Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

การพัฒนากำลังคนจากสถาบันสู่โรงงานมีความจำเป็นสูง

3 มกราคม 2557

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึง การเตรียมการพัฒนากำลังคนจากสถาบันการศึกษาสู่สถาบันอาชีพ ในงานเปิด “ชุมแพโมเดล:แนะแนวการเรียนรู้สู่อาชีพ” ว่า ได้มีการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง เพื่อใช้เป็นจุดเน้น ส่งเสริมและสร้างศักยภาพในการยกระดับพัฒนากำลังคนของประเทศ โดยเฉพาะการที่จะต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือเทคโนโลยีชั้นสูงในการผลิตและพัฒนา เพื่อให้ประเทศไทยมีคุณภาพของกำลังคน และมีฝีมือ-ทักษะที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งถือเป็นสถาบันอาชีพในวิถีชีวิตของคนทุกคน เนื่องจากประเทศไทยกำลังแข่งขันกับประเทศต่างๆ ไปพร้อมกับการจะต้องมีความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งแต่ละประเทศกำลังปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่คนไทยจะด้อยกว่าเขาไม่ได้ เพราะหากมีการพัฒนากำลังคนดีจะส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจดีไปด้วย ยิ่งพัฒนากำลังคนได้ดีมากเท่าใด ก็จะช่วยผลักให้เศรษฐกิจดีขึ้นเท่านั้น และเมื่อเศรษฐกิจดีก็จะมีงบประมาณมาพัฒนากำลังคนต่อไป ทำให้ประเทศประสบความสำเร็จจากการศึกษาและการพัฒนากำลังคนที่ดี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า เมื่อ 20-30 ปีก่อน ประเทศไทยถูกมองว่า อาจจะไม่สามารถพัฒนาประเทศได้ทันประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เนื่องจากกำลังคนภาคการผลิตมีการศึกษาต่ำมาก ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงๆ ในเวลาต่อมา เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจของไทยจะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบางประเทศที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน ประเทศเหล่านั้นก้าวหน้าไปไกลมาก เนื่องจากมีการพัฒนากำลังคนให้มีการศึกษาโดยเฉลี่ยสูงกว่าประเทศไทย และข้อมูลในปี 2008 ยังพบว่าแรงงานของไทยมีระดับการศึกษาที่ต่ำมากในขั้นน่าเป็นห่วง จึงเป็นหน้าที่ของ ศธ.ที่จะต้องศึกษาเพื่อหาคำตอบว่า เราจัดให้มีการศึกษาภาคบังคับ มีการเรียนฟรี 12 ปี แต่เหตุใดกำลังแรงงานไทยจึงมีการศึกษาต่ำ แล้วแรงงานเหล่านั้นเข้าสู่ระบบแรงงานเมื่อใด มีสัดส่วนเท่าใด จะต้องหาตัวเลขที่ชัดเจนต่อไป นอกจากนี้ แรงงานที่จบแค่ชั้น ม.3 กว่าแสนคนที่เข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งก็ไม่ได้เรียนต่อสายอาชีวะเพิ่มเติม จึงเป็นเรื่องที่สวนทางกับความต้องการของฝ่ายผลิตและภาคเอกชน ที่กำลังต้องการกำลังคนที่มีศักยภาพในการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโต มีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งหากการจัดการศึกษายังเป็นอยู่เช่นนี้ โอกาสที่จะไปแข่งขันกับประเทศใดก็เป็นเรื่องยาก

ที่มา: http://www.naewna.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=35280&Key=hotnews

เด็กเอเชียเก่งระดับโลก

3 มกราคม 2557

เด็กเอเชียมีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในโลก จากการประเมินผลสอบ PISA ในปี 2012 เซี่ยงไฮ้ได้คะแนนรวมอันดับหนึ่งโลก ตามด้วยฮ่องกงและสิงคโปร์ ประเทศไทยอยู่อันดับ 50 จาก 65 ประเทศสมาชิก ตามหลังเวียดนามที่อยู่อันดับ 17 และนับเป็นที่ 3 ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน

ทั้งนี้ องค์กรเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Develop ment) ได้ดำเนินโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Pro gram for International Stu dent Assessment) หรือ PISA โดยมีประเทศสมาชิกเข้าร่วมจากทั่วโลก 65 ประเทศ มีเด็กเข้ารับการทดสอบประมาณ 510,000 คน

