Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

สภาการศึกษาจับมือ UNESCO และ OECD ยกระดับการศึกษาไทย สู่สากล

15 สิงหาคม 2556

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการจัดทำนโยบายและแผนการศึกษาของประเทศ เพื่อให้คนไทยได้มีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาคและเป็นธรรมแต่เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์โลกและประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้จากข้อมูลสถิติต่างๆ พบว่าขีดความสามารถของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง

ด้วยเหตุนี้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจึงได้จัดทำ โครงการข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาของประเทศไทย โดยร่วมมือกับองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization หรือUNESCO) และ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development หรือ OECD) เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพการศึกษาให้ได้มาตรฐานสากลเกิดการเรียนรู้อย่างเท่าทันต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน และอนาคตโดยมีความสอดคล้องกับนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลและแนวนโยบายแห่งรัฐได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ประเทศ ในการจัดทำข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาของประเทศไทย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ได้มีการหารือกับ UNESCO และ OECDมาเป็นระยะโดยกำหนดขอบเขตข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาสำคัญของประเทศไทยไว้ 5 ประเด็น คือ

1. การประเมินระบบการศึกษาโดยรวม เน้น เรื่องคุณภาพ ความเสมอภาค และการปฏิรูป นโยบายกฎระเบียบ โครงสร้าง นโยบายพิเศษ และแนวทางปฏิบัติเพื่อปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายการศึกษาของรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 และแผนประชาสังคมวัฒนธรรมอาเซียน

2. นโยบายด้านครู และการเสริมสร้างความสามารถของครูและผู้บริหารโรงเรียน การเลื่อนวิทยฐานะ โดยการวิเคราะห์ทรัพยากรที่มีอยู่ รวมทั้งการประเมินโอกาสเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ (การเสริมสร้างความสามารถครู การเลื่อนวิทยฐานะ การยกระดับให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง การเป็นผู้นำในโรงเรียน การมีส่วนร่วมในสังคมการเรียนการสอนในพหุวัฒนธรรม ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน)

3. การพัฒนาหลักสูตร เน้นความสามารถด้านภาษาความเป็นพลเมืองโลก ความมีขันติธรรม ความเสมอภาคและพลเมืองศึกษา

4. การประเมินผลสัมฤทธิ์ โดยตัวชี้วัดด้านการศึกษาที่เป็นสากลได้แก่ การประเมินผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติหรือ PISA การทดสอบทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ O-NET และตัวชี้วัดอื่นที่เกี่ยวข้อง

5. การเรียนโดยใช้สื่อเคลื่อนที่ (Mobile Learning) เน้นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการศึกษาและฝึกอบรมครู

ในการนี้ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาได้จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการระหว่างประเทศ ประจำปี 2556 เรื่อง “การศึกษาเพื่ออนาคตประเทศไทย” ระหว่างวันที่23 – 25 มิถุนายน 2556 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ซึ่งมีครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เข้าร่วมการประชุมสัมมนา กว่า 1,000 คน โดยในการประชุมได้มีการนำเสนอแนวทางการจัดการศึกษาของประเทศสมาชิกUNESCO และ OECD จากภูมิภาคอื่นมาเทียบเคียงกับผลการศึกษาของประเทศไทย รวมถึงมีผู้แทนจาก UNESCO และ OECD มาให้ข้อเสนอแนะและคำแนะนำในการจัดทำ “ข้อเสนอนโยบาย ด้านการศึกษาของประเทศไทย”

และหลังจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร UNESCO ครั้งที่ 192 ในเดือนกันยายน 2556 และการประชุมสมัยสามัญของ UNESCO ในเดือนตุลาคม 2556 นี้อาจมีการนำเสนองานด้านการศึกษาที่ประเทศไทยทำร่วมกับUNESCO และ OECD ด้วย เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากที่ประชุมและนำมาปรับปรุงร่างข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานด้านการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันสร้างความเข้มแข็งของระบบการศึกษาไทย และพัฒนาความสามารถของบุคลากรทางการศึกษาของประเทศเพื่อให้การศึกษาไทยเป็นการศึกษาที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น

ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา เลขที่ 99/20 ถนนสุโขทัยแขวงดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทร.0-2241-8284 ต่อ 2411และเว็บไซต์ www.onec.go.th

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33702&Key=hotnews

เผยเด็กไทยเข้ามหา’ลัยแค่ 30%

15 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดี มศว กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “มศว.กับการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม” ในงานโครงการบริหารวิชาการธุรกิจเพื่อสังคมว่า จากสถิติตัวเลขประชากรศาสตร์ พบว่าปัจจุบันมีเด็กเกิดโดยเฉลี่ย 7 แสนคนต่อปี และกฎหมายบังคับให้เรียนหนังสือทุกคน แต่ในความเป็นจริงกลับมีเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาเพียง 98% จบ ป.6 และ ม.3 ประมาณ 96% แม้จะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้พูดถึงคุณภาพเมื่อเด็กจบไปแล้วสามารถอ่านออกเขียนได้คล่องหรือไม่ และเด็กมีทัศนคติ มีความรู้ และมีความสุขในการดำเนินชีวิตหรือไม่

นพ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ส่วนระดับอุดมศึกษา พบว่ามีเด็กเข้าสู่มหาวิทยาลัยน้อยลง มีเพียง 30% หรือประมาณ 2 แสนคน จากประชากรเด็ก 7 แสนคน และในจำนวน 2 แสนคน เรียนจบบ้าง ไม่จบบ้าง หรือจบแบบไม่รู้ว่าจะไปใช้ชีวิตอย่างไร ไม่มีทักษะความรู้ ความสามารถ ทั้งที่งบประมาณส่วนหนึ่งที่ใช้ในการเรียนมาจากภาษีประชาชน ดังนั้น มองว่าอุดมศึกษาควรเข้าไปช่วยให้บัณฑิตไทยรู้จักพึ่งพาตัวเอง ทำประโยชน์เพื่อสังคมมากขึ้น

นายมีชัย วีระไวทยะ นายกสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน กล่าวว่า บัณฑิตที่จบมีเพียง 30% ที่มีงานทำ ส่วน 70% ระบุไม่ได้ว่ามีงานทำหรือไม่ ดังนั้น อยากให้ผู้บริหารทางการศึกษาของไทยตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น และส่งเสริมให้นักศึกษาช่วยเหลือตนเองได้ ไม่เช่นนั้นนักศึกษาไทยจะลำบาก เมื่อคนในประเทศลำบาก การพัฒนาประเทศจะลำบากไปด้วย

“ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนระบบการศึกษาแบบท่องจำ มาเป็นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และมีความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่มค้นคว้าหาทางเลือกในการดำเนินชีวิตเองได้ ทั้งชีวิตส่วนตัว และชีวิตการงาน ขณะเดียวกันต้องสอนให้เด็กแก้ปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้ แนวทางหนึ่งคือให้นักศึกษาเรียนรู้การทำธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ช่วยพัฒนาการศึกษา และขจัดความยากจน โดยเอากำไรมาช่วยคนที่รอคอยโอกาส ไม่ใช่ช่วยคนที่มีเงินแล้ว” นายมีชัยกล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33701&Key=hotnews

สอศ.หารือรับผู้พิการทำงาน-เจ้าของSME

15 สิงหาคม 2556

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้หารือกับผู้บริหารองค์กรหลักเพื่อกำหนดรายละเอียดการจัดการศึกษาพิเศษ โดยมอบการบ้านให้ทุกองค์กรหลักดังนี้ คือ

1.ทำอย่างไรถึงจะผลิตครูสายการศึกษาพิเศษให้มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐาน และเพียงพอต่อความต้องการที่แท้จริง
2.ทำอย่างไรถึงจะให้ผู้พิการมีอาชีพที่มั่นคง
3.ทำอย่างไรให้ผู้พิการวัยเรียนทั่วประเทศที่มีอยู่เกือบ 1 ล้านคน ได้มีโอกาสได้เรียนมากขึ้น และ
4.ทำอย่างไรให้ผู้พิการที่ไม่ได้อยู่ในวัยเรียน ได้รับการส่งเสริมให้ประกอบ อาชีพได้

“โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เสนอว่าจะประสานกับสถานประกอบการรายใหญ่รับผู้พิการเข้าไปทำงาน ส่วนผู้พิการที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเอง สอศ.จะส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย หรือเอสเอ็มอี” นายชัยพฤกษ์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33700&Key=hotnews

ทปอ.ค้านปรับระบบใหม่การเข้ามหา’ลัย

15 สิงหาคม 2556

ทปอ.ค้านปรับระบบใหม่การเข้ามหา’ลัย ย้ำระบบเดิมอยู่ดีแล้ว แต่หากจะปรับต้องแจ้งนักเรียนล่วงหน้า 3 ปี ในขณะที่สกอ.เดินหน้าระดมความเห็นผู้เกี่ยวข้อง 31 ส.ค.นี้

วานนี้(14 ส.ค.) ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ. ) เปิดเผยว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ มีแนวคิดปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา โดยต้องการเห็นระบบที่สามารถคัดเลือกคนที่มีคุณภาพเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งให้โอกาสและความเท่าเทียมแก่เด็กทั่วประเทศ และข้อสอบที่ใช้คัดเลือกจะต้องสอดคล้องกับการปฎิรูปการศึกษานั้น ทปอ.เห็นว่าระบบที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่คงต้องมาดูในรายละเอียดต่างๆก่อนว่ารมว.ศึกษาธิการต้องการจะให้ปรับปรุงอย่างไรบ้าง และจะให้ปรับมากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตามทางทปอ.ไม่อยากให้มีการปรับระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในช่วงนี้ จนกว่าจะรู้ข้อดีข้อเสียของระบบเดิมที่ทำอยู่ก่อน เพราะการปรับแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบกับเด็ก อีกทั้งต้องประกาศให้นักเรียนทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ปี เพื่อทุกคนจะได้เตรียมตัวทัน แต่ทั้งนี้ตนยอมรับว่าการรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัย ยังคงเป็นปัญหา ซึ่งขณะนี้ทปอ. กำลังพยายามหาทางแก้ไขอยู่

ด้านรศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวว่า ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) จะจัดประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาจากฝ่ายต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งตัวแทนนักเรียน ผู้ปกครอง นักวิชาการ ตัวแทนมหาวิทยาลัย สภาวิชาชีพ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจ เพื่อมาช่วยกันดูว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ซึ่งถ้าเห็นว่าดีอยู่แล้วก็คงไม่จำเป็นต้องปรับ

ที่มา: http://www.dailynews.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33698&Key=hotnews

เพิ่มรายหัว นร.แบบ Top up สกศ.เร่ง 4 หน่วยงานสรุปวงเงินเน้น รร.ทุรกันดาร

15 สิงหาคม 2556

กศน.- สช.มึนสะเทือนเงินเดือนครู 15,000 บาท
เมื่อวันที่ 14 ส.ค.56 น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า ตามที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ สกศ.พิจารณาแนวทางการปรับหลักสูตรการคำนวณการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายรายหัวการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะมีเด็กที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวขั้นพื้นฐานทุกระบบการศึกษาทั้งประเทศ จำนวนประมาณ 11 ล้านคน

โดยรัฐจะจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กทุกคนใน 5 รายการคือ ค่าจัดการเรียนการสอน ค่าหนังสือ ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ดังนั้น หากจะมีการปรับปรุงค่าใช้จ่ายรายหัวใหม่ สกศ.จึงได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มาร่วมหารือ

