Education News

ข่าวการศึกษา เน้นเกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ

ศธ.ขู่ถอนใบอนุญาตผู้บริหารฮั้วมั่นใจสกัดขบวนการโกงสอบครู

27 พฤษภาคม 2556

ศธ.ห่วง “มหา’ลัย” ฮั้วเขตพื้นที่ฯ โกงข้อสอบครูผู้ช่วยทั่วไปเดือน มิ.ย. วอนผู้บริหารคุมเข้มปิดช่องทุจริตทุกทาง จี้คุรุสภาอย่านิ่งนอนใจ ประกาศย้ำ “ครูผู้บริหาร” ร่วมขบวนการโกงสอบครูถอนใบวิชาชีพตลอดชีวิตเชื่อสกัดขบวนการทุจริตได้

เมื่อวันที่ 26 พ.ค.56 นายพิษณุตุลสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีการทุจริตสอบคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการครูตำแหน่งครูผู้ช่วยกรณีมีความจำเป็นหรือเหตุพิเศษ ว12 เปิดเผยว่า การตรวจสอบและเอาผิดขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วยต้องเดินหน้าต่อไป และถือเป็นบทเรียนของศธ. แต่ขณะเดียวกันก็ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้การสอบครูผู้ช่วยทั่วไป ประจำปี 2556 ระหว่างวันที่ 22-24มิ.ย.56 ต้องไม่เกิดการทุจริต ซึ่งที่ผ่านมาเริ่มมีกระแสข่าวว่าขบวนการทุจริตสอบครูผู้ช่วย เริ่มออกหาลูกค้า เพื่อจะโกงสอบแล้ว ทั้งที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) พยายามกวาดล้างขบวนการทุจริต การสอบครูผู้ช่วยอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ดี หากขบวนการทุจริตสอบไม่เกรงกลัว ก็ต้องไปปลุกจิตสำนึก ที่เหยื่อหรือผู้ใช้บริการโกงสอบ ให้เกิดการเปลี่ยนใจใหม่ ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้

ผู้ตรวจราชการ ศธ. กล่าวอีกว่าเริ่มแรกต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาประกาศย้ำ ถึงมาตรการลงโทษให้ชัดเจนก่อน เหมือนที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้ประกาศย้ำชัดเจนว่า หากบุคคลใดทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ หรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐก็จะถูกขึ้นบัญชีดำตลอดชีวิต ไม่สามารถสมัครสอบเข้ารับราชการครูได้อีก แต่คุรุ สภากลับยังเงียบจึงคิดว่าจากนี้ผู้บริหารคุรุสภาต้องออกมาประกาศย้ำให้ชัดเจนเช่นกันว่า บุคคลใดที่ทุจริตจะถูกเพิกถอน ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเป็นครูที่ไหนได้อีก ทั้งของรัฐและเอกชน อย่างไรก็ตามหากผู้สอบได้รับทราบมาตรการลงโทษที่รุนแรงจากการทุจริตแล้ว จะได้เปลี่ยนใจไม่ใช้บริการและเมื่อไม่มีผู้ใช้บริการก็จะไม่มีผู้ให้บริการหรือขบวนการทุจริตสอบต่อไป
“การจะทำให้การสอบครูผู้ช่วยทั่วไป นี้ไร้ทุจริต นอกจากจะต้องกระตุ้นจิตสำนึกผู้สอบแล้ว แต่ละเขตพื้นที่ฯต้องเข้มแข็งและรัดกุมไม่ปล่อยให้เกิดการทุจริต ส่วนก.ค.ศ. เองก็ต้องเด็ดขาดกล้า ตัดสินใจ เพราะอย่างหลายคดีการทุจริต สอบครูผู้ช่วย ที่เรื่องส่งมาจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ที่ผ่านมา

ถึงแม้จะผ่านมา 4-5 ปีแล้ว ขณะนี้ ก.ค.ศ.ยังไม่ตัดสิน ทำให้ไม่รู้ว่าใครถูกหรือผิด จนอาจทำให้ไม่มีใครเชื่อมั่นและไม่กลัว ดังนั้นถึงเวลาที่ ก.ค.ศ.จะต้องตัด สินใจให้เด็ดขาด” นายพิษณุกล่าวต่อว่า ยังเป็นห่วงในหลักเกณฑ์และวิธีการสอบ ครูผู้ช่วยทั่วไปนี้ โดยเฉพาะในข้อ 4 ที่ ให้เขตพื้นที่ฯ รวมกลุ่มกันตามเขตตรวจราช การศธ.และดำเนินการให้สถาบันอุดม ศึกษาที่เห็นควรให้เป็นผู้ออกข้อสอบ ส่งข้อสอบ ตรวจกระดาษคำตอบ และประมวลผลการสอบตามหลักสูตรที่กำหนดนั้น จริงๆคำว่า “สถาบันอุดมศึกษา”พอถึงเวลาจริงอาจเป็นเพียงคณะใดคณะหนึ่งหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่รับทำซึ่งหากเป็นอย่างนี้ก็อาจมีช่องโหว่ให้ทุจริตได้ เพราะสถาบันอุดมศึกษา ไม่ได้มีคนดีทั้งหมดเปรียบเหมือนสังคมที่มีทั้งคนดีและคนเลว จึงอยากให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั้นๆ สอดส่อง คัดเลือกคนดีมาร่วมออกข้อสอบด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32812&Key=hotnews

สมศ.วางแผนปรับเครื่องประเมินรอบ 4 รับปฏิรูปหลักสูตร

27 พฤษภาคม 2556

สมศ. เตรียมปรับระบบสร้างเครื่องมือประเมินรอบ 4 เชื่อมโยงกับหลักสูตรใหม่ เบื้องต้นต้องสะท้อนคุณลักษณะของเด็กไทยที่ชัด ไม่ใช่เน้นแค่คุณภาพตามเป้าหมายเดิม

นายชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. กล่าวว่า ขณะนี้การประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษา อยู่ระหว่างการประเมินคุณภาพสถานศึกษาภายนอก งรอบที่ 3 (ปี 2553-2558) ขณะเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำลังอยู่ระหว่างการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้ในปีการศึกษา 2557 หรือปีการศึกษา 2558 เพราะฉะนั้น สมศ.ก็ต้องเตรียมการเพื่อวางระบบเครื่องมือการประเมินคุณภาพภายนอก รอบที่ 4 ที่จะเริ่มดำเนินการปีการศึกษา 2559 ใหม่เพื่อให้การประเมินเชื่อมโยงกับหลักสูตรที่มีการปรับใหม่ อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้การประเมินรอบ 3 จะยังไม่แล้วเสร็จ แต่ สมศ.ก็จะไม่เร่งประเมินให้เร็วขึ้นเพื่อรองรับการประเมินรอบ 4 ยังคงยึดตามแผนการทำงานเดิมเป็นหลัก

ทั้งนี้ สำหรับการประเมินรอบ 4 นั้น ตามเป้าหมายเดิมของ สมศ.จะมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพของผู้เรียน คือทำอย่างไรให้ได้เด็กที่เก่ง มีคุณภาพ แต่เมื่อมีการปรับหลักสูตรและได้หารือเบื้องต้นกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) มีความเห็นร่วมกันที่จะปรับเป้าหมายใหม่ให้เด็กเป็นคนมีความรู้ ความเป็นไทย จิตอาสา และก้าวสู่สากล แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถือเป็นข้อสรุป เพราะจะต้องทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ต่างๆ อีก

“เป้าหมายดังกล่าวจะทำให้เกิดความชัดเจนว่า คุณลักษณะของเด็กไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร เช่น ความเป็นไทยก็ต้องมาดูว่าคืออะไร ต่างชาติชื่นชมคนไทยเพราะอะไร มาเมืองไทยเพราะอะไร ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ต่างชาติมองว่าคนไทยมีน้ำใจ เราก็อาจจะชูความเป็นไทยของเด็กคือ เรื่องความมีน้ำใจก็ได้” นายชาญณรงค์ กล่าว

กรุงเทพฯ–27 พ.ค.–ASTVผู้จัดการออนไลน์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32811&Key=hotnews

 

การศึกษาในหลักสูตรนานาชาติกับความพร้อมสู่ AEC

27 พฤษภาคม 2556

การศึกษาในหลักสูตรนานาชาติกับความพร้อมสู่ AEC

มรกต ระวีวรรณ
อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการจัดการ (MT)
สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร SIIT
ม.ธรรมศาสตร์

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า AEC ย่อมาจาก ASEAN Economic Community นั่นคือการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตอนแรกการเปิด AEC กำหนดขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2558 แต่ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ในเดือนพฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา มีการลงมติเลื่อนกำหนดการเปิดไปเป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2558

ดูเหมือนเราจะมีเวลาเตรียมตัวกันมากขึ้นอีกนิด แต่เราจะเตรียมตัวเพื่ออะไรและเตรียมตัวอย่างไร จะมีงานทำหลังเรียนจบไหม เพราะได้ยินมาว่า การแข่งขันจะยิ่งสูงขึ้น แล้วการศึกษาในหลักสูตรนานาชาติจะมีประโยชน์กับเราอย่างไร ก่อนอื่นต้องเข้าใจภูมิภาคอาเซียนและกลไกการเปิดประชาคมนี้ เพื่อจะได้เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเรา แล้วจะได้เตรียมตัวฝึกวิทยายุทธ์กันให้พร้อม ก่อนท่องโลกกว้าง

อาเซียน (ASEAN) เป็นภูมิภาคที่มีประชากร 600.15 ล้านคน เท่ากับ 9% ของประชากรโลก มากกว่าประชากรในสหภาพยุโรป (EU 525 ล้าน) หากรวมประชากรในประเทศ ASEAN กับอีก 6 ประเทศคู่เจรจา (จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) ก็จะมีประมาณ 3,284 ล้านคน ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกเชียวนะ การท่องเที่ยวรวมในอาเซียนมีอยู่ 90 ล้านคน การค้าระหว่างประเทศ 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (6 เท่าของประเทศไทย)

ส่วนทางเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ก็เข้ามาในภูมิภาคนี้ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็น 60% ของประเทศจีน)

มาดู GDP ของอาเซียนกันบ้าง GDP เท่ากับ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เท่ากับ GDP ของเกาหลีใต้ เป็นอันดับ 9 ของโลก (โดยส่วนตัว ผู้เขียนชื่นชอบการวัดความสำเร็จของประเทศโดยใช้ GNH (Gross National Happiness) มากกว่า แต่ประเทศส่วนใหญ่ในโลกใช้ GDP ในการวัด ก็เลยต้องพูดถึงเสียหน่อย)

ดูทั้งจำนวนคน ปริมาณเงินลงทุนและการเติบโตทางเศรษฐกิจแล้ว ภูมิภาคอาเซียนนี้ต้องขอบอกว่า “ไม่ธรรมดา” ยิ่งสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีปัญหาทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ขอให้สามคำสำหรับภูมิภาคอาเซียน:คุณ-hot-มาก

อาเซียนเปรียบเสมือนสาวงามที่ใครๆ ก็อยากรู้จักและสนิทสนม ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เดินทางมาเยือน 3 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หลังได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สอง โดยเริ่มการเยือนที่ประเทศไทย การที่ประเทศไทยเป็นที่แรก ก็ถือว่า “ไม่ธรรมดา” เช่นกัน เพราะรัฐบาลสหรัฐ มองว่าไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการพัฒนา “แกนเอเชีย” (Asia pivot) จากนั้นก็ไปต่อที่พม่า ส่วนหนึ่งของภารกิจคือ แวะเยี่ยมนางออง ซาน ซูจี เจ้าของโนเบลสาขาสันติภาพ และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่เพิ่งได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง อันเป็นสัญลักษณ์ของการทำงานเพื่อลัทธิมนุษยชน และจบลงด้วยการเข้าร่วมการประชุม ASEAN ในประเทศกัมพูชา ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า สหรัฐอเมริกาจริงจังและให้ความสำคัญกับการปรับกลยุทธ์มายังซีกโลกตะวันออก อาเซียนเป็นภูมิภาคที่ถูกจับตามอง

ความเป็นหนึ่งเดียวในอาเซียน มิได้มีเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ในปี 2558 อาเซียนจะกลายเป็นประชาคมอาเซียนโดยมีความร่วมมือ 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ASEAN Economic Community (AEC), ASEAN Political-Security Community (APSC) และ ASEAN SocioCultural Community (ASCC) นั่นคือความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง-ความมั่นคง และสังคม-วัฒนธรรม ฟังดูคล้ายๆ แนวคิดสหภาพยุโรป ใครได้ข่าวปัญหาเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปก็อย่าเพิ่งตกใจไป อย่างน้อยอาเซียนยังคงไม่ใช้เงินสกุลเดียวกัน

ถ้าอย่างนั้นพอถึงปี 2558 แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เกิดการลดภาษีในอาเซียนลงอย่างทันทีทันใดหรือเปล่า แรงงานจะเคลื่อนย้ายไปไหนก็ได้ใช่ไหม ใครจะเอาเงินหมุนไปที่ไหนก็ได้หรือเปล่า
คำตอบคือไม่ใช่

การเปิดเสรีในอาเซียนได้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปมาก่อนปี 2558 แล้ว เพราะแต่ละประเทศมีความพร้อมและความอ่อนไหวในแต่ละเรื่องแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น เรื่องภาษีซึ่งเป็นการกีดกันทางการค้า (Tariff Barriers to Trade)

หลายคนคงได้ยินว่า ในปี 2558 นั้น ภาษีการค้า (trade) ในอาเซียนจะกลายเป็น 0% อันที่จริง 6 ประเทศก่อตั้งอาเซียน (ไทย อินโดนีเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย) ได้ทำ FTAs (Free Trade Agreements) อันมีผลทำให้ภาษีเป็น 0% มาตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 แล้ว ดังนั้นในปี 2558 เฉพาะประเทศสมาชิกที่เหลือจึงมีการเปลี่ยนแปลงตามมา ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม เท่านั้น จากการได้พูดคุยกับผู้ประกอบการและทูตพาณิชย์ประจำประเทศต่างๆ ในอาเซียน ผู้เขียนพบว่าสิ่งที่เราควรเตรียมตัวศึกษาให้พร้อมต่อไปคือ Non-Tariff Barrier การกีดกันที่ไม่เกี่ยวกับภาษี เช่น การ กำหนดโควต้า เป็นต้น นอกจากนี้ตลาดด้านบริการ (services) ก็มีการเปิดเสรีเช่นกัน แต่เปิดเพียง 5 สาขา คือ สุขภาพ ท่องเที่ยว การบิน e-ASEAN (โทรคมนาคม) และ logistics ใครจะเรียนสาขาอะไร คงพอมองเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในวิชาชีพของตนกันบ้างแล้ว
จากประเด็นภาษี ทีนี้มาดูประเด็นการเคลื่อนย้ายของแรงงานกันบ้าง ใครจะได้รับผลกระทบอย่างไรมาดูต่อกันเลย ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่คนกลัวกันมาก เพราะกลัวว่าจะเกิดการแข่งขันสูงและเสี่ยงต่อการตกงาน การเคลื่อนย้ายเสรีของแรงงานมีจริงแต่เป็นเฉพาะแรงงานมีทักษะ (professional and skilled labor) ซึ่งจำกัดอยู่แค่ไม่กี่สาขาอาชีพ ศัพท์เฉพาะที่เรียกการเคลื่อนย้ายของคนกลุ่มนี้คือ Movement of Natural Persons (MNP) ซึ่งจะหมายถึงการเคลื่อนย้ายผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระหรือพนักงานขององค์กรต่างประเทศ ที่ครอบคลุมกลุ่มคนดังต่อไปนี้

Business Visitors (คนที่เกี่ยวข้องในธุรกิจแต่ไม่ได้มองหาตำแหน่งงาน) Traders and investors (นักการค้าและนักลงทุน) Intracorporate transferees (พนักงานในบริษัทข้ามชาติที่โยกย้ายข้ามประเทศ) และผู้ประกอบวิชาชีพที่มีทักษะ (Professionals) ในหมวดอาชีพดังนี้ แพทย์และพยาบาล ทนายความ นักบัญชี วิศวกร นักเทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ

ทีนี้ถ้าเราอยู่ในกลุ่มอาชีพที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ในกลุ่ม AEC ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปทำงานที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ เราจะทำงานในประเทศ อื่นๆ ได้ หากเราผ่านการคัดเลือกตามมาตรฐานในร่างข้อตกลงย่อมรับร่วม (Mutual Recognition Arrangement: MRA) ที่กลุ่มประเทศอาเซียนช่วยกันกำหนดขึ้นมาเสียก่อน เช่น วุฒิการศึกษา และกฎระเบียบท้องถิ่น จนถึงปัจจุบันนี้ อาเซียนมีการลงนามจัดทำ MRA ไปแล้ว 8 ฉบับ ได้แก่ วิชาชีพวิศวกรรม วิชาชีพพยาบาล วิชาชีพสถาปัตยกรรม วิชาชีพสำรวจ บริการท่องเที่ยว วิชาชีพแพทย์ วิชาชีพทันตแพทย์และวิชาชีพการบัญชี

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ การทำ MRA มิได้เป็นการเปิดเสรี แต่เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมือเท่านั้น แรงงานยังต้องปฏิบัติตามระเบียบภายในประเทศนั้นๆ อยู่ ตัวอย่างอาชีพที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายคือ แพทย์ หากแพทย์จากประเทศอื่นต้องการเข้ามาทำงานในประเทศไทย จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของแพทยสภา เช่น ต้องมีใบประกอบโรคศิลปะ ซึ่งต้องสอบเป็นภาษาไทย หากไม่เข้าใจภาษาไทยจะสอบผ่านได้อย่างไร

จะเห็นว่านอกจากความชำนาญทางทักษะอาชีพแล้ว ภาษาก็เป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานในอาเซียน บรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ แต่ละประเทศใช้ภาษาราชการไม่เหมือนกัน ดังนั้น ภาษาอังกฤษจึงถูกกำหนดให้เป็นภาษากลางระหว่าง 10 ประเทศนี้ การปูพื้นฐานและเตรียมความพร้อมที่ดี ทักษะทางภาษาเป็นสิ่งที่ฝึกฝนเพิ่มเติมได้ ไม่ยาก เน้นว่า…ไม่ยาก หากทำบ่อยๆ พูดบ่อยๆ อ่านบ่อยๆ เขียนบ่อยๆ ขออย่างเดียวอย่าอาย ใครที่ยังไม่มั่นใจกับทักษะตรงนี้ ขอเชิญให้ใช้โอกาสที่มีอยู่ฝึกฝนเพิ่มเติมด้วย ใครที่เก่งคล่องแล้ว ขอให้ชวนเพื่อนๆ พูดภาษาอังกฤษ กันอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอาจทำโดยให้นักศึกษานำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษ จากการหมั่นฝึกฝนบ่อยๆ ทำให้มีความพร้อมสำหรับการทำงานในระดับนานาชาติ นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว การเรียนรู้ภาษาที่สามด้วยก็จะดีไม่น้อย เพื่อเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ

นอกจากเรื่องของภาษาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ soft skills บุคลิกภาพทางอารมณ์ หรือ EQ นั่นแหละ สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในการทำงานร่วมกับผู้อื่น ผู้ประกอบการมักบ่นมาอยู่เสมอว่า เด็กจบใหม่สมัยนี้ไม่มี work attitude เป็นคนเก่ง ภาษาดี แต่ work attitude ไม่ผ่าน เช่น ไม่อดทน เลือกงาน เกี่ยงงาน ต่อรองเอาเงินเดือนสูงๆ แต่ทำงานให้ไม่เต็มที่ ไม่มีการแก้ปัญหาที่ดี ไม่มีมนุษยสัมพันธ์ เป็นต้น…หลายๆ เหตุการณ์พิสูจน์ให้เห็นว่า soft skills มีส่วนช่วยให้ได้งานทำ และช่วยให้ทำงานได้อย่างราบรื่น แล้วเราจะฝึกให้มี soft skills และ work attitude ที่ดีได้อย่างไร

ลองทำงานกิจกรรมพิเศษที่นอกเหนือจากการเรียนดูบ้าง แบ่งเวลาให้เป็น ลองทำงานจิตอาสาทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยดูบ้าง จะได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น จะได้เรียนรู้ปรับบุคลิกภาพทางอารมณ์ และหากต้องทำงานกับคนต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม พวกเราควรเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง และอื่นๆ ที่จำเป็น สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น พูดสวัสดี ขอบคุณ ในภาษาอื่น การแต่งกายตามท้องถิ่นนั้นๆ ก็ช่วยทำให้เกิดความประทับใจได้ จงทำตัวเป็นผู้ใฝ่รู้ เปิดใจกว้าง ยอมรับความแตกต่าง เพื่อจะได้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น หมั่นฝึกฝนเรื่องทักษะอาชีพ ทักษะทางภาษา และทักษะบุคลิกภาพทางอารมณ์เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เราก็พร้อมที่จะปรับตัวเสมอ และสามารถเบิกบานกับการทำงานและการใช้ชีวิต พวกเราเป็นกลไกสำคัญในความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนนี้

ดังนั้น ความร่วมมือในอนาคตของภูมิภาคนี้จะเป็นไปอย่างไร เกิดความมั่นคงความมั่นคงและความเอื้ออาทร ตามเป้าหมาย 3 เสาหลักของความร่วมมือหรือไม่ ความร่วมมือของภูมิภาคอาเซียนกับภูมิภาคอื่นๆ เป็นอย่างไร ประเด็นเหล่านี้พวกเรามีส่วนช่วยกำหนดคำตอบได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32810&Key=hotnews

แนวปฏิบัติการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา

แนวปฏิบัติการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา
แนวปฏิบัติการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา

28 ม.ค.56 ศาสตราจารย์เกียรติคุณกิตติชัย วัฒนานิกร
ประธานกรรมการ คณะกรรมการประกันคุณภาพภายในระดับอุดมศึกษา
ได้ลงนามในประกาศ เรื่อง แนวปฏิบัติการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา
เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติในการติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา
รวมทั้งเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่สถาบันอุดมศึกษา ผู้มีส่วนได้เสีย ต้นสังกัด
และเป็นหลักประกันต่อสาธารณชน
.. ในส่วนของภาคผนวกมีรายละเอียดข้อมูลที่จัดเก็บเพิ่มเติมในการตรวจเยี่ยม

http://www.scribd.com/doc/143860097/

http://www.cca.chula.ac.th/edocuments/images/files/letter/03_56/in_01912_2556.pdf

จี้รัฐบูรณาการคุณภาพการศึกษา ฝึกเด็กเลิกท่องนกแก้วนกขุนทอง

23 พฤษภาคม 2556

ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานกรรมการจัดสมัชชาปฏิรูปเฉพาะประเด็นการปฏิรูปการศึกษา กล่าวในการประชุม “บูรณาการภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษา” ว่า ปัญหาการศึกษาของประเทศไทยนั้นอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะต้องใช้เวลา ต้องค่อยๆ เริ่มทำ อยากให้สังคมผลิตครูอาจารย์รุ่นใหม่ๆ ออกมาให้มีการพัฒนาการที่ดี มีเทคนิคการเรียนการสอนแบบใหม่ให้ดีมากขึ้น ไม่ใช่สอนเด็กเพียงแค่ท่องจำเท่านั้น ส่วนการแก้ปัญหาเราจะต้องเอาเด็กเป็นตัวตั้ง เราควรจะเปลี่ยนโจทย์การศึกษา ต้องสร้างงาน ต้องสร้างคนที่มีคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ ออกมา

“ฝ่ายรัฐจะต้องมีการบูรณาการการจัดการศึกษาให้มากกว่านี้ คนที่มีอำนาจแต่ไม่ยอมทำอะไรเลย ไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริงของการศึกษา ภาครัฐต้องมีการทำงานให้มากขึ้นกว่านี้ และต้องตอบสนองความต้องการของเยาวชน ต้องมีการกระจายอำนาจให้ภาครัฐลดบทบาทลงมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เราต้องเดินไปด้วยกัน ทำงานร่วมกัน เชื่อมโยงกัน นำเอาบทสรุปมาเติมเต็มซึ่งกันและกัน นี่คือยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเรื่องการศึกษา”

ขณะที่ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ กรรมการจัดสมัชชาปฏิรูปเฉพาะประเด็นการปฏิรูปการศึกษา ให้ความเห็นว่า ในปัจจุบันโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย บทบาทของภาครัฐในการบูรณาการการทำงานเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของประเทศต้องมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยทันโลกมากขึ้น แนวโน้มของนานาประเทศได้นำไปสู่แนวคิดเชิงพื้นที่ด้วยการไม่ผลักภาระในการปฏิรูปการศึกษาไปที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ใช้การเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคส่วนต่างๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้มากขึ้น

“รัฐยังต้องสามารถวางกลไกการกำกับติดตามและสร้างความสามารถตรวจสอบและรับผิดชอบต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนของสถานศึกษาทุกระดับต่อพ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชนไปพร้อมกันด้วย เครื่องมือเชิงระบบที่น่าสนใจก็คือระบบโรงเรียนในกำกับที่มีอิสระในการบริหารเป็นกลไกแก้ปัญหาเด็กด้อยโอกาสที่มีความต้องการพิเศษ เป็นระบบที่เน้นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ตัดทอนระเบียบราชการที่พะรุงพะรังจนผู้บริหาร และครูสามารถวางแผนการจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของเด็กด้อยโอกาสแต่ละกลุ่มได้อย่างเต็มที่”

ขณะเดียวกันก็มีจุดเด่นอีกเรื่องหนึ่ง คือการเปลี่ยนแนวคิดให้ประชาชนในพื้นที่ให้โรงเรียนรัฐบาลต้องมีการปรับปรุงตัวเองโดยเน้นให้หลักการคู่ขนาน คือการมีอำนาจอิสระของโรงเรียนควบคู่กับความรับผิดชอบต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ของโรงเรียนและการตรวจสอบได้ ส่วนข้อคิดเพื่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของไทย คือเราต้องเน้นยุทธศาสตร์การใช้พื้นที่เป็นฐานและกลไกการขับเคลื่อน ซึ่งรัฐเองอาจลงทุนนำร่องในบางพื้นที่จังหวัดที่มีศักยภาพก่อนเพื่อไม่ต้องลงทุนครั้งเดียวเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้การใช้กลไกการเงินเป็นเครื่องผลักดันที่รัฐอาจลงทุนร่วมกับท้องถิ่นในรูปเงินสมทบ หรือตั้งกองทุนสนับสนุนโดยอาจใช้กองทุนเดิมบางกองทุนที่มีอยู่ เช่น กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน รัฐอาจลงทุนผ่านกองทุนนี้โดยปรับระบบการจัดการกองทุนให้เน้นการทำงานเชิงพื้นที่ การเน้นยุทธศาสตร์การปฏิรูปที่ต้องเน้นคานงัดสำคัญที่พิสูจน์มาในหลายประเทศว่าเป็นจุดเปลี่ยนของการศึกษา กรณีของไทยอาจต้องเพิ่มเรื่องที่ยังเป็นจุดอ่อน ได้แก่ การพัฒนาเด็กปฐมวัย การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก รวมถึงการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาจัดการและการสร้างภาวะรับผิดชอบทางการศึกษาขึ้นใหม่ในระบบ

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32804&Key=hotnews

ยุบ ร.ร.ขนาดเล็ก เน้นบริหารไม่ใช่ นร.

23 พฤษภาคม 2556

นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ อดีตประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาคุณภาพ(สวพ.) และอดีตคณะกรรมการบริหารสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(สมศ.)  กล่าวในการแถลงข่าวกรณีรมว.ศึกษาธิการมีนโยบายสั่งยุบโรงเรียนขนาดเล็ก 1.7 หมื่นแห่งทั่วประเทศที่อาคารศศินิเวศน์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า การแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กที่มีเด็กต่ำกว่า 60 คนควรแก้ไขแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่อยู่ๆประกาศยุบไปเลย หากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่บนพื้นราบที่ตั้งอยู่ห่างกันไม่ถึง 15 กิโลเมตร ก็วางระบบบริหารเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเน้นปัจจัยสำคัญได้แก่ ครู นักเรียน หลักสูตรและอุปกรณ์การศึกษา เช่น จัดครูมาสอนเพิ่มเติมโดยจ้างครูเกษียณในวิชาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และมีรถรับส่งครูให้มาสอนที่โรงเรียน หรือหากกรณีจำเป็น เช่น โรงเรียนมีนักเรียนไม่ถึง 10 คน มีครูไม่ครบชั้นเรียน ก็ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับผู้ปกครองและชุมชน เพื่อจัดรถรับส่งเด็กไปเรียนในโรงเรียนใกล้เคียงที่มีความพร้อมด้านครูมากกว่า

“หากดำเนินการข้างต้นไปแล้วผู้ปกครองและชุมชนเห็นว่าคุณภาพการศึกษาไม่ดีขึ้น ถ้าจำเป็นจะต้องยุบโรงเรียนจริงๆเชื่อว่าผู้ปกครองชุมชนคงยอมรับได้ เมื่อทำเช่นนี้แล้วโรงเรียนขนาดเล็กที่ไม่มีคุณภาพ ก็จะลดจำนวนลงไปเรื่อยๆจนเหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆขณะเดียวกันก็ต้องดูแลเด็กที่มีอยู่วัยเรียนและต้องย้ายติดตามพ่อแม่ไปในพื้นที่ต่างๆเช่น งานก่อสร้าง ทำให้การเรียนไม่ต่อเนื่องซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 1 แสนคนด้วย” นายชัยณรงค์ กล่าว

อดีตกรรมการบริหารสมศ.กล่าวต่อไปว่า ศธ.จะต้องส่งเสริมให้โรงเรียนรัฐบาลที่มีความพร้อม เช่น โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดซึ่งมีประมาณ 8 พันแห่งทั่วประเทศให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลลักษณะเดียวกับโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เนื่องจากโรงเรียนกลุ่มนี้มีความพร้อมด้านครูและบุคลากร รวมทั้งการสนับสนุนของผู้ปกครองและชุมชนก็ควรให้ความเป็นอิสระในการบริหารเพื่อให้ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 175 แห่งจะได้มีเวลาไปดูแลโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นแห่งทั่วประเทศ

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32803&Key=hotnews

 

คอลัมน์: อาชีวะ…สร้างสรรค์: “ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

23 พฤษภาคม 2556

สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรม ในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมง สังกัด สอศ.มาตั้งแต่ปี 2546

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง “โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” อย่างเป็นทางการ กำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการร่วมกัน 3 ปี

ความร่วมมือในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนองแนวพระราชดำริเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ให้ครู นักเรียน นักศึกษา และชุมชน คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมใหม่ในด้านชีวภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะขยายผลการดำเนินงานสู่ชุมชนท้องถิ่น ได้อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน วิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการจะดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิ ส่งเสริมการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพใน 4 กิจกรรม คือ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์น้ำ ปศุสัตว์ และการรักษาสิ่งแวดล้อม, เป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้ในการทำเกษตรกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สนับสนุนให้ ครู นักเรียน นักศึกษา ได้ทดลอง คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

มีวิทยาลัยทำหน้าที่ศูนย์ประสานงานโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระดับภาค4 แห่ง เพื่อประสานการดำเนินงาน และติดตามประเมินผลการดำเนินงานประจำปี ทั้งระดับภาค และระดับประเทศ เพื่อคัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่น เข้ารับรางวัลจาก กฟผ.และเผยแพร่ผลการดำเนินงานในระดับประเทศ
กฟผ.จะมีหน้าที่นำเสนอรายละเอียดของโครงการให้ผู้บริหารสถานศึกษาที่เข้าร่วมรับทราบ เพื่อนำไปปฏิบัติ สนับสนุนงบประมาณให้แก่วิทยาลัยที่เข้าร่วมโครงการ แห่งละ 20,000 บาท สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น จัดเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ประสานงาน และติดตามผลการดำเนินงาน สนับสนุนการตรวจประเมินผลการดำเนินตามโครงการ และมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวด และสนับสนุนด้านวิชาการ
สถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ จะส่งกิจกรรมเข้ารับการประเมินผลซึ่งได้แก่ ผลการดำเนินงานภายในสถานศึกษา และการขยายผลสู่ชุมชน และ/หรือ การคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ โดยมีผู้แทน กฟผ.และ สอศ. ร่วมเป็นคณะกรรมการประเมินผล

นอกจากนี้ ทั้ง สอศ.และ กฟผ.ยังต้องร่วมกันประชาสัมพันธ์โครงการ และจัดกิจกรรมเผยแพร่ผลการดำเนินงานในรูปแบบการประชุมวิชาการ และ/หรือนิทรรศการระดับประเทศ อย่างน้อย 1 ครั้ง
ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวในการลงนามความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาด้านเกษตร พัฒนาคุณภาพชีวิตของท้องถิ่น ตลอดจนรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันเพื่อสร้างความเป็นอยู่ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เกิดการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยการพึ่งพาตนเอง จะเป็นอีกกำลังสำคัญในการพัฒนาให้สังคมไทยมีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง และนำพาประเทศสู่ความมั่นคงได้อย่างยั่งยืน  นับเป็นอีกโครงการดีๆ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง สอศ.และ กฟผ.
www.vec.go.th

–มติชน ฉบับวันที่ 24 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32802&Key=hotnews

ปลัด ศธ.ลุยสอบทุจริตสอบครู

23 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ผู้สื่อข่าวสอบถาม นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ว่าได้รับหนังสือตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้วหรือไม่ในกรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วย นายชินภัทรตอบว่า ยังไม่ได้รับ ส่วนการอุทธรณ์ต้องดูข้อมูลว่าประเด็นที่ตั้งมาคืออะไร และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องใช้สิทธิในการอุทธรณ์ หรือเป็นประเด็นที่สามารถชี้แจงต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยได้ก็จะดำเนินการชี้แจง

เมื่อถามว่า ที่รมช.ศธ.ระบุข้อหาที่ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ คือไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ เพราะปล่อยให้มีข้อสอบรั่ว แต่ไม่ดำเนินการนั้น นายชินภัทรกล่าวว่า เรื่องนี้ตนขอให้ข้อมูลกับคณะกรรมการ เพราะมีรายละเอียดที่เมื่อพูดไปอาจทำให้สับสนได้

ด้านนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดศธ. ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีทุจริตสอบครูผู้ช่วย กล่าวว่า กรณีรมว.ศธ.ให้คณะกรรมการกลับไปสอบสวนเพิ่มเติม 2 ผู้บริหารสพฐ. คือนายอนันต์ ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ กพฐ. และนายสุเทพ ชิตยวงศ์ ผู้ตรวจราชการ ศธ. ในฐานะอดีตผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. และเรียกสอบเพิ่มเติมอีก 1 ราย คือนายไกร เกษทัน อดีตผอ.สพร.นั้น การสอบสวนเพิ่มเติมดังกล่าวนอกจากจะสอบด้านวินัยแล้ว ยังจะสอบสวนเรื่องการทุจริตด้วย
รายงานข่าวระดับสูงจากศธ. กล่าวว่า ผลการสอบสวน 2 ผู้บริหารสพฐ.ที่เสนอให้รมว.ศธ. พิจารณาและถูกตีกลับมาให้สอบเพิ่มเติมนั้น บุคคลที่คณะกรรมการ เสนอให้ไม่มีความผิดคือนายสุเทพ เพราะช่วงสอบครูผู้ช่วยดังกล่าว นายสุเทพเกิดอุบัติเหตุแขนหัก ปฏิบัติราชการไม่ได้ และกลับมาปฏิบัติงานในช่วงท้ายๆ ของการส่งผลคะแนนไปให้เขตพื้นที่ฯ แล้ว

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 24 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32800&Key=hotnews

สพฐ. หนุน ร.ร.นิติบุคคลบริหารคล่องเปิดช่องเชื่อม อ.ก.ค.ศ.เขตคัด ผอ. – ปรับวิธีจัดงบฯ

23 พฤษภาคม 2556

นายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการโครงการโรงเรียนนิติบุคคล มาตั้งแต่ปี 2555 โดยนำร่อง 58 โรงเรียน แบ่งเป็นประถม 28 โรง มัธยม 30 โรง ซึ่งหลังจากที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 1 ปี ก็มีความคืบหน้า และมีโรงเรียนนิติบุคคล เพิ่มขึ้นโดยรุ่นที่ 2 คัดเลือกอีก 56 โรง เป็นประถม 29 โรง และมัธยม 27 โรง หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกรุ่นที่ 2 มี 4 ด้าน คือ 1.มีความนิยมและอัตราแข่งขันสูง 2.โรงเรียนมีความพร้อม ด้านบุคลากรผู้สอน อุปกรณ์การเรียนการสอน 3.เป็นโรงเรียนที่ผ่านการประเมินในระดับดีมาก และ 4.เป็นโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชน

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในปีการศึกษา 2556 จะมีโรงเรียนนิติบุคคลจำนวน 114 โรง ซึ่งสพฐ.จะส่งเสริมให้โรงเรียนเหล่านี้มีการบริหารที่ยืดหยุ่น คล่องตัว นำไปสู่เป้าหมายให้ได้ โดยเมื่อเป็นนิติบุคคล โรงเรียนเหล่านี้จะมีสิทธิพิเศษคือ

1.ทางวิชาการ สามารถเปิดห้องเรียนพิเศษได้มากขึ้น ซึ่งจะประเมินจากความพร้อมของครู และห้องปฏิบัติการทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยา ศาสตร์ ภาษาอังกฤษ

2.การบริหารงานบุคคล จะมีความคล่องตัวของบุคลากร สามารถใช้เงินรายได้ของโรงเรียนจ้างครูเฉพาะด้าน และจะมีส่วนสรรหาผอ.โรงเรียนได้หรือไม่ เรื่องนี้สพฐ.ใช้แนวทางจากโรงเรียนในประเทศนิวซีแลนด์ ที่คณะกรรมการโรงเรียนเป็นผู้คัดเลือกผู้บริหารโรงเรียน ดังนั้น สพฐ.จะหาช่องทางว่า จะเชื่อมโยงกับคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กับอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ได้อย่างไร ในการคัดเลือกผู้บริหารโรงเรียน

3.การบริหารงบประมาณ สพฐ.เสนอให้โรงเรียนนิติบุคคลเป็นหน่วยเบิกตรง แต่มีโรงเรียนที่สมัครเป็นหน่วยเบิกตรงจำนวน 106 โรง แต่จากการประชุมแล้วต้องมีเงื่อนไขความพร้อมหลายอย่าง ทำให้มีโรงเรียนยกเลิกไป จึงเหลือประมาณ 37 โรง โดยโรงเรียนเหล่านี้จะได้รับเป็นหน่วยเบิก และจะปรับวิธีการจัดสรรงบฯ ให้เป็นก้อน ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาว่างบฯ ดำเนินงาน และงบฯ ค่าวัสดุจะรวมเป็นก้อนเพื่อให้โรงเรียนคล่องตัวได้อย่างไร

–ข่าวสด ฉบับวันที่ 24 พ.ค. 2556 (กรอบบ่าย)–

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32799&Key=hotnews

กมธ. ศึกษารับปาก ศธ. ดันเพิ่มงบฯ 57

23 พฤษภาคม 2556

เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ได้มาประชุมสัญจรร่วมกับผู้บริหารสำนักงานปลัด (สป.ศธ.) โดย นายประกอบ รัตนพันธ์ ประธาน กมธ.การศึกษาฯ กล่าวว่ากมธ.การศึกษาฯ ได้เดินสายประชุมสัญจรเยือนหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริง พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นที่เป็นภารกิจหลัก 3 เรื่อง ได้แก่ การติดตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน มีปัญหาอุปสรรคใดบ้าง, ติดตามว่ามีโครงการสำคัญใดบ้างที่องค์กรหลักของ ศธ.ได้ของบประมาณไปแล้ว แต่ถูกตัดงบฯจนส่งผลกระทบต่อการจัดการศึกษา เพื่อจัดทำเป็นข้อสังเกตไปยังประธานพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 และ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ สป.ศธ. โดยภาพรวมทั้งหมดจากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ ตนได้ซักถามถึงการปรับเพิ่มเงินเดือนครูเอกชนระดับปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งทราบว่าขณะนี้ยังไม่ได้มีการปรับเพิ่ม ดังนั้นจะต้องเร่งจัดสรรงบฯให้ครูเอกชนได้รับเงินดังกล่าวโดยเร็ว สำหรับเรื่องงบฯ ในภาพรวมที่ถูกตัดไปนั้น กมธ.การศึกษาฯ ได้รับไปหารือในชั้นแปรญัตติงบฯ ให้

ด้าน นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัด ศธ. กล่าวว่า โครงการสำคัญที่ต้องของบฯ เพิ่ม คือ โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะของ กศน. ตั้งงบฯ ไว้ 900 ล้านบาท ถูกตัดเหลือ 450 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง แต่ดำเนินการไปได้เพียงครึ่งของจำนวนหมู่บ้านทั้งหมด นอกจากนี้ สช.ยังจำเป็นต้องของบฯมาสนับสนุนเงินเดือนครูเอกชนปริญญาตรี ให้ได้รับ 15,000 บาท โดยขณะนี้ใช้งบฯ ปี 2556 มาชดเชยแต่ก็ยังไม่ถึง 15,000 บาท รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะระบบการเรียนการสอนทางไกลมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้ตั้งงบฯ200 ล้านบาท แต่ก็ถูกตัดงบฯ ไปเช่นกัน.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=32798&Key=hotnews