การประเมินของ PISA เป็นการประเมินเพื่อชี้อนาคตของกลุ่มตัวอย่างนักเรียนอายุ 15 ปี ซึ่งจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ไม่เน้นความรู้ตามหลัก สูตรในห้องเรียน แต่เน้นทักษะที่ต้องใช้ในชีวิตจริงในอนาคต 3 ด้าน ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน หลายประเทศในเอเชียมีคะแนนรวมสูงสุดในโลก นักเรียนในเซี่ยงไฮ้ทำคะแนนสูง สุดทั้ง 3 วิชา โดยด้านคณิต ศาสตร์ ทำได้ 613 คะแนน จากค่าเฉลี่ย 494 คะแนน ด้านการอ่าน 570 คะแนน จากค่าเฉลี่ย 496 คะแนน ด้านวิทยา ศาสตร์ 580 คะแนน จากค่าเฉลี่ย 501 คะแนน

สิงคโปร์มีคะแนนรวมอันดับ 3 ด้านคณิตศาสตร์ทำได้ 573 คะแนน แต่การอ่านและวิทยาศาสตร์น้อยกว่าฮ่องกง โดยการอ่านได้ 542 คะ แนน และวิทยาศาสตร์ 551 คะแนน ฮ่องกงมีคะแนนรวมอันดับ 2 ด้านคณิตศาสตร์ 561 คะแนน การอ่าน 545 คะแนน และวิทยาศาสตร์ 555 คะแนน

ประเทศอื่นๆที่มีคะแนนรวมสูงสุด 10 อันดับแรก ได้ แก่ ไต้หวัน เกาหลี มาเก๊า ญี่ปุ่น ลิกเตนสไตน์ สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ นอกเหนือจากสิงคโปร์ ประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างเวียดนามทำคะแนนรวมอันดับ 17 มีคะแนนด้านคณิตศาสตร์ 511 คะแนน การอ่าน 508 คะแนน และวิทยาศาสตร์ 528 คะแนน ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 50 จาก 65 ประเทศทั่วโลก มีคะแนนด้านคณิตศาสตร์ 427 คะแนน การอ่าน 441 คะแนน และวิทยาศาสตร์ 444 คะแนน นับเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ตามด้วยมาเลเซียอันดับ 52 มีคะแนนด้านคณิตศาสตร์ 421 คะแนน การอ่าน 398 คะแนน และวิทยาศาสตร์ 420 คะแนน

อินโดนีเซียอันดับ 64 มีคะแนนด้านคณิตศาสตร์ 375 คะแนน การอ่าน 396 คะแนน และวิทยาศาสตร์ 382 คะแนน ข้อมูลดังกล่าวสะท้อน ถึงระบบการจัดการศึกษาและการแข่งขันกันเป็นเลิศทางการศึกษาของประเทศที่เตรียมคนในยุคที่มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสูงมาก โดยประเทศในเอเชีย มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งเซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี มาเก๊า และญี่ปุ่น ขึ้นนำในฐานะกลุ่มประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงและเศรษฐกิจมั่นคง
ให้เห็นเหตุผลที่สอดคล้องกัน ผลการสอบ PISA แสดงระหว่างความมั่งคั่งของประเทศและความสำเร็จของนักเรียนในการทดสอบทางคณิตศาสตร์

นักเรียนในเซี่ยงไฮ้ทำได้ดีที่สุด ขณะที่รายได้สุทธิเฉลี่ยต่อหัวประชากรของเซี่ยงไฮ้สูงเป็นอันดับ 1 ของจีน คุณภาพของการศึกษาเป็นตัวชี้วัดศักยภาพของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม มีหลายปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยผลการจัดอันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกช่วงเดือนตุลาคมปีก่อน กาตาร์มาเป็นที่หนึ่ง ตามด้วยลัก เซมเบิร์ก และสิงคโปร์ กาตาร์มีคะแนนวิชาคณิต ศาสตร์อันดับ 63 ขณะที่เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก รายได้ประชากรต่อหัวสูงที่สุดในโลก เพราะรวยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่วนตัวเลขจีดีพีของสิงคโปร์มาเป็นอันดับ 3 เพราะความเจริญด้านเทคโน โลยี การผลิต และศูนย์กลางการเงิน

จีนเริ่มประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาที่ มุ่งเน้นความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ แก้ปัญหามาตั้ง แต่ปี 2005 เปลี่ยนจากระบบการศึกษาแบบเดิมที่เน้นการท่องจำ

