(เคย)น่าเห็นอกเห็นใจ
เธอ(เคย)น่าเห็นอกเห็นใจ

ภาพตัวอย่างจาก http://xinshijiyuleceng.com/?p=26814

อ่านมาครับ
แล้วทำให้ผมคิดเห็นว่าผู้หญิงในเรื่อง .. เธอ (เคย) เป็นคนน่าเห็นอกเห็นใจ .. แต่ตอนนี้ไม่ล่ะ
เพราะเธอแฮปปี้ล่ะ .. และคงไม่ทุกข์ระทมกับชีวิตที่เหลืออยู่
ผมพบเรื่องนี้ จากการที่หัวหน้าโพสต์ไว้ในไลน์ (line group)
.. เตือนสติว่าอย่าเกลียดสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิต
เกิดมาแล้ว แต่ยังพอที่จะเลือกได้ว่าจะเกลียดชีวิตที่เหลืออยู่ไปทั้งชีวิตหรือไม่

เนื้อหาที่ไปพบมามีดังนี้

เรื่องนี้เป็นส่วนนึงในหนังสือที่ได้อ่านเอง พออ่านแล้วประทับใจมาก
เลยอยากจะมาแชร์ให้ได้อ่านกันค่ะ อ่านจบแล้วมาคุยกันค่ะว่าได้อะไรบ้าง

ตัวอย่างนี้มาจากกูรูด้านความสำเร็จระดับปรมาจารย์ของโลกชื่อ “ซิก ซิกล่าร์”
เขาเล่าให้ฟังว่า .. หลังจากที่เขาจัดสัมมนา มีหญิงคนนึ่งมาหาเขา ดูหน้าแต่ไกลก็รู้ว่าเธอมีความโกรธขนาดหนัก
มี “รังสีอำมหิต” ส่งออกมาจากตัวเธอมากมาย
เธอต้องการให้เขาแก้ปัญหานี้ให้…

ซิกบอกว่า ให้เล่ามาคร่าวๆ มีเวลาให้สิบนาที หญิงคนนั้นเริ่มพรั่งพรูออกมา
บอกว่า
เธอเกลียดงานของตนเอง เจ้านายแย่ เพื่อนร่วมงานก็ไม่ดี ที่ทำงานไกลและอื่นๆอีกร้อยแปดพันประการ
ซิกปล่อยให้เธอพรรณนาไปได้ 5 นาที พอเธอพูดจบ
ซิกบอกว่า “ผมเสียใจกับคุณด้วยแต่ผมมีข่าวร้ายมาบอก ผมแน่ใจว่าที่ทำงานคุณก็กำลังจะ ไล่คุณออก ด้วย”

หญิงคนนั้นตาโต อ้าปากค้าง ใจหาย และเมื่อรวบรวมสติได้ ก็รีบถาม
“แล้วฉันจะทำอย่างไรดีคะ ที่จะไม่ถูกไล่ออก ช่วยแนะนำหน่อยเถอะค่ะ”

ซิก : งั้นคุณสัญญานะ ว่าจะทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง
หญิง : ค่ะ ค่ะ
ซิก : ขั้นแรก ให้คุณไปเอากระดาษกับปากกามา
หญิง : ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันจำได้
ซิก : ตามประสบการณ์ผม คนที่ไม่ทำขึ้นแรก ก็ไม่มีทางทำขั้นที่สอง ถ้าคุณไม่อยากทำขั้นแรก ผมก็ขอตัวนะครับ
หญิงคนนั้นรีบไปเอากระดาษกับปากกามา
ซิก : ขั้นที่สอง เขียนทุกสิ่งที่คุณชอบเกี่ยวกับที่ทำงานของคุณลงไป
หญิง : โอ๊ย เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ฉันไม่ชอบอะไรสักอย่างเลย
ซิก : แล้วเขาจ่ายเงินให้คุณหรือเปล่า
หญิง : จ่ายค่ะ
ซิก : แล้วคุณชอบหรือเปล่า
หญิง : ชอบสิคะ
ซิก : งั้นเขียนลงไป ข้อ 1 ฉันชอบที่ทำงานเพราะเขาจ่ายเงินให้ฉัน ต่อไป… เขาจ่ายประกันสังคมให้คุณหรือเปล่า
หญิง : จ่ายค่ะ
ซิก : เขียนต่อ ข้อ 2…

สรุปพอเสร็จ ผู้หญิงคนนั้นลิสต์สิ่งที่เธอชอบเกี่ยวกับที่ทำงานได้ 22 สิ่ง
เช่น จ่ายเงินเดือนสูงกว่าตลาด มีโปรแกรมประกันสุขภาพให้พนักงานอย่างดี
เธอได้หยุดพักผ่อน 3 สัปดาห์ต่อปี โดยมีเงินเดือนให้ ฯลฯ