เลขาธิการ สกศ. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ จากการหารือเบื้องต้นทุกหน่วยงานเห็นตรงกันว่า ถ้าเปลี่ยนการจัดสรรรายหัวใหม่ เป็นการจัดสรรแบบ Fixed cost ในส่วนค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นแก่โรงเรียน ยกเว้นค่าเครื่องแบบ กับค่าอุปกรณ์การเรียน ที่ยังจัดสรรให้เด็กโดยตรง เมื่อคำนวณแล้วไม่แตกต่างจากการจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐาน 5 รายการ ที่ทำอยู่มากนัก

ที่ประชุมจึงเสนอว่าให้มีการจัดสรรเงินอุดหนุนแบบเดิม แต่ให้มีการจัดสรรเพิ่มเติมเป็นค่าใช้จ่าย Top up ให้เฉพาะสถานศึกษาที่อยู่ห่างไกล ทุรกันดาร และมีปัญหาจริงๆ โดยให้ทุกหน่วยงานไปสรุปข้อมูลทั้งหมดว่าควรจะจัดสรรเพิ่มเติมให้แก่สถานศึกษาใดบ้าง วงเงินเท่าไหร่มาเสนอ สกศ.ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค.นี้ เพื่อจะได้รวบรวมเสนอ รมว.ศึกษาธิการ ในวันจันทร์ที่ 19 ส.ค.56 ต่อไป

“เบื้องต้นจากการรับฟังข้อมูลพบว่า การใช้สูตรค่าใช้จ่ายรายหัวปัจจุบันในส่วนของ สพฐ.จะมีโรงเรียนขนาดกลางและเล็กได้รับผลกระทบ เพราะมีจำนวนนักเรียนน้อยเมื่อได้ค่าใช้จ่ายรายหัวมาจะต้องนำไปใช้จัดการเรียนการสอนด้วยซึ่งไม่เพียงพอ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีอยู่ 14,000 โรง จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วน สอศ.จะมีประมาณ 180 กว่าวิทยาลัยที่ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่เป็นวิทยาลัยการอาชีพและวิทยาลัยสารพัดช่าง สำหรับ กศน.ระบุว่าการจัดสรรวิธีนี้ กศน.ไม่ได้รับค่าจ้างครู จึงต้องใช้ค่าใช้จ่ายรายหัวของเด็กไปจ้างครู เมื่อค่าใช้จ่ายรายหัวน้อยก็ส่งผลให้ครูได้เงินเดือนน้อยตามไปด้วย โดยเด็กที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารตามเกาะตามดอย ขณะที่ สช.ได้รับผลกระทบเฉพาะเงินเดือนครู ซึ่งอยู่ระหว่างขอปรับเงินเดือนเป็น 15,000 บาท” น.ส.ศศิธารา กล่าว

ที่มา: http://www.siamrath.co.th

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33697&Key=hotnews

อาชีวะจัดยิ่งใหญ่โชว์ศักยภาพผลงานเด็ก 18-22 ส.ค.นี้

15 สิงหาคม 2556

อาชีวะสร้างชาติ โชว์ใหญ่ศักยภาพและผลงานเด็ก เตรียมแจกแว่นฟรี 150 อันต่อวันแก่ผู้สูงอายุ 18-22 ส.ค.นี้
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา (เลขาธิการ กอศ.) แถลงข่าวการจัดงาน “อาชีวะสร้างชาติ Empowering Thailand” ว่า ในโอกาสครบรอบ 72 ปีและเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ครบ 6 รอบของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และจึงได้จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้นโดยตั้งใจให้ยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ ปีและเน้นนำเสนอกิจกรรม และผลงานของนักศึกษาที่แสดงถึงศักยภาพในด้านวิชาชีพที่สร้างงาน สร้างเงิน และสร้างความมั่นคงแก่นักศึกษาและประเทศชาติภายใต้ชื่องานว่า อาชีวะสร้างชาติ Empowering Thailand” โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-22 สิงหาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 08.00-19.00 น. ณ บริเวณหอประชุมคุรุสภา ริมคลองผดุงกรุงเกษม ด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการ สนามหญ้าหน้าอาคารราชวัลลภ

สำหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ นิทรรศการในโครงการพระราชดำริ งานหัตถศิลป์ “กลีบผกา กัทลี วิถีไทย” โชว์ผลงานหัตถิศิลป์ฝีมือนักศึกษา งานฝีดอกไม้ หรือบายศรีจากใบตอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการฝึกสอน 108 อาชีพภายใน 3 ชั่วโมงฟรี มีศูนย์ Fix it Center รับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ให้ฟรี การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของอาชีวศึกษา เช่น พืชผลเกษตร อาหาร ขนม ฯลฯ ที่สำคัญคือในโอกาสวิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ซึ่งจัดการเรียนการสอนในสาขาเทคนิคแว่นตาและเลนส์ จะมาให้บริการตรวจวัดสายตาและแจกแว่นตาให้แก่ผู้สูงอายุวันละ 150 อันด้วย

Source – ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (Th)

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33696&Key=hotnews

ล้อมคอกนักศึกษาลอกข้อสอบด้วยหมวกกระดาษ

ไม่คิดว่าจะเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน
อ่านแล้วก็ยังไม่เชื่อว่าจะมี อาจารย์ที่ไหนคิดว่าวิธีนี้ได้ผล
เพราะใครเห็นก็ต้องทราบว่า
ผลทางตรงของวิธีนี้ไม่อาจป้องกันการลอกข้อสอบได้จริง
แต่ถ้าเป็นผลทางอ้อมก็ไม่แน่ โดยใช้หลักจิตวิทยา เพื่อปรามไม่ให้กระทำ

 

หมวกกระดาษ กัน ลอกข้อสอบ
หมวกกระดาษ กัน ลอกข้อสอบ

บรรยากาศแปลกตาที่เกิดขึ้นในห้องสอบคณะอุตสาหกรรมเกษตร (อก.) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถูกเผยแพร่ส่งต่อในสังคมออนไลน์ตลอดวันที่ 14 ส.ค.2556

นักศึกษาร่วม 100 ชีวิต ซึ่งถูกแบ่งออกเป็นแถวๆ มีพื้นที่ว่างกั้นระหว่างกัน กำลังก้มหน้าก้มตาจับจดอยู่กับการทำข้อสอบ บนหัวทุกรายมีสิ่งหนึ่งผิดแผกแปลกไปจากสภาพปกติ นั่นก็คือ “แผ่นกระดาษ”

ผู้เข้าสอบทุกรายถูกสั่งให้สวม “หมวกกระดาษ (Paper Hat)” ซึ่งมีลักษณะเป็นกระดาษขาวเย็บต่อกันเป็นวงสำหรับสวมจากด้านบน ซ้ายขวามีแผ่นกระดาษขาวห้อยลงมาคอยเบียดบังทัศนะวิสัย เป้าประสงค์หลักคือป้องกันไม่ให้ผู้เข้าสอบทำการทุจริตในห้องสอบได้

ทันทีที่ภาพถูกเผยแพร่ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายแตกต่าง มุมหนึ่งสนับสนุนว่าเป็นสิ่งดี อาจารย์น่าชมเชยเพราะสามารถประดิษฐ์นวัตกรรมจากภูมิปัญญาง่ายๆ แต่ใช้แก้ปัญหาได้จริง อีกมุมหนึ่งเห็นต่าง มองว่าเป็นการกระทำที่เกินพอดี และเป็นการหยามเกียรติภูมินักศึกษา

วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) บอกกับโพสต์ทูเดย์ว่า แม้จะยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่พร้อมจะเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถึงที่สุด

ขณะที่ อาจารย์คณะอุตสาหกรรมเกษตร รายหนึ่ง ยอมรับกับโพสต์ทูเดย์ตรงๆ ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง เป็นมาตรการที่ใช้ระหว่างจัดสอบจริง แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ จำเป็นต้องหารือกันภายในก่อน อย่างไรก็ดียืนยันว่าเมื่อได้ข้อสรุปจะเร่งชี้แจงอย่างเร็วที่สุดแน่นอน