แม้ความสำเร็จของการจัดการศึกษาของเซี่ยงไฮ้ไม่ได้สะท้อนมาตรฐานการศึกษาของทั้งประเทศ เนื่องจากมีความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพของโรงเรียนในเมืองและชนบท แต่ความคาดหวังสูงและการให้ความสำคัญกับการศึกษาไม่ว่ายากดีมีจนนับเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญมาก เกิดความหวังขึ้นมาว่า ผลการประเมิน PISA เปรียบเทียบกับนานาประเทศอาจเป็นประเด็นร้อนให้ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องเกิดความตื่นตัว เร่งผลักดันการปฏิรูปการเรียนรู้ ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกับการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนในระยะยาว

–โลกวันนี้วันสุข ฉบับวันที่ 4 – 10 ม.ค. 2557–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=35279&Key=hotnews

บูมภาษาอังกฤษ นศ.แพทย์แนะมหา’ลัยแพทย์ศึกษาวิจัย ‘โรค ‘อาเซียน

3 มกราคม 2557

ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ประธานเครือข่ายวิจัยกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทยเปิดเผยว่าขณะนี้โรงเรียนสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดการเรียนการสอนด้านวิชาทางการแพทย์ ได้มีการเตรียมความพร้อมให้แก่นิสิตนักศึกษาแพทย์ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งในเรื่องของคุณภาพด้านองค์ความรู้ ด้านวิชาการ ความสามารถในการวินิจฉัยโรค เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ถือว่าบุคลากรด้านวิชาชีพสายแพทย์ของไทยไม่ด้อยกว่าชาติใดในอาเซียน แต่สิ่งที่ไทยต้องปรับปรุงคือการเตรียมความพร้อมด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่ใช่เด็กไทยภาษาอังกฤษไม่ดี แต่ถ้าต้องใช้ภาษาทางการแพทย์ลงลึก นิสิตนักศึกษาแพทย์ไทยอาจยังไม่สามารถแข่งขันกับประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างสิงคโปร์ หรือมาเลเซียได้ เพราะเด็กจากประเทศเหล่านี้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการสื่อสาร

นอกจากนั้น เมื่อเปิดประเทศแล้วมีการเคลื่อนย้ายคน สิ่งที่จะตามมาคือการเคลื่อนย้ายของโรคต่างๆ ด้วย ดังนั้น โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรทางการแพทย์ต้องให้นิสิตนักศึกษาได้ศึกษาโรคที่ห่างหายจากประเทศไทยแต่เกิดในประเทศเพื่อนบ้านกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น โรคเท้าช้าง เป็นต้นรวม ถึงต้องสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อสร้างเครือข่ายให้นิสิตนักศึกษา ศึกษา วิจัย เรียนรู้โรคต่างๆอีกทั้งต้องมีการแลกเปลี่ยนนิสิตนักศึกษาแพทย์ให้เขามีศักยภาพความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ที่ไม่ใช่รักษาเฉพาะคนไทย แต่ต้องสามารถรักษาประชาชนจากประเทศกลุ่มอาเซียนด้วย

ผศ.พญ.ดร.รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าขณะนี้การเรียนการสอนคณะเภสัชศาสตร์ของประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นในส่วนของเนื้อหาวิชาการ องค์ความรู้มีลักษณะคล้ายๆ กัน แต่ระยะเวลาในการเรียนนั้นแตกต่างกัน โดยคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทยจะเรียน 5 ปี หรือ 6 ปี ส่วนประเทศอาเซียนจะเรียน 4 ปี ซึ่งเรื่องความแตกต่างตรงนี้นิสิตนักศึกษาไทยอาจไม่มีปัญหาในการเคลื่อนย้ายไปศึกษาต่อหรือไปทำงานในประเทศอาเซียน เพราะเรามีองค์ความรู้ เรียนมากกว่า แต่สิ่งที่เราจะเสียเปรียบได้แก่ทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากเด็กไทยไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ในการสื่อสาร อาจทำให้ไม่คุ้นชิน ส่งผลให้การสื่อสารด้านภาษาอังกฤษไม่ดีเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนย้ายบุคลากรสายวิชาชีพแพทย์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละประเทศมีการรับรองที่แตกต่างกัน แพทย์ เภสัชกร จะไปทำงานได้ต้องได้รับใบประกอบวิชาชีพจากประเทศตนเองและประเทศในกลุ่มอาเซียนที่จะไปทำงานร่วมด้วย ดังนั้น ขณะนี้คณะเภสัชศาสตร์ทั่วประเทศ พยายามเพิ่มเติมศักยภาพด้านภาษาให้แก่นิสิต นักศึกษา อย่างคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ พยายามให้นิสิตได้เรียนภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติโดยตรงและได้มีการสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่เปิดการเรียนการสอนด้านการแพทย์หรือสถานประกอบการ บริษัทเอกชนที่ทำงานวิจัยด้านการแพทย์ เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตได้เรียนรู้จากการทำงานจริงๆ และเตรียมพร้อมด้านภาษาอังกฤษให้แก่นิสิต เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=35274&Key=hotnews