ซิกยังแนะให้ผู้หญิงคนนั้น เอาลิสต์นั้นอ่านออกเสียงทุกเช้า และก่อนนอน
โดยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ดี
“ฉันรักงานนี้ เพราะเขาจ่ายเงินให้”
“ฉันรักงานนี้เพราะ …” ฯลฯ

6 สัปดาห์ต่อมา ซิกเจอหญิงคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งคราวนี้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข เธอรีบบอกซิกด้วยความตื่นเต้นว่า…
“ขอบคุณมาก ๆ เลย ชีวิตฉันดีขึ้นอย่างมาก
คุณจะไม่เชื่อฉันเลยว่า ทุกๆคนในที่ทำงานของฉันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน!”

(จริงๆแล้วสิ่งที่เปลี่ยนไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน แต่เป็นทัศนคติของหญิงคนนี้เอง
ซึ่งก็เป็นผลให้คนที่ทำงานเปลี่ยนความสัมพันธ์กับเธอไปในทางที่ดีขึ้น)

ผมการันตีเลยว่า
ถ้าสถานการณ์ของเรา มี “สิ่งดี” 10 อย่าง “สิ่งดีน้อย” 90 อย่าง
แล้วคุณขอบคุณสิ่งดี 10 อย่างนั้นบ่อยๆ พูดถึงมันบ่อยๆ รู้สึกดีกับมัน
ในขณะเดียวกันอีก 90 อย่างที่ดีน้อยนั้น ถ้าเปลี่ยนมันไม่ได้ ก็เปลี่ยนทัศนคติของเรากับมัน
สิ่งดีๆ จะมีแต่ไหลเข้ามาในชีวิตคุณ ไม่รู้จบ เพียงแค่คุณ “ขอบคุณ”

บทความส่วนหนึ่งจากหนังสือ “เชื่อมั่นในตน” โดย บัณฑิต อึ้งรังสี

อันดับการศึกษาโลก เกาหลีใต้มาเป็นอันดับ 1 เพราะติวหนักมากรึเปล่า

เกาหลีใต้ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 สอดคล้องกับข่าว
ชัยชนะของรร.กวดวิชา พันธนาการที่สะบัดไม่หลุดของเยาวชน

– เกาหลีใต้ ต้องประกาศบังคับใช้กฎเคอร์ฟิวแก่สถาบันกวดวิชา ไม่ให้เปิดเกินสี่ทุ่ม
– ยังมีโรงเรียนกวดวิชาที่ยังคงเปิดท้าทายกฎหมาย เปิดหลังเวลาเคอร์ฟิวโดยใช้วิธีการพรางตัว
– ปี 2010 พบว่ากว่า 74% ของนักเรียนเกาหลีทั้งหมด จะต้องเคยร่วมการกวดวิชาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
– ที่เกาหลีเรียกการกวดวิชาว่า “การศึกษาเงา” (shadow education)
– นักเรียนแต่ละคนเสียค่าใช้จ่ายไปเฉลี่ยปีละ 2,600 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 78,000 บาท) เรียนกวดวิชา
– เรียนพิเศษกันอย่างหนัก ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน
– จำนวนครูในโรงเรียนกวดวิชามีมากกว่าครูในโรงเรียนปกติ
– กรุงโซล นักเรียนที่พลาดการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ใช้เวลาตลอดทั้งปี ในโรงเรียนกวดวิชา
– โรงเรียนกวดวิชาชั้นนำ สถาบันแดซุง จะรับนักเรียนโดยพิจารณาจากคะแนนทดสอบ
– ผู้เรียนที่สถาบันแดซุง กว่า 70% สามารถเข้าเรียนในสถาบันชั้นนำ 3 แห่งแรกได้
– มีคนชมความกระตือรือร้นของพ่อแม่ชาวเกาหลี ที่สนับสนุนการศึกษาของบุตรหลานอย่างเต็มกำลัง
– ในบทความเชิงข่าวบอกว่า
“ถ้าเด็กเกาหลีใต้ไม่ลุ่มหลงในการศึกษา อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงสู่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเช่นทุกวันนี้
นับตั้งแต่ปี 1962  ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) พุ่งขึ้นมากถึง 40,000%
และทำให้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 13″

ที่มา  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1317200908&grpid=03&catid=&subcatid=

https://blog.eduzones.com/poonpreecha/101523 (ข่าวชัยชนะ)
https://blog.eduzones.com/kruton100/126852 (สถิติเกาหลีอันดับ 1)