ด้าน เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์รูปดังกล่าวและแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กKasian Tejapiraw ว่า ผมเกรงว่าต่อให้สอบผ่านทั้งห้องก็ล้มเหลว

อาจารย์เกษียร ขยายความว่า อนาถใจนะครับ ยิ่งกว่าการสอบของเด็กนักเรียนซะอีก ถ้าเราต้องใช้วิธีนี้ในห้องสอบ ก็แสดงว่าการศึกษาล้มเหลวแล้ว ไม่ว่าจะสอบผ่านหรือไม่ก็ตาม ล้มเหลวแล้วต่อให้สอบผ่านทั้งห้องก็ตาม

นั่นเพราะพวกเขาซึ่งเป็นผลผลิตบุคลากรจากระบบการศึกษาได้กลายเป็นคน ที่ถูกปฏิบัติต่อสเมือนหนึ่งไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะทำสิ่งสุจริตโดยสมัครใจ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? การติดกระดาษบังรอบหัวได้แตะเข้าไปถึงมูลเหตุของความล้มเหลวหรือ?

สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ส่องปรากฏการณ์นี้ว่า มหาวิทยาลัยไม่น่าจะทำถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่มากเกินความจำเป็น และภาพที่เผยแพร่ออกมาสร้างความเสียหายทั้งกับตัวมหาวิทยาลัยเอง และหากหลุดออกไปให้ชาวต่างชาติเห็น เขาจะยิ่งหัวเราะและมองว่าการศึกษาไทยล้าหลัง ภาพที่ออกมาคือความล้มเหลว

ปัญหาคือระบบโบราณ เป็นการสอบที่ให้นักศึกษาจำแต่ไม่ให้คิดวิเคราะห์ นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งให้นักศึกษาขาดจินตนาการ แม้สอบผ่านเรียนจบออกมาก็คิดอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็โง่ ดังนั้นต้องสอนให้นักศึกษาคิด ให้อภิปราย เมื่อสอบก็เป็นลักษณะปัจเจก ไม่ต้องกังวลว่าจะมาลอกกันอาจารย์สังศิต ระบุ

http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/240644/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%99%E0%B8%A8-%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89

เมื่อเช้าแชร์เรื่องใช้กล่องคลุมหัว เพราะไม่คิดว่าจะมีจริงในโลก
ยิ่งหมวกกระดาษยังไม่สามารถป้องกันได้เลย หากผู้กระทำมีเจตนาอยู่แล้ว
http://www.thaiall.com/blog/burin/5433/

 

คาด 2 ด. สรุปถอน ‘ตั๋ว’ ทุจริตครูผู้ช่วย 14 ราย

14 สิงหาคม 2556

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม นายพลสัณห์ โพธิ์ศรีทอง ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการคุรุสภา เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ว่าที่ประชุมพิจารณากรณีผู้ที่ทุจริตการสอบคัดเลือกครูผู้ช่วยกรณีมีความจำเป็น หรือเหตุพิเศษ ว12 จำนวน 344 ราย ตามรายชื่อของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อพิจารณาเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ซึ่งขณะนี้แบ่งเป็น 3 กรณี ได้แก่ 1.กลุ่มที่สั่งให้ออกจากราชการแล้ว 14 คน ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ส่งข้อมูลและหลักฐานมาให้ โดยที่ประชุม กมว.ได้ตั้งคณะทำงานสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อขอดูหลักฐานจากดีเอสไอ และ ก.ค.ศ.เพื่อพิจารณาว่าจะเข้าข่ายไหนตามกฎเกณฑ์ของการเพิกถอน หรือพักใช้ใบอนุญาตฯ 2.กรณีชิงลาออกจากครูผู้ช่วยก่อนมีคำสั่งปลดออก ยังไม่มีจำนวนชัดเจน แต่ กมว.จะตั้งคณะกรรมการติดตามเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง และ 3.กลุ่มที่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ จะต้องติดตามข้อมูลต่อไป

“อย่างไรก็ตาม กลุ่มอดีตครูผู้ช่วย 14 รายในกลุ่มแรก น่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน จะได้ข้อสรุปในการพัก เพิกถอนใบอนุญาตฯ ส่วนการขึ้นบัญชีดำนั้น จะต้องเพิกถอนใบอนุญาตฯก่อน” นายพลสัณห์กล่าว

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33692&Key=hotnews

สช.เล็งปรับเกณฑ์ร.ร.เอกชน ลดขั้นตอน-เอื้อ’เด็กต่างชาติ’เรียนไทย วอนคุรุสภาผ่อนกฎเหล็กใบวิชาชีพครู

14 สิงหาคม 2556

นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูร เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) จะประชุมปฏิบัติการย่อยเพื่อรวบรวมประเด็นเสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) วันที่ 30 สิงหาคมนี้ ซึ่งจะเสนอสภาพปัญหาของโรงเรียนเอกชนและแนวทางต่างๆ ในการสนองนโยบายส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากยิ่งขึ้น โดยการส่งเสริมภาคเอกชนนั้นจะต้องส่งเสริมให้มีการเปิดโรงเรียนเอกชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลักเกณฑ์ไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการศึกษาเอกชน สช.ก็พร้อมจะปรับปรุงตามเหมาะสม โดยปัจจุบันหลักเกณฑ์ที่เป็นปัญหาต่อโรงเรียนเอกชนมาก คือการโอนทรัพย์สินที่ดินเป็นของโรงเรียนตาม พ.ร.บ.การศึกษาเอกชนที่ระบุให้ไม่ต้องเสียภาษีการโอน แต่กรมสรรพากรยังไม่ได้ประกาศใน พ.ร.ฎ.ประมวลรัษฎากรที่ไม่ต้องเสียภาษี จึงทำให้ยังไม่สามารถโอนทรัพย์สินของโรงเรียนเอกชนได้และต้องมีการยกเว้นกันอยู่ โดยขณะนี้ สช.ได้หารือกรมสรรพากรเพื่อเร่งรัดเรื่องนี้แล้ว

“อีกปัญหาหนึ่งของโรงเรียนเอกชน คือ การขาดแคลนครูเอกชน จะทำอย่างไรที่จะให้คุรุสภาผ่อนปรนหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู โดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน อาทิ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ที่จะให้คนที่จบสาขาอื่น เช่น วิศวกรรมศาสตร์มาช่วยสอน แต่จะเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้อย่างไร ซึ่งปัจจุบันแม้คุรุสภาจะใช้วิธีการเทียบโอนความรู้ แต่ก็ไม่ทัน เพราะมีความขาดแคลนมาก” เลขาธิการ กช.กล่าว และว่า ปัจจุบันโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญมีประมาณ 3,000 แห่ง ประเภทอาชีวศึกษา 400 กว่าแห่ง โรงเรียนนานาชาติ 200 กว่าแห่ง และโรงเรียนเอกชนนอกระบบ 10,000 กว่าแห่ง

เลขาธิการ กช.กล่าวว่า สช.มีแนวคิดที่จะให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรับนักเรียนและครูต่างประเทศเพื่อให้มีความเป็นสากลและเป็นการอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะการรับนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียนในโรงเรียนเอกชนนั้นยังมีอุปสรรคและเงื่อนไขในกระบวนการและขั้นตอนการขออนุญาต เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทำให้การรับนักเรียนต้องผ่านขั้นตอนมากมาย หากลดขั้นตอนเหล่านี้จะเป็นสิ่งดี ทั้งนี้ สช.เคยประชุมหารือกับหลายหน่วยงานมาแล้วเพื่ออำนวยความสะดวก แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องความมั่นคง

นายบัณฑิตย์กล่าวว่า ในปัจจุบันมีนักเรียนต่างชาติเข้ามาเรียนในโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเอกชนที่เปิดสอนหลักสูตรภาษาอังกฤษ โรงเรียนนอกระบบหลักสูตรวิชาชีพต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยแต่ละปีมีมากกว่า 3 หมื่นคน ส่วนใหญ่มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนมากที่สุด รองลงมาเวียดนามและพม่า ซึ่งแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น ทุกๆ ปี

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33691&Key=hotnews

ค้านเพิ่มสัดส่วนผลสัมฤทธิ์เด็กประเมินครูโรงเรียนนอกเมืองอาจเสียเปรียบ

14 สิงหาคม 2556

ผศ.ดร.สุรวาท ทองบุ คณบดีคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม (มรม.) ฐานะประธานสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) กล่าวว่า จากกรณีที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปรับเพิ่มสัดส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนให้มีผลต่อเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะของครูและผู้บริหารสถานศึกษา เป็นอย่างน้อยร้อยละ 50 นั้น ตนเห็นว่าการพิจารณาเฉพาะผลลัพธ์หรือผลสัมฤทธิ์ที่เพิ่มสูงขึ้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม เนื่องจากคุณภาพผู้เรียนในแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน โดยเฉพาะโรงเรียนตามต่างจังหวัดซึ่งนักเรียนมีความขัดสนในทุกด้าน จึงอาจไม่สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ได้มากเท่ากับนักเรียนในเมือง โดยแนวทางที่เหมาะสมคือ การประเมินวิทยฐานะควรเน้นพัฒนาการที่เพิ่มมากขึ้นของผู้เรียนในทุกด้าน ทั้งด้านบุคลิกภาพและคุณภาพการเรียน ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมหาวิธีคำนวณเกณฑ์การพัฒนาของผู้เรียนในกรณีที่ผู้เรียนนั้นได้ผลสัมฤทธิ์สูงอยู่แล้ว จึงอาจมีพัฒนาการที่สูงขึ้นได้ยากกว่าผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่า ตัวอย่างเช่น บางโรงเรียนรับนักเรียนชั้น ม.4 ที่มีผลการเรียนดีอยู่แล้วเข้ามา ดังนั้นการจะพัฒนาให้เพิ่มขึ้นไปอีก ย่อมยากกว่าการพัฒนาเด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนต่ำกว่า เป็นต้น

“ระบบการประเมินวิทยฐานะจะมีผลถึงการจูงใจให้คนดีคนเก่งอยากมาเป็นครูด้วย ดังนั้นผมอยากเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนระบบความก้าวหน้าในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งควรพิจารณาจากการเป็นครูดีครูเก่ง ไม่ใช่เอาครูที่ท่องหนังสือเก่งแล้วสอบข้อเขียนได้คะแนนสูงมาเป็นผู้บริหาร แต่กลับสอนไม่เป็น พร้อมกันนี้ควรกระจายอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาเลื่อนวิทยฐานะ หรือเลือกผู้บริหารโรงเรียน แทนการมอบหมายให้เขตพื้นที่การศึกษาทำหน้าที่ ซึ่งจะไม่สามารถเข้าถึงทุกโรงเรียนได้อย่างแท้จริง” ผศ.ดร.สุรวาท กล่าว

นายจักรพล แสนเมือง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านเชียงยืน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับแนวนโยบายดังกล่าว เพราะเด็กตามต่างจังหวัดมักจะเรียนอ่อนกว่าเด็กในเมือง อีกทั้ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดมาตรฐานไว้ให้เด็กเก่งดีมีความสุข แล้วทำไมรัฐบาลจึงมุ่งแต่คะแนนทางการเรียน นอกจากนี้อยากเสนอให้พิจารณาเรื่องปริมาณความรับผิดชอบของครูต่อสัดส่วนจำนวนครูและนักเรียนในแต่ละโรงเรียนด้วย เช่น โรงเรียนบ้านเชียงยืน มีนักเรียน 1,300 คน ครู 63 คน ถือว่ามีครูน้อยแต่ภาระงานมาก ดังนั้นการให้ครูผู้สอนพัฒนาคุณภาพจึงทำได้ไม่เต็มที่.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=33690&Key=hotnews