อนาคตครูในศตวรรษที่ 21

2 มกราคม 2557

ศ.กิตติคุณ ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ประธานกรรมการคุรุสภาเปิดเผยว่า เนื่องในวันครูปี 2557 ถือเป็นโอกาสดีที่คุรุสภาจะเริ่มพัฒนาวิชาชีพครูอย่างเอาจริง โดยสิ่งแรกที่จะพูดถึงคืออนาคตครูในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะมีการจัดเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดหาแนวทางที่จะพัฒนาครูให้ชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยคุรุสภาต้องการให้ครูเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเองว่า นอกจากการอบรมสั่งสอนเด็กแล้วยังต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่งของเด็ก เพราะครูเปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สอง ซึ่งสิ่งแรกที่ครูต้องทำคือ ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเห็น เป็นครูที่ดีไม่มีอบายมุข ไม่ทำตัวให้เสื่อมเสียต่อวงการวิชาชีพครู และต้องเป็นครูยุคใหม่ที่พร้อมเข้ารับการเปลี่ยนแปลง พร้อมพัฒนาวิชาชีพของตนเองให้ได้มาตรฐานสากล เนื่องจากการจะพัฒนาเด็กให้เป็นเยาวชนที่ดีในอนาคตได้ตัวครูก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีวิถีชีวิต ที่ทันสมัยก่อน ไม่ใช่แค่มุ่งทุกอย่างไปที่เด็กเพียงอย่างเดียว

ประธานกรรมการคุรุสภากล่าวต่อไปว่า การจะรู้ว่าครูมีการพัฒนาแล้วหรือยังนั้นจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบการประเมิน ซึ่งขณะนี้ คุรุสภากำลังรอดูแนวทางการประเมินครูที่เป็นมาตรฐานสากลของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ที่ร่วมจัดทำแนวทางการประเมินร่วมกับนานาชาติ เพื่อใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและคุณภาพครูว่าเป็นมาตรฐานอย่างไร เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพครูมากน้อยเพียงใด สามารถทำให้ครูตื่นตัวและเกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ หากสามารถใช้ได้คุรุสภาจะนำมาปรับใช้ ในการประเมินต่อไป

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=35260&Key=hotnews

เมืองน่าเรียนของโลก

13 ธันวาคม 2556

จิระนันต์ jiranan_dp@yahoo.com
ปารีสติดอันดับเมืองในฝันที่นักเรียนมุ่งหน้าไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยมากที่สุด แม้ว่านครแห่งแฟชั่นนี้มีค่าครองชีพแพงมาก แต่ทดแทนด้วยค่าเล่า เรียนถูก และคุณภาพชีวิตสูง

Quacquarelli Symonds (QS) เผยผลการจัดอันดับเมืองมหาวิทยาลัยในปี 2014 จากทั้งหมด 98 เมือง โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับนั้นพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ 5 ด้านดังต่อไปนี้ คุณภาพสถาบันการศึกษา ความหลากหลายของนักศึกษาต่างชาติ คุณภาพการใช้ชีวิต โอกาสจ้างงานในอนาคต และค่าใช้จ่าย

ปารีส ครองแชมป์เป็นปีที่สอง โดยสามารถดึงดูดนักศึกษาให้มาเรียนต่อได้มากที่สุด ถัดไปเป็นลอนดอน สิงคโปร์ ซิดนีย์ ส่วนเมลเบิร์นและซูริกครองอันดับ 5 ร่วมกัน ต่อจากนั้นเป็นฮ่องกง บอสตัน มอน ทรีล และมิวนิก  แม้ว่าปารีสค่าครองชีพสูงลิ่ว แต่ชดเชยด้วยค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนที่ค่อนข้างต่ำ คุณภาพของชีวิตสูง และเป็นชุมชนนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากนี้ยังทำคะแนนนำในด้านโอกาสการมีงานทำ มหาวิทยาลัยที่ทำคะแนนรวมสูงสุดคือ cole Nor male Suprieure (ENS) อยู่อันดับ 28 ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกล่าสุดของ QS ตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางวัฒน ธรรมและการศึกษา

ลอนดอน ตามมาเป็นอัน ดับ 2 โดยมีมหาวิทยาลัยติดอันดับท็อป 10 ของโลก 2 แห่งคือ University College Lon don อันดับ 4 และ Imperial College London อันดับ 5 นอกจากนี้ยังทำคะแนนได้ดีในด้านโอกาสการมีงานทำ และความหลากหลายของนักศึกษา
ในด้านคุณภาพชีวิตด้อยกว่า 5 อันดับแรก และค่าครองชีพสูงมาก แต่ลอนดอนมีชื่อเสียงด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม สถานบันเทิงยามค่ำคืน และบรร ยากาศความเป็นนานาชาติ

สิงคโปร์ ได้ชื่อว่ามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และติดอันดับเมืองน่าเรียนต่ออันดับ 3 ค่าครองชีพอาจสูงกว่าประเทศสมาชิกเอเชียตะ วันออกเฉียงใต้ แต่ยังได้เปรียบประเทศชั้นนำทางตะวันตก
มหาวิทยาลัย 2 แห่งของสิงคโปร์ติดใน 50 อันดับแรกของอันดับมหาวิทยาลัยโลก ได้แก่ National University of Singapore อันดับ 24 และ Nanyang Technological University อันดับ 41

ฮ่องกง เป็นเมืองมหาวิทยาลัยที่คึกคักมาก มีสถาบันการศึกษาชั้นนำ 7 แห่ง โดย 3 แห่ง ติดใน 50 อันดับแรกของอันดับมหาวิทยาลัยโลก ได้แก่ University of Hong Kong ติดอันดับ 26 ตามด้วย Hong Kong University of Science and Technology อันดับ 34 และ The Chinese Universi ty of Hong Kong อันดับ 39

ฮ่องกง เป็นอีกประเทศหนึ่ง ที่สร้างชื่อให้เอเชียในฐานะที่เป็นเมืองน่าเรียนอันดับ 7 ในโลก ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันค่อนข้างต่ำ แต่ค่าเช่าที่พักค่อนข้างแพง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=35079&Key=hotnews

ทุนรัฐบาลเพื่อดึงดูดผู้มีศักยภาพสูงที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศ Undergraduate Intelligence Scholarship Program (UiS)

13 ธันวาคม 2556

ทุนรัฐบาลเพื่อดึงดูดผู้มีศักยภาพสูงที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบัน การศึกษาในประเทศ หรือ ทุน UIS คือ ทุนสนับสนุนการศึกษา ที่มี การวางแผนพัฒนาขีดความสามารถที่ชัดเจนและเป็นระบบ เพื่อเตรียม ความพร้อมด้านกำลังคนภาครัฐ โดยการสรรหาบุคลากรที่มีขีดความสามารถ ให้เข้ารับราชการเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ ในปีนี้ ทุน UIS ได้ดำเนินการมาเป็นปีที่ 5 มีจำนวนทุนทั้งสิ้น 89 ทุน จาก 21 ส่วนราชการ

คุณสมบัติผู้สมัคร
เป็นนักศึกษาปริญญาตรีที่กำลังจะศึกษาชั้นปีสุดท้ายในปี พ.ศ.2557 ของสถาบันการศึกษาในประเทศ ที่มีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.75 สำหรับสายวิทย์ฯ และไม่ต่ำกว่า 3.00 สำหรับสายสังคม

คุณลักษณะของทุน
1.เป็นทุนสำหรับศึกษาในชั้นปีที่ 4 หรือชั้นปีสุดท้ายจนสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีตามโครงสร้างหลักสูตร ทั้งนี้ ต้องใช้ระยะเวลาศึกษาไม่เกิน1 ปี และจะได้ฝึกงานที่ส่วนราชการต้นสังกัดเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ การทำงานในระหว่างที่ศึกษา ตลอดจนได้รับการพัฒนาฝึกอบรมเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการทำงานจริง
2.หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้ว ผู้รับทุนจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการทันที และจะปฏิบัติราชการชดใช้ทุนเป็นระยะเวลา 2 เท่า ของระยะเวลาที่ได้รับทุน หลังจากนั้นจะได้รับทุนต่อเนื่องเพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทในระยะที่ 2 ในหรือต่างประเทศ

การรับสมัคร
เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2556 ถึงวันที่ 7 มกราคม พ.ศ.2557 โดยสมัครผ่านเว็บไซต์สำนักงาน ก.พ. ที่ www.ocsc.go.th โดยเลือกหัวข้อ “การสอบเพื่อรับทุน” โทร 02-547-1000 ต่อ 6802 – 6804, 6817 – 6819

www.ocsc.go.th โทร. 02-547-1291 โทรสาร 02-547-1792 มีข้อเสนอแนะ โปรดติดต่อ pr@ocsc.go.th

————-

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=35078&Key=hotnews

การพัฒนางานวิจัย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนบน

การพัฒนางานวิจัย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนบน

ตามที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ มหาวิทยาลัยเนชั่น จัดประชุมวิจัย วันที่ 9 ธ.ค.56
เรื่อง การพัฒนางานวิจัย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนบน
และมีการบันทึกคลิ๊ปการสัมมนาไว้ โดยท่านอธิการมีนโยบาย
ให้บันทึกคลิ๊ปไว้ และเปิดให้บุคลากรที่สนใจเข้ามาเรียนรู้
หรือนำไปใช้ในกิจกรรมวิชาการอื่นใดต่อไป

วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม / การสัมมนา
1. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในกระบวนการวิจัยให้แก่คณาจารย์ นักวิจัย บุคลากรของเครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนบน ให้สามารถขอสนับสนุนการวิจัยจากแหล่งทุนได้
2. เพื่อเปิดโอกาสให้คณาจารยย์ นักวิจัย และบุคลากรของเครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนบน ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ อันส่งผลให้เกิดความร่วมมือทางการวิจัยระหว่างสถาบันอุดมศึกษา
3. เพื่อสร้างบุคลากรด้านการวิจัยของเครือข่ายอุดมศึกษาภาคเหนือตอนบน ให้มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และวิสัยทัศน์ในการวิจัย

หากเพื่อนบุคลากรที่เข้าร่วมกิจกรรมแล้ว ต้องการติดตามย้อนหลัง
หรือท่านที่ติดภารกิจ สามารถเข้าไปติดตามการบรรยาย ของวิทยากรทั้ง 6 ท่านได้
1. ศ.นพ.สุทธิพร  จิตต์มิตรภาพ บรรยายเรื่อง แหล่งทุนและทิศทางการวิจัยในประเทศ
Track ทั้ง 4 ของความก้าวหน้าในอาชีพ
1.1 ผลงานตีพิมพ์ วารสาร หนังสือ
1.2 สิทธิบัตร/นวัตกรรม/กระบวนการ/มูลค่าเศรษฐกิจ
1.3 ผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต
1.4 การเปลี่ยนแปลงนโยบาย กติกา
2. ศ.นพ.คม สุคนธสรรพ์ บรรยายเรื่อง กระบวนการวิจัยและพัฒนางานวิจัย
ในสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
3. รศ.ดร.อรรถชัย จินตะเวช บรรยายเรื่อง กระบวนการวิจัยและพัฒนางานวิจัย
ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4. ศ.ดร.มนัส สุวรรณ บรรยายเรื่อง กระบวนการวิจัยและพัฒนางานวิจัย
ในสาขาวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
5. ผศ.วุฒิพงศ์ เตชะดำรงสิน บรรยายเรื่อง เขียนโครงการวิจัยอย่างไรให้ได้รับทุน
6. นพ.วิจารณ์ พานิช บรรยายเรื่อง เทคนิคการจัดการองค์ความรู้เพื่อประยุกต์ใช้ในงานวิจัย
Organizational Knowledge Creation : SECI Model
– Socialization
– Externalization
– Combination
– Internalization

แหล่งภาพ
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.1442035516015857.1073741856.1399580723594670

ข้อมูลโครงการ และกำหนดการ
ที่ http://www.scribd.com/doc/189761687/

ปัญหาความโปร่งใสของตำแหน่งอธิการบดี การยึดโยงกับประชาคมภายในมหาวิทยาลัย และความเหลื่อมล้ำ

ปัญหาความโปร่งใสของตำแหน่งอธิการบดี การยึดโยงกับประชาคมภายในมหาวิทยาลัย และความเหลื่อมล้ำ
คนที่เขียนเรื่องนี้ไม่ธรรมดาครับ เพราะเชิงอรรถแน่น และร้อยเรียงได้ดี
ผมคัดลอกส่วนของปัญหาความโปร่งใส .. รายละเอียดอื่นอีกเพียบ
ที่ http://prachatai.com/journal/2013/12/50325

ในด้านหนึ่งตำแหน่งอธิการบดีนั้นถือว่าเป็นพื้นที่ขับเคี่ยวทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง การที่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ พงศ์เทพ เทพกาญจนาออกมาเตือนให้ สภามหาวิทยาลัยควรมีความโปร่งใสในการสรรหาอธิการบดี ก็ยิ่งเป็นตัวชี้วัดได้ดี [10] ไม่เพียงเท่านั้นข่าวฉาวของอธิการบดีก็มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งในระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำสมาชิก ทปอ. และมหาวิทยาลัยนอก ทปอ. ยังไม่ต้องนับว่า ตำแหน่งอธิการบดีหลายแห่งในประเทศไทย ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และตัดขาดความมีส่วนร่วมของประชาคมในมหาวิทยาลัยนั้นๆ

ความเหลื่อมล้ำของสถาบันต่างๆ โดยโครงสร้างนั้นมีอยู่จริง ไม่นับต้องพูดถึงความเหลื่อมล้ำภายในองค์กรที่จัดฐานันดรศักดิ์ ข้าราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย ลูกจ้างชั่วคราว ที่เป็นปัญหาอย่างมากในฐานะขององค์กรแนวดิ่ง ไม่มีสหภาพแรงงานเฉกเช่นประเทศในโลกสมัยใหม่ทั้งหลาย  ในที่นี้ขอปิดท้ายด้วยงบประมาณที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้รับการจัดสรร ตั้งแต่งบประมาณปี 2549-2556 ทำให้เห็นความแตกต่างของมหาวิทยาลัยต่างๆ ในระดับครีมสมาชิกทั้ง 27 แห่ง มีความแตกต่างอย่างไรกับมหาวิทยาลัยที่ไม่ถูกนับ ช่องว่างดังกล่าวแสดงถึงความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรมยิ่ง มหาวิทยาลัยใหญ่จึงได้รับทั้งอภิสิทธิ์ทางเกียรติยศ เงินทอง และบทบาททางการเมือง ซึ่งที่ถือว่ามีปัญหามากในสายตาของผู้เขียนคือ ทำตัวเป็นผู้ไม่รู้ร้อนเกี่ยวกับหลักการอยู่ร่วมกันโลกสมัยใหม่ และระบอบประชาธิปไตย.

กอศ. ปลุกจิตสำนึกอาชีวะช่วยเหลือประชาชน.ผ่านโครงการ Fix it Center ตลอดเดือนมหามงคลนี้

6 ธันวาคม 2556

ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา หรือ กอศ.กล่าวว่า เนื่องในวโรกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมพรรษา 86 พรรษา 5 ธันวาคม 2556 ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา(สอศ.) ได้มีการส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษามีจิตสำนึกทำความดีช่วยเหลือประชาชน ผ่านโครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)ตลอดเดือนมหามงคลนี้
โดย สอศ.ได้มอบให้วิทยาลัยในสังกัดทั่วประเทศ วางแผนดำเนินการเอง ทั้งการเปิดศูนย์พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ Fix it Center ภายในวิทยาลัย หรือตามหมู่บ้าน เพื่อซ่อมแซม อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องจักรกลทางการเกษตร รถจักรยานยนต์ การให้คำแนะนำบำรุงรักษาเครื่องมือต่างๆ เพื่อยืดอายุการใช้งาน และการถ่ายทอดความรู้ทักษะช่างชุมนุมให้กับประชาชน เพื่อยกระดับฝีมือช่างชุมชน เป็นต้น

“นอกจากตั้งศูนย์ตามจุดบริการต่างๆ แล้วในครั้งนี้ สอศ.จะเพิ่มการบริการผ่านรถโมบายซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ออกให้บริการแก่ประชาชนตามบ้านเรือนด้วย เนื่องจากชาวบ้านที่ลำบากจริงๆ จะไม่มีรถขนของที่ต้องการให้ซ่อม เช่น ตู้เย็น โทรทัศน์ หรือปั้มน้ำมายังจุดบริการได้ ผมเชื่อว่า Fix it Center จะช่วยพัฒนาจิตสำนึกของเด็กอาชีวะในเรื่องของการน้อมนำพระราชดำริและงานที่พระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ มาเป็นแรงขับเคลื่อนการทำงานที่เสียสละเพื่อผู้อื่น ดังเช่นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณากับพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด”

ที่มา: http://www.thanonline.com

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34998&Key=hotnews

งานรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา เสียงสะท้อนการจัดการศึกษาจากชาวเหนือ

6 ธันวาคม 2556

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม 2556 ที่ห้องประชุมโรงแรมอมรินทร์ลากูน พิษณุโลก รศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษาเพื่อเปิดรับฟังเสียงสะท้อนความคิดเห็นในเรื่องการจัดการศึกษาจากผู้ที่เกี่ยวข้องในเขตภาคเหนือโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 39 เป็นเจ้าภาพจัดงาน มีผู้เข้าร่วมงานจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 53 เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 53 เขตพื้นที่การศึกษาของภาคเหนือ จำนวน 550 คน

ดร.สมเกียรติ บุญรอด ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 39 (ผอ.สฬม.39) ในฐานะประธานจัดงาน “รวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา” จุดที่ 4 ภาคเหนือ (1-2 ธันวาคม 2556) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) ได้มีผลการผลักดัน 8 นโยบายด้านการศึกษาสู่การปฏิบัติ ซึ่งในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขึ้นพื้นฐานนั้น ได้มีการประกาศให้ “การศึกษา” เป็นวาระแห่งชาติ และในปีพุทธศักราช 2556 เป็นปีแห่งการ “รวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา” เพื่อให้การศึกษาไทยมีคุณภาพมาตรฐานในระดับสากลและสอดคล้องกับสังคมโลกยุคใหม่ ในการจัดงานครั้งนี้ได้มุ่งเน้นใน 4 ประเด็นหลักตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ คือ

1. การพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ทั้งระบบที่สัมพันธ์เชื่อมโยง ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา และเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อนเนื่อง เช่นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สนุกสนานเร้าใจผู้เรียนมีความสนุกสนานและไม่เบื่อหน่ายในการเรียน การจัดการเรียนการสอนที่มีระบบการวัดผล/ประเมิลผลตามศักยภาพของนักเรียน นักเรียนเกิดความสุขในการเรียน เป็นต้น

2. การพัฒนาครู ให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการการเรียนการสอน รองรับการเรียนรู้สู่โลกยุคใหม่ รวมถึงระบบการดูแลสวัสดิการ การสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการครู และการส่งเสริมความสามารถของข้าราชการครูให้มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน

3. การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารมาใช้ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเช่น การสร้างมาตรฐานการเรียนการสอนดัวยคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) การพัฒนาเนื้อหาสาระ รวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

4. การเพิ่มและการกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ เช่น ประชาชนสามารถได้รับการบริการทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส การพัฒนากองทุนต่างๆ การพัฒนากองทุนกู้ยืมฯ การระดมทุนเพื่อพัฒนาการศึกษา ตลอดจนการนำมาใช้ในการพัฒนาด้านการศึกษาเป็นต้น

นอกจากนี้ ในส่วนของการเสวนาบนเวทีภายใต้หัวข้อ “แนวคิดการพัฒนา ก้าวหน้าไม่มีอุปสรรค”  “การสนับสนุนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายด้วยความสำเร็จ” ได้มีการคัดเลือกบุคคลทั่วไปในด้านการจัดการศึกษา อาทิ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หรือผู้แทนชุมชน ผู้นำองค์กรต่างๆ ผู้บริหารดีเด่น ครูต้นแบบ นักเรียน ในเขตพื้นที่ ภาคเหนือทั้ง 17 จังหวัดมาร่วมเสวนาให้ความรู้และสะท้อนเสียงการจัดการศึกษา

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ในการจัดงานด้านการศึกษาครั้งนี้ตามกำหนดการเดิม นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จะเดินทางมาเป็นประธานและการร่วมการเสวนาด้วย แต่จากสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่อว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยทำให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยก่อนพิธีเปิดจะเริ่มขึ้น นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมต.ศึกษาธิการ ได้ส่งสัญญาณวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มายังห้องประชุม โดยได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่เดินทางมาร่วมงานไม่ได้ว่า ต้องอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองส่อว่าจะรุนแรง พร้อมทั้งฝากถึงผู้ที่เข้าร่วมงานเสวนาว่า ให้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ระดมความคิดเพื่อช่วยกันปฏิรูปการศึกษาอันจะนำปสู่การจัดการศึกษาของไทยให้ดียิ่งขึ้น.

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=34996&Key=hotnews