สาขาวิชาที่เป็นความต้องการ

ความแตกต่างของ กยศ และกรอ
ความแตกต่างของ กยศ และกรอ

http://images.slideplayer.in.th/8/2048740/slides/slide_5.jpg

ในระดับประเทศ เขามีข้อมูลว่าสาขาวิชาไหนเรียนแล้ว
น่าจะมีตังไปใช้หนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา
มีให้เลือกเพียบเลย มีเยอะเป็นหางว่าว จำนวน 36 หน้า
พบเรื่องนี้จากการค้นคำว่า “สาขาวิชาที่เป็นความต้องการ”
สำหรับประกาศปีการศึกษา ๒๕๕๗
http://www.studentloan.or.th/kcfinder/upload/files/20140625151525_6E64BD05-D7F8-950F-EF77-F38A8C55D223.pdf

และพบว่า มีประกาศเรื่องคุณสมบัติ ของผู้ขอทุนกรอ.
ข้อ ๔ วงเล็บ ๒ ระบุว่าต้องเป็นสาขาวิชาที่อยู่ในประกาศแนบท้าย
http://www.studentloan.or.th/kcfinder/upload/files/20140625151009_9A89F51B-6E3D-6219-0D79-4C5871566548.pdf
พบเรื่องนี้จากการค้นคำว่า “สาขาวิชาขาดแคลน กรอ.”

7 โรงเรียนกวดวิชา ที่เด็กไทยให้การยอมรับ

ปัญหาครู ปัญหาเด็ก ปัญหาโรงเรียน ปัญหาระบบ หรือปัญหางบประมาณ
ซึ่งปัญหาเหล่านั้น ในมุมมองของโรงเรียนกวดวิชา อาจมองวิกฤตเป็นโอกาส
ส่วนนักเรียนที่เข้าโรงเรียนกวดวิชาที่มีสาขากว่า 194 สาขานั้นของ 7 โรงเรียน
ก็อาจมองข้ามปัญหา แล้วตั้งใจเรียนพิเศษนอกเวลาเรียนปกติกับโรงเรียนกวดวิชา
เพื่อให้ได้สิทธิเข้าไปนั่งเรียนในคณะที่ชอบ มหาวิทยาลัยที่ใช่

ข้อมูลจาก manager.co.th โดย Life on Campus
บทความเมื่อ 17 ตุลาคม 2557

1. โรงเรียนกวดวิชา Enconcept E-Acadamy โดย ครูพี่แนน
เปิดสอนมา 19 ปี มี 33 สาขาทั่วประเทศไทย
จากสถิติการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียน ที่โรงเรียนเผยแพร่ พบว่า
– คณะทันตะฯ ศิริราช 65 %
– คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ 52 %
– คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ 58.16 %
– คณะวิศวะกรรมศาสตร์ จุฬาฯ 51.33 %
– คณะเภสัชฯ ม.เชียงใหม่ 62.64 %
– คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ 49.47 %
– คณะทันตะฯ ม.ขอนแก่น 65 %
2. โรงเรียนกวดวิชาครูสมศรี
มี 20 สาขาทั่วประเทศไทย
3. โรงเรียนกวดวิชา Davance โดย อาจารย์ ปิง เจริญศิริวัฒน์
มี 34 สาขาทั่วประเทศไทย
4. สถาบันพีนาเคิล หรือโรงเรียนกวดวิชาครูลิลลี่
มี 21 สาขาทั่วประเทศ
5. โรงเรียนกวดวิชาเดอะเบรน โดย อ.มนตรี นิรมิตศิริพงศ์ หรือพี่ช้าง
มี 31 สาขา
6. โรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์ หรือ เคมี อาจารย์อุ๊ โดย อ.อุไรวรรณ ศิวะกุล
มี 28 สาขา
7. โรงเรียนกวดวิชา Applied Physics โดย อ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์
มี 27 สาขา

หากรวมสาขาของโรงเรียนกวดวิชาทั้ง 7 แห่งก็จะมีถึง 194 สาขา
หรือจังหวัดละเกือบ 3 สาขาทีเดียว
http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000119901

ห้ัามเปิดสอนเกิน 4 ทุ่ม
ห้ัามเปิดสอนเกิน 4 ทุ่ม

เกาหลีใต้: ความปราชัยของการศึกษา
ชัยชนะของรร.กวดวิชา พันธนาการที่สะบัดไม่หลุดของเยาวชน

http://campus.sanook.com/1127538/

สอบเข้าไปเรียนในโรงเรียนกวดวิชา
สอบเข้าไปเรียนในโรงเรียนกวดวิชา

การเรียนการสอน และผลงานนักศึกษา ที่ Central Plaza Lampang

กิจกรรม World of professional education 4 – 5 เมษายน 2558
ณ สวนกุ๊กไก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลำปาง

นักเรียน เล่าเรื่องผลงาน
นักเรียน เล่าเรื่องผลงาน

วันนี้ (4 เม.ย.58) เห็นพิธีกรสาวกำลังสัมภาษณ์นักศึกษาดาวเด่น ว่าที่ผ่านมา มีการเรียนการสอนอย่างไร และ มีผลงานอะไรที่โดดเด่น มีการเรียนการสอนที่ทันสมัย ปฏิบัติจริง มีผลงานจริงมาเล่าสู่กันฟัง ก่อนจะเป็นเวทีของพิธีกรสาวที่พูดถึงคุย กับนักศึกษาของวิทยาลัยอินเตอร์เทคลำปาง (LIT) และ นักเรียนโรงเรียนลำปางพาณิชยการและเทคโนโลยี (LCCT) ก็มีน้องหนูตัวเล็ก ๆ กับคุณครูชาวต่างชาติมาพูดคุย สนุกสนานน่ารัก เกี่ยวกับการสอนยุคใหม่ของ Cranberry International School

มีชาวลำปางมุงดูกันเพียบ เพราะน่ารักน่าเอ็นดูเด็ก ๆ จาก Cranberry มองจากชั้น 3 ทำให้เห็นการจัดเวทีอย่างเป็นระเบียบ สวยงามด้านขวาเป็นจุดรับสมัคร พูดคุย และนั่งเล่นของ Cranberry ส่วนด้านซ้ายเป็นโต๊ะรับสมัครของ LIT กับ LCCT หน้าเวทีตรงกลางก็มีม้านั่งให้ผู้สนใจได้ชมกิจกรรมบนเวที

ปล. พิธีกรสาวในภาพ เป็นลูกศิษย์ของผมที่ ม.เนชั่น

SANY6321

https://www.facebook.com/media/set/?set=a.1630670880485652.1073741889.1399580723594670
http://www.lit.ac.th
lcct.ac.th
cranberryinternational.com

รายการ Weekly C3 . เผยเคล็ดลับ ได้ o-net เต็ม 100 3 วิชา จากหลาย ๆ คน

o-net ใช้วัดว่าเรียนได้ O หรือไม่ O

มาดูเคล็ดลับของเด็กที่ได้ 100 เต็ม 3 วิชา .. เรียนกันอย่างไร
ใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการเรียนการสอน
เช่น การเข้าไปใน true ปลูกปัญญา ดูวีดีโอ หรือคลังข้อสอบ
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ใช้ google แปลภาษา
ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกฯ หนุนให้ใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน
เมื่อศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2558
http://thainame.net/edu/?p=3911

คลิ๊ปสัมภาษณ์นักเรียนเต็มร้อย 3 วิชา



เว็บ True ปลูกปัญญา
http://www.trueplookpanya.com/examination

trueplookpanya ทรูปลูกปัญญา
trueplookpanya ทรูปลูกปัญญา

รายการคืนความสุข ท่านนายกพูดถึง ภารกิจหลักด้านการศึกษา และการใช้ไอที

รายการคืนความสุข วันที่ 27 มีนาคม 2558
เล่าถึงนโยบายทางการศึกษาในนาทีที่ 2.10 super board ด้านการศึกษา
มุ่งเน้น 3 ภารกิจหลัก

1. การดำเนินงานตามภารกิจประจำ
(routine work)
2. การดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล
(Implementation of government policies)
3. การดำเนินงานสำหรับการวางรากฐานเพื่อส่งไปยังรัฐบาลในอนาคต
(Work related to laying down the foundation for future governments)

ทั้งนี้
จะดำเนินการทั้งด้านการจัดการศึกษา
การปรับหลักสูตร การพัฒนาคุณภาพครูและผู้เรียน
การยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา การใช้จ่ายงบประมาณ และการกระจายอำนาจ
เน้นให้มีทั้งนักวิชาการ และนักปฏิบัติ โดยจะพิจารณาการดำเนินงาน
จากต่างประเทศมาปรับใช้ตามความเหมาะสม

แล้วนาทีที่ 4.45
ที่เห็นเป็นประโยชน์ คือ การสอนทาง social media หรือระบบดิจิทอล
ต้องสอนให้รู้ว่าเราจะใช้ประโยชน์อย่างไร
ถ้าใช้ผิด แล้วไปคาดหวังจากระบบอย่างเดียว ก็คงไม่ได้
https://www.youtube.com/watch?v=2A5fPtiJ-